ภาษีทั่วไป

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

28 ก.พ. 2025

PEAK Account

13 min

เช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ทำง่าย สะดวก รวดเร็ว

ในทุกปีเมื่อถึงช่วงเวลายื่นภาษี ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจ SME นิติบุคคล หรือผู้ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม คำถามยอดฮิตที่มักเกิดขึ้นเสมอก็คือ “เงินคืนภาษีของเราถึงไหนแล้ว?” แต่ในปัจจุบันภาครัฐได้อำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการด้วยการเปิดระบบต่าง ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น การยื่นภาษีออนไลน์ รวมไปถึง เช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ ที่ในบทความนี้เราจะมาแนะนำ วิธีเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ สำหรับผู้ประกอบการ จะทำอย่างไร สะดวกมากน้อยแค่ไหน มาร่วมหาคำตอบในบทความนี้ไปพร้อมกัน ทำไมต้องเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์? การเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ เพราะช่วยให้คุณรู้ความคืบหน้าว่าแบบภาษีที่ยื่นไปได้รับการตรวจสอบหรือยัง และมีปัญหาอะไรต้องแก้ไขหรือไม่ การติดตามสถานะอย่างใกล้ชิดช่วยให้สามารถจัดการเอกสารเพิ่มเติมได้ทันทีหากมีข้อผิดพลาด ลดความเสี่ยงในการถูกปฏิเสธการคืนภาษี และยังช่วยให้คุณวางแผนกระแสเงินสดได้อย่างแม่นยำ เพราะการได้รับเงินคืนเร็วขึ้น หมายถึงธุรกิจมีสภาพคล่องที่ดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ การใช้ช่องทางออนไลน์ในการเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ยังช่วยประหยัดเวลา ลดขั้นตอน และทำให้การติดต่อกับกรมสรรพากรสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าการโทรหรือเดินทางไปด้วยตัวเองอีกด้วย สิ่งที่เจ้าของธุรกิจควรรู้เกี่ยวกับ “การคืนภาษีออนไลน์” ก่อนเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ เงื่อนไขการขอคืนภาษีของนิติบุคคล ที่ควรรู้ ก่อนเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ สำหรับการขอคืนภาษีของนิติบุคคล ซึ่งทางกรมสรรพากรก็ได้ทำการออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อระบุว่ากิจการใดมีสิทธิ์ในการขอคืนภาษีได้ ซึ่งหลักเกณฑ์สามารถแบ่งออกได้ 3 กรณีตามประเภทภาษี 1. ขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย กรณีมาตรา 63 แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับมาตรา 63 แห่งประมวลรัษฎากร ได้มีการกำหนดเงื่อนไขของผู้มีสิทธิ์ขอคืนภาษีว่าต้องเป็นกิจการที่เป็นผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย และได้ทำการนำส่งภาษีเกินกว่าที่ควรต้องเสียภาษี กิจการของคุณเข้าข่ายสามารถขอคืนภาษีได้ตามมาตรา 63 ในส่วนของระยะเวลาในการยื่นขอคืนภาษี สามารถทำได้ภายในระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันสุดท้ายของกำหนดเวลายื่นภาษีตามที่กฎหมายกำหนด  ยกตัวอย่างเช่น  กิจการ A มีรอบบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 – 31 ธันวาคม 2567 ซึ่งในรอบปีนั้นมีการหักภาษีเกินที่กำหนดไป และกิจการ A มีหน้าที่ยื่นภาษีภายใน 150 วัน นับตั้งแต่สิ้นรอบบัญชี หมายความว่า กิจการ A สามารถยื่นขอคืนภาษีได้ภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2571 นั่นเอง 2. ขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย กรณีมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร  อีกหนึ่งรูปแบบการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งจะตรงกับกรณีของมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร โดยเงื่อนไขข้อนี้สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่ได้ทำกิจการเข้าข่ายมาตรา 63 แห่งประมวลรัษฎากร เช่น กลุ่มกิจการที่มีการหัก ณ ที่จ่ายมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร ยกตัวอย่างเช่น ค่านายหน้า ค่าฝึกอบรม ค่าซ่อมแซมเครื่องจักร ซึ่งรวมไปถึงบริษัทต่างประเทศที่เข้ามามีรายได้ในประเทศไทยอีกด้วย โดยเงื่อนไขในการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่ายประเภทนี้ต้องเป็นผู้ที่เมื่อจ่ายเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายแล้วเกินจากที่กำหนด และมีระยะเวลาในการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่ายเท่ากับ มาตรา 63 คือ 3 ปีหลังจากวันครบกำหนดยื่นภาษี 3. ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ในส่วนของการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT 7% ซึ่งเป็นเงินภาษีที่หักออกจากสินค้าหรือบริการเพื่อนำส่งให้กับทางกรมสรรพากร รวมไปถึงภาษีที่ผู้ประกอบการจ่ายเมื่อทำการซื้อสินค้าหรือบริการด้วย มีเงื่อนไขและรูปแบบการขอคืนภาษีดังนี้ การเปลี่ยนเป็นเครดิตภาษีในเดือนถัดไป กรณีที่มีภาษีมูลค่าเพิ่มที่ซื้อสินค้าหรือบริการไปเกินที่กำหนดไว้ จะเปลี่ยนเป็นเครดิตภาษี ซึ่งสามารถนำไปใช้จ่ายภาษีของเดือนถัดไปได้ ทั้งนี้ถ้าผู้ประกอบการมีเครดิตภาษีเหลือแล้วไม่ได้ทำการยื่นขอคืนภาษีภายในเดือนนั้น หมายความว่าประสงค์ที่จะยกไปใช้ชำระภาษีในเดือนถัดไป ทั้งนี้ถ้าเดือนถัดไปไม่ได้นำเครดิตตรงนี้มาชำระ จะไม่สามารถเก็บเครดิตเพื่อชำระในเดือนถัด ๆ ไปอีกได้ ภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายสินค้าหรือบริการ เมื่อผู้ประกอบการไม่ได้ทำการขอคืนภาษีด้วยการเครดิตภาษี ในกรณีนี้ผู้ประกอบการสามารถทำเรื่องยื่นคำร้องขอคืนภาษีได้ภายใน 3 ปี นับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดยื่นภาษีของเดือนภาษีนั้น ๆ โดยผู้ประกอบการสามารถทำเรื่องยื่นขอคืนภาษีด้วยแบบ ค. 10 ขอคืนภาษีสำหรับการนำเข้าสินค้า ในกรณีที่มีการนำเข้าสินค้ารูปแบบการขอคืนภาษีจะแตกต่างกันออกไป โดยผู้ประกอบการที่ได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว สามารถยื่นคำร้องขอคืนภาษีได้ที่อำเภอ แต่ถ้าไม่ได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องยื่นคำร้องคืนภาษีที่ด่านศุลกากรขาเข้า ทั้งนี้ยังมีเงื่อนไขพิเศษในกรณีที่ผู้นำเข้าสินค้า มีข้อโต้แย้งตามกฎหมาย หรือมีติดคดีในศาล สามารถยื่นขอคืนภาษีได้ภายใน 6 เดือนนับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือข้อโต้แย้งอากรขาเข้า 4. ภาษีธุรกิจเฉพาะ ในส่วนขอภาษีธุรกิจเฉพาะ คือธุรกิจที่มีรายได้จากดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากการให้กู้ยืม และมีการนำส่งภาษีแล้ว แต่จำนวนที่นำส่งเกินกว่ากำหนดที่ต้องเสียภาษี โดยสามารถทำเรื่องขอคืนภาษีได้ภายใน 3 ปีนับตั้งแต่วันที่ครบรอบยื่นแบบภาษี เช่นเดียวกับการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่มนั่นเอง ขั้นตอนการเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ สำหรับขั้นตอนการเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์สามารถทำได้ผ่าน Digtal My Tax ระบบใหม่ล่าสุดที่ทางกรมสรรพากรออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนโดยเฉพาะ ซึ่ง D-MyTax จะรวมทั้งภาษีบุคคลธรรมดา นิติบุคคล รวมไปถึงผู้ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล แบบ One Portal ที่เดียวจบทุกเรื่องภาษี สำหรับขั้นตอนเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ ทำได้ดังนี้ 2. เลือกไปที่เมนู “นิติบุคคล” 3. คลิกที่ปุ่ม [รวมบริการทางภาษี (One Portal)] 4. เลือกวิธีการเข้าสู่ระบบ 5. เมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว จะพบกับหน้าเว็บไซต์ที่แสดงสถานะของรายการที่เรายื่นไปแล้วนั่นเอง การเช็คสถานะคืนภาษีออนไลน์ผ่าน D-MyTax เป็นอีกหนึ่งทักษะสำคัญที่เจ้าของธุรกิจยุคใหม่ควรรู้ เพราะนอกจากจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าภาษีที่จ่ายเกินจะได้รับคืนแล้ว ยังช่วยให้คุณจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดเวลา และลดความผิดพลาดได้อย่างมาก เมื่อเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ แล้วพบว่าความล่าช้าควรทำอย่างไร เมื่อเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ แล้วพบว่าเกิดความล่าช้า แนะนำให้รีบติดต่อกรมสรรพากร เพื่อสอบถามถึงสาเหตุ ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาความล่าช้า แนะนำให้ผู้ประกอบการเตรียมจัดการบัญชี เอกสารต่าง ๆ ให้เรียบร้อย และตรวจสอบความถูกต้องให้ชัดเจน เพื่อให้ขั้นตอนการตรวจสอบของกรมสรรพากรง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เท่านี้ก็ช่วยลดปัญหาความล่าช้าลงไปได้แน่นอน อยากจัดการภาษีง่ายขึ้น ขอคืนภาษีได้รวดเร็ว? การขอคืนภาษีอาจดูเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับผู้ประกอบการ แต่หากมีการ วางแผนการทำบัญชีที่ดี ตั้งแต่ต้น ตรวจสอบเอกสารให้ครบถ้วน ใช้ระบบจัดการบัญชีที่มีประสิทธิภาพและคอยเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์อยู่เสมอ ก็สามารถช่วยให้การขอคืนภาษีเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว หนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้การบริหารภาษีง่ายขึ้นคือ PEAK Tax โปรแกรมการจัดการภาษีออนไลน์ ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการช่วยจัดการภาษีครบวงจร รองรับภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ทั้งแบบ ภ.พ.30 และ ภ.พ.36 รวมถึงภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax) เช่น ภ.ง.ด.1, ภ.ง.ด.2, ภ.ง.ด.3 และ ภ.ง.ด.53 โดยคำนวณและจัดทำแบบฟอร์มภาษีอัตโนมัติ รองรับ e-Tax Invoice และ e-Receipt พร้อมรองรับการยื่นแบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร ลดขั้นตอนการทำงานและช่วยให้ธุรกิจเห็นภาพรวมทางการเงินได้ง่ายขึ้น ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

24 ม.ค. 2025

PEAK Account

12 min

“ภาษี” บริหารได้อย่าหนี กับ 4 วิธีทำเรื่องภาษีให้ถูกต้องสำหรับธุรกิจ SMEs

“ภาษี” กับ “ความตาย” คือ สองสิ่งบนโลกที่มวลมนุษย์อย่างเราไม่อาจหนีได้ คือประโยคอันโด่งดังของเบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin) หนึ่งในรัฐบุรุษผู้สร้างชาติอเมริกา ที่สะท้อนให้เห็นความเป็นจริงของโลกใบนี้ เรื่อง “ความตาย” นี่ เราเห็นกัน 100% แล้วว่าเป็นสิ่งที่หนีไม่ได้จริงๆ แต่ทำไมเรายังเห็นหลายคนไม่จ่ายภาษีทั้งๆ ที่ต้องจ่าย งั้นแบบนี้ “ภาษี” ก็เป็นสิ่งที่หนีได้ใช่ไหม? คำตอบ คือ หนีได้ แต่ผิดกฎหมายนะ! และยังไม่พอ ยังเป็นการหนีได้ชั่วคราวอีกด้วย เพราะจากที่เราเห็นกันในโซเชียลหรือจากการทำบัญชีให้ผู้ประกอบการจะพบเรื่องที่สรรพากรมาตรวจย้อนหลังและโดนปรับแพงๆ จนหลายคนทำธุรกิจต่อไม่ไหวหรือหาเงินมาจ่ายคืนไม่ได้ สุดท้ายก็คือ หนีไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละครับ จะดีกว่าไหม ถ้าเราทำเรื่องภาษีให้ถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่แรก โดยไม่หนี แต่ใช้การบริหารภาษีแทน มาดูกันครับ ผมอยากให้ทุกคนทำภาษีให้ถูกต้อง ยังไม่พอยังทำให้ประหยัดภาษีได้อีกทีด้วย บทความนี้จะไม่ได้พูดเรื่องการวางแผนภาษีแบบละเอียด แต่เริ่มจากเรื่องพื้นฐานที่ผู้ประกอบการทุกคนควรจะรู้ว่าถูกต้องและประหยัดจะทำได้อย่างไรบ้าง เริ่ม! 4 วิธีทำเรื่องภาษีให้ถูกต้อง ก่อนจะประหยัด เราควรรู้ว่าการจัดการภาษีให้ถูกต้องให้กรมสรรพากรยอมรับต้องทำอย่างไร ดังนี้ 1. บันทึกค่าใช้จ่ายให้ครบถ้วน พื้นฐานที่สุด คือ ธุรกิจควรบันทึกค่าใช้จ่ายทุกประเภทอย่างละเอียดและครบถ้วน เพราะเมื่อค่าใช้จ่ายจริงเยอะ กำไรที่จะนำไปคำนวณภาษีจะลดลง ทำให้จ่ายภาษีประจำปีได้ประหยัดมากขึ้น 2. มีเอกสารประกอบค่าใช้จ่ายทุกใบ การมีเอกสารประกอบค่าใช้จ่าย เช่น ใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษี จะช่วยให้การบันทึกค่าใช้จ่ายมีความน่าเชื่อถือ และสามารถใช้เป็นหลักฐานในหักค่าใช้จ่ายได้ถูกต้อง อีกทั้งสามารถยืนยันค่าใช้จ่ายได้ในกรณีที่มีการตรวจสอบภาษีจากกรมสรรพากร  3. ไม่มีเอกสารประกอบ ก็เป็นค่าใช้จ่ายได้ ในบางกรณีที่จ่ายเงินแต่ไม่ได้รับเอกสาร เช่น ค่าแท็กซี่ เมื่อเราจ่ายเงิน คนขับรถคงไม่ออกใบเสร็จรับเงินให้เราได้แน่ แต่ไม่ต้องห่วงเพราะสรรพากรก็เข้าใจในสิ่งนี้เป็นอย่างดี จึงออกคู่มือประกอบการลงค่าใช้จ่ายที่ไม่มีเอกสารมาให้ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก! 4. ระบุผู้รับเงินให้ได้ ทุกการจ่ายเงินต้องบอกให้ได้ว่าผู้รับเงินเป็นใคร ไม่เช่นนั้นจะเกิดคำถามได้ว่าเป็นการสร้างรายจ่ายปลอมรึเปล่า? เพราะแม้จะมีการจ่ายเงินจริง แต่ไม่สามารถระบุผู้รับเงินได้ แบบนี้ก็คงไม่มีใครเชื่อ  วิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้ คือ พยายามจ่ายเงินผ่านการโอนเงิน เพราะในสลิปโอนเงินจะระบุผู้รับเงินได้ ส่วนกรณีที่จำเป็นต้องจ่ายเป็นเงินสดถ้ายอดเงินน้อยๆ หลักสิบ หลักร้อย เช่น ค่าแท็กซี่ การทำเอกสารใบรับรองแทนใบเสร็จตามคู่มือของสรรพากรก็เพียงพอ แต่ถ้าจ่ายเงินสดเป็นหลักหมื่น หลักแสนขึ้นไป ควรต้องขอสำเนาบัตรประชาชนและให้ผู้รับเซ็นรับเงินมาด้วยจะทำให้พิสูจน์ผู้รับได้ปลอดภัยขึ้น การทำเอกสารใบรับรองแทนใบเสร็จ สามารถช่วยยืนยันการจ่ายเงินสดได้ในกรณีที่ไม่สามารถออกใบเสร็จรับเงินอย่างเป็นทางการได้ โดยในระบบ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ สามารถออกเอกสารใบรับรองแทนใบเสร็จได้อย่างสะดวกและง่ายดาย พร้อมรูปแบบเอกสารที่ถูกต้องตามข้อกำหนดของกรมสรรพากร ทำให้การจัดการเอกสารเป็นระบบและช่วยลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบย้อนหลังจากสรรพากร 4 วิธีพื้นฐานประหยัดภาษี  เมื่อรู้วิธีจัดการภาษีที่ถูกต้องแล้ว เราจะขยับขึ้นมาอีกสเต็ปหนึ่ง คือ การวางแผนภาษีเบื้องต้นเพื่อประหยัดภาษีกัน ซึ่งผมยกตัวอย่างมาให้ ดังนี้ 1. จ่ายเงินตัวเองให้ถูกวิธี ผู้ประกอบการมักคิดว่าเงินบริษัทคือเงินของตัวเอง แต่ในทางกฎหมายถือว่าบริษัทกับผู้ประกอบการเป็นคนละคนกัน ดังนั้นผู้ประกอบไม่สามารถนำเงินบริษัทมาใช้ได้ตามอำเภอใจ เพราะจะทำให้ระบบบัญชีและภาษีมีปัญหา เช่น การเกิดบัญชีเงินให้กู้ยืมแก่กรรมการจำนวนมาก  วิธีที่ถูกต้องในการดึงเงินออกจากบริษัท เช่น การจ่ายเงินเดือนให้ตัวเองในฐานะกรรมการ หรือการจ่ายค่าเช่าออฟฟิศถ้ากรรมการใช้บ้านตัวเองในการทำงาน หรือถ้าบริษัทมีกำไรและอยากนำเงินมาใช้ก็สามารถนำเงินออกมาในรูปแบบของการจ่ายเงินปันผลได้ เป็นต้น 2. การซื้อประกันผู้บริหารคนสำคัญ (Keyman)  สำหรับบุคลากรที่สำคัญในองค์กร เช่น ผู้ประกอบการที่เป็นกรรมการ สามารถขออนุมัติผู้ถือหุ้นเพื่อให้สวัสดิการซื้อประกันชีวิตสำหรับผู้บริหาร หรือประกัน Keyman ได้ ข้อดี คือ ค่าเบี้ยประกันสามารถลงเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทได้  แต่ต้องจำไว้ว่า ค่าเบี้ยที่บริษัทจ่ายแทนกรรมการนั้น ถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีของกรรมการด้วย ดังนั้นอีกมุมที่ต้องพิจารณา คือ เมื่อนำรายได้ค่าเบี้ยประกันมารวมกับเงินได้ทั้งหมดของกรรมการแล้ว ทำให้ฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงเกินกว่าฐานภาษีนิติบุคคลไหม ถ้าฐานภาษีบุคคลยังต่ำกว่าฐานภาษีนิติบุคคลแบบนี้ประกันคีย์แมนจะช่วยประหยัดภาษีของกิจการได้ และกรรมการก็ได้สวัสดิการนี้ไปด้วย 3. ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ครบ ภาครัฐมีการออกกฎหมายหลายตัวที่เอื้อประโยชน์ให้ภาคธุรกิจใช้ลดหย่อนภาษีธุรกิจ เช่น การจ้างคนพิการหรือผู้สูงอายุ จะสามารถนำมาเป็นค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น หรือลดหย่อนภาษีสำหรับการลงทุนในอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ เป็นต้น ผู้ประกอบการควรติดตามกฎหมายที่มีผลในปัจจุบัน และที่จะออกในอนาคตเพื่อใช้สิทธิ์ที่ภาครัฐออกมาช่วยเหลือได้อย่างเต็มที่ เพราะจากที่ผ่านมาหลายคนเสียสิทธิเพราะไม่รู้ว่ามีสิทธิประโยชน์เหล่านี้ด้วย  4. จัดโครงสร้างกิจการ เช่น การทำธุรกิจที่ผ่านมาอาจทำในรูปแบบของบุคคลธรรมดาซึ่งเสียภาษีสูงสุดที่ 35% ซึ่งอาจพิจารณาเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจมาเป็นนิติบุคคลที่เสียภาษีสูงสุดที่ 20% อาจทำให้ช่วยประหยัดภาษีได้มหาศาล นอกจากนี้ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจหลายประเภท อาจปรึกษากับนักบัญชีเพื่อพิจารณาแยกบริษัทสำหรับธุรกิจบางประเภทที่จะช่วยให้ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้มากขึ้น เช่น แยกธุรกิจ VAT กับ Non VAT เพื่อหลีกเลี่ยงการเฉลี่ยภาษีซื้อ หรือการแยกบริษัทเมื่อรายได้รวมใกล้จะถึง 30 ล้านบาท เพราะจะทำให้อัตราภาษีสูงขึ้น หรือแม้แต่การจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งเพื่อถือหุ้นในบริษัทลูกก็ยังมีสิทธิประโยชน์ต่างๆ มากมาย ซึ่งไม่ได้กล่าวถึงในบทความ ภาษี คือ สิ่งที่ “หนีอย่างถาวร” ไม่ได้ เราจึงควรทำภาษีให้ถูกต้องและวางแผนภาษีให้ประหยัดตั้งแต่แรก เพื่อขจัดปัญหาทางด้านบัญชีและภาษีในภายหลัง การบริหารจัดการภาษีอย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงแค่ช่วยลดภาระภาษีแต่ยังช่วยเพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้กับธุรกิจ SMEs ดังนั้น ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญและทำการศึกษาแนวทางต่าง ๆ เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างสูงสุดในการดำเนินธุรกิจของตนเองครับ สำหรับตอนถัดไปเป็นบทสิ้นสุดการเดินทางของซีรีส์ 10 กฎพื้นฐานด้านการเงินสำหรับ SMEs กันแล้ว ผมจึงอยากจะพาทุกท่านไปค้นหาบุคคลผู้ที่จะมาเป็นเบื้องหลังจัดการปัญหาบัญชี ภาษีให้กิจการ และให้คำแนะนำว่านักบัญชีที่เก่งนั้นควรจะมีทักษะและความสามารถใดที่จะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จครับ โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

17 ม.ค. 2025

PEAK Account

6 min

ถอด VAT คืออะไร? ทำไมผู้ประกอบการต้องรู้วิธีคำนวณนี้

การถอด VAT เป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการต้องเจอในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเมื่อมีการขายสินค้าที่เราต้องออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้า หรือการถอด VAT จากสินค้าที่ซื้อมาเพื่อที่ช่วยให้เราทราบราคาต้นทุนที่แท้จริงของสิ่งนั้น นอกจากนี้ การถอด VAT ยังช่วยให้นักบัญชีของกิจการจัดการภาษีได้อย่างเป็นระบบอีกด้วย ซึ่งมีทั้งการถอด VAT 3% และ 7% ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้วิธีการ ถอด VAT เรามีวิธีคำนวณมาฝากกัน ก่อนถอด VAT ควรรู้จัก VAT คืออะไร  VAT หรือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax) คือ ภาษีประเภทหนึ่งที่จัดเก็บจากมูลค่าสินค้าหรือบริการที่เพิ่มขึ้น ตั้งแต่การผลิตจนถึงการจำหน่าย ไม่ว่าสินค้านั้นจะผลิตที่ประเทศไทยหรือต่างประเทศ โดยผู้ที่มีรายได้เกินกว่า 1.8 ล้านบาท ต่อปี จากการผลิตและขายสินค้านั้น จะต้องเป็นผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มนี้ และต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มต้องทำภายใน 30 วัน  วิธีถอด VAT คำนวณด้วยเครื่องคิดเลขง่าย ๆ ในไม่กี่ขั้นตอน การถอด VAT เป็นการถอดเพื่อให้เราทราบราคาที่แท้จริงของสินค้าก่อนคิด VAT ว่ามีราคาเท่าไหร่ และสามารถคำนวณภาษีที่ต้องนำส่งได้อย่างถูกต้อง โดยมีวิธีการคำนวณที่แตกต่างกันตามอัตราภาษี ดังนี้  วิธีถอด VAT 3% VAT 3% มักใช้กับธุรกิจที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น ธุรกิจขนาดเล็ก กิจการที่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี  การจ้างทำของ หรือทำงานต่าง ๆ โดยวิธีการคำนวณนั้นจะทำได้โดยการนำราคาสินค้าที่รวม VAT แล้ว มาหารด้วย 1.03 ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นราคาที่ไม่รวม VAT ส่วนต่างระหว่างราคารวมกับราคาที่ไม่รวม VAT คือจำนวนภาษีที่ต้องนำส่ง ตัวอย่างการคำนวณ : สมมติว่าเรามีสินค้าราคารวม VAT อยู่ที่ 10,300 บาท  วิธีถอด VAT 7% การถอด VAT 7% เป็นการคำนวณที่ใช้กับธุรกิจทั่วไปที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยการคำนวณคล้ายกับการถอด VAT 3% แต่ใช้ตัวหารเป็น 1.07 แทน การถอด VAT ที่ถูกต้อง จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจคำนวณต้นทุน กำไร และภาษีที่ต้องนำส่งได้อย่างแม่นยำ ตัวอย่างการคำนวณ สมมติว่าเรามีสินค้าราคารวม VAT อยู่ที่ 10,700 บาท การเสียภาษี VAT ถ้าธุรกิจของเราเป็นทั้งผู้ขายสินค้าและซื้อสินค้ามา เราต้องมีการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องจ่าย โดยนำภาษีขายที่เก็บจากลูกค้าตลอดเดือนภาษี มาลบด้วยภาษีซื้อที่จ่ายให้ซัพพลายเออร์ในเดือนเดียวกัน หากผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่าภาษีขายสูงกว่าภาษีซื้อ เจ้าของธุรกิจจ่ายส่วนต่างให้กรมสรรพากร แต่หากภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย เจ้าของธุรกิจสามารถเลือกได้ว่าจะรับภาษีส่วนเกินคืน หรือเก็บไว้เป็นเครดิตภาษีสำหรับการคำนวณในรอบเดือนถัดไปได้เลย  ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่ขายสินค้าหรือซื้อสินค้า การถอด VAT ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยให้เราทราบต้นทุนที่แท้จริง เพื่อนำไปสู่การลดต้นทุนและบริหารจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจช่วยเพิ่มเงินทุนให้สามารถนำไปต่อยอดธุรกิจได้อีก นอกจากการคำนวณ VAT ด้วยเครื่องคิดเลขแล้ว การใช้ PEAK Tax ยังช่วยให้การคำนวณภาษีและการออกเอกสารใบกำกับภาษีเป็นเรื่องง่าย พร้อมรองรับการจัดการภาษีและบัญชีอย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์ ช่วยให้ผู้ประกอบการบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเติบโตไปสู่ความสำเร็จอย่างมั่นคง ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

17 ม.ค. 2025

PEAK Account

9 min

เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ด้วย 6 กลยุทธ์การวางแผนภาษีธุรกิจ SMEs

การบริหารภาษีอย่างมีประสิทธิภาพเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเพิ่มกำไรและบริหารเงินสดได้อย่างเหมาะสม การวางแผนภาษีไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงในการเสียภาษีเกินความจำเป็น แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับธุรกิจอีกด้วย ในบทความนี้ เราจะมาเรียนรู้กลยุทธ์การวางแผนภาษีธุรกิจ SMEที่สามารถนำไปใช้ได้จริงกัน! 6 กลยุทธ์การวางแผนภาษีธุรกิจ SMEs ปี 2568 1. รู้จักประเภทของภาษีที่เกี่ยวข้อง การเริ่มต้นวางแผนภาษีสำหรับธุรกิจ SME นั้น ควรเริ่มจากการทำความเข้าใจประเภทของภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ ภาษีแต่ละประเภทจะมีวิธีการคำนวณและข้อกำหนดที่แตกต่างกัน ซึ่งการรู้จักประเภทของภาษีจะช่วยให้การวางแผนภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้น และป้องกันการเสียภาษีเกินกว่าที่ควรจะเป็น 1.1 ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีที่คิดจากกำไรสุทธิของธุรกิจ ซึ่งธุรกิจทุกประเภทที่มีการดำเนินการในรูปแบบของนิติบุคคลต้องเสียภาษีนี้ การคำนวณและยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลจำเป็นต้องใส่ใจรายละเอียดต่าง ๆ อย่างถูกต้องเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในการคำนวณภาษี 1.2 ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)  เป็นภาษีที่คิดจากการขายสินค้าหรือบริการในบางกรณี การเสียภาษีประเภทนี้ขึ้นอยู่กับการดำเนินการทางธุรกิจของคุณ หากคุณขายสินค้าหรือบริการที่ต้องเสีย VAT ก็จำเป็นต้องคำนวณและยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างถูกต้อง 1.3 ภาษีหัก ณ ที่จ่าย  ภาษีที่ถูกหักออกจากเงินได้บางประเภทที่ธุรกิจจ่ายให้กับผู้รับบริการ เช่น ค่าจ้าง ค่าบริการ หรือเงินได้บางประเภท การหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเพื่อให้การดำเนินงานของธุรกิจไม่เกิดปัญหาในอนาคต การรู้ว่าภาษีแต่ละประเภทมีการคำนวณและยื่นเอกสารอย่างไร จะช่วยให้ธุรกิจปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายและหลีกเลี่ยงค่าปรับที่ไม่จำเป็น 2. วางระบบบัญชีที่โปร่งใส การจัดการบัญชีที่เป็นระบบและโปร่งใสถือเป็นหัวใจสำคัญในการวางแผนภาษีธุรกิจ SME ที่มีประสิทธิภาพ การทำบัญชีให้ถูกต้องและมีระเบียบไม่เพียงแต่ช่วยในการจัดการภาษีให้เหมาะสม แต่ยังทำให้เจ้าของธุรกิจสามารถมองเห็นภาพรวมทางการเงินของธุรกิจได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยในการตัดสินใจในอนาคต โดยคุณสามารถทำได้ ดังนี้ 2.1 การใช้โปรแกรมบัญชี ช่วยจัดการงานบัญชี การใช้โปรแกรมบัญชี ที่สามารถบันทึกรายรับและรายจ่ายอย่างถูกต้อง และสามารถติดตามธุรกรรมต่าง ๆ ได้แบบเรียลไทม์ โปรแกรม PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถจัดการภาษีได้ง่ายขึ้น ด้วยฟังก์ชันที่รองรับ e-Tax Invoice ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ การแยกบัญชีธุรกิจออกจากบัญชีส่วนตัวจะช่วยลดความยุ่งยากในการคำนวณภาษีและการรายงานทางการเงิน 2.2 การเก็บเอกสารหลักฐาน  ไม่ว่าจะเป็นใบเสร็จ ใบกำกับภาษี และเอกสารทางการเงินต่าง ๆ จะช่วยให้การตรวจสอบการยื่นภาษีทำได้สะดวกและง่ายขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกตรวจสอบโดยสรรพากรได้ เช่น PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์แบบครบวงจรที่สามารถเก็บเอกสารออนไลน์ได้ 3. ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี อีกหนึ่งการวางแผนภาษีธุรกิจ SME ที่ดีคือการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อลดภาระภาษีได้ ดังนี้ 4. วางแผนรายรับและรายจ่าย การจัดการรายรับและรายจ่ายอย่างมีแบบแผนช่วยให้ธุรกิจสามารถลดภาระภาษีได้ ดังนี้ 4.1 เลื่อนรายรับ หากอยู่ในช่วงปลายปีและรายได้เกินเป้าหมาย อาจเลื่อนการรับเงินไปต้นปีถัดไปเพื่อกระจายรายได้ในหลายปี 4.2 เร่งรายจ่าย  ซื้อวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นหรือชำระค่าใช้จ่ายล่วงหน้าในช่วงปลายปี เพื่อเพิ่มค่าใช้จ่ายและลดกำไรสุทธิ 5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี ผู้ประกอบการควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหรือผู้ทำบัญชีที่มีความรู้ในด้านกฎหมายภาษีที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง 6. ติดตามข่าวสารภาษีอย่างต่อเนื่อง ภาษีเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงได้ตามกฎหมายและสถานการณ์เศรษฐกิจ การตรวจสอบและปรับปรุงแผนภาษีอย่างสม่ำเสมอช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสมและลดความเสี่ยงในการเสียค่าปรับ การวางแผนภาษีธุรกิจ SME ที่ดีไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถลดภาระภาษีและเพิ่มกำไรได้ แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินและเสริมสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาของคู่ค้าและนักลงทุนอีกด้วย เริ่มต้นวางแผนภาษีตั้งแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนของธุรกิจคุณ ด้วย PEAK Tax โปรแกรมการจัดการภาษีออนไลน์ ที่จะช่วยในการบริหารจัดการภาษีภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

14 ม.ค. 2025

PEAK Account

8 min

ผู้เสียภาษีต้องรู้ เลขประจำตัวผู้เสียภาษี คืออะไร แตกต่างจากเลขบัตรประชาชนไหม

คนไทยทุกคนที่มีรายได้ต้องเสียภาษีถ้ารายได้นั้นถึงเกณฑ์ตามกฎหมายกำหนด ซึ่งในการยื่นภาษีนั้นเลขประจำตัวผู้เสียภาษีเป็นหมายเลขสำคัญที่กรมสรรพากรออกให้ผู้ที่ต้องจ่ายเสียภาษี ทั้งบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล โดยเลขประจำตัวผู้เสียภาษีนี้คืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลใช้ตัวเลขเหมือนกันไหม เราไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับเลขประจำตัวผู้เสียภาษีกัน เลขประจำตัวผู้เสียภาษี คืออะไร เลขประจำตัวผู้เสียภาษีเป็นหมายเลขเฉพาะที่กรมสรรพากรกำหนดให้ผู้ที่ต้องภาษีแต่ละคน เพื่อให้กรมสรรพากรใช้ในการระบุตัวตนของผู้ยื่นภาษี และใช้ติดต่อหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเลขประจำตัวผู้เสียภาษีนี้จะมีเป็นเลข 13 หลักทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลแต่เลขจะมีความแตกต่างกัน ดังนี้ บุคคลธรรมดา  สำหรับบุคคลธรรมดาทั่วไปเลขประจำตัวผู้เสียภาษีจะเป็นเลขเดียวกันกับเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ซึ่งออกให้โดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ทำให้ผู้ยื่นภาษีไม่จำเป็นต้องขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีใหม่ สามารถใช้เลขประจำตัวประชาชนเป็นเลขประจำตัวผู้เสียภาษีได้เลย ส่วนผู้ที่ประกอบธุรกิจส่วนตัวที่มีสถานะเป็นบุคคลธรรมดาก็สามารถแจ้งเลขประจำตัวผู้เสียภาษีนี้ต่อกรมสรรพากรได้เลย ซึ่งการที่ใช้เลขเดียวกับบัตรประจำตัวแบบนี้จะช่วยลดความซ้ำซ้อน และทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้สะดวกมากขึ้น นิติบุคคล   สำหรับนิติบุคคลเลขประจำตัวผู้เสียภาษีจะเป็นเลขทะเบียนนิติบุคคล 13 หลักที่ออกให้โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อมีการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ห้างหุ้นส่วน หรือองค์กรธุรกิจอื่น ๆ โดยเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของนิติบุคคลนี้จะมีความสำคัญในการทำธุรกรรมทางการค้า การออกใบกำกับภาษี และการยื่นแบบแสดงรายการภาษีต่าง ๆ โดยเลขชุดนี้จะติดตัวนิติบุคคลไปตลอดอายุของกิจการ และใช้แสดงตัวตนทางธุรกิจกับคู่ค้าและหน่วยงานราชการได้ นอกจากนี้ เลขประจำตัวผู้เสียภาษียังเป็นหลักฐานสำคัญว่าธุรกิจทำตามกฎหมาย ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือได้อีกด้วย การขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษี สำหรับคนที่ทั่วไปหรือทำธุรกิจส่วนตัวที่มีรายได้ถึงเกณฑ์เสียภาษี และนิติบุคคลที่เริ่มต้นธุรกิจแล้วยังไม่มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี เราจำเป็นต้องขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษี  เพื่อให้การจัดการด้านภาษีเป็นไปอย่างถูกต้อง  โดยมีขั้นตอนการขอที่แตกต่างกันระหว่างบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ดังนี้ บุคคลธรรมดา สำหรับบุคคลธรรมดาการขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก เนื่องจากใช้เลขประจำตัวประชาชนเป็นเลขประจำตัวผู้เสียภาษีโดยอัตโนมัติ แต่สำหรับคนต่างด้าวและห้างหุ้นส่วนสามัญที่ยังไม่มีเลขประจำตัวประชาชนให้ขอภายใน 60 วัน เริ่มนับแต่วันที่มีรายได้ที่ต้องเสียภาษี โดยแนบเอกสารต่าง  ๆ พร้อมกับแบบ ล.ป.10.1 สำหรับบุคคลธรรมดา และ แบบ ล.ป.10.2 สำหรับคณะบุคคล นิติบุคคล นิติบุคคลจะได้รับเลขประจำตัวผู้เสียภาษีโดยอัตโนมัติหลังจากจดทะเบียนบริษัท โดยเลขนี้จะเป็นเลขเดียวกับเลขทะเบียนนิติบุคคล การจดทะเบียนนิติบุคคลและการได้รับเลขประจำตัวผู้เสียภาษีเป็นขั้นตอนที่ต้องดำเนินการให้เรียบร้อยก่อนเริ่มดำเนินธุรกิจ เพื่อให้สามารถออกใบกำกับภาษี ยื่นแบบแสดงรายการภาษี และทำธุรกรรมทางการค้าได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยให้ขอภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลไทย หรือวันที่นิติบุคคลต่างประเทศเริ่มทำธุรกิจในประเทศไทย โดยแนบเอกสารต่าง  ๆ พร้อมกับแบบ ล.ป.10.3  การค้นหาเลขทะเบียนบริษัทที่ระบุในหนังสือรับรอง การค้นหาเลขทะเบียนบริษัทที่ระบุในหนังสือรับรองสามารถทำได้โดยการตรวจสอบผ่านระบบออนไลน์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยเลขทะเบียนนี้จะเป็นเลขชุดเดียวกันกับเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของนิติบุคคล เราสามารถตรวจสอบข้อมูลในการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ เพื่อช่วยยืนยันตัวตนของคู่ค้า และการทำธุรกรรมทางการค้าได้อย่างมั่นใจ เลขประจำตัวผู้เสียภาษีเป็นหมายเลขสำคัญที่ใช้ในการระบุตัวตนทางภาษีและธุรกิจ โดยบุคคลธรรมดาจะใช้เลขประจำตัวประชาชนเป็นเลขประจำตัวผู้เสียภาษี ส่วนนิติบุคคลจะได้รับเลขประจำตัวผู้เสียภาษีเมื่อจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ซึ่งก่อนการยื่นภาษีหรือธุรกรรมต่าง ๆ ควรเลขประจำตัวผู้เสียภาษีให้พร้อมเพื่อความถูกต้องในการจัดการภาษีตามกฎหมาย โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

เจ้าของธุรกิจทำสัญญาให้มีผลทางกฎหมาย ต้องจ่ายภาษีอากรแสตมป์

การทำธุรกิจย่อมต้องเกี่ยวข้องกับการทำสัญญาและเอกสารสำคัญต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นต้องติดอากรแสตมป์และจ่ายภาษีอากรแสตมป์ เพื่อให้ใช้ได้ตามกฎหมาย แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่าต้องติดอย่างไร เมื่อไหร่ และมีอัตราเท่าไร วันนี้เรามาทำความเข้าใจเรื่องอากรแสตมป์อย่างละเอียด เพื่อให้การทำสัญญาของเราถูกต้องและใช้ได้ตามกฎหมาย ภาษีอากรแสตมป์ คืออะไร ภาษีอากรแสตมป์เป็นภาษีรูปแบบหนึ่งที่รัฐจัดเก็บจากการทำนิติกรรมหรือสัญญาต่าง ๆ เพื่อรับรองความถูกต้องของเอกสารและสร้างรายได้ให้กับรัฐ โดยมีลักษณะเป็นแสตมป์ที่ต้องติดลงบนตราสารหรือเอกสารสำคัญภายใน 15 วันหลังจากการลงนาม เช่น สัญญาจ้างงาน สัญญาเช่า หนังสือมอบอำนาจ หรือใบมอบฉันทะ ทั้งนี้ อัตราค่าอากรแสตมป์จะแตกต่างกันไปตามประเภทของตราสาร ตามที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากร อากรแสตมป์สำคัญกับการทำสัญญาอย่างไร การติดอากรแสตมป์ไม่ใช่เพียงการปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อการทำธุรกิจในหลายด้าน มาดูกันว่าทำไมอากรแสตมป์จึงมีความสำคัญ ยืนยันความถูกต้องตามกฎหมาย การติดภาษีอากรแสตมป์ในเอกสารหรือสัญญาเป็นการรับรองว่าเอกสารนั้นได้ทำขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เปรียบเสมือนตราประทับรับรองจากภาครัฐ ทำให้เอกสารน่าเชื่อถือและใช้ได้ตามกฎหมายอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ ยังทำให้เห็นว่าผู้ทำสัญญามีความตั้งใจในการปฏิบัติตามข้อตกลงและเคารพกฎหมาย ป้องกันความขัดแย้ง การติดอากรแสตมป์ช่วยป้องกันข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น เพราะเป็นหลักฐานยืนยันว่าทั้งคู่ได้ตกลงทำสัญญานี้กันจริง และสัญญานั้นผ่านการรับรองตามกฎหมายแล้ว ในกรณีที่เกิดข้อโต้แย้ง สัญญาที่ติดอากรแสตมป์ครบถ้วนจะมีน้ำหนักในการพิจารณามากกว่าสัญญาที่ไม่ได้ติดอากรแสตมป์  ใช้ในกระบวนการยุติธรรมได้ สัญญาที่ติดภาษีอากรแสตมป์ครบถ้วนใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลได้ทันที ในขณะที่สัญญาที่ไม่ได้ติดอากรแสตมป์หรือติดไม่ครบถ้วน อาจถูกปฏิเสธการรับฟังเป็นพยานหลักฐานในชั้นศาล หรือต้องเสียค่าปรับเพิ่มเติมก่อนนำไปใช้ ดังนั้น การติดอากรแสตมป์จึงเป็นการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรม การชำระค่าอากรแสตมป์มีกี่วิธี การชำระค่าอากรแสตมป์สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความสะดวกและลักษณะของเอกสาร ดังนี้ ตัวอย่างอัตราอากรแสตมป์ที่ต้องจ่าย การชำระอากรแสตมป์ขึ้นอยู่กับประเภทเอกสารตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งมีอัตราที่แตกต่างกัน โดยตัวอย่างอัตราอากรแสตมป์ที่พบบ่อย ได้แก่ 1. สัญญาเช่าทรัพย์สินอากรแสตมป์สำหรับสัญญาเช่าทรัพย์สินมีอัตราอยู่ที่ 1 บาทต่อค่าเช่า 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาท ตัวอย่างเช่น หากค่าเช่าระบุไว้ที่ 10,500 บาท อากรแสตมป์ที่ต้องจ่ายคือ 11 บาท ซึ่งการคำนวณนี้ครอบคลุมถึงสัญญาเช่าประเภทต่าง ๆ เช่น เช่าที่ดิน อาคาร หรืออุปกรณ์ 2. ตั๋วเงิน (ตั๋วสัญญาใช้เงินหรือเช็ค)สำหรับเอกสารประเภทตั๋วเงิน เช่น ตั๋วสัญญาใช้เงินหรือเช็ค อากรแสตมป์จะคิดในอัตรา 3 บาทต่อยอดเงินทุก 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาท เช่น หากยอดเงินในตั๋วเงินระบุไว้ที่ 6,500 บาท ผู้ที่ออกตั๋วจะต้องชำระอากรแสตมป์จำนวน 12 บาท 3. หนังสือมอบอำนาจหนังสือมอบอำนาจซึ่งเป็นเอกสารที่มักใช้ในทางธุรกิจหรือการดำเนินการทางกฎหมาย จะต้องติดอากรแสตมป์ในอัตรา 10 บาทต่อฉบับ โดยไม่มีการคิดเพิ่มตามมูลค่าหรือรายละเอียดของเอกสาร 4. สัญญากู้ยืมเงินในกรณีของสัญญากู้ยืมเงิน อากรแสตมป์จะคิดในอัตรา 1 บาทต่อยอดเงินทุก 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาท โดยมีอัตราสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท ตัวอย่างเช่น หากมีการกู้เงินจำนวน 50,000 บาท อากรแสตมป์ที่ต้องชำระคือ 25 บาท 5. สัญญาจ้างแรงงานหรือจ้างทำของสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการจ้างแรงงานหรือจ้างทำของ เช่น งานก่อสร้าง หรืองานออกแบบ จะต้องติดอากรแสตมป์ในอัตรา 1 บาทต่อค่าแรง 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาท เช่น หากค่าแรงรวมทั้งหมดเป็น 15,000 บาท อากรแสตมป์ที่ต้องจ่ายคือ 15 บาท 6. สัญญาค้ำประกันสัญญาค้ำประกันที่ใช้ในการรับรองหรือค้ำประกันภาระผูกพันทางการเงิน จะต้องชำระอากรแสตมป์ในอัตรา 1 บาทต่อยอดเงินทุก 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาท โดยมีอัตราสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท 7. สัญญาซื้อขายหรือโอนลิขสิทธิ์สำหรับสัญญาซื้อขายหรือโอนลิขสิทธิ์ อากรแสตมป์จะคิดในอัตรา 0.1% ของมูลค่าที่ระบุไว้ในสัญญา เช่น หากมูลค่าการซื้อขายลิขสิทธิ์ระบุไว้ที่ 1,000,000 บาท อากรแสตมป์ที่ต้องชำระคือ 1,000 บาท การติดอากรแสตมป์และจ่ายภาษีอากรแสตมป์ เป็นขั้นตอนที่จะช่วยรับรองความถูกต้องของเอกสารและสัญญาต่าง ๆ เจ้าของธุรกิจจึงควรศึกษาและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เอกสารมีผลทางกฎหมายและหากเกิดความขัดแย้งสามารถใช้เป็นหลักฐานได้ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

ทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออกต้องรู้จัก ภาษีศุลกากรคืออะไร

ในโลกยุคดิจิทัลเราสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้มากขึ้น แค่เพียงคลิกเดียวก็ได้รับสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์จากทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ทันใจ ทำให้ผู้ผลิตต้องพากันแข่งขันกันการนำเสนอสินค้าใหม่ ๆ หลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และนั่นทำให้การค้าขายข้ามพรมแดนได้กลายมาเป็นโอกาสในการทำธุรกิจที่น่าสนใจ แต่ทั้งนี้ก่อนจะก้าวเข้าสู่สนามการค้าจำเป็นต้องทำความรู้จักกฎเกณฑ์สำคัญที่คอยกำกับการค้าขายระหว่างประเทศเสียก่อนนั่นคือ ภาษีศุลกากร นั่นเอง เราจะได้รู้จักกับภาษีศุลกากรว่าคืออะไร มีกี่ประเภท ผ่านบทความนี้ เพื่อให้เราสามารถทำธุรกิจได้สะดวกมากขึ้น ภาษีศุลกากร คืออะไร? ภาษีศุลกากร คือ การเรียกเก็บภาษีนำเข้าและส่งออกสินค้าข้ามพรมแดนโดยรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค วัตถุดิบ หรือสินค้าอื่น ๆ ก็ตาม ซึ่งภาษีนี้เป็นกลไกที่รัฐบาลใช้เพื่อควบคุมระบบเศรษฐกิจ การค้า และสร้างรายได้ให้กับประเทศ ซึ่งการทำความเข้าใจเรื่องภาษีศุลกากรไม่ใช่เพียงแค่เข้าใจเรื่องจำนวนเงินภาษีที่ต้องจ่ายเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงราคาสินค้าและการแข่งขันในตลาดอีกด้วย ภาษีศุลกากรมีกี่ประเภท ภาษีศุลกากรแม้จะมีการแบ่งประเภทออกมาเป็นหลายรูปแบบ แต่จุดประสงค์หลักก็คือการควบคุมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อสร้างรายได้และปกป้องผลประโยชน์ให้กับประเทศ ทั้งนี้อัตราภาษีและประเภทของภาษีที่เรียกเก็บจะแตกต่างกันไปตามชนิดของสินค้าและนโยบายของรัฐบาล ดังนี้ ภาษีนำเข้า ภาษีศุลกากรแม้จะมีการแบ่งประเภทออกมาเป็นหลายรูปแบบ แต่จุดประสงค์หลักก็คือการควบคุมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อสร้างรายได้และปกป้องผลประโยชน์ให้กับประเทศ ทั้งนี้อัตราภาษีและประเภทของภาษีที่เรียกเก็บจะแตกต่างกันไปตามชนิดของสินค้าและนโยบายของรัฐบาลดังนี้ ภาษีส่งออก ภาษีส่งออกจะถูกเก็บก็ต่อเมื่อสินค้านั้นมีการส่งออกไปสู่ประเทศต่าง ๆ ซึ่งการจัดเก็บภาษีประเภทนี้มักถูกนำมาใช้ในกรณีที่รัฐบาลต้องการควบคุมการส่งออกสินค้าที่มีมูลค่า หรือสินค้าที่เป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับการพัฒนาภายในประเทศ การนำเข้า-ส่งออกสินค้าต้องเสียภาษีอะไรบ้าง? การนำเข้าหรือส่งออกสินค้าจะมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับภาษีหลายประเภท ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับชนิดของสินค้า ประเทศต้นทางหรือปลายทางเป็นหลัก รวมถึงนโยบายทางการค้าของรัฐบาลในขณะนั้น สำหรับภาษีที่สัมพันธ์กับการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าจะมีดังนี้ ภาษีที่ต้องจ่ายเมื่อนำเข้าสินค้า การนำเข้าสินค้าเข้ามาในประเทศไทยนั้น จะต้องเสียภาษีหลายชนิด ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า ประเทศต้นทาง และมูลค่าของสินค้า โดยภาษีที่พบบ่อยในการนำเข้าสินค้า ได้แก่ ภาษีที่ต้องจ่ายเมื่อส่งออกสินค้า โดยทั่วไปแล้วการส่งออกสินค้าจากประเทศไทยนั้น ไม่ต้องเสียภาษีอากรขาออก แต่เนื่องจากนโยบายที่ส่งเสริมการส่งออกของรัฐบาลเพื่อเพิ่มจำนวนรายได้เข้าสู่ประเทศ จึงทำให้มีภาษีและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าและประเทศปลายทาง สำหรับภาษีและค่าธรรมเนียมที่มีความสัมพันธ์กับการส่งออกสินค้ามีดังนี้ การเข้าใจภาษีศุลกากรและกฎหมายที่เกี่ยวข้องเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การนำเข้าและส่งออกของเราดำเนินไปอย่างราบรื่น โดยเริ่มตั้งแต่การคำนวณภาษี การจัดการเอกสาร จนกระทั่งการชำระเงิน ซึ่งทุกขั้นตอนจำเป็นต้องวางแผนและตรวจสอบอย่างละเอียด รอบคอบ ดังนั้นการทำความเข้าใจภาษีศุลกากร ช่วยให้ผู้ประกอบกิจการลดค่าใช้จ่าย และยังช่วยเพิ่มความได้เปรียบในด้านการแข่งขันในตลาดโลกอีกด้วย  ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

7 min

อัปเดตปี 2568! “Easy E-Receipt 2.0” สินค้าไหน ลดหย่อนภาษีได้บ้าง

ในปีภาษี 2568 กรมสรรพากรได้เปิดตัวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “Easy E-Receipt 2.0” ที่ช่วยให้ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถลดหย่อนภาษีได้มากขึ้น จากการนำค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการที่เข้าเงื่อนไขมายื่นลดหย่อนภาษี แต่สินค้าและบริการประเภทใดบ้างที่สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้? บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับประเภทสินค้าที่อยู่ในเกณฑ์ รวมถึงเงื่อนไขต่างๆ เพื่อลดหย่อนภาษีในยุคดิจิทัลให้คุ้มค่าที่สุด “Easy E-Receipt 2.0” คืออะไร? มาตรการ “Easy E-Receipt 2.0” เปิดโอกาสให้ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ยกเว้นห้างหุ้นส่วนสามัญ) นำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดมาลดหย่อนภาษีได้ สูงสุด 50,000 บาท “Easy E-Receipt 2.0” ใช้ได้ตอนไหน ระยะเวลาที่ใช้ได้: ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2568 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 สินค้าและบริการที่ลดหย่อนภาษีได้ ผู้เสียภาษีสามารถใช้สิทธิลดหย่อนค่าซื้อสินค้าและค่าบริการภายในประเทศได้สูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ 1. ลดหย่อนตามจำนวนที่จ่ายจริง (สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท) สำหรับค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าที่ จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ต้องมีหลักฐานเป็น e-Tax Invoice แบบเต็มรูป หนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสาร รวมถึงข้อมูลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น E-Book 2. ลดหย่อนเพิ่มเติมตามจำนวนที่จ่ายจริง (สูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท) สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมธุรกิจชุมชน ดังนี้ สินค้าและบริการที่ไม่เข้าร่วม “Easy E-Receipt 2.0”  เอกสารหลักฐานสำคัญที่ใช้ลดหย่อนในมาตรการ “Easy E-Receipt 2.0” ต้องมีหลักฐานการชำระเงินเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) เท่านั้น ตัวอย่าง e-Tax Invoice & e-Receipt ของ PEAK สำหรับผู้ประกอบการที่ขายสินค้าและบริการตามเงื่อนไข ต้องการรองรับมาตรการ “Easy E-Receipt 2.0” และเพิ่มความสะดวกในการจัดการเอกสารทางบัญชี PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการเอกสารทางบัญชีได้อย่างสะดวกและครบวงจร ด้วยฟีเจอร์ที่รองรับการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) และใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) ได้ง่ายเพียงคลิกเดียว โดยเอกสารทั้งหมดเป็นไปตามมาตรฐานของกรมสรรพากร พร้อมทั้งเชื่อมโยงระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถส่งเอกสารถึงลูกค้าได้ทันที นอกจากนี้ PEAK ยังช่วยให้การจัดการเอกสารเป็นเรื่องง่าย ด้วยระบบที่ครอบคลุมการออกใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงิน และใบกำกับภาษีภายในระบบเดียว โดยสามารถส่งข้อมูล e-Tax Invoice และ e-Receipt ไปยังกรมสรรพากรได้โดยตรง ช่วยลดขั้นตอนและประหยัดเวลาในการจัดเตรียมเอกสารได้อย่างมาก รองรับการใช้งานได้ทั้งสำหรับทุกร้านค้าไม่ว่าจะเป็นร้านค้าปลีก ร้านค้าออนไลน์ หรือธุรกิจบริการ ด้วยระบบออนไลน์ 100% ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ ทุกเวลา ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

28 พ.ย. 2024

PEAK Account

12 min

ธุรกิจนำเข้า-ส่งออกสินค้า ต้องรู้ภาษีอะไรบ้าง?

การดำเนินธุรกิจนำเข้า-ส่งออกสินค้าและบริการ ถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีโอกาสสร้างรายได้สูง แต่ในขณะเดียวกันก็มีความซับซ้อนในด้านภาษี เพื่อป้องกันความผิดพลาดและลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจ ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประเภทนี้ บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับภาษีที่ธุรกิจนำเข้า-ส่งออกควรทราบเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่นและถูกต้องตามกฎหมาย ทำความรู้จักการนำเข้าสินค้าและภาษีนำเข้า การนำเข้า คือ การนำสินค้าจากต่างประเทศเข้ามายังประเทศไทย โดยต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบและเสียภาษีที่ด่านศุลกากร สินค้าที่นำเข้ามักถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่แตกต่างกันตามประเภทสินค้า เช่น ภาษีนำเข้า คือ ภาษีที่ต้องจ่ายเมื่อซื้อสินค้าจากต่างประเทศ โดยอัตราภาษีที่ต้องจ่ายจะขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า เช่น รถยนต์หรูหราหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มักถูกเก็บภาษีสูง เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศและสร้างรายได้ให้รัฐบาล ทำความรู้จักการส่งออกสินค้าและภาษีส่งออก การส่งออก คือ การส่งสินค้าไปยังต่างประเทศ เช่นเดียวกับการนำเข้า สินค้าส่งออกต้องผ่านการตรวจสอบที่ด่านศุลกากร สินค้าบางประเภท เช่น ทรัพยากรธรรมชาติ อาจถูกเรียกเก็บภาษีเพื่อควบคุมการส่งออก ภาษีส่งออก คือ ภาษีที่ต้องจ่ายเมื่อมีการส่งออกสินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่มีปริมาณจำกัดหรือเป็นทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมันดิบ ประเทศผู้ส่งออกจะเก็บภาษีเพื่อควบคุมปริมาณการส่งออกและรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ภาษีที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้า 1. อากรขาเข้า (Import Duties) อากรขาเข้า เป็นภาษีที่เรียกเก็บเมื่อสินค้ามีมูลค่าเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด โดยจะคำนวณภาษีจากมูลค่าของสินค้า บวกด้วยค่าขนส่งและค่าประกันภัย (CIF – Cost, Insurance, Freight) หากสินค้าเข้าข่ายที่กฎหมายกำหนดให้ต้องเสียอากรขาเข้า อัตราภาษีจะแตกต่างกันไปตามประเภทสินค้า โดยระบุไว้ใน พิกัดศุลกากร (HS Code – Harmonized System Code) ซึ่งเป็นระบบมาตรฐานสากลในการจัดประเภทสินค้าตัวอย่างเช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์อาจมีอัตราภาษีที่ต่ำกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากมีการกำหนดอัตราภาษีตามนโยบายเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ 2. ภาษีสรรพสามิต (Excise Tax) ภาษีสรรพสามิต เป็นภาษีที่เรียกเก็บเพิ่มเติมจากสินค้าฟุ่มเฟือยหรือสินค้าที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เช่น รถยนต์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สุรา ยาสูบ เป็นต้นอัตราภาษีสรรพสามิตคำนวณจาก  ภาษีสรรพสามิต=(มูลค่าศุลกากร + อากรนำเข้า)×อัตราภาษีสรรพสามิต 3. ภาษีเพื่อมหาดไทย (Interior Tax) ภาษีเพื่อมหาดไทย เป็นการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมจาก ภาษีสรรพสามิต โดยมีจุดประสงค์เพื่อจัดสรรรายได้ให้แก่กรุงเทพมหานคร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรเงินภาษีสุรา โดยคำนวณจากมูลค่าภาษีสรรพสามิตที่กำหนดไว้ ด้วยอัตรา 10% ดังนี้ ภาษีเพื่อมหาดไทย=ภาษีสรรพสามิต×10% 4. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภาษีมูลค่าเพิ่ม เรียกเก็บจากมูลค่าของสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นในทุกขั้นตอนการผลิตและการค้า ผู้นำเข้าจะต้องเสีย VAT จากมูลค่าสินค้า พร้อมกับอากรขาเข้าและภาษีสรรพสามิต (ถ้ามี) โดยทั่วไปอัตรา VAT คือ 7% ภาษีมูลค่าเพิ่มจะถูกคำนวณจากฐานภาษีซึ่งประกอบด้วย VAT สามารถขอคืนได้ในฐานะ “ภาษีซื้อ” ภายใน 6 เดือน อย่างไรก็ตาม อากรขาเข้าไม่สามารถขอคืนได้ ภาษีที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกสินค้า 1. อากรขาออก (Export Duties) อากรขาออกเป็นภาษีที่เรียกเก็บสำหรับการส่งออกสินค้าบางประเภทเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น โดยจะคำนวณจากมูลค่าของสินค้า บวกด้วยค่าขนส่งและค่าประกันภัย (CIF – Cost, Insurance, Freight) หากสินค้าเข้าข่ายที่กฎหมายกำหนดให้ต้องเสียอากรขาเข้าอัตราภาษีจะแตกต่างกันไปตามประเภทสินค้า โดยระบุไว้ใน พิกัดศุลกากร (HS Code – Harmonized System Code) ซึ่งเป็นระบบมาตรฐานสากลในการจัดประเภทสินค้า อัตราภาษีขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า โดยระบุไว้ใน ประกาศกรมศุลกากร ซึ่งเป็นเอกสารที่กำหนดประเภทสินค้าและอัตราภาษีที่เกี่ยวข้อง เช่น ประกาศกรมศุลกากรที่ 103/2561ตัวอย่างเช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์อาจมีอัตราภาษีที่ต่ำกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากมีการกำหนดอัตราภาษีตามนโยบายเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ 2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) การส่งออกสินค้าจากประเทศไทยได้รับการ ยกเว้น VAT หรือเรียกว่าอัตรา 0% (Zero Rate) เนื่องจากรัฐบาลสนับสนุนการส่งออกเพื่อเพิ่มรายได้จากต่างประเทศ แต่ผู้ส่งออกต้องจัดทำใบกำกับภาษีเพื่อแสดงมูลค่าของสินค้าและจำนวนภาษีที่เกี่ยวข้องและยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (แบบ ภ.พ.30) ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่มีการส่งออกสินค้า และต้องมีหลักฐานยืนยันการส่งออก เช่น ใบขนสินค้าขาออก (Export Declaration) และใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading) อย่างไรก็ตาม หากผู้ส่งออกไม่มีเอกสารหลักฐานครบถ้วน เช่น ไม่มีใบขนสินค้าขาออกที่สมบูรณ์ทไม่มีหลักฐานการรับชำระเงินจากต่างประเทศ สินค้านั้นอาจไม่ได้รับสิทธิยกเว้น VAT เคล็ดลับในการดำเนินธุรกิจนำเข้า-ส่งออก การดำเนินธุรกิจนำเข้า-ส่งออกเป็นโอกาสที่ดีในการขยายตลาดและสร้างรายได้ กาศึกษารายละเอียดภาษีอย่างครบถ้วน จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสความสำเร็จในระยะยาว นอกจากนี้การออกเอกสารภาษีอย่างถูกต้องก็เป็นเรื่องสำคัญ เพื่อป้องกันปัญหาและความล่าช้าในกระบวนการดำเนินธุรกิจ โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK สามารถเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับธุรกิจนำเข้า-ส่งออก ด้วยฟีเจอร์ที่ช่วยจัดการงานด้านบัญชีและภาษีอย่างครบวงจร เช่น การออกใบกำกับภาษี การจัดเก็บเอกสารบัญชีอย่างเป็นระบบ ช่วยให้ค้นหาและตรวจสอบข้อมูลได้ง่ายและรายงานการเงินที่ครบถ้วนและทันสมัย ทำให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนธุรกิจได้อย่างมั่นใจ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @systemseedwebs-comสอบถามเพิ่มเติม คลิก

23 พ.ค. 2024

PEAK Account

6 min

นักบัญชีเฮ! สรรพากรขยายระยะเวลายื่นแบบภาษีออนไลน์จนถึงปี 2570

รู้หรือไม่ว่าการยื่นแบบภาษีทั้งหลายผ่านระบบอินเทอร์เน็ต(ออนไลน์) ที่ได้สิทธิขยายเวลาเพิ่มเติมอีก 8 วัน จากวันสุดท้ายของการยื่นแบบภาษีนั้น มีวันหมดอายุ แปลว่าถ้าสรรพากรไม่ได้ออกกฎหมายฉบับใหม่มาต่ออายุการขยายเวลา เราก็จะไม่สามารถยืดระยะเวลาออกไปอีก 8 วันได้เลย ถ้ายืดเวลายื่นแบบไม่ได้ เท่ากับนักบัญชีต้องรีบทำบัญชีและภาษีให้เร็วขึ้นตามวันสิ้นสุดการยื่นแบบกระดาษเหมือนเดิมนั่นเอง การประกาศขยายเวลาการยื่นแบบภาษีทางอินเทอร์เน็ต แต่ๆ ข่าวดีมาแล้ว กรมสรรพากรได้ออกประกาศกระทรวงการคลังมาเพื่อขยายระยะเวลาสิทธิการยื่นแบบภาษีออกไปอีก 8 วันจากวันสุดท้ายของการยื่นแบบภาษี โดยมีผลตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 จนถึง 31 มกราคม 2570 รวมเป็นระยะเวลาถึง 3 ปีเลยครับ เชื่อว่ามีบางคนที่อ่านมาถึงจุดนี้ โดยเฉพาะมือใหม่ที่กำลังหัดยื่นภาษีว่าสิทธิการยื่นแบบภาษีออกไปอีก 8 วันจากวันสุดท้ายของการยื่นแบบภาษี นับยังไง เพื่อให้เห็นภาพง่ายขึ้น ผมทำตารางสรุปมาให้แล้ว ตารางสรุปวันสิ้นสุดการยื่นแบบภาษี สิ่งที่ต้องทราบคือ กรณีที่บวกวันเพิ่มไปอีก 8 วันแล้วตกวันเสาร์ อาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ วันสิ้นสุดท้ายของการยื่นแบบภาษีออนไลน์จะขยับไปเป็นวันทำการถัดไปแทนครับ นักบัญชีที่เคยยื่นภาษีมาสักพักก็จะทราบดีว่า การยื่นแบบภาษีรอบแรก เราจะเรียกว่า “ยื่นปกติ” แต่ถ้ามาตรวจพบทีหลังว่าทำแบบภาษีผิด เช่น มีรายการไม่ครบถ้วน หรือมีรายการมากเกินไป อาจต้องปรับปรุงแบบ ทำให้แบบที่ยื่นหลังครั้งแรก เราจะเรียกว่า “ยื่นเพิ่มเติม” โอเคถ้าเข้าใจแล้ว ล่ะยังไงต่อ? ผมตอบว่าก็ไม่มีอะไรครับ แต่ๆๆ ปัญหาจะเกิดทันทีถ้าการยื่นครั้งแรกเป็นการยื่นแบบกระดาษ และต่อมามีการปรับปรุงจึงยื่นเพิ่มเติมไปเป็นแบบออนไลน์ แบบนี้จะยังได้สิทธิเพิ่มอีก 8 วันหรือไม่? จะสังเกตว่าการวิธีที่ใช้ยื่นแบบไม่เหมือนกันนั้น ส่งผลต่อการที่เราจะได้สิทธิหรือไม่ได้สิทธิขยายระยะเวลายื่นแบบเพิ่มอีก 8 วัน ผมได้สรุปเป็นตารางเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ดังนี้ครับ ตารางเปรียบเทียบการยื่นแบบกระดาษ vs ยื่นแบบออนไลน์ การขยายเวลาการยื่นแบบเพิ่มอีก 8 วัน เท่ากับว่านักบัญชีจะมีระยะเวลาทำบัญชีและตรวจสอบภาษีได้ละเอียดมากขึ้น แต่ทำไมขยายเวลาแล้ว นักบัญชีก็ยังทำจนถึงวันสุดท้ายอยู่ดี อันนี้ก็ลองสอบถามนักบัญชีดูเล่นๆ ก็ได้นะครับ🤣 สรุป ตอนนี้นักบัญชีคงโล่งใจไปมากแล้วใช่ไหมครับ เรายังได้รับสิทธิขยายอีก 8 วันเหมือนเดิม และยังไม่พอสิทธินี้มีผลบังคับไปจนถึงเดือนมกราคม 2570 พูดง่ายๆ ก็คือ อีก 3 ปี คุณคือผู้โชคดี ขอแสดงความยินดีด้วยคร๊าบบ แต่ที่สำคัญอย่าลืมว่าจะได้สิทธิต้องเป็นการยื่นแบบภาษีผ่านทางออนไลน์เท่านั้นนะครับ เอ้า ทำไมล่ะ! ก็เพราะสรรพากรต่ออายุกฎหมายนี้เพื่อจูงใจให้คนหันมายื่นแบบภาษีทางออนไลน์แทนแบบกระดาษครับ ถือได้ว่าได้ทั้งประหยัดเวลา ไม่เปลืองกระดาษ เหมือนรักษ์โลกร้อนไปในตัวเลยยย โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK มีฟังก์ชั่น PEAK Tax ช่วยผู้ประกอบการและนักบัญชีจัดการภาษีให้เป็นเรื่องง๊าย ง่าย ช่วยทั้งทำแบบฟอร์มภาษี ปิดภาษีอัตโนมัติได้ทันที ช่วยประหยัดการทำภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท คลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย) PEAK Call Center : 1485 LINE : @peakaccount สอบถามเพิ่มเติม

2 พ.ค. 2024

PEAK Account

32 min

รวมข้อควรรู้ ใบกำกับภาษี หรือ Tax invoice คืออะไร ใครออกได้บ้าง?

ชวนทำความรู้จักกับใบกำกับภาษี หรือ Tax invoice คืออะไร? สำคัญแค่ไหน? ซึ่งต้องบอกเลยว่าใบกำกับภาษีเป็นเอกสารที่สำคัญมากในการช่วยแสดงมูลค่าของสินค้าหรือบริการของทุกกิจการที่อยู่ในระบบภาษี เราจึงขอพาทุกคนไปไขข้อสงสัยว่าTax invoice คืออะไร? ใครบ้างเป็นผู้มีหน้าที่ในการออกใบกำกับภาษีได้ตามที่กฎหมายกำหนดกัน ใบกำกับภาษี หรือ Tax invoice คืออะไร ใบกำกับภาษี หรือ Tax invoice คือ เอกสารหลักฐานสำคัญที่ผู้ขายสินค้าหรือให้บริการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจัดทำและออกใบกำกับภาษีให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการทุกครั้งที่มีการขายสินค้าหรือให้บริการ โดยใบกำกับภาษีจะแสดงมูลค่าสินค้าหรือบริการและจำนวนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนเรียกเก็บหรือพึงเรียกเก็บจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการในแต่ละครั้ง  โดยภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT ย่อมาจาก Value added tax) เป็นการเก็บภาษีจากการขายสินค้าหรือให้บริการในแต่ละขั้นตอนการผลิต ทั้งที่ผลิตภายในประเทศหรือนำเข้าจากต่างประเทศ โดยปกติผู้ประกอบการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% จากผู้ซื้อหรือผู้รับบริการ แล้วนำส่งให้กรมสรรพากรโดยการยื่นแบบภ.พ.30  Invoice หรือ อินวอย คืออะไร แตกต่างกับ Tax invoice อย่างไร Invoice หรือ อินวอย คือ ใบแจ้งหนี้ เป็นเอกสารที่ผู้ขายออกให้ผู้ซื้อเพื่อแจ้งรายละเอียดในสิ่งที่ซื้อไป เช่น จำนวน ราคา และเงื่อนไขการชำระเงิน โดยถ้าผู้ขายไม่ได้อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็ไม่ต้องใส่ VAT ลงไป แตกต่างจาก Tax invoice ซึ่งเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับภาษีเพื่อใช้ในการยื่นหรือขอคืนภาษี โดยจะต้องแยกรายละเอียดภาษีมูลค่าเพิ่มในสิ่งที่ขายไป และระบุเลขประจำตัวผู้เสียภาษีทั้งสองฝ่าย ใครเป็นผู้มีหน้าที่ออกใบกำกับภาษี การออกใบกำกับภาษีแต่ละประเภท กรมสรรพากรได้แบ่งประเภทของใบกำกับภาษีออกเป็น 7 ประเภทดังนี้ ในที่นี้จะขอกล่าวถึงรายละเอียดของใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบเท่านั้น เนื่องจากเป็นประเภทใบกำกับภาษีที่กิจการส่วนใหญ่ใช้งาน การออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ผู้ประกอบการจดทะเบียนโดยทั่วไปมีหน้าที่ต้องออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปให้แก่ผู้ซื้อสินค้า หรือบริการ (เว้นแต่ผู้ประกอบกิจการค้าปลีกซึ่งมีสิทธิ์ออกใบกำกับภาษีอย่างย่อ) โดยใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปต้องมีรายการดังต่อไปนี้ 1. ตำแหน่งที่แสดงคำว่า “ใบกำกับภาษี” คำว่า “ใบกำกับภาษี” จะต้องระบุไว้บริเวณส่วนหัวของเอกสารอย่างชัดเจน เพื่อให้ทราบว่าเอกสารดังกล่าวเป็นใบกำกับภาษีตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด ซึ่งถ้ามีใบกำกับภาษีหลายฉบับอยู่ในชุดเดียวกัน แต่ใช่เอกสารฉบับแรกให้ทำดังนี้ 2. ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ประกอบการจดทะเบียน ที่ออกใบกำกับภาษี 2.1 ชื่อของผู้ออกใบกำกับภาษี หรือ Tax invoice คือ ชื่อผู้ประกอบการที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือชื่อสถานประกอบการตามที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ชื่อของผู้ออกใบกำกับภาษีจะใช้ชื่อย่อไม่ได้ แต่กรณีผู้ออกใบกำกับภาษีหรือผู้ได้รับใบกำกับภาษีที่เป็นนิติบุคคล สามารถใช้คำย่อสำหรับบอกสถานะได้ เช่น บริษัทจำกัด ใช้คำว่า บ. ……จก. หรือ บจ., ห้างหุ้นส่วนจำกัด ใช้คำว่า หจก. เป็นต้น 2.2 ที่อยู่ของผู้ออกใบกำกับภาษีหรือ Tax invoice คือ ที่ตั้งของสถานประกอบการตามที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) กรณีที่เป็นสำนักงานใหญ่ ให้ระบุคำว่า “สำนักงานใหญ่” หรือ “HO” หรือ “HQ” หรือ ระบุเป็น ตัวเลขศูนย์จำนวนห้าหลัก (00000) เพื่อแสดงรหัสของสำนักงานใหญ่ไว้ในใบกำกับภาษีดังกล่าวด้วย กรณีที่เป็นสาขา ให้ระบุคำว่า “สาขาที่…”, “Branch No. …”, “br.no. …” หรือระบุเป็นตัวเลขจำนวนห้าหลักเพื่อแสดงว่าเป็นรหัสของ “สาขาที่…” ไว้ในใบกำกับภาษีดังกล่าวด้วย ข้อสังเกต 2.3 เลขประจำตัวผู้เสียอากรของผู้ออกใบกำกับภาษี       ข้อสังเกต ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มต้องระบุเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ซื้อสินค้าหรือรับบริการไว้ในใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป เฉพาะกรณีผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ ที่เป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น แต่ถ้าผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการไม่ใช่ผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็ไม่จำเป็นต้องระบุเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรเมื่อออกใบกำกับภาษี 3. ชื่อ ที่อยู่ ของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ 3.1 ชื่อของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ หมายถึง ชื่อผู้ประกอบการ ชื่อสถานประกอบการ หรือชื่อการค้าของสถานประกอบการตามที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 3.2 ที่อยู่ของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ หมายถึง ที่ตั้งของสถานประกอบการตามที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ข้อสังเกต สามารถใส่ข้อมูลชื่อ-ที่อยู่ของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการจากการพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ ประทับตรายาง เขียนด้วยมือ หรือใช้พิมพ์ดีด รวมถึงวิธีอื่น ๆ ที่ให้ผลลัพธ์คล้ายกันก็ใช้ได้เช่นกัน 4. รายการ “หมายเลขลำดับของใบกำกับภาษี และหมายเลขของเล่ม  (ถ้ามี)” ใบกำกับภาษีที่ไม่มีหมายเลขลำดับ จะไม่สามารถนำไปคำนวณภาษีซื้อได้ 5. รายการ “ชื่อ ชนิด ประเภท ปริมาณ และมูลค่าของสินค้าหรือของบริการ” ชื่อ ชนิด ประเภท ของสินค้าหรือของบริการ ให้ระบุเฉพาะชื่อ ชนิด ประเภทของสินค้าหรือบริการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในใบกำกับภาษี เว้นแต่ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องระบุชื่อ ชนิด ประเภทของสินค้าหรือของบริการที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในใบกำกับภาษีด้วย ให้กระทำได้โดยต้องจัดให้มีเครื่องหมายหรือแยกรายการแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเป็นสินค้า หรือบริการที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 6. รายการ “จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่คำนวณจากมูลค่าของสินค้าหรือของบริการ โดยให้แยกออกจากมูลค่าของสินค้าหรือของบริการให้ชัดแจ้ง” 7. รายการ “วัน เดือน ปี ที่ออกใบกำกับภาษี” วัน เดือน ปี ที่ออกใบกำกับภาษี เป็นรายการที่เป็นสาระสำคัญที่ประมวลรัษฎากรกำหนดให้ต้องมีในใบกำกับภาษี และเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงวันที่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น คือ เป็นวันที่ได้มีการส่งมอบสินค้า โอนกรรมสิทธิ์ในสินค้าให้กับผู้ซื้อได้มีการใช้บริการนั้นไม่ว่าโดยตนเองหรือบุคคลอื่น ได้รับชำระค่าสินค้าหรือบริการ หรือวันที่ออกใบกำกับภาษี โดยวัน เดือน ปี ที่ออกใบกำกับภาษี จะใช้ตัวเลขแทนการระบุชื่อเดือนก็ได้ และใช้พุทธศักราช (พ.ศ.) หรือคริสต์ศักราช (ค.ศ.) ก็ได้ ภาพตัวอย่างใบกำกับภาษี วิธีการจัดทำรายการของใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ออกใบกำกับภาษีได้เมื่อไร หลักเกณฑ์การออกใบกำกับภาษีมีการกำหนดจุดรับรู้ภาษีซึ่งเป็นจุดที่ผู้ประกอบการถูกกำหนดว่ามีภาระภาษีเกิดขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดสิทธิ์และหน้าที่ในการเรียกเก็บ VATจากผู้ซื้อหรือผู้รับบริการรวมไปถึงการออกใบกำกับภาษีตามมา ซึ่งจุดรับรู้ภาษีแบ่งออกตามกิจกรรมในการดำเนินธุรกิจออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้ 1. การขายสินค้า ในการขายสินค้า โดยส่วนใหญ่มีด้วยกัน 2 กรณี ได้แก่ หลักเกณฑ์การออกใบกำกับภาษีในการขายสินค้า แบ่งออกเป็น 3 กรณี ขึ้นอยู่กับจุดที่รับรู้ภาษี 1.1 การออกใบกำกับภาษีเมื่อมีการส่งมอบสินค้า ในการขายสินค้าทั่วไป กิจการออกใบกำกับภาษีเมื่อมีการส่งมอบสินค้าซึ่งเป็นจุดที่รับรู้ภาษี ถึงแม้ว่าผู้ขายยังไม่ได้รับชำระค่าสินค้า กรณีนี้พบมากที่สุดในการขายสินค้า 1.2 การออกใบกำกับภาษีเมื่อมีการรับชำระราคาสินค้าก่อนส่งมอบสินค้า เมื่อมีการรับชำระเงินสำหรับค่าสินค้าซึ่งเป็นจุดที่รับรู้ภาษี ถึงแม้ยังไม่ได้มีการส่งมอบสินค้าก็ตาม กิจการก็ต้องออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้า กรณีนี้เกิดจากการรับชำระค่าสินค้าใน รูปแบบเงินมัดจำก่อนส่งมอบสินค้า 1.3 การออกใบกำกับภาษีเมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้าให้แก่ลูกค้าก่อนส่งมอบสินค้า เมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้าให้แก่ลูกค้าก่อนส่งมอบสินค้าซึ่งเป็นจุดที่รับรู้ภาษี ก็ต้องออกใบกำกับภาษีทันทีที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ถึงแม้ว่ายังไม่มีการส่งมอบสินค้า หรือยังไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าก็ตาม 2. การให้บริการ ในการให้บริการของกิจการ มีด้วยกัน 2 กรณี ได้แก่  หลักเกณฑ์การออกใบกำกับภาษีในการให้บริการ แบ่งออกเป็น 2 กรณี ขึ้นอยู่กับจุดที่รับรู้ภาษี 2.1 การออกใบกำกับภาษีเมื่อมีการรับชำระค่าบริการก่อนการให้บริการ   เป็นการออกใบกำกับภาษีเมื่อมีการรับชำระค่าบริการซึ่งถือเป็นจุดที่รับรู้ภาษี ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้มีการให้บริการ 2.2 การออกใบกำกับภาษีเมื่อมีการใช้บริการก่อนการรับชำระค่าบริการ เป็นการออกใบกำกับภาษีเมื่อมีการใช้บริการซึ่งถือเป็นจุดที่รับรู้ภาษี ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้มีการรับชำระเงินก็ตาม ในทางปฏิบัติการออกใบกำกับภาษีในการให้บริการ กิจการมักจะออกใบกำกับภาษีเมื่อรับชำระค่าบริการ โดยไม่ได้คำนึงถึงว่าจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังการให้บริการก็ตาม ซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ในการออกใบกำกับภาษีในการให้บริการ กิจการควรออกใบกำกับภาษีถึงแม้ว่ากิจการจะยังไม่ได้รับชำระเงิน แต่มีการให้บริการก่อนรับชำระเงิน อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไป การให้บริการและการรับชำระเงินมักจะเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน ซึ่งโดยมากจะเป็นการรับชำระเงิน ก่อนการให้บริการ ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าในการให้บริการ การออกใบกำกับภาษี กิจการจะออกเมื่อมีการรับชำระเงิน สิ่งที่สำคัญคือผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มต้องทำ ก็คือ การจัดทำทั้งต้นฉบับใบกำกับภาษีและสำเนาใบกำกับภาษี ตลอดจนเก็บรักษาเพื่อเป็นหลักฐานประกอบในการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) โดยเก็บไว้ที่สถานประกอบการหรือสถานที่อื่นที่อธิบดีกำหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี นับแต่วันที่ได้จัดทำใบกำกับภาษี “ออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปได้ง่ายๆ ด้วยระบบ PEAK“   ใบกำกับภาษีมีผลกับเรื่องภาษีหรือไม่ ใบกำกับภาษีถือเป็นเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ผู้ประกอบการที่จดทะเบียน VAT มีหน้าที่ต้องออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้า และหากไม่ปฏิบัติตามจะมีผลกระทบและบทลงโทษ ดังนี้ ใช้ใบกำกับภาษีปลอมหรือไม่ถูกต้อง การนำใบกำกับภาษีปลอมหรือไม่ถูกต้องมาใช้เครดิตภาษี จะมีโทษจำคุก 3 เดือนถึง 7 ปี ปรับ 2,000 ถึง 200,000 บาท และเสียเบี้ยปรับ 2 เท่าของภาษี พร้อมเสียเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องชำระ จุดที่ต้องระวังในการออกใบกำกับภาษี ในการออกใบกำกับภาษีให้ถูกต้องตามมาตรฐานที่กรมสรรพากรกำหนดนั้นมีจุดที่ควรระวัง ดังต่อไปนี้ 1. สิทธิ์ในการออกใบกำกับภาษี สิ่งที่ต้องระวังเป็นอันดับแรกในการออกใบกำกับภาษี หรือ Tax invoice คือ สิทธิ์ในการออกใบกำกับภาษี กิจการใดที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม กิจการนั้นสามารถออกใบกำกับภาษีได้ แต่หากกิจการที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมีการออกใบกำกับภาษี จะถือว่ามีความผิดทางกฎหมาย 2. ระบุรายละเอียดในใบกำกับภาษีให้ครบถ้วน ในการออกใบกำกับภาษีนั้น ผู้ประกอบการต้องตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ ให้ถูกต้อง ครบถ้วน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง ไม่ว่าจะเป็นชื่อที่อยู่ผู้ซื้อสินค้าและบริการ รายละเอียดราคาสินค้าและบริการ เป็นต้น 3. ออกใบกำกับภาษีให้ทันต่อสถานการณ์ ทุกครั้งเมื่อเกิดจุดความรับผิดในการเสียมูลค่าเพิ่ม (Tax Point) ในการขายสินค้าและบริการขึ้นมา ผู้ประกอบการจะต้องมีการออกใบกำกับภาษีเพื่อส่งมอบให้กับผู้ซื้อสินค้าและบริการนั้นทันที หากละเลย หรือฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 4. ไม่หลงลืมการเสียภาษี เมื่อมีการออกใบกำกับภาษีจากการขายสินค้าและบริการขึ้นมาแล้วนั้น กิจการต้องไม่ลืมที่จะลงรายงานภาษีขาย และจ่ายภาษีให้ถูกต้องเป็นประจำ มิฉะนั้นจะถือว่ามีความผิดทางกฎหมายเช่นเดียวกัน 5. แสดงความรับผิดชอบต่อลูกค้า ในกรณีที่ใบกำกับภาษีเกิดมีความผิดพลาดใดๆ ที่ทำให้ต้องมีการแก้ไขข้อมูล หรือยกเลิกใบกำกับภาษีดังกล่าวนั้น กิจการต้องดำเนินการให้เรียบร้อยโดยไม่ขาดตกบกพร่อง การขายสินค้าและบริการที่ไม่ต้องออกใบกำกับภาษี ตามปกติแล้วผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อมีการขายสินค้าและบริการ จะต้องมีการออกใบกำกับภาษีทุกครั้ง แต่ในบางกรณีกรมสรรพากรก็มีการยกเว้นเช่นกัน สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่มีการขายสินค้าหรือบริการครั้งละไม่เกิน 1,000 บาท โดยผู้ประกอบการที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องออกใบกำกับภาษีนั้นจะต้องเข้าเงื่อนไขดังต่อไปนี้ สรุป จากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าต้องออกใบกำกับภาษีกิจการก็จะมีความเข้าใจหลักเกณฑ์ในการออกใบกำกับภาษี จุดที่ต้องออกใบกำกับภาษี มีความเข้าใจว่าต้องออกใบกำกับภาษีเมื่อไร ซึ่งมีผลต่อการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มและการบันทึกบัญชีที่ถูกต้องตรงตามงวดเวลาในการขายสินค้าหรือให้บริการ PEAK โปรแกรมบัญชีที่ช่วยกิจการเตรียมเอกสารทางบัญชีและสร้างเอกสารทางออนไลน์ซึ่งสามารถปรับแต่งได้ในแบบที่คุณต้องการได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นใบเสนอราคา ใบกำกับภาษี ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงิน ทั้งยังรองรับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์รวมถึงการรับชำระเงินผ่าน QR CODE เมื่อสร้างเอกสารแล้ว ระบบจะบันทึกรายการบัญชีให้โดยอัตโนมัติ ช่วยให้กิจการออกใบกำกับภาษี ได้อย่างถูกต้อง ตรงตามงวดเวลาและยื่นแบบได้ภายในกำหนดเวลา รวมทั้งบันทึกบัญชีได้อย่างครบถ้วนถูกต้อง ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท คลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย) PEAK Call Center : 1485 LINE : @peakaccount สอบถามเพิ่มเติม อ้างอิง:ประเภทของใบกำกับภาษี | กรมสรรพากร – The Revenue Department (rd.go.th)หลักเกณฑ์การออกใบกำกับภาษี ต้องออกใบกำกับภาษีเมื่อไหร่? หลักเกณฑ์การออกใบกำกับภาษี ต้องออกใบกำกับภาษีเมื่อไหร่? (peakaccount.com),7 ตุลาคม 2564taxinvoice.pdf (rd.go.th), คู่มือใบกำกับภาษี, กรมสรรพากร

28 ก.พ. 2025

PEAK Account

13 min

เช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ทำง่าย สะดวก รวดเร็ว

ในทุกปีเมื่อถึงช่วงเวลายื่นภาษี ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจ SME นิติบุคคล หรือผู้ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม คำถามยอดฮิตที่มักเกิดขึ้นเสมอก็คือ “เงินคืนภาษีของเราถึงไหนแล้ว?” แต่ในปัจจุบันภาครัฐได้อำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการด้วยการเปิดระบบต่าง ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น การยื่นภาษีออนไลน์ รวมไปถึง เช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ ที่ในบทความนี้เราจะมาแนะนำ วิธีเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ สำหรับผู้ประกอบการ จะทำอย่างไร สะดวกมากน้อยแค่ไหน มาร่วมหาคำตอบในบทความนี้ไปพร้อมกัน ทำไมต้องเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์? การเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ เพราะช่วยให้คุณรู้ความคืบหน้าว่าแบบภาษีที่ยื่นไปได้รับการตรวจสอบหรือยัง และมีปัญหาอะไรต้องแก้ไขหรือไม่ การติดตามสถานะอย่างใกล้ชิดช่วยให้สามารถจัดการเอกสารเพิ่มเติมได้ทันทีหากมีข้อผิดพลาด ลดความเสี่ยงในการถูกปฏิเสธการคืนภาษี และยังช่วยให้คุณวางแผนกระแสเงินสดได้อย่างแม่นยำ เพราะการได้รับเงินคืนเร็วขึ้น หมายถึงธุรกิจมีสภาพคล่องที่ดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ การใช้ช่องทางออนไลน์ในการเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ยังช่วยประหยัดเวลา ลดขั้นตอน และทำให้การติดต่อกับกรมสรรพากรสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าการโทรหรือเดินทางไปด้วยตัวเองอีกด้วย สิ่งที่เจ้าของธุรกิจควรรู้เกี่ยวกับ “การคืนภาษีออนไลน์” ก่อนเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ เงื่อนไขการขอคืนภาษีของนิติบุคคล ที่ควรรู้ ก่อนเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ สำหรับการขอคืนภาษีของนิติบุคคล ซึ่งทางกรมสรรพากรก็ได้ทำการออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อระบุว่ากิจการใดมีสิทธิ์ในการขอคืนภาษีได้ ซึ่งหลักเกณฑ์สามารถแบ่งออกได้ 3 กรณีตามประเภทภาษี 1. ขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย กรณีมาตรา 63 แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับมาตรา 63 แห่งประมวลรัษฎากร ได้มีการกำหนดเงื่อนไขของผู้มีสิทธิ์ขอคืนภาษีว่าต้องเป็นกิจการที่เป็นผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย และได้ทำการนำส่งภาษีเกินกว่าที่ควรต้องเสียภาษี กิจการของคุณเข้าข่ายสามารถขอคืนภาษีได้ตามมาตรา 63 ในส่วนของระยะเวลาในการยื่นขอคืนภาษี สามารถทำได้ภายในระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันสุดท้ายของกำหนดเวลายื่นภาษีตามที่กฎหมายกำหนด  ยกตัวอย่างเช่น  กิจการ A มีรอบบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 – 31 ธันวาคม 2567 ซึ่งในรอบปีนั้นมีการหักภาษีเกินที่กำหนดไป และกิจการ A มีหน้าที่ยื่นภาษีภายใน 150 วัน นับตั้งแต่สิ้นรอบบัญชี หมายความว่า กิจการ A สามารถยื่นขอคืนภาษีได้ภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2571 นั่นเอง 2. ขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย กรณีมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร  อีกหนึ่งรูปแบบการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งจะตรงกับกรณีของมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร โดยเงื่อนไขข้อนี้สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่ได้ทำกิจการเข้าข่ายมาตรา 63 แห่งประมวลรัษฎากร เช่น กลุ่มกิจการที่มีการหัก ณ ที่จ่ายมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร ยกตัวอย่างเช่น ค่านายหน้า ค่าฝึกอบรม ค่าซ่อมแซมเครื่องจักร ซึ่งรวมไปถึงบริษัทต่างประเทศที่เข้ามามีรายได้ในประเทศไทยอีกด้วย โดยเงื่อนไขในการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่ายประเภทนี้ต้องเป็นผู้ที่เมื่อจ่ายเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายแล้วเกินจากที่กำหนด และมีระยะเวลาในการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่ายเท่ากับ มาตรา 63 คือ 3 ปีหลังจากวันครบกำหนดยื่นภาษี 3. ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ในส่วนของการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT 7% ซึ่งเป็นเงินภาษีที่หักออกจากสินค้าหรือบริการเพื่อนำส่งให้กับทางกรมสรรพากร รวมไปถึงภาษีที่ผู้ประกอบการจ่ายเมื่อทำการซื้อสินค้าหรือบริการด้วย มีเงื่อนไขและรูปแบบการขอคืนภาษีดังนี้ การเปลี่ยนเป็นเครดิตภาษีในเดือนถัดไป กรณีที่มีภาษีมูลค่าเพิ่มที่ซื้อสินค้าหรือบริการไปเกินที่กำหนดไว้ จะเปลี่ยนเป็นเครดิตภาษี ซึ่งสามารถนำไปใช้จ่ายภาษีของเดือนถัดไปได้ ทั้งนี้ถ้าผู้ประกอบการมีเครดิตภาษีเหลือแล้วไม่ได้ทำการยื่นขอคืนภาษีภายในเดือนนั้น หมายความว่าประสงค์ที่จะยกไปใช้ชำระภาษีในเดือนถัดไป ทั้งนี้ถ้าเดือนถัดไปไม่ได้นำเครดิตตรงนี้มาชำระ จะไม่สามารถเก็บเครดิตเพื่อชำระในเดือนถัด ๆ ไปอีกได้ ภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายสินค้าหรือบริการ เมื่อผู้ประกอบการไม่ได้ทำการขอคืนภาษีด้วยการเครดิตภาษี ในกรณีนี้ผู้ประกอบการสามารถทำเรื่องยื่นคำร้องขอคืนภาษีได้ภายใน 3 ปี นับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดยื่นภาษีของเดือนภาษีนั้น ๆ โดยผู้ประกอบการสามารถทำเรื่องยื่นขอคืนภาษีด้วยแบบ ค. 10 ขอคืนภาษีสำหรับการนำเข้าสินค้า ในกรณีที่มีการนำเข้าสินค้ารูปแบบการขอคืนภาษีจะแตกต่างกันออกไป โดยผู้ประกอบการที่ได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว สามารถยื่นคำร้องขอคืนภาษีได้ที่อำเภอ แต่ถ้าไม่ได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องยื่นคำร้องคืนภาษีที่ด่านศุลกากรขาเข้า ทั้งนี้ยังมีเงื่อนไขพิเศษในกรณีที่ผู้นำเข้าสินค้า มีข้อโต้แย้งตามกฎหมาย หรือมีติดคดีในศาล สามารถยื่นขอคืนภาษีได้ภายใน 6 เดือนนับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือข้อโต้แย้งอากรขาเข้า 4. ภาษีธุรกิจเฉพาะ ในส่วนขอภาษีธุรกิจเฉพาะ คือธุรกิจที่มีรายได้จากดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากการให้กู้ยืม และมีการนำส่งภาษีแล้ว แต่จำนวนที่นำส่งเกินกว่ากำหนดที่ต้องเสียภาษี โดยสามารถทำเรื่องขอคืนภาษีได้ภายใน 3 ปีนับตั้งแต่วันที่ครบรอบยื่นแบบภาษี เช่นเดียวกับการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่มนั่นเอง ขั้นตอนการเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ สำหรับขั้นตอนการเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์สามารถทำได้ผ่าน Digtal My Tax ระบบใหม่ล่าสุดที่ทางกรมสรรพากรออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนโดยเฉพาะ ซึ่ง D-MyTax จะรวมทั้งภาษีบุคคลธรรมดา นิติบุคคล รวมไปถึงผู้ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล แบบ One Portal ที่เดียวจบทุกเรื่องภาษี สำหรับขั้นตอนเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ ทำได้ดังนี้ 2. เลือกไปที่เมนู “นิติบุคคล” 3. คลิกที่ปุ่ม [รวมบริการทางภาษี (One Portal)] 4. เลือกวิธีการเข้าสู่ระบบ 5. เมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว จะพบกับหน้าเว็บไซต์ที่แสดงสถานะของรายการที่เรายื่นไปแล้วนั่นเอง การเช็คสถานะคืนภาษีออนไลน์ผ่าน D-MyTax เป็นอีกหนึ่งทักษะสำคัญที่เจ้าของธุรกิจยุคใหม่ควรรู้ เพราะนอกจากจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าภาษีที่จ่ายเกินจะได้รับคืนแล้ว ยังช่วยให้คุณจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดเวลา และลดความผิดพลาดได้อย่างมาก เมื่อเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ แล้วพบว่าความล่าช้าควรทำอย่างไร เมื่อเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ แล้วพบว่าเกิดความล่าช้า แนะนำให้รีบติดต่อกรมสรรพากร เพื่อสอบถามถึงสาเหตุ ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาความล่าช้า แนะนำให้ผู้ประกอบการเตรียมจัดการบัญชี เอกสารต่าง ๆ ให้เรียบร้อย และตรวจสอบความถูกต้องให้ชัดเจน เพื่อให้ขั้นตอนการตรวจสอบของกรมสรรพากรง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เท่านี้ก็ช่วยลดปัญหาความล่าช้าลงไปได้แน่นอน อยากจัดการภาษีง่ายขึ้น ขอคืนภาษีได้รวดเร็ว? การขอคืนภาษีอาจดูเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับผู้ประกอบการ แต่หากมีการ วางแผนการทำบัญชีที่ดี ตั้งแต่ต้น ตรวจสอบเอกสารให้ครบถ้วน ใช้ระบบจัดการบัญชีที่มีประสิทธิภาพและคอยเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์อยู่เสมอ ก็สามารถช่วยให้การขอคืนภาษีเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว หนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้การบริหารภาษีง่ายขึ้นคือ PEAK Tax โปรแกรมการจัดการภาษีออนไลน์ ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการช่วยจัดการภาษีครบวงจร รองรับภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ทั้งแบบ ภ.พ.30 และ ภ.พ.36 รวมถึงภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax) เช่น ภ.ง.ด.1, ภ.ง.ด.2, ภ.ง.ด.3 และ ภ.ง.ด.53 โดยคำนวณและจัดทำแบบฟอร์มภาษีอัตโนมัติ รองรับ e-Tax Invoice และ e-Receipt พร้อมรองรับการยื่นแบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร ลดขั้นตอนการทำงานและช่วยให้ธุรกิจเห็นภาพรวมทางการเงินได้ง่ายขึ้น ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

24 ม.ค. 2025

PEAK Account

12 min

“ภาษี” บริหารได้อย่าหนี กับ 4 วิธีทำเรื่องภาษีให้ถูกต้องสำหรับธุรกิจ SMEs

“ภาษี” กับ “ความตาย” คือ สองสิ่งบนโลกที่มวลมนุษย์อย่างเราไม่อาจหนีได้ คือประโยคอันโด่งดังของเบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin) หนึ่งในรัฐบุรุษผู้สร้างชาติอเมริกา ที่สะท้อนให้เห็นความเป็นจริงของโลกใบนี้ เรื่อง “ความตาย” นี่ เราเห็นกัน 100% แล้วว่าเป็นสิ่งที่หนีไม่ได้จริงๆ แต่ทำไมเรายังเห็นหลายคนไม่จ่ายภาษีทั้งๆ ที่ต้องจ่าย งั้นแบบนี้ “ภาษี” ก็เป็นสิ่งที่หนีได้ใช่ไหม? คำตอบ คือ หนีได้ แต่ผิดกฎหมายนะ! และยังไม่พอ ยังเป็นการหนีได้ชั่วคราวอีกด้วย เพราะจากที่เราเห็นกันในโซเชียลหรือจากการทำบัญชีให้ผู้ประกอบการจะพบเรื่องที่สรรพากรมาตรวจย้อนหลังและโดนปรับแพงๆ จนหลายคนทำธุรกิจต่อไม่ไหวหรือหาเงินมาจ่ายคืนไม่ได้ สุดท้ายก็คือ หนีไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละครับ จะดีกว่าไหม ถ้าเราทำเรื่องภาษีให้ถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่แรก โดยไม่หนี แต่ใช้การบริหารภาษีแทน มาดูกันครับ ผมอยากให้ทุกคนทำภาษีให้ถูกต้อง ยังไม่พอยังทำให้ประหยัดภาษีได้อีกทีด้วย บทความนี้จะไม่ได้พูดเรื่องการวางแผนภาษีแบบละเอียด แต่เริ่มจากเรื่องพื้นฐานที่ผู้ประกอบการทุกคนควรจะรู้ว่าถูกต้องและประหยัดจะทำได้อย่างไรบ้าง เริ่ม! 4 วิธีทำเรื่องภาษีให้ถูกต้อง ก่อนจะประหยัด เราควรรู้ว่าการจัดการภาษีให้ถูกต้องให้กรมสรรพากรยอมรับต้องทำอย่างไร ดังนี้ 1. บันทึกค่าใช้จ่ายให้ครบถ้วน พื้นฐานที่สุด คือ ธุรกิจควรบันทึกค่าใช้จ่ายทุกประเภทอย่างละเอียดและครบถ้วน เพราะเมื่อค่าใช้จ่ายจริงเยอะ กำไรที่จะนำไปคำนวณภาษีจะลดลง ทำให้จ่ายภาษีประจำปีได้ประหยัดมากขึ้น 2. มีเอกสารประกอบค่าใช้จ่ายทุกใบ การมีเอกสารประกอบค่าใช้จ่าย เช่น ใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษี จะช่วยให้การบันทึกค่าใช้จ่ายมีความน่าเชื่อถือ และสามารถใช้เป็นหลักฐานในหักค่าใช้จ่ายได้ถูกต้อง อีกทั้งสามารถยืนยันค่าใช้จ่ายได้ในกรณีที่มีการตรวจสอบภาษีจากกรมสรรพากร  3. ไม่มีเอกสารประกอบ ก็เป็นค่าใช้จ่ายได้ ในบางกรณีที่จ่ายเงินแต่ไม่ได้รับเอกสาร เช่น ค่าแท็กซี่ เมื่อเราจ่ายเงิน คนขับรถคงไม่ออกใบเสร็จรับเงินให้เราได้แน่ แต่ไม่ต้องห่วงเพราะสรรพากรก็เข้าใจในสิ่งนี้เป็นอย่างดี จึงออกคู่มือประกอบการลงค่าใช้จ่ายที่ไม่มีเอกสารมาให้ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก! 4. ระบุผู้รับเงินให้ได้ ทุกการจ่ายเงินต้องบอกให้ได้ว่าผู้รับเงินเป็นใคร ไม่เช่นนั้นจะเกิดคำถามได้ว่าเป็นการสร้างรายจ่ายปลอมรึเปล่า? เพราะแม้จะมีการจ่ายเงินจริง แต่ไม่สามารถระบุผู้รับเงินได้ แบบนี้ก็คงไม่มีใครเชื่อ  วิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้ คือ พยายามจ่ายเงินผ่านการโอนเงิน เพราะในสลิปโอนเงินจะระบุผู้รับเงินได้ ส่วนกรณีที่จำเป็นต้องจ่ายเป็นเงินสดถ้ายอดเงินน้อยๆ หลักสิบ หลักร้อย เช่น ค่าแท็กซี่ การทำเอกสารใบรับรองแทนใบเสร็จตามคู่มือของสรรพากรก็เพียงพอ แต่ถ้าจ่ายเงินสดเป็นหลักหมื่น หลักแสนขึ้นไป ควรต้องขอสำเนาบัตรประชาชนและให้ผู้รับเซ็นรับเงินมาด้วยจะทำให้พิสูจน์ผู้รับได้ปลอดภัยขึ้น การทำเอกสารใบรับรองแทนใบเสร็จ สามารถช่วยยืนยันการจ่ายเงินสดได้ในกรณีที่ไม่สามารถออกใบเสร็จรับเงินอย่างเป็นทางการได้ โดยในระบบ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ สามารถออกเอกสารใบรับรองแทนใบเสร็จได้อย่างสะดวกและง่ายดาย พร้อมรูปแบบเอกสารที่ถูกต้องตามข้อกำหนดของกรมสรรพากร ทำให้การจัดการเอกสารเป็นระบบและช่วยลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบย้อนหลังจากสรรพากร 4 วิธีพื้นฐานประหยัดภาษี  เมื่อรู้วิธีจัดการภาษีที่ถูกต้องแล้ว เราจะขยับขึ้นมาอีกสเต็ปหนึ่ง คือ การวางแผนภาษีเบื้องต้นเพื่อประหยัดภาษีกัน ซึ่งผมยกตัวอย่างมาให้ ดังนี้ 1. จ่ายเงินตัวเองให้ถูกวิธี ผู้ประกอบการมักคิดว่าเงินบริษัทคือเงินของตัวเอง แต่ในทางกฎหมายถือว่าบริษัทกับผู้ประกอบการเป็นคนละคนกัน ดังนั้นผู้ประกอบไม่สามารถนำเงินบริษัทมาใช้ได้ตามอำเภอใจ เพราะจะทำให้ระบบบัญชีและภาษีมีปัญหา เช่น การเกิดบัญชีเงินให้กู้ยืมแก่กรรมการจำนวนมาก  วิธีที่ถูกต้องในการดึงเงินออกจากบริษัท เช่น การจ่ายเงินเดือนให้ตัวเองในฐานะกรรมการ หรือการจ่ายค่าเช่าออฟฟิศถ้ากรรมการใช้บ้านตัวเองในการทำงาน หรือถ้าบริษัทมีกำไรและอยากนำเงินมาใช้ก็สามารถนำเงินออกมาในรูปแบบของการจ่ายเงินปันผลได้ เป็นต้น 2. การซื้อประกันผู้บริหารคนสำคัญ (Keyman)  สำหรับบุคลากรที่สำคัญในองค์กร เช่น ผู้ประกอบการที่เป็นกรรมการ สามารถขออนุมัติผู้ถือหุ้นเพื่อให้สวัสดิการซื้อประกันชีวิตสำหรับผู้บริหาร หรือประกัน Keyman ได้ ข้อดี คือ ค่าเบี้ยประกันสามารถลงเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทได้  แต่ต้องจำไว้ว่า ค่าเบี้ยที่บริษัทจ่ายแทนกรรมการนั้น ถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีของกรรมการด้วย ดังนั้นอีกมุมที่ต้องพิจารณา คือ เมื่อนำรายได้ค่าเบี้ยประกันมารวมกับเงินได้ทั้งหมดของกรรมการแล้ว ทำให้ฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงเกินกว่าฐานภาษีนิติบุคคลไหม ถ้าฐานภาษีบุคคลยังต่ำกว่าฐานภาษีนิติบุคคลแบบนี้ประกันคีย์แมนจะช่วยประหยัดภาษีของกิจการได้ และกรรมการก็ได้สวัสดิการนี้ไปด้วย 3. ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ครบ ภาครัฐมีการออกกฎหมายหลายตัวที่เอื้อประโยชน์ให้ภาคธุรกิจใช้ลดหย่อนภาษีธุรกิจ เช่น การจ้างคนพิการหรือผู้สูงอายุ จะสามารถนำมาเป็นค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น หรือลดหย่อนภาษีสำหรับการลงทุนในอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ เป็นต้น ผู้ประกอบการควรติดตามกฎหมายที่มีผลในปัจจุบัน และที่จะออกในอนาคตเพื่อใช้สิทธิ์ที่ภาครัฐออกมาช่วยเหลือได้อย่างเต็มที่ เพราะจากที่ผ่านมาหลายคนเสียสิทธิเพราะไม่รู้ว่ามีสิทธิประโยชน์เหล่านี้ด้วย  4. จัดโครงสร้างกิจการ เช่น การทำธุรกิจที่ผ่านมาอาจทำในรูปแบบของบุคคลธรรมดาซึ่งเสียภาษีสูงสุดที่ 35% ซึ่งอาจพิจารณาเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจมาเป็นนิติบุคคลที่เสียภาษีสูงสุดที่ 20% อาจทำให้ช่วยประหยัดภาษีได้มหาศาล นอกจากนี้ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจหลายประเภท อาจปรึกษากับนักบัญชีเพื่อพิจารณาแยกบริษัทสำหรับธุรกิจบางประเภทที่จะช่วยให้ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้มากขึ้น เช่น แยกธุรกิจ VAT กับ Non VAT เพื่อหลีกเลี่ยงการเฉลี่ยภาษีซื้อ หรือการแยกบริษัทเมื่อรายได้รวมใกล้จะถึง 30 ล้านบาท เพราะจะทำให้อัตราภาษีสูงขึ้น หรือแม้แต่การจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งเพื่อถือหุ้นในบริษัทลูกก็ยังมีสิทธิประโยชน์ต่างๆ มากมาย ซึ่งไม่ได้กล่าวถึงในบทความ ภาษี คือ สิ่งที่ “หนีอย่างถาวร” ไม่ได้ เราจึงควรทำภาษีให้ถูกต้องและวางแผนภาษีให้ประหยัดตั้งแต่แรก เพื่อขจัดปัญหาทางด้านบัญชีและภาษีในภายหลัง การบริหารจัดการภาษีอย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงแค่ช่วยลดภาระภาษีแต่ยังช่วยเพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้กับธุรกิจ SMEs ดังนั้น ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญและทำการศึกษาแนวทางต่าง ๆ เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างสูงสุดในการดำเนินธุรกิจของตนเองครับ สำหรับตอนถัดไปเป็นบทสิ้นสุดการเดินทางของซีรีส์ 10 กฎพื้นฐานด้านการเงินสำหรับ SMEs กันแล้ว ผมจึงอยากจะพาทุกท่านไปค้นหาบุคคลผู้ที่จะมาเป็นเบื้องหลังจัดการปัญหาบัญชี ภาษีให้กิจการ และให้คำแนะนำว่านักบัญชีที่เก่งนั้นควรจะมีทักษะและความสามารถใดที่จะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จครับ โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

17 ม.ค. 2025

PEAK Account

6 min

ถอด VAT คืออะไร? ทำไมผู้ประกอบการต้องรู้วิธีคำนวณนี้

การถอด VAT เป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการต้องเจอในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเมื่อมีการขายสินค้าที่เราต้องออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้า หรือการถอด VAT จากสินค้าที่ซื้อมาเพื่อที่ช่วยให้เราทราบราคาต้นทุนที่แท้จริงของสิ่งนั้น นอกจากนี้ การถอด VAT ยังช่วยให้นักบัญชีของกิจการจัดการภาษีได้อย่างเป็นระบบอีกด้วย ซึ่งมีทั้งการถอด VAT 3% และ 7% ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้วิธีการ ถอด VAT เรามีวิธีคำนวณมาฝากกัน ก่อนถอด VAT ควรรู้จัก VAT คืออะไร  VAT หรือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax) คือ ภาษีประเภทหนึ่งที่จัดเก็บจากมูลค่าสินค้าหรือบริการที่เพิ่มขึ้น ตั้งแต่การผลิตจนถึงการจำหน่าย ไม่ว่าสินค้านั้นจะผลิตที่ประเทศไทยหรือต่างประเทศ โดยผู้ที่มีรายได้เกินกว่า 1.8 ล้านบาท ต่อปี จากการผลิตและขายสินค้านั้น จะต้องเป็นผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มนี้ และต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มต้องทำภายใน 30 วัน  วิธีถอด VAT คำนวณด้วยเครื่องคิดเลขง่าย ๆ ในไม่กี่ขั้นตอน การถอด VAT เป็นการถอดเพื่อให้เราทราบราคาที่แท้จริงของสินค้าก่อนคิด VAT ว่ามีราคาเท่าไหร่ และสามารถคำนวณภาษีที่ต้องนำส่งได้อย่างถูกต้อง โดยมีวิธีการคำนวณที่แตกต่างกันตามอัตราภาษี ดังนี้  วิธีถอด VAT 3% VAT 3% มักใช้กับธุรกิจที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น ธุรกิจขนาดเล็ก กิจการที่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี  การจ้างทำของ หรือทำงานต่าง ๆ โดยวิธีการคำนวณนั้นจะทำได้โดยการนำราคาสินค้าที่รวม VAT แล้ว มาหารด้วย 1.03 ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นราคาที่ไม่รวม VAT ส่วนต่างระหว่างราคารวมกับราคาที่ไม่รวม VAT คือจำนวนภาษีที่ต้องนำส่ง ตัวอย่างการคำนวณ : สมมติว่าเรามีสินค้าราคารวม VAT อยู่ที่ 10,300 บาท  วิธีถอด VAT 7% การถอด VAT 7% เป็นการคำนวณที่ใช้กับธุรกิจทั่วไปที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยการคำนวณคล้ายกับการถอด VAT 3% แต่ใช้ตัวหารเป็น 1.07 แทน การถอด VAT ที่ถูกต้อง จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจคำนวณต้นทุน กำไร และภาษีที่ต้องนำส่งได้อย่างแม่นยำ ตัวอย่างการคำนวณ สมมติว่าเรามีสินค้าราคารวม VAT อยู่ที่ 10,700 บาท การเสียภาษี VAT ถ้าธุรกิจของเราเป็นทั้งผู้ขายสินค้าและซื้อสินค้ามา เราต้องมีการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องจ่าย โดยนำภาษีขายที่เก็บจากลูกค้าตลอดเดือนภาษี มาลบด้วยภาษีซื้อที่จ่ายให้ซัพพลายเออร์ในเดือนเดียวกัน หากผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่าภาษีขายสูงกว่าภาษีซื้อ เจ้าของธุรกิจจ่ายส่วนต่างให้กรมสรรพากร แต่หากภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย เจ้าของธุรกิจสามารถเลือกได้ว่าจะรับภาษีส่วนเกินคืน หรือเก็บไว้เป็นเครดิตภาษีสำหรับการคำนวณในรอบเดือนถัดไปได้เลย  ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่ขายสินค้าหรือซื้อสินค้า การถอด VAT ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยให้เราทราบต้นทุนที่แท้จริง เพื่อนำไปสู่การลดต้นทุนและบริหารจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจช่วยเพิ่มเงินทุนให้สามารถนำไปต่อยอดธุรกิจได้อีก นอกจากการคำนวณ VAT ด้วยเครื่องคิดเลขแล้ว การใช้ PEAK Tax ยังช่วยให้การคำนวณภาษีและการออกเอกสารใบกำกับภาษีเป็นเรื่องง่าย พร้อมรองรับการจัดการภาษีและบัญชีอย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์ ช่วยให้ผู้ประกอบการบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเติบโตไปสู่ความสำเร็จอย่างมั่นคง ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

17 ม.ค. 2025

PEAK Account

9 min

เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ด้วย 6 กลยุทธ์การวางแผนภาษีธุรกิจ SMEs

การบริหารภาษีอย่างมีประสิทธิภาพเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเพิ่มกำไรและบริหารเงินสดได้อย่างเหมาะสม การวางแผนภาษีไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงในการเสียภาษีเกินความจำเป็น แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับธุรกิจอีกด้วย ในบทความนี้ เราจะมาเรียนรู้กลยุทธ์การวางแผนภาษีธุรกิจ SMEที่สามารถนำไปใช้ได้จริงกัน! 6 กลยุทธ์การวางแผนภาษีธุรกิจ SMEs ปี 2568 1. รู้จักประเภทของภาษีที่เกี่ยวข้อง การเริ่มต้นวางแผนภาษีสำหรับธุรกิจ SME นั้น ควรเริ่มจากการทำความเข้าใจประเภทของภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ ภาษีแต่ละประเภทจะมีวิธีการคำนวณและข้อกำหนดที่แตกต่างกัน ซึ่งการรู้จักประเภทของภาษีจะช่วยให้การวางแผนภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้น และป้องกันการเสียภาษีเกินกว่าที่ควรจะเป็น 1.1 ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีที่คิดจากกำไรสุทธิของธุรกิจ ซึ่งธุรกิจทุกประเภทที่มีการดำเนินการในรูปแบบของนิติบุคคลต้องเสียภาษีนี้ การคำนวณและยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลจำเป็นต้องใส่ใจรายละเอียดต่าง ๆ อย่างถูกต้องเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในการคำนวณภาษี 1.2 ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)  เป็นภาษีที่คิดจากการขายสินค้าหรือบริการในบางกรณี การเสียภาษีประเภทนี้ขึ้นอยู่กับการดำเนินการทางธุรกิจของคุณ หากคุณขายสินค้าหรือบริการที่ต้องเสีย VAT ก็จำเป็นต้องคำนวณและยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างถูกต้อง 1.3 ภาษีหัก ณ ที่จ่าย  ภาษีที่ถูกหักออกจากเงินได้บางประเภทที่ธุรกิจจ่ายให้กับผู้รับบริการ เช่น ค่าจ้าง ค่าบริการ หรือเงินได้บางประเภท การหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเพื่อให้การดำเนินงานของธุรกิจไม่เกิดปัญหาในอนาคต การรู้ว่าภาษีแต่ละประเภทมีการคำนวณและยื่นเอกสารอย่างไร จะช่วยให้ธุรกิจปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายและหลีกเลี่ยงค่าปรับที่ไม่จำเป็น 2. วางระบบบัญชีที่โปร่งใส การจัดการบัญชีที่เป็นระบบและโปร่งใสถือเป็นหัวใจสำคัญในการวางแผนภาษีธุรกิจ SME ที่มีประสิทธิภาพ การทำบัญชีให้ถูกต้องและมีระเบียบไม่เพียงแต่ช่วยในการจัดการภาษีให้เหมาะสม แต่ยังทำให้เจ้าของธุรกิจสามารถมองเห็นภาพรวมทางการเงินของธุรกิจได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยในการตัดสินใจในอนาคต โดยคุณสามารถทำได้ ดังนี้ 2.1 การใช้โปรแกรมบัญชี ช่วยจัดการงานบัญชี การใช้โปรแกรมบัญชี ที่สามารถบันทึกรายรับและรายจ่ายอย่างถูกต้อง และสามารถติดตามธุรกรรมต่าง ๆ ได้แบบเรียลไทม์ โปรแกรม PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถจัดการภาษีได้ง่ายขึ้น ด้วยฟังก์ชันที่รองรับ e-Tax Invoice ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ การแยกบัญชีธุรกิจออกจากบัญชีส่วนตัวจะช่วยลดความยุ่งยากในการคำนวณภาษีและการรายงานทางการเงิน 2.2 การเก็บเอกสารหลักฐาน  ไม่ว่าจะเป็นใบเสร็จ ใบกำกับภาษี และเอกสารทางการเงินต่าง ๆ จะช่วยให้การตรวจสอบการยื่นภาษีทำได้สะดวกและง่ายขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกตรวจสอบโดยสรรพากรได้ เช่น PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์แบบครบวงจรที่สามารถเก็บเอกสารออนไลน์ได้ 3. ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี อีกหนึ่งการวางแผนภาษีธุรกิจ SME ที่ดีคือการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อลดภาระภาษีได้ ดังนี้ 4. วางแผนรายรับและรายจ่าย การจัดการรายรับและรายจ่ายอย่างมีแบบแผนช่วยให้ธุรกิจสามารถลดภาระภาษีได้ ดังนี้ 4.1 เลื่อนรายรับ หากอยู่ในช่วงปลายปีและรายได้เกินเป้าหมาย อาจเลื่อนการรับเงินไปต้นปีถัดไปเพื่อกระจายรายได้ในหลายปี 4.2 เร่งรายจ่าย  ซื้อวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นหรือชำระค่าใช้จ่ายล่วงหน้าในช่วงปลายปี เพื่อเพิ่มค่าใช้จ่ายและลดกำไรสุทธิ 5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี ผู้ประกอบการควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหรือผู้ทำบัญชีที่มีความรู้ในด้านกฎหมายภาษีที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง 6. ติดตามข่าวสารภาษีอย่างต่อเนื่อง ภาษีเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงได้ตามกฎหมายและสถานการณ์เศรษฐกิจ การตรวจสอบและปรับปรุงแผนภาษีอย่างสม่ำเสมอช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสมและลดความเสี่ยงในการเสียค่าปรับ การวางแผนภาษีธุรกิจ SME ที่ดีไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถลดภาระภาษีและเพิ่มกำไรได้ แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินและเสริมสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาของคู่ค้าและนักลงทุนอีกด้วย เริ่มต้นวางแผนภาษีตั้งแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนของธุรกิจคุณ ด้วย PEAK Tax โปรแกรมการจัดการภาษีออนไลน์ ที่จะช่วยในการบริหารจัดการภาษีภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

14 ม.ค. 2025

PEAK Account

8 min

ผู้เสียภาษีต้องรู้ เลขประจำตัวผู้เสียภาษี คืออะไร แตกต่างจากเลขบัตรประชาชนไหม

คนไทยทุกคนที่มีรายได้ต้องเสียภาษีถ้ารายได้นั้นถึงเกณฑ์ตามกฎหมายกำหนด ซึ่งในการยื่นภาษีนั้นเลขประจำตัวผู้เสียภาษีเป็นหมายเลขสำคัญที่กรมสรรพากรออกให้ผู้ที่ต้องจ่ายเสียภาษี ทั้งบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล โดยเลขประจำตัวผู้เสียภาษีนี้คืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลใช้ตัวเลขเหมือนกันไหม เราไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับเลขประจำตัวผู้เสียภาษีกัน เลขประจำตัวผู้เสียภาษี คืออะไร เลขประจำตัวผู้เสียภาษีเป็นหมายเลขเฉพาะที่กรมสรรพากรกำหนดให้ผู้ที่ต้องภาษีแต่ละคน เพื่อให้กรมสรรพากรใช้ในการระบุตัวตนของผู้ยื่นภาษี และใช้ติดต่อหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเลขประจำตัวผู้เสียภาษีนี้จะมีเป็นเลข 13 หลักทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลแต่เลขจะมีความแตกต่างกัน ดังนี้ บุคคลธรรมดา  สำหรับบุคคลธรรมดาทั่วไปเลขประจำตัวผู้เสียภาษีจะเป็นเลขเดียวกันกับเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ซึ่งออกให้โดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ทำให้ผู้ยื่นภาษีไม่จำเป็นต้องขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีใหม่ สามารถใช้เลขประจำตัวประชาชนเป็นเลขประจำตัวผู้เสียภาษีได้เลย ส่วนผู้ที่ประกอบธุรกิจส่วนตัวที่มีสถานะเป็นบุคคลธรรมดาก็สามารถแจ้งเลขประจำตัวผู้เสียภาษีนี้ต่อกรมสรรพากรได้เลย ซึ่งการที่ใช้เลขเดียวกับบัตรประจำตัวแบบนี้จะช่วยลดความซ้ำซ้อน และทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้สะดวกมากขึ้น นิติบุคคล   สำหรับนิติบุคคลเลขประจำตัวผู้เสียภาษีจะเป็นเลขทะเบียนนิติบุคคล 13 หลักที่ออกให้โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อมีการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ห้างหุ้นส่วน หรือองค์กรธุรกิจอื่น ๆ โดยเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของนิติบุคคลนี้จะมีความสำคัญในการทำธุรกรรมทางการค้า การออกใบกำกับภาษี และการยื่นแบบแสดงรายการภาษีต่าง ๆ โดยเลขชุดนี้จะติดตัวนิติบุคคลไปตลอดอายุของกิจการ และใช้แสดงตัวตนทางธุรกิจกับคู่ค้าและหน่วยงานราชการได้ นอกจากนี้ เลขประจำตัวผู้เสียภาษียังเป็นหลักฐานสำคัญว่าธุรกิจทำตามกฎหมาย ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือได้อีกด้วย การขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษี สำหรับคนที่ทั่วไปหรือทำธุรกิจส่วนตัวที่มีรายได้ถึงเกณฑ์เสียภาษี และนิติบุคคลที่เริ่มต้นธุรกิจแล้วยังไม่มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี เราจำเป็นต้องขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษี  เพื่อให้การจัดการด้านภาษีเป็นไปอย่างถูกต้อง  โดยมีขั้นตอนการขอที่แตกต่างกันระหว่างบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ดังนี้ บุคคลธรรมดา สำหรับบุคคลธรรมดาการขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก เนื่องจากใช้เลขประจำตัวประชาชนเป็นเลขประจำตัวผู้เสียภาษีโดยอัตโนมัติ แต่สำหรับคนต่างด้าวและห้างหุ้นส่วนสามัญที่ยังไม่มีเลขประจำตัวประชาชนให้ขอภายใน 60 วัน เริ่มนับแต่วันที่มีรายได้ที่ต้องเสียภาษี โดยแนบเอกสารต่าง  ๆ พร้อมกับแบบ ล.ป.10.1 สำหรับบุคคลธรรมดา และ แบบ ล.ป.10.2 สำหรับคณะบุคคล นิติบุคคล นิติบุคคลจะได้รับเลขประจำตัวผู้เสียภาษีโดยอัตโนมัติหลังจากจดทะเบียนบริษัท โดยเลขนี้จะเป็นเลขเดียวกับเลขทะเบียนนิติบุคคล การจดทะเบียนนิติบุคคลและการได้รับเลขประจำตัวผู้เสียภาษีเป็นขั้นตอนที่ต้องดำเนินการให้เรียบร้อยก่อนเริ่มดำเนินธุรกิจ เพื่อให้สามารถออกใบกำกับภาษี ยื่นแบบแสดงรายการภาษี และทำธุรกรรมทางการค้าได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยให้ขอภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลไทย หรือวันที่นิติบุคคลต่างประเทศเริ่มทำธุรกิจในประเทศไทย โดยแนบเอกสารต่าง  ๆ พร้อมกับแบบ ล.ป.10.3  การค้นหาเลขทะเบียนบริษัทที่ระบุในหนังสือรับรอง การค้นหาเลขทะเบียนบริษัทที่ระบุในหนังสือรับรองสามารถทำได้โดยการตรวจสอบผ่านระบบออนไลน์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยเลขทะเบียนนี้จะเป็นเลขชุดเดียวกันกับเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของนิติบุคคล เราสามารถตรวจสอบข้อมูลในการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ เพื่อช่วยยืนยันตัวตนของคู่ค้า และการทำธุรกรรมทางการค้าได้อย่างมั่นใจ เลขประจำตัวผู้เสียภาษีเป็นหมายเลขสำคัญที่ใช้ในการระบุตัวตนทางภาษีและธุรกิจ โดยบุคคลธรรมดาจะใช้เลขประจำตัวประชาชนเป็นเลขประจำตัวผู้เสียภาษี ส่วนนิติบุคคลจะได้รับเลขประจำตัวผู้เสียภาษีเมื่อจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ซึ่งก่อนการยื่นภาษีหรือธุรกรรมต่าง ๆ ควรเลขประจำตัวผู้เสียภาษีให้พร้อมเพื่อความถูกต้องในการจัดการภาษีตามกฎหมาย โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

เจ้าของธุรกิจทำสัญญาให้มีผลทางกฎหมาย ต้องจ่ายภาษีอากรแสตมป์

การทำธุรกิจย่อมต้องเกี่ยวข้องกับการทำสัญญาและเอกสารสำคัญต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นต้องติดอากรแสตมป์และจ่ายภาษีอากรแสตมป์ เพื่อให้ใช้ได้ตามกฎหมาย แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่าต้องติดอย่างไร เมื่อไหร่ และมีอัตราเท่าไร วันนี้เรามาทำความเข้าใจเรื่องอากรแสตมป์อย่างละเอียด เพื่อให้การทำสัญญาของเราถูกต้องและใช้ได้ตามกฎหมาย ภาษีอากรแสตมป์ คืออะไร ภาษีอากรแสตมป์เป็นภาษีรูปแบบหนึ่งที่รัฐจัดเก็บจากการทำนิติกรรมหรือสัญญาต่าง ๆ เพื่อรับรองความถูกต้องของเอกสารและสร้างรายได้ให้กับรัฐ โดยมีลักษณะเป็นแสตมป์ที่ต้องติดลงบนตราสารหรือเอกสารสำคัญภายใน 15 วันหลังจากการลงนาม เช่น สัญญาจ้างงาน สัญญาเช่า หนังสือมอบอำนาจ หรือใบมอบฉันทะ ทั้งนี้ อัตราค่าอากรแสตมป์จะแตกต่างกันไปตามประเภทของตราสาร ตามที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากร อากรแสตมป์สำคัญกับการทำสัญญาอย่างไร การติดอากรแสตมป์ไม่ใช่เพียงการปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อการทำธุรกิจในหลายด้าน มาดูกันว่าทำไมอากรแสตมป์จึงมีความสำคัญ ยืนยันความถูกต้องตามกฎหมาย การติดภาษีอากรแสตมป์ในเอกสารหรือสัญญาเป็นการรับรองว่าเอกสารนั้นได้ทำขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เปรียบเสมือนตราประทับรับรองจากภาครัฐ ทำให้เอกสารน่าเชื่อถือและใช้ได้ตามกฎหมายอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ ยังทำให้เห็นว่าผู้ทำสัญญามีความตั้งใจในการปฏิบัติตามข้อตกลงและเคารพกฎหมาย ป้องกันความขัดแย้ง การติดอากรแสตมป์ช่วยป้องกันข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น เพราะเป็นหลักฐานยืนยันว่าทั้งคู่ได้ตกลงทำสัญญานี้กันจริง และสัญญานั้นผ่านการรับรองตามกฎหมายแล้ว ในกรณีที่เกิดข้อโต้แย้ง สัญญาที่ติดอากรแสตมป์ครบถ้วนจะมีน้ำหนักในการพิจารณามากกว่าสัญญาที่ไม่ได้ติดอากรแสตมป์  ใช้ในกระบวนการยุติธรรมได้ สัญญาที่ติดภาษีอากรแสตมป์ครบถ้วนใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลได้ทันที ในขณะที่สัญญาที่ไม่ได้ติดอากรแสตมป์หรือติดไม่ครบถ้วน อาจถูกปฏิเสธการรับฟังเป็นพยานหลักฐานในชั้นศาล หรือต้องเสียค่าปรับเพิ่มเติมก่อนนำไปใช้ ดังนั้น การติดอากรแสตมป์จึงเป็นการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรม การชำระค่าอากรแสตมป์มีกี่วิธี การชำระค่าอากรแสตมป์สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความสะดวกและลักษณะของเอกสาร ดังนี้ ตัวอย่างอัตราอากรแสตมป์ที่ต้องจ่าย การชำระอากรแสตมป์ขึ้นอยู่กับประเภทเอกสารตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งมีอัตราที่แตกต่างกัน โดยตัวอย่างอัตราอากรแสตมป์ที่พบบ่อย ได้แก่ 1. สัญญาเช่าทรัพย์สินอากรแสตมป์สำหรับสัญญาเช่าทรัพย์สินมีอัตราอยู่ที่ 1 บาทต่อค่าเช่า 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาท ตัวอย่างเช่น หากค่าเช่าระบุไว้ที่ 10,500 บาท อากรแสตมป์ที่ต้องจ่ายคือ 11 บาท ซึ่งการคำนวณนี้ครอบคลุมถึงสัญญาเช่าประเภทต่าง ๆ เช่น เช่าที่ดิน อาคาร หรืออุปกรณ์ 2. ตั๋วเงิน (ตั๋วสัญญาใช้เงินหรือเช็ค)สำหรับเอกสารประเภทตั๋วเงิน เช่น ตั๋วสัญญาใช้เงินหรือเช็ค อากรแสตมป์จะคิดในอัตรา 3 บาทต่อยอดเงินทุก 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาท เช่น หากยอดเงินในตั๋วเงินระบุไว้ที่ 6,500 บาท ผู้ที่ออกตั๋วจะต้องชำระอากรแสตมป์จำนวน 12 บาท 3. หนังสือมอบอำนาจหนังสือมอบอำนาจซึ่งเป็นเอกสารที่มักใช้ในทางธุรกิจหรือการดำเนินการทางกฎหมาย จะต้องติดอากรแสตมป์ในอัตรา 10 บาทต่อฉบับ โดยไม่มีการคิดเพิ่มตามมูลค่าหรือรายละเอียดของเอกสาร 4. สัญญากู้ยืมเงินในกรณีของสัญญากู้ยืมเงิน อากรแสตมป์จะคิดในอัตรา 1 บาทต่อยอดเงินทุก 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาท โดยมีอัตราสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท ตัวอย่างเช่น หากมีการกู้เงินจำนวน 50,000 บาท อากรแสตมป์ที่ต้องชำระคือ 25 บาท 5. สัญญาจ้างแรงงานหรือจ้างทำของสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการจ้างแรงงานหรือจ้างทำของ เช่น งานก่อสร้าง หรืองานออกแบบ จะต้องติดอากรแสตมป์ในอัตรา 1 บาทต่อค่าแรง 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาท เช่น หากค่าแรงรวมทั้งหมดเป็น 15,000 บาท อากรแสตมป์ที่ต้องจ่ายคือ 15 บาท 6. สัญญาค้ำประกันสัญญาค้ำประกันที่ใช้ในการรับรองหรือค้ำประกันภาระผูกพันทางการเงิน จะต้องชำระอากรแสตมป์ในอัตรา 1 บาทต่อยอดเงินทุก 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาท โดยมีอัตราสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท 7. สัญญาซื้อขายหรือโอนลิขสิทธิ์สำหรับสัญญาซื้อขายหรือโอนลิขสิทธิ์ อากรแสตมป์จะคิดในอัตรา 0.1% ของมูลค่าที่ระบุไว้ในสัญญา เช่น หากมูลค่าการซื้อขายลิขสิทธิ์ระบุไว้ที่ 1,000,000 บาท อากรแสตมป์ที่ต้องชำระคือ 1,000 บาท การติดอากรแสตมป์และจ่ายภาษีอากรแสตมป์ เป็นขั้นตอนที่จะช่วยรับรองความถูกต้องของเอกสารและสัญญาต่าง ๆ เจ้าของธุรกิจจึงควรศึกษาและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เอกสารมีผลทางกฎหมายและหากเกิดความขัดแย้งสามารถใช้เป็นหลักฐานได้ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก