ภาพรวมของโปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจ ช่วยวิเคราะห์ผลประกอบการณ์ รู้กำไรขาดทุน

ตัวช่วยวิเคราะห์ข้อมูลบัญชี เห็นผลกำไร ขาดทุน บริหารธุรกิจได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ระบบวิเคราะห์ธุรกิจอย่างมืออาชีพออนไลน์ PEAK Board เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการบริหารธุรกิจภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยสามารถเก็บข้อมูลของรายการซื้อขายเสนอราคามาวิเคราะห์กำไรขาดทุนรายสาขา โครงการ หรือหน่วยธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีรายงานสำหรับผู้บริหารที่สามารถรายงานผลของกิจการตามอัตราส่วนทางการเงินเป็นรายเดือน ไตรมาส หรือรายปีเหมือนกับเรามีนักวิเคราะห์ด้านการเงินมืออาชีพอยู่ในกิจการ

24,000 บริษัท
วางใจใช้งาน PEAK

30,000

บริษัท

วางใจใช้งาน PEAK

1,400 พันธมิตรสำนักงานบัญชี

1,400

พันธมิตร

PEAK Family Partner

4  ล้านธุรกรรมต่อเดือน บน PEAK

4

ล้านธุรกรรม/เดือน

ธุรกรรมบน PEAK ต่อเดือน

40,000 ล้าน บาท/เดือน

40,000

ล้าน บาท/เดือน

มูลค่ารายการค้าต่อเดือน

จุดเด่นและฟังก์ชันของ PEAK Board โปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจอย่างมืออาชีพ

เปรียบเทียบกำไร - ขาดทุน

เปรียบเทียบกำไร – ขาดทุน

สามารถรู้กำไรเป็นราย โครงการ สาขา หน่วยธุรกิจ บริหารต้นทุน ค่าใช้จ่าย แต่ละโครงการได้

รายงานสำหรับผู้บริหาร

รายงานสำหรับผู้บริหาร

รายงานสรุปข้อมูลที่สำคัญในการทำธุรกิจ เหมือนมีนักวิเคราะห์ด้านการเงินมืออาชีพอยู่ในกิจการ

ปรับแต่งข้อมูลรายงานได้

ปรับแต่งข้อมูลรายงานได้

ปรับแต่งรายงานได้อยากอิสระตามความต้องการ เช่น รายงานยอดขายตามพนักงาน สินค้า ช่องทางการขาย

PEAK Board เหมาะกับใคร?
ระบบวิเคราะห์ธุรกิจอย่างมืออาชีพที่ตอบโจทย์ธุรกิจมากที่สุด

ผู้ประกอบการใช้ PEAK board วิเคราะห์ธุรกิจ SME

ผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการเครื่องมือด้านการวิเคราะห์ธุรกิจ

รับรู้กำไรขาดทุนในแต่ละสาขา โครงการ หน่วยงาน รู้ยอดขายตามแผนก พนักงานขายรายบุคคล หรือภูมิภาค มีรายงานสรุปตัวเลขที่สำหรับสำหรับธุรกิจ

PEAK board ใช้สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลพนักงานโดยฝ่ายบุคคลและนักบัญชี

ตัวช่วยในการวิเคราะห์ธุรกิจ สำหรับผู้จัดการการเงินและนักบัญชี

สร้างรายงานได้ตรงตามความต้องการของผู้บริหารวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินให้อัตโนมัติปรับแต่งรายงานได้หลากหลายรูปแบบ

มารู้จัก PEAK Payroll โปรแกรมเงินเดือน
ออนไลน์ภายใน 3 นาที

มาเรียนรู้และเริ่มต้นใช้งานโปรแกรมคำนวณเงินเดือน
ออนไลน์ได้อย่างมืออาชีพด้วยวิดีโอสอนการใช้งาน
ครบทุกเมนู เพื่อให้คุณเริ่มต้นใช้งานโปรแกรมเงินเดือน
ออนไลน์ PEAK Payroll ได้อย่างมืออาชีพ

บริหารธุรกิจได้ดีกว่าเดิม วิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างตรงจุด เมื่อเชื่อมต่อระบบ PEAK Board กับ PEAK Account

วิเคราะห์ข้อมูลบัญชี รายงานการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ราคาเริ่มต้น 1,200 บาท/เดือน โปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจ PEAK Board

บริหารธุรกิจ บัญชี การเงิน
และจัดการเงินเดือนได้ครบวงจร

เริ่มต้นเพียง 1,200 บาท/เดือน

รู้จัก PEAK Board โปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจ ใน 3 นาที

วิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจด้วย Dashboard โปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจ - PEAK Board

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจ PEAK Board

การสร้างกลุ่มจัดประเภทเพื่อให้เหมาะกับกิจการบนโปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจอย่างมืออาชีพนั้น (PEAK Board) ไม่ใช่เรื่องสำหรับมือใหม่ เพียงแค่คุณมีกลุ่มที่ต้องต้องการแยกรายได้ ค่าใช้จ่ายของกิจการในใจแล้วเช่น ต้องการแยกรายได้ ค่าใช้จ่าย ตามแผนก คุณสามารถ List รายชื่อแผนกต่างๆของบริษัทออกมาก่อนจากนั้นนำรายชื่อแผนกไปสร้างกลุ่มจัดประเภทตามคู่มือนี้ได้เลย 

เมื่อสร้างเรียบร้อยแล้ว ก็จะสามารถแยกเอกสารรายรับ รายจ่ายตามแผนกที่ต้องการได้เลยค่ะ นอกจากแผนกแล้วคุณยังสามารถแยกกลุ่มได้หลากหลายตามมุมมองที่กิจการต้องการมองเห็นผ่าน โปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจอย่างมืออาชีพนั้น (PEAK Board) เช่น โครงการ , ยอดขายรายสาขา หรืออื่นๆ 

PEAK Board คืออะไรและช่วยธุรกิจคุณได้อย่างอย่างไรคลิกอ่านที่นี่

เมื่อคุณได้มีการสร้างกลุ่มจัดประเภทตามมุมมองที่กิจการต้องการแล้ว สามารถนำกลุ่มจัดประเภทมาระบุบนเอกสารตามคู่มือนี้ได้เลย  เมื่อติดกลุ่มจัดประเภทบนเอกสารเรียบร้อยแล้วท่านจะสามารถเข้าไปดูตัวเลขของแต่ละกลุ่มผ่านโปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจอย่างมืออาชีพนั้น (PEAK Board) เพื่อให้ประกอบการตัดสินใจด้านธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว

วิธีการดูรายงานผ่านโปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจอย่างมืออาชีพนั้น (PEAK Board)จะแบ่งเป็น 2 รายการคือ

  1. รายงานที่ดึงข้อมูลจากการหน้าเอกสารรายรับ-รายจ่าย ที่มีการระบุกลุ่มจัดประเภทเอาไว้ วิธีการพิมพ์รายงานคลิกอ่านที่นี่  (รายงานนี้จะดึงข้อมูลมาแสดงเฉพาะเอกสารที่มีการบันทึกบัญชีรายได้หมวด4 และค่าใช้จ่ายหมวด5)
  2. รายงานวิเคราะห์ธุรกิจสำหรับผู้บริหาร / Executive Summary วิธีการพิมพ์รายงานคลิกอ่านที่นี่

การระบุกลุ่มจัดประเภทในเอกสารจะไม่มีผลกระทบต่อบัญชีแยกประเภท (GL) ของกิจการ โดยใช้เพื่อแสดงผลเฉพาะในโปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจ (PEAK Board) เท่านั้น

ผลิตภัณฑ์ของ PEAK

PEAK Account
โปรแกรมบัญชีออนไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Payroll
โปรแกรมเงินเดือนออนไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Board
โปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Asset
โปรแกรมบริหารจัดการสินทรัพย์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Tax
โปรแกรมการจัดการภาษีออนไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

Line @PEAKConnect
ใช้งานโปรแกรมผ่านไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

บทความน่ารู้

วางแผนภาษีก่อนหมดปี ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ใช้สิทธิลดหย่อนให้ครบ ลดภาษีอย่างถูกกฎหมาย พร้อมแนวทางจัดการเอกสาร อ่านเลย

PEAK Account

35

min

วางแผนภาษีบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล ก่อนใช้สิทธิลดหย่อนปลายปี

ก่อนจะ วางแผนภาษี คุณต้องรู้ก่อนว่า “ตอนนี้คุณทำธุรกิจในรูปแบบของบุคคลธรรมดา หรือ ในรูปแบบนิติบุคคล (บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด) ”เพราะวิธีการคำนวณภาษี การหักต้นทุน ทำบัญชีค่าใช้จ่าย การเก็บบิลเอกสาร หลักฐาน  และ สิทธิลดหย่อนภาษีของทั้งสองแบบไม่เหมือนกันเลย และ ในแต่ละแบบจะมีวิธีการคิด คำนวณภาษี หรือ วิธีการวางแผนภาษีที่แตกต่างกัน ดังนั้น ก่อนที่คุณจะวางแผนภาษีคุณต้องรู้ตรงส่วนนี้ก่อนว่าทำธุรกิจในรูปแบบไหนถึงจะวางแผนภาษีได้อย่างถูกต้องและแม่นยำเพื่อทำให้เราเสียภาษีน้อยที่สุด และ ถูกต้องตามกฎหมายมากที่สุด แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราทำธุรกิจแบบไหนอยู่ ? ยกตัวอย่างให้เห็นภาพแบบง่ายๆ ก่อนที่เราจะดูเรื่องของการวางแผนภาษีเบื้องต้น สรุปแบบง่ายๆ ถ้าเราทำธุรกิจ หรือ ทำงานแบบไม่ได้ไปจดจัดตั้งบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด จะถือว่าเราทำธุรกิจในรูปแบบของ “บุคคลธรรมดา” ทั้งหมดไม่ว่าจะทำอาชีพไหนก็ตาม แต่ถ้าเราทำธุรกิจและได้มีการจดจัดตั้ง บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ขึ้นมาจะถือว่าเราทำธุรกิจในรูปแบบของ “นิติบุคคล” ทั้งหมดเช่นกันไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเราจะจด “บริษัท” หรือ “ห้างหุ้นส่วนจำกัด”  ขึ้นมาแล้ว และ ได้มีการเสียภาษีในรูปแบบของนิติบุคคลแล้ว แต่ถ้าตัวเราเองยังมีรายได้อยู่ไม่ว่าจะจากช่องทางไหนก็แล้วแต่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ “บริษัท” หรือ “ห้างหุ้นส่วนจำกัด” เราก็ยังคงจะต้องยื่นภาษี และ เสียภาษีในรูปแบบของ “บุคคลธรรมดา” ด้วยเหมือนกัน การวางแผนภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา แบ่งประเภทของรายได้ และ การหักต้นทุนค่าใช้จ่ายของแต่ละประเภท สิ่งแรกที่เราต้องรู้ก่อนที่เราจะวางแผนภาษี และ เสียภาษีได้นั้นคือเรื่องของการรู้ว่ารายได้ของเราจัดอยู่ในประเภทไหน และ หักต้นทุน ค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีได้กี่ % หรือ กี่บาท เพราะรายได้ของแต่ละอาชีพนั้นจะสามารถหักต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ไม่เหมือนกัน หรือ ไม่เท่ากันเลย ถึงแม้ว่าจะมีรายได้เท่ากันแต่การหักต้นทุน หรือ ค่าใช้จ่ายอาจจะไม่เท่ากันเสมอไป โดยประเภทรายได้ในทางภาษีจะแบ่งออกมาได้ทั้งหมด คือ 8 ประเภท  ดังนี้  การหักต้นทุนค่าใช้จ่ายในทางภาษีจะมีทั้งหมดอยู่ 2 แบบ คือ  1. การหักต้นทุนแบบเหมาโดยไม่ต้องเก็บบิล เอกสาร หลักฐาน ต้นทุน แต่จะสามารถหักต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น  2. การหักต้นทุนแบบตามความเป็นจริง คือ การที่เราสามารถหักต้นทุน ค่าใช้จ่ายในธุรกิจได้ตามที่เกิดขึ้นจริงแต่จะต้องมีการทำบัญชีรับจ่าย เก็บบิล เอกสาร หลักฐานที่เป็นต้นทุนทั้งหมด  ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีกฎหมายกำหนดว่าสามารถหักต้นทุนแบบไหนได้บ้าง บางประเภทหักได้แต่แบบเหมาเท่านั้น บางประเภทหักได้แบบตามจริงเท่านั้น และ บางประเภทสามารถเลือกได้ว่าจะหักต้นทุนแบบเหมาหรือตามจริงก็ได้ (เลือกได้ 1 อย่าง) โดยแต่ละประเภทจะสามารถหักต้นทุนได้ดังนี้ **** ถ้าเรามีรายได้ทั้ง 40 (1) และ (2) รวมกันก็สามารถหักต้นทุนในการคำนวณภาษีได้แค่ 50% ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี เท่านั้น  ตรวจสอบสิทธิลดหย่อนภาษี หลังจากที่เรารู้แล้วว่ารายได้ของเราสามารถหักต้นทุนในการคำนวณภาษีแบบไหนได้บ้าง และ หักต้นทุนได้เท่าไหร่ในการคำนวณภาษี สิ่งที่เราต้องรู้ และ เตรียมตัวในการลดหย่อนภาษีต่อมา คือ เรื่องของการใช้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษี ซึ่งแต่ละคนก็มีสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีได้แตกต่างกันซึ่งสิทธิ์ลดหย่อนภาษีของแต่ละบุคคล และ แต่ละปีก็อาจจะมีความแตกต่างออกไป โดยสิทธิลดหย่อนภาษีที่ใช้ได้จะมีหลักๆ  ดังนี้ รวมใบ 50 ทวิ ให้ครบ ในกรณีที่เราทำงานให้บริการ หรือ ขายของให้กับบริษัท แล้วทางบริษัทมีการ หักภาษี ณ ที่จ่าย รายได้ของเราเอาไวด้วย เช่น รับจ้างทำงานราคา 10,000 บาท บริษัทหัภาษี ณ ที่จ่ายเอาไว 3% หรือ 300 บาท ทางบริษัทจะต้องเอกสารที่เรียกว่า ใบ 50 ทวิ หรือ เอกสารการหักภาษี ณ ที่จ่ายเอากับเราด้วย เพราะเราสามารถนำภาษี หัก ณ ที่จ่ายที่เราโดนหักเอาไวมาหักลบกับภาษีที่เราต้องเสียได้โดยตรง เช่น ปี 2568 มีภาษีที่ต้องเสีย 1,000 บาท แต่โดนหักภาษี ณ ที่จ่าย 300 บาท จะเท่ากับว่าภาษีที่ต้องเสีย 1,000 ลบ กับภาษีที่เราโดนหัก ณ ที่จ่ายเอาไวก่อนล่วงหน้า 300 บาท เท่ากับเราต้องเสียภาษีเพิ่มแค่ 700 บาท เป็นต้น ดังนั้น ถ้าเราโดนหัก ภาษี ณ ที่จ่ายเราจะต้องเก็บเอกสารหัก ณ ที่จ่าย หรือ ใบ 50 ทวิเอาไวด้วยเพราะจะสามารถช่วยให้จ่ายภาษีน้อยลง หรือ สามารถขอเงินคืนภาษีได้โดยตรง คำนวณรายได้สุทธิและภาษีที่ต้องจ่าย ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ  1.รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน = รายได้สุทธิ ถ้ารายได้สุทธิของเรา มากกว่า 150,001 บาท ต่อปี ขึ้นไป  จะต้องเริ่มเสียภาษีตามอัตราขั้นบันได (5% – 35%) 2. ถ้าเรามีรายได้จากประเภท 40(2) – (8) เกินปีละ 1,000,000 บาท ขึ้นไปให้เอาไป x 0.5% ถ้าเหลือออกมามากกว่า 5,000 บาท ให้เปรียบเทียบกับแบบที่ 1 แบบไหนเสียมากกว่าให้เสียภาษีตามวิธีนั้น ตัวอย่าง มีรายได้จากนายหน้า 40(2) ปีละ 1,000,000 บาท หักต้นทุนแบบเหมา 50% แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี มีค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท ประกันชีวิต 20,000 บาท = 1,000,000 – 100,000 – 60,000 – 20,000 = 820,000 บาท รายได้สุทธิที่เอาไปคำนวณภาษี คือ 820,000 บาท  รายได้สุทธิ 0 – 150,000 เสียภาษี 0 บาท รายได้สุทธิ 150,001  – 300,000 (150,000 บาท) เสียภาษี 5% = 7,500 บาท รายได้สุทธิ 300,001  – 500,000 (200,000 บาท) เสียภาษี 10% = 20,000 บาท รายได้สุทธิ 500,001  – 750,000 (250,000 บาท) เสียภาษี 15% = 37,500 บาท รายได้สุทธิ 750,001  – 1,000,000 (250,000 บาท) เสียภาษี 20% = 50,000 บาท รายได้สุทธิ 820,000 บาท แต่ไม่ถึง 1,000,000 บาท จะจัดว่าอยู่ในขั้น 20% วิธีการคำนวณคือ  นำ 820,000 – 750,001 = 69,999 x 20% = 13,999.8 บาท นำภาษีที่เราต้องเสียในแต่ละขั้นบันไดมาบวกรวมกันทั้งหมดจะเท่ากับภาษีที่เราต้องเสียในปีนั้น = 7,500 + 20,000 + 37,500 + 13,999.8 = 78,999.8 บาท ภาษีที่ต้องเสียในกรณีที่ คำนวณตามวิธีที่ 1 = 78,999.8 บาท คำนวณแบบวิธีที่ 2 คือ เอารายได้ทั้งหมด x 0.5% = ภาษีที่ต้องเสีย 1,000,000 x 0.5% = 5,000 บาท  ภาษีที่ต้องเสียตามแบบวิธีที่ 2 คือ 5,000 บาท เปรียบเทียบกันแล้วถ้าคำนวณแบบวิธีที่ 1 เสียภาษี 78,999.8 บาท คำนวณแบบวิธีที่ 2 เสียภาษี 5,000 บาท ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วต้องเสียภาษีตามแบบวิธีที่คำนวณออกมาแล้วเสียมากกว่า ถ้าตามตัวอย่าง ต้องเสียภาษีตามวิธีคำนวณแบบที่ 1 ตรวจเอกสารให้ครบ ก่อนสิ้นปี ตรวจเอกสารให้ครบ ก่อนสิ้นปี เพราะทุก “ใบเสร็จที่เรามี” = เงินที่คุณประหยัดได้ และที่สำคัญ…เดือนสุดท้ายของปี ยังทัน เรายังสามารถ “อุดรูรั่วภาษี” ได้อีกหลายทาง เช่น เดือนสุดท้ายของปี เรายังสามารถซื้อประกันหรือกองทุนเพิ่ม เพื่อใช้ลดหย่อนได้ทันเวลา ทุกอย่างที่ทำ ก่อน 31 ธ.ค. คือโอกาสประหยัดเงินแบบถูกกฎหมาย อย่าปล่อยสิทธิ์ดี ๆ หลุดมือ แล้วมานั่งเสียดายทีหลัง ข้อควรระวัง การวางแผนภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา ข้อควรระวังในการยื่นภาษี หรือ เสียภาษีในแต่ละปีคือ การวางแผนภาษีสำหรับบริษัท หรือนิติบุคคล ตรวจสอบรายได้และค่าใช้จ่ายในระบบบัญชี ภาษีนิติบุคคล ( บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด)  จะแตกต่างจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคือการที่ภาษีนิติบุคคลจะไม่มีการแบ่งประเภทของรายได้ แต่จะใช้วิธีการคำนวณแบบง่ายๆ คือ รายได้ – ค่าใช้จ่าย = รายได้สุทธิที่นำไปคำนวณภาษี ทุกอย่างต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและเกี่ยวกับธุรกิจเท่านั้น และ จะต้องมีการเก็บบิล เอกสาร หลักฐาน ต้นทุนค่าใช้จ่ายทั้งหมด และ มีระบบการจัดการบัญชีและภาษีที่เข้มงวดมากกว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะ “ภาษี” ไม่ได้ดูว่าเราตั้งใจใจทำดีแค่ไหนแต่ดูจาก “เอกสาร” เท่านั้น เอกสารรายได้ที่เราออกให้ลูกค้า เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ ใบรับเงินมัดจำ เป็นต้น ซึ่งเอกสารเหล่านี้ต้องออกให้ “ครบทุกยอดขาย และ ยอดซื้อ” เพราะถ้ายอดจริงกับเอกสารต่างกันอาจจะทำให้มีปัญหาในเรื่องของการทำบัญชี ปิดงบ หรือ ยื่นภาษีได้ ด้าน ค่าใช้จ่าย ก็เหมือนกันอยากหักภาษีให้ได้เยอะๆสิ่งที่ต้องมีคือ “หลักฐานค่าใช้จ่ายที่ถูกต้อง” เช่น ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป บิลร้านค้าที่มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี ใบเสร็จที่ระบุรายการชัดเจน รายการโอนเงินที่มีรายละเอียดครบ เพราะภาษีนิติบุคคล คือ ถ้าไม่มีเอกสาร ค่าใช้จ่ายนั้น = นับเป็น 0 ถึงคุณจะจ่ายจริง แต่สรรพากรไม่นับให้จะต้องบวกกลับเป็นรายได้ทันที ยกตัวอย่าง ซื้อต้นทุนมา 10,000 บาท แต่ไม่มีบิล = เราต้องเสียภาษีเหมือนคุณ “ไม่เคยซื้อของนั้นเลย” อาจทำให้เราเสียภาษีเยอะขึ้นแบบไม่จำเป็น หักค่าใช้จ่ายได้เต็มสิทธิ์ คือ การที่บริษัทสามารถนำ “ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ” มาหักออกจากรายได้ก่อนคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งจะช่วยลดกำไรสุทธิ และทำให้ภาษีที่ต้องชำระลดลงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้การวางแผนภาษีมีประสิทธิภาพ บริษัทควรตรวจสอบว่าค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้รับการบันทึกครบถ้วน พร้อมหลักฐานที่ถูกต้องครบถ้วน ตัวอย่างค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาลดภาษีได้ 1. เงินเดือนและสวัสดิการพนักงาน : รวมถึงเงินเดือน, ค่าจ้างรายวัน, โบนัส, ค่าคอมมิชชั่น, ประกันสังคมนายจ้าง และสวัสดิการอื่น ๆ ที่อยู่ในนโยบายของบริษัท หมายเหตุ: ต้องมีสัญญาจ้าง รายการจ่ายจริง และหลักฐานการโอนเงินครบถ้วน 2. ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่า ค่าโฆษณา : เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินธุรกิจ เช่น ค่าเช่าสำนักงาน/คลังสินค้า, ค่าน้ำ ค่าไฟ ,ค่าอินเทอร์เน็ต ,ค่าโฆษณาออนไลน์ (Facebook Ads, Google Ads, TikTok Ads), ค่าทำการตลาดอื่น ๆ ทั้งหมดสามารถนำมาหักภาษีได้ หากมีใบเสร็จรับเงิน , ใบกำกับภาษีที่ถูกต้องครบถ้วน และ เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา 3. ค่าซอฟต์แวร์และระบบบัญชีออนไลน์ เช่น ค่าซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ โปรแกรมทำบัญชีออนไลน์ ระบบ CRM เครื่องมือบริหารงานในบริษัท เป็นค่าใช้จ่ายที่ถือว่าเกี่ยวข้องกับการบริหารธุรกิจโดยตรง สามารถนำมาลดภาษีได้ 100% ภายในปีภาษีนั้น ๆ (หรือบางกรณีเข้าข่ายทรัพย์สินถาวร ต้องคำนวณค่าเสื่อมราคาจะไม่สามารถบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายโดยตรงได้ทันที) 4. ค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายการตลาดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน กรณีเดินทางพบลูกค้า ค่าเดินทางไปทำงานนอกสถานที่ ค่าออกบูธ / ค่าจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ค่าอาหารที่ใช้รับรองลูกค้า (หักได้ตามเกณฑ์กฎหมาย) ทุกค่าใช้จ่ายต้อง “มีความเกี่ยวข้องกับงาน” และต้องมีหลักฐานประกอบ เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จ หรือเอกสารอนุมัติค่าใช้จ่ายภายในบริษัท ดังนั้น การหักค่าใช้จ่ายได้เต็มสิทธิ์คือการทำให้บริษัทมีต้นทุนที่ชัดเจน โปร่งใส และช่วยประหยัดภาษีอย่างถูกกฎหมาย สิ่งสำคัญ คือ ต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อธุรกิจ มีเอกสารหลักฐานครบถ้วน บันทึกบัญชีถูกต้องตามมาตรฐาน ตรวจสิทธิ์ลดหย่อนภาษีสำหรับกิจการ (Tax Incentives) การตรวจสอบ “สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกิจการ” หรือ Tax Incentives ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดค่าใช้จ่าย และใช้ประโยชน์จากมาตรการที่รัฐจัดให้ตามกฎหมายอย่างเต็มศักยภาพ ในแต่ละปี กิจการควรประเมินสิทธิ์ของตนเองว่าเข้าข่ายได้รับการส่งเสริม หรือลดหย่อนในมาตรการด้านภาษีประเภทใดบ้าง เพื่อป้องกันการเสียสิทธิ์โดยไม่จำเป็น และเพื่อลดภาระภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อัตราภาษีพิเศษสำหรับนิติบุคคลขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) SMEs ที่มีทุนชำระแล้วไม่เกินตามเกณฑ์ และรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี จะได้รับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลแบบขั้นบันได เช่น กำไรสุทธิ 0 – 300,000 บาท: ยกเว้นภาษี กำไรส่วนที่เกิน 300,000 บาท: อัตราภาษี 15%  กำไรกำไรมากกว่า 3,000,000 บาท ขึ้นไป จะมีอัตราภาษี 20% ถ้าธุรกิจที่ไม่เงื่อนไขเป็น SMEs ที่จดทะเบียนนิติบุคคล จะมีอัตราภาษี 20% ตั้งแต่กำไรบาทแรก ธุรกิจต้องตรวจสอบเงื่อนไข เช่น ทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้ว ลักษณะธุรกิจ รายได้ทั้งปี เพื่อให้ได้รับสิทธิ์อย่างถูกต้อง สิทธิลดหย่อนที่ภาครัฐมักออกให้บริษัท เช่น สิทธิ์นี้สามารถใช้ได้ต่อเนื่อง 5 รอบระยะเวลาบัญชีติดต่อกัน นับตั้งแต่ปีที่เริ่มมีรายได้หรือเริ่มดำเนินกิจการ (ตามเงื่อนไข SME ที่กฎหมายกำหนด) นิติบุคคลที่มีการส่งพนักงานเข้าอบรมเพื่อพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล (Digital Skills) สามารถนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาหักลดหย่อนภาษีได้มากกว่าปกติ โดยมีสิทธิ์หักเป็นค่าใช้จ่ายได้ถึง 2 เท่า ของจำนวนเงินที่จ่ายจริงตามมาตรการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานที่รัฐกำหนดเพื่อใช้สิทธิ์นี้ ต้องมี หลักฐานการจ่ายเงินที่ถูกต้อง เช่นใบเสร็จรับเงิน เอกสารยืนยันการอบรมจากสถาบันหรือสถานฝึกอบรมที่ได้รับการรับรอง การที่นิติบุคคลลงทุนใน ระบบบัญชี โปรแกรมดิจิทัล หรือเทคโนโลยีที่ช่วยพัฒนาการทำงานของธุรกิจ สามารถนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาลดภาษีได้มากกว่าปกติ ตามมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐ หลักการสำคัญคือ ค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ “มากกว่า 100%” ของที่จ่ายจริง (ขึ้นอยู่กับมาตรการและประกาศกรมสรรพากรในแต่ละปี) ตัวอย่างค่าใช้จ่ายที่เข้าข่าย  สรุปงบก่อนปิดปี การตรวจงบก่อนปิดปีเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจคาดการณ์ภาระภาษีล่วงหน้า และเตรียมเอกสารได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ก่อนถึงช่วงยื่นแบบภาษีประจำปี 1. ตรวจงบกำไรขาดทุน เพื่อคาดการณ์ภาษีเงินได้นิติบุคคล ธุรกิจควรสรุปงบกำไรขาดทุน (Profit & Loss Statement) ของทั้งปีเพื่อดูว่า รายได้รวมเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายบันทึกครบหรือยัง มีกำไรสุทธิหรือขาดทุน จากนั้นคำนวณ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ในอัตราทั่วไป 20% ของกำไรสุทธิ (หรืออัตราพิเศษตามเงื่อนไข SME) การคาดการณ์ภาษีล่วงหน้าช่วยให้เราวางแผนจัดการกระแสเงินสดได้ตรวจพบข้อผิดพลาดในงบก่อนยื่นจริง และวางแผนใช้สิทธิ์หักค่าใช้จ่าย/ลดหย่อนให้ครบถ้วนภายในปีภาษี 2. ตรวจยอดภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) กิจการที่มีรายได้ต้องยื่นภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) ดังนั้น ปลายปีควรตรวจสอบว่า ยื่นภาษีครึ่งปีถูกต้องหรือไม่ ประมาณการรายได้-กำไรครึ่งปีสอดคล้องกับผลประกอบการจริงหรือไม่ มีความเสี่ยงต้องชำระ “เงินเพิ่ม” กรณียื่นต่ำกว่าความเป็นจริงหรือไม่ การตรวจสอบภ.ง.ด.51 จะช่วยประเมินยอดภาษีปลายปีได้แม่นยำและถูกต้องมากขึ้น 3. เตรียมยื่นภาษีปลายปี (ภ.ง.ด.50) เมื่อปีบัญชีสิ้นสุด บริษัทต้องเตรียมเอกสารและงบการเงินสำหรับยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี (ภ.ง.ด.50) เช่น งบการเงินประจำปี รายละเอียดประกอบงบ รายการปรับปรุงภาษี รายละเอียดทรัพย์สิน–ค่าเสื่อมราคา สัญญาจ้าง / ใบกำกับภาษี / เอกสารค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ดังนั้น การสรุปงบก่อนปิดปี คือการ “ตรวจเช็กสุขภาพการเงินของบริษัท” ก่อนส่งให้สรรพากร ช่วยให้ยื่นภาษีได้ถูกต้อง มีประสิทธิภาพ และใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้เต็มที่ วางแผนภาษีก่อนหมดปี อย่ารอให้ถึงมีนาคมแล้วค่อยเริ่ม การวางแผนภาษีที่ดีควรเริ่มตั้งแต่ก่อนสิ้นปี ไม่ใช่รอจนถึงช่วงยื่นแบบ เพราะเดือนสุดท้ายของปีคือโอกาสสำคัญที่จะช่วยให้คุณใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ครบ เก็บเอกสารค่าใช้จ่ายได้ทัน ตรวจสอบยอดภาษีล่วงหน้า และปรับตัวเลขบัญชีให้ถูกต้องก่อนปิดงบ การเตรียมตัวล่วงหน้าจะช่วยให้คุณจ่ายภาษีเท่าที่จำเป็น ลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบ และไม่พลาดสิทธิ์ที่ควรได้คืน หากมีระบบที่ช่วยจัดการบัญชีและเอกสารอย่างเป็นระเบียบ เช่น PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่ช่วยบันทึกรายรับรายจ่าย เก็บเอกสาร และดูภาพรวมภาษีได้แบบเรียลไทม์ ก็จะช่วยให้การวางแผนภาษีก่อนหมดปีทำได้ง่ายขึ้น และตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากกว่าเดิม ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

ความรู้ภาษี

วิธีเช็กกิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มผ่าน VAT INFO

PEAK Account

12

min

วิธีเช็กกิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ผ่าน VAT INFO 

การทำธุรกิจมักต้องมีการติดต่อซื้อขายสินค้า หรือบริการกับคู่ค้าทางธุรกิจหลายราย การตรวจสอบสถานะการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของคู่ค้าถือเป็นขั้นตอนสำคัญ ด้วยเหตุนี้ทางกรมสรรพากรจึงได้พัฒนาระบบ VAT INFO ขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือให้ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบสถานะการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของคู่ค้าง่าย ๆ ทำได้ด้วยตัวเองได้ตลอด 24 ชั่วโมง ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คืออะไร ธุรกิจต้องจดเมื่อไหร่? สำหรับเหตุผลที่กิจการหรือร้านค้าจำเป็นต้องมีการคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม บวกเข้าไปในราคาของสินค้าหรือบริการ เนื่องจากกฎหมายได้มีการกำหนดให้ร้านค้าที่มียอดขายต่อปี เกินกว่า 1,800,000 บาท หรือ ประกอบธุรกิจในประเภทที่ระบุไว้ในกฎหมายว่าต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพื่อให้ทางรัฐบาลสามารถนำเงินส่วนนี้ไปใช้ในการบริหารและพัฒนาประเทศได้ โดยในปัจจุบันอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อยู่ที่ 7% ของมูลค่าสินค้าหรือบริการ ซึ่งเป็นมูลค่าหลังหักส่วนลดแล้ว สำหรับกิจการไหนมียอดขายต่อปีเข้าใกล้กับที่กฎหมายกำหนดสามารถอ่านข้อดีของการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ได้ที่ จดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ส่งผลดีกับธุรกิจอย่างไร ทำไมต้องตรวจสอบใบกำกับภาษี อีกหนึ่งคำถามที่หลายท่านอาจสงสัยว่าทำไม เราต้องตรวจสอบสถานะการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือตรวจสอบใบกำกับภาษีด้วย? ซึ่งเหตุผลหลักคือ หากผู้ประกอบการได้รับใบกำกับภาษีปลอมจากบริษัทที่ไม่ได้มีสถานะจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จริง ๆ จะไม่สามารถนำใบกำกับภาษีดังกล่าวไปใช้หักภาษีซื้อได้ นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของธุรกิจคู่ค้าได้อีกด้วย จึงเป็นสาเหตุหลักที่ควรต้องตรวจสอบสถานะของคู่ค้าผ่าน VAT INFO ก่อนการทำธุรกรรมทุกครั้ง วิธีเช็กใบกำกับภาษีปลอม วิธีการตรวจสอบใบกำกับภาษีปลอม สามารถทำได้หลายวิธีตั้งแต่การตรวจสอบด้วยตัวเอง ไปจนถึงตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ซึ่งสามารถทำได้ทั้งหมด 3 รูปแบบหลักดังนี้ ตรวจสอบจากใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice)ในกรณีที่ได้รับเอกสารเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบได้ด้วยไฟล์ PDF ผ่านระบบตรวจสอบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์บนเว็บไซต์ ETDA เพื่อช่วยยืนยันความถูกต้องของเอกสารได้ง่าย ๆ เช่นกัน วิธีสังเกตใบกำกับภาษีปลอม ใบกำกับภาษีปลอมจะมีลักษณะความผิดปกติที่ค่อนข้างชัดเจน หากพฤติกรรมคู่ค้าของคุณหรือใบกำกับภาษีที่ได้รับมามีลักษณะ 7 ข้อนี้ควรระวัง และตรวจสอบโดยทันที ทุกครั้งที่ได้รับใบกำกับภาษี หรือมีการติดต่อกับคู่ค้าใหม่ ๆ แนะนำให้ตรวจสอบสิ่งเหล่านี้อย่างละเอียด เพื่อช่วยลดความเสี่ยงการถูกหลอกลวงและป้องกันการเสียภาษีโดยไม่จำเป็น VAT INFO คืออะไร VAT INFO หรือ ระบบค้นหาข้อมูลผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยให้บริการบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ซึ่งระบบ VAT INFO ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในประเทศไทยได้ง่ายๆ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องเสียเวลาติดต่อกรมสรรพากรโดยตรง ประโยชน์ของ VAT INFO ขั้นตอนการเช็กรายชื่อกิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ผ่าน VAT INFO ทั้งนี้ในกรณีที่กิจการที่ค้นหาไม่ได้เป็นผู้ประกอบการจด VAT ระบบจะขึ้นคำว่า “เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรที่ท่านค้นหาไม่ใช่ผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม กรุณาตรวจสอบหรือทำรายการใหม่” ประโยชน์ที่ได้จากการเช็กกิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เหตุผลหลักที่ทำให้หลายท่านจำเป็นต้องตรวจสอบกิจการจดทะเบียนภาษีมูลค่า ส่วนใหญ่เพื่อเป็นการตรวจสอบตัวตนและความถูกต้องว่ากิจการที่เราทำธุรกรรมด้วยสามารถออกใบกำกับภาษีให้เราได้จริง โดยสรุปเหตุผลได้ทั้งหมด 3 ข้อดังนี้ 1 ช่วยให้มั่นใจว่าได้รับใบกำกับภาษีที่ถูกต้องตามกฎหมาย การตรวจสอบสถานะการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ช่วยให้มั่นใจได้ว่าผู้ขายเป็นธุรกิจที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายกับกรมสรรพากร และสามารถนำใบกำกับภาษีที่ได้ไปใช้หักภาษีซื้อหรือขอคืนภาษีได้จริง ซึ่งหมายความว่ากิจการที่เราทำธุรกรรมด้วย ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง  2 เป็นการยืนยันว่ากิจการมีตัวตนอยู่จริง กิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือของกิจการนั้น ๆ และช่วยลดความเสี่ยงในการถูกหลอกลวง ทำให้บางธุรกิจเลือกที่จะค้าขายกับกิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แล้วเท่านั้น 3 สามารถตรวจสอบที่อยู่ที่ถูกต้องในการออกใบกำกับภาษีได้ ข้อมูลการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มักจะรวมถึงชื่อบริษัท ที่อยู่ และเลขทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ข้อมูลเหล่านี้สามารถใช้เพื่อตรวจสอบข้อมูลบนใบกำกับภาษีว่ามีความถูกต้อง และสามารถนำไปใช้ในหักภาษีได้จริง เช็กกิจการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK นอกจากการใช้งาน VAT INFO ของกรมสรรพากรแล้ว โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK มีการเชื่อมต่อข้อมูลของกิจการที่จด VAT โดยอัตโนมัติที่สามารถตรวจสอบได้ง่าย ๆ เช่นกัน เพียงแค่กรอกเลขนิติบุคคล 13 หลัก ระบบจะแสดงชื่อที่อยู่ของกิจการทันที ช่วยลดระยะเวลาในการค้นหา และลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดในการออกใบกำกับภาษีและตรวจสอบข้อมูลได้ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

ความรู้ภาษี

วิธีเลือกสำนักงานบัญชีที่เหมาะกับธุรกิจ

PEAK Account

16

min

วิธีเลือกสำนักงานบัญชี ที่เหมาะกับธุรกิจ จัดการบัญชีขภาษีอย่างมีประสิทธิถาพ

การเลือก สำนักงานบัญชี เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เจ้าของกิจการหลายท่านอาจคิดว่า เพียงแค่ “น่าเชื่อถือ” และ “ราคาเหมาะสม” ก็เพียงพอแล้ว แต่ในความเป็นจริง การทำธุรกิจยุคปัจจุบันมีการแข่งขันที่สูง และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา กิจการจึงจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลทางบัญชีและการเงินที่แม่นยำ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ ทั้งการวิเคราะห์ต้นทุน การกำหนดราคาขาย การวางแผนงบประมาณด้านการตลาด รวมถึงการบริหารสภาพคล่อง ซึ่งในบางครั้ง การได้รับข้อมูลทางบัญชีเป็นรายปี หรือรายเดือนที่ไม่ครบถ้วนเพียงพอ อาจทำให้การตัดสินใจล่าช้ากว่าที่ควร เนื่องจากตัวเลขทางบัญชีอาจจะสะท้อนถึงปัญหาทางการเงินที่เกิดขึ้นในระหว่างปี และปัญหานั้นอาจเป็นปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ดังนั้น การหาสำนักงานบัญชีสำหรับธุรกิจ SME ในปัจจุบันจึงไม่ใช่แค่การหานักบัญชีที่ปิดงบการเงินและยื่นภาษีให้เสร็จตามกฎหมาย แต่คือการค้นหาพาร์ทเนอร์ที่มีความรู้ด้านบัญชี และการเงิน และมีความเข้าใจในบริบทและวิธีการทำธุรกิจของคุณ เพื่อช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นใจ  และที่สำคัญ ควรมีสไตล์การทำงานที่เหมาะสมกับกิจการ เพื่อให้สามารถร่วมงานกันได้ในระยะยาว รวมทั้งหากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในอนาคต เจ้าของกิจการก็จะมั่นใจได้ว่าสำนักงานบัญชีนั้นก็พร้อมที่จะปรับตัวเช่นเดียวกับกิจการคุณ สำนักงานบัญชีที่ “ใช่” ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงด้านภาษีและข้อผิดพลาด แต่ยังช่วยให้เจ้าของกิจการมีข้อมูลที่พร้อมใช้ในการตัดสินใจด้านกลยุทธ์และการเงินได้ทันเวลา เพื่อให้เจ้าของกิจการเลือกสำนักงานบัญชีได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จึงรวบรวมทั้งปัญหาที่มักพบในการทำงานร่วมกับสำนักงานบัญชี รวมถึงเทคนิคสำคัญที่ควรนำไปใช้ก่อนตัดสินใจเลือกสำนักงานบัญชีสำหรับธุรกิจของคุณ ทำไมการเลือกสำนักงานบัญชี จึงสำคัญต่อธุรกิจ หลายกิจการพบประสบการณ์ไม่ดีจากการ เลือกสำนักงานบัญชีที่ไม่เหมาะกับธุรกิจคล้าย ๆ กัน คือ ถูกทิ้งงานกลางคัน ติดต่อยาก ไม่ให้คำแนะนำทางบัญชี ภาษี และการเงิน และบางครั้งสำนักงานบัญชีไม่เข้าใจการประกอบธุรกิจของกิจการ ส่งผลให้ตัวเลขผิดเพี้ยนและการวิเคราะห์ธุรกิจเป็นไปอย่างคลาดเคลื่อน หรืออาจจะมีปัญหาหรือข้อขัดแย้งอื่น ๆ เกิดขึ้น ทำให้เจ้าของกิจการต้องตัดสินใจเปลี่ยนสำนักงานบัญชี ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่มีเจ้าของกิจการรายใดอยากพบเจอวันนี้ เลยอยากจะมาแชร์ “กรอบแนวคิดในการประเมินและคัดเลือกสำนักงานบัญชี” และเรื่องที่ควรพูดคุยในการคัดเลือกสำนักงานบัญชี มาแบ่งปันให้กับเจ้าของกิจการที่กำลังคัดเลือกสำนักงานบัญชีมาร่วมงานด้วย สำนักงานบัญชีที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร เจ้าของกิจการควรดูอะไรบ้าง สำนักงานบัญชีที่ตอบโจทย์ธุรกิจ ไม่ได้วัดกันเพียงการปิดงบหรือยื่นภาษีตรงเวลา แต่ต้องเป็นทีมที่มองงานบัญชีในฐานะข้อมูลธุรกิจ ดังนั้น ก่อนตัดสินใจ ควรประเมินใน 5 มิตินี้: 1) ความเข้าใจธุรกิจของคุณอย่างลึกซึ้ง สำนักงานบัญชีควรมีประสบการณ์หรือความเข้าใจในประเภทธุรกิจของกิจการ ซึ่งควรจะแบ่งกลุ่มอุตสาหกรรมของกิจการเป็นกลุ่มย่อยได้ เช่น การทำร้านอาหาร ก็จะมีทั้งร้านอาหารตามสั่ง ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านบุฟเฟ่ต์ ซึ่งธุรกิจเหล่านี้มีวิธีการทำธุรกิจ และการจัดการที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้จะอยู่ในกลุ่มร้านอาหารเหมือนกัน และมีความเสี่ยงที่คล้าย ๆ กันในบางเรื่อง นอกจากนี้ สำนักงานบัญชีควรมีความเข้าใจสภาพของการของตลาด และการแข่งขันกันในตลาดนั้น ๆ ในเบื้องต้นด้วย 2) มีระบบและเครื่องมือที่โปร่งใส การมีระบบและเครื่องมือที่โปร่งใส จะทำให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ และป้องกันการเข้าใจคลาดเคลื่อน ที่อาจส่งผลให้เกิดปัญหาในภายหลัง ทั้งการจัดส่งเอกสาร การรายงานเรื่องต่าง ๆ ที่พบ การแจ้งประเด็นความเสี่ยงของกิจการ และตกลงขอบเขตงานเป็นลายลักษณ์อักษร 3) ความรู้และการอธิบายที่เข้าใจง่าย สำนักงานบัญชีที่ดีต้องอธิบายด้วยภาษาที่เจ้าของกิจการเข้าใจได้ และให้เหตุผลรองรับจากหลักบัญชีและกฎหมาย เพื่อให้ในอนาคต หากมีประเด็นทางบัญชี ภาษีที่ซับซ้อนเกิดขึ้น จะได้มั่นใจได้ว่าสำนักงานบัญชีจะสามารถอธิบายให้เจ้าของกิจการเข้าใจได้ เพื่อสามารถตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง 4) การสื่อสารที่เป็นระบบ งานบัญชีต้องอาศัยการประสานงานตลอดปี ดังนั้นช่องทางสื่อสาร การตอบกลับ และการแจ้งเตือนจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ควรสื่อสารด้วยวิธีที่เจ้าของกิจการมองว่าเหมาะสมกับตนเอง เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5) ให้คำแนะนำที่ช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น สำนักงานบัญชีที่ดีควรสามารถมองตัวเลขและ ข้อมูลบัญชีของกิจการ เป็นภาพรวม ไม่ใช่เพียงการบันทึกบัญชีให้ถูกต้อง แต่ต้องอธิบายข้อมูลเป็นเชิงลึก และให้คำแนะนำเพื่อการบริหารกิจการ และควรนำเป็นประเด็นไปสอบถามเจ้าของกิจการด้วย เพราะบางครั้งเจ้าของกิจการอาจจะไม่ทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่สะท้อนมาในตัวเลขทางบัญชี 4 เรื่องสำคัญที่ต้องคุยก่อนเลือกสำนักงานบัญชีให้เหมาะกับธุรกิจ การเตรียมคำถามก่อนคุยกับสำนักงานบัญชี จะช่วยให้คุณประเมินความพร้อม ความสามารถ และแนวคิดการทำงานของทีมบัญชีได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 1) คุย “ขอบเขตงานรายเดือน” ให้ชัดเจน เจ้าของกิจการจำนวนมากต้องใช้ข้อมูลรายเดือนหรือรายไตรมาสประกอบการตัดสินใจ เช่น การปรับราคาขาย การวางงบโฆษณาและการตลาด และความเสี่ยงด้านการเงินจากการขยายขนาดกิจการ (Scale up) เป็นต้น แต่สำนักงานบัญชีบางแห่งอาจ “ไม่ได้ปิดบัญชีรายเดือน” หรือปิดเฉพาะบางหมวด ทำให้ตัวเลขไม่พร้อมใช้งานและไม่สามารถนำไปตัดสินใจได้จริง ควรตกลงกันให้ชัดเจนว่า: การมีขอบเขตชัดเจนตั้งแต่ต้น จะช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างปีได้อย่างมาก 2) ตกลงวิธี “จัดส่งเอกสาร” ให้ชัดเจนตั้งแต่แรก เอกสารคือหัวใจของงานบัญชี และเป็นจุดที่ผิดพลาดได้ง่ายที่สุด สำนักงานบัญชีแต่ละแห่งมีระบบรับเอกสารต่างกัน เช่น หากไม่มีการตกลงให้ชัดเจน เช่น ส่งกระดาษบางส่วนและไฟล์บางส่วน ซึ่งไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสมกับสำนักงานบัญชีนั้น ๆ เอกสารอาจตกหล่น ส่งผลให้การบันทึกบัญชีไม่ครบถ้วน และผิดพลาด ควรคุยให้ชัดว่า 3) ตกลงขอบเขตการใช้งานโปรแกรม หากมีการใช้โปรแกรมบัญชีร่วมกัน หลายกิจการ SME ปัจจุบันใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ร่วมกับ สำนักงานบัญชี เช่น PEAK Account ในการออกบิลขาย บันทึกค่าใช้จ่าย และดูข้อมูลแบบ Real-time ผ่าน DashBoard เนื่องจากมีความสะดวกกว่าโปรแกรมแบบออฟไลน์ ดังนั้นสำนักงานบัญชีที่ใช้โปรแกรมเดียวกันกับกิจการจะช่วยลดความซ้ำซ้อนและทำให้ข้อมูลตรงกัน 100% รวมถึงทำให้ข้อมูลที่เจ้าของกิจการต้องการใช้แบบ Real-time นั้นมีการอัพเดทตลอดเวลา แต่อย่างไรก็ตาม การที่ใช้โปรแกรมเดียวกันนั้น ทำให้สำนักงานบัญชีอาจจะเข้ามาแก้ไขการข้อมูลในโปรแกรมบัญชีดังกล่าว ดังนั้น การตกลงขอบเขตงาน ว่างานส่วนใดที่เป็นความรับผิดชอบของกิจการ หรือส่วนใดเป็นของสำนักงานบัญชี และการที่สำนักงานบัญชีพบข้อผิดพลาดและต้องการแก้ไข จะต้องมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง เพื่อนำไปประกอบการกำหนดสิทธิในโปรแกรมให้เหมาะสมนั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญ 4) ขอคำแนะนำเบื้องต้นตั้งแต่ครั้งแรกที่คุย ทั้งเรื่องบัญชี ภาษี และการเงิน เจ้าของกิจการ ควรขอคำแนะนำจากสำนักงานบัญชีในเบื้องต้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พูดคุย เพื่อเป็นการทดสอบว่าสำนักงานบัญชีมีความรู้ความเข้าใจจริงหรือไม่ โดยอาจจะเป็นการยกสถานการณ์จริงเพื่อขอคำแนะนำ เพราะถึงแม้สำนักงานบัญชีจะมีประสบการณ์ในธุรกิจประเภทเดียวกันแล้ว แต่หลายกิจการก็มีวิธีการประกอบธุรกิจที่ต่างกัน เช่น ช่องทางการขาย การสั่งซื้อสั่งผลิตสินค้า การเบิกเงินสำรองจ่ายโดยพนักงาน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้ความเสี่ยงของกิจการนั้นมีความเฉพาะของกิจการด้วย ทั้งในด้านบัญชี ภาษี และการเงิน ดังนั้น เจ้าของกิจการควรขอคำแนะนำเบื้องต้นในวันแรก ที่เป็นคำถามเฉพาะเจาะจงด้วย เช่น สำนักงานบัญชีควรให้คำแนะนำในเบื้องต้นถึงความเสี่ยงที่สำคัญของกิจการได้ จำไว้ว่า “การเลือกสำนักงานบัญชีให้ดีตั้งแต่ต้น” คุ้มค่ากว่าเสมอ หากคุณกำลังอยู่ในขั้นตอน เลือกหรือหาสำนักงานบัญชี แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะเริ่มจากจุดไหน การเลือกสำนักงานบัญชีที่มีระบบการทำงานชัดเจน และเข้าใจบริบทของธุรกิจ SME ตั้งแต่ต้น จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความต่อเนื่องของข้อมูลบัญชีได้มากขึ้น ปัจจุบัน PEAK มี บริการรับทำบัญชีจากสำนักงานบัญชีพาร์ตเนอร์ ที่ผ่านการคัดเลือก และทำงานบนระบบเดียวกัน ทำให้เจ้าของกิจการมั่นใจได้ว่าข้อมูลบัญชีถูกต้อง ตรวจสอบได้ และพร้อมนำไปใช้ตัดสินใจทางธุรกิจได้จริง ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก  บุริศร์ ทุ่งสุกใส (คุณแบร์)บริษัท เอสเอ็น ซีพีเอ ออดิท จำกัด / ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (CPA)รับทำบัญชี สอบบัญชี ให้คำปรึกษาด้านบัญชี ภาษี และการเงิน ประสบการณ์ทำงาน 7 ปีในบริษัท Big4 เชี่ยวชาญธุรกิจก่อสร้าง โรงงานอุตสาหกรรม และขายของออนไลน์

ความรู้ธุรกิจ

วางแผนภาษีก่อนหมดปี ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ใช้สิทธิลดหย่อนให้ครบ ลดภาษีอย่างถูกกฎหมาย พร้อมแนวทางจัดการเอกสาร อ่านเลย

PEAK Account

35

min

วางแผนภาษีบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล ก่อนใช้สิทธิลดหย่อนปลายปี

ก่อนจะ วางแผนภาษี คุณต้องรู้ก่อนว่า “ตอนนี้คุณทำธุรกิจในรูปแบบของบุคคลธรรมดา หรือ ในรูปแบบนิติบุคคล (บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด) ”เพราะวิธีการคำนวณภาษี การหักต้นทุน ทำบัญชีค่าใช้จ่าย การเก็บบิลเอกสาร หลักฐาน  และ สิทธิลดหย่อนภาษีของทั้งสองแบบไม่เหมือนกันเลย และ ในแต่ละแบบจะมีวิธีการคิด คำนวณภาษี หรือ วิธีการวางแผนภาษีที่แตกต่างกัน ดังนั้น ก่อนที่คุณจะวางแผนภาษีคุณต้องรู้ตรงส่วนนี้ก่อนว่าทำธุรกิจในรูปแบบไหนถึงจะวางแผนภาษีได้อย่างถูกต้องและแม่นยำเพื่อทำให้เราเสียภาษีน้อยที่สุด และ ถูกต้องตามกฎหมายมากที่สุด แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราทำธุรกิจแบบไหนอยู่ ? ยกตัวอย่างให้เห็นภาพแบบง่ายๆ ก่อนที่เราจะดูเรื่องของการวางแผนภาษีเบื้องต้น สรุปแบบง่ายๆ ถ้าเราทำธุรกิจ หรือ ทำงานแบบไม่ได้ไปจดจัดตั้งบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด จะถือว่าเราทำธุรกิจในรูปแบบของ “บุคคลธรรมดา” ทั้งหมดไม่ว่าจะทำอาชีพไหนก็ตาม แต่ถ้าเราทำธุรกิจและได้มีการจดจัดตั้ง บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ขึ้นมาจะถือว่าเราทำธุรกิจในรูปแบบของ “นิติบุคคล” ทั้งหมดเช่นกันไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเราจะจด “บริษัท” หรือ “ห้างหุ้นส่วนจำกัด”  ขึ้นมาแล้ว และ ได้มีการเสียภาษีในรูปแบบของนิติบุคคลแล้ว แต่ถ้าตัวเราเองยังมีรายได้อยู่ไม่ว่าจะจากช่องทางไหนก็แล้วแต่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ “บริษัท” หรือ “ห้างหุ้นส่วนจำกัด” เราก็ยังคงจะต้องยื่นภาษี และ เสียภาษีในรูปแบบของ “บุคคลธรรมดา” ด้วยเหมือนกัน การวางแผนภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา แบ่งประเภทของรายได้ และ การหักต้นทุนค่าใช้จ่ายของแต่ละประเภท สิ่งแรกที่เราต้องรู้ก่อนที่เราจะวางแผนภาษี และ เสียภาษีได้นั้นคือเรื่องของการรู้ว่ารายได้ของเราจัดอยู่ในประเภทไหน และ หักต้นทุน ค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีได้กี่ % หรือ กี่บาท เพราะรายได้ของแต่ละอาชีพนั้นจะสามารถหักต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ไม่เหมือนกัน หรือ ไม่เท่ากันเลย ถึงแม้ว่าจะมีรายได้เท่ากันแต่การหักต้นทุน หรือ ค่าใช้จ่ายอาจจะไม่เท่ากันเสมอไป โดยประเภทรายได้ในทางภาษีจะแบ่งออกมาได้ทั้งหมด คือ 8 ประเภท  ดังนี้  การหักต้นทุนค่าใช้จ่ายในทางภาษีจะมีทั้งหมดอยู่ 2 แบบ คือ  1. การหักต้นทุนแบบเหมาโดยไม่ต้องเก็บบิล เอกสาร หลักฐาน ต้นทุน แต่จะสามารถหักต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น  2. การหักต้นทุนแบบตามความเป็นจริง คือ การที่เราสามารถหักต้นทุน ค่าใช้จ่ายในธุรกิจได้ตามที่เกิดขึ้นจริงแต่จะต้องมีการทำบัญชีรับจ่าย เก็บบิล เอกสาร หลักฐานที่เป็นต้นทุนทั้งหมด  ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีกฎหมายกำหนดว่าสามารถหักต้นทุนแบบไหนได้บ้าง บางประเภทหักได้แต่แบบเหมาเท่านั้น บางประเภทหักได้แบบตามจริงเท่านั้น และ บางประเภทสามารถเลือกได้ว่าจะหักต้นทุนแบบเหมาหรือตามจริงก็ได้ (เลือกได้ 1 อย่าง) โดยแต่ละประเภทจะสามารถหักต้นทุนได้ดังนี้ **** ถ้าเรามีรายได้ทั้ง 40 (1) และ (2) รวมกันก็สามารถหักต้นทุนในการคำนวณภาษีได้แค่ 50% ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี เท่านั้น  ตรวจสอบสิทธิลดหย่อนภาษี หลังจากที่เรารู้แล้วว่ารายได้ของเราสามารถหักต้นทุนในการคำนวณภาษีแบบไหนได้บ้าง และ หักต้นทุนได้เท่าไหร่ในการคำนวณภาษี สิ่งที่เราต้องรู้ และ เตรียมตัวในการลดหย่อนภาษีต่อมา คือ เรื่องของการใช้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษี ซึ่งแต่ละคนก็มีสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีได้แตกต่างกันซึ่งสิทธิ์ลดหย่อนภาษีของแต่ละบุคคล และ แต่ละปีก็อาจจะมีความแตกต่างออกไป โดยสิทธิลดหย่อนภาษีที่ใช้ได้จะมีหลักๆ  ดังนี้ รวมใบ 50 ทวิ ให้ครบ ในกรณีที่เราทำงานให้บริการ หรือ ขายของให้กับบริษัท แล้วทางบริษัทมีการ หักภาษี ณ ที่จ่าย รายได้ของเราเอาไวด้วย เช่น รับจ้างทำงานราคา 10,000 บาท บริษัทหัภาษี ณ ที่จ่ายเอาไว 3% หรือ 300 บาท ทางบริษัทจะต้องเอกสารที่เรียกว่า ใบ 50 ทวิ หรือ เอกสารการหักภาษี ณ ที่จ่ายเอากับเราด้วย เพราะเราสามารถนำภาษี หัก ณ ที่จ่ายที่เราโดนหักเอาไวมาหักลบกับภาษีที่เราต้องเสียได้โดยตรง เช่น ปี 2568 มีภาษีที่ต้องเสีย 1,000 บาท แต่โดนหักภาษี ณ ที่จ่าย 300 บาท จะเท่ากับว่าภาษีที่ต้องเสีย 1,000 ลบ กับภาษีที่เราโดนหัก ณ ที่จ่ายเอาไวก่อนล่วงหน้า 300 บาท เท่ากับเราต้องเสียภาษีเพิ่มแค่ 700 บาท เป็นต้น ดังนั้น ถ้าเราโดนหัก ภาษี ณ ที่จ่ายเราจะต้องเก็บเอกสารหัก ณ ที่จ่าย หรือ ใบ 50 ทวิเอาไวด้วยเพราะจะสามารถช่วยให้จ่ายภาษีน้อยลง หรือ สามารถขอเงินคืนภาษีได้โดยตรง คำนวณรายได้สุทธิและภาษีที่ต้องจ่าย ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ  1.รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน = รายได้สุทธิ ถ้ารายได้สุทธิของเรา มากกว่า 150,001 บาท ต่อปี ขึ้นไป  จะต้องเริ่มเสียภาษีตามอัตราขั้นบันได (5% – 35%) 2. ถ้าเรามีรายได้จากประเภท 40(2) – (8) เกินปีละ 1,000,000 บาท ขึ้นไปให้เอาไป x 0.5% ถ้าเหลือออกมามากกว่า 5,000 บาท ให้เปรียบเทียบกับแบบที่ 1 แบบไหนเสียมากกว่าให้เสียภาษีตามวิธีนั้น ตัวอย่าง มีรายได้จากนายหน้า 40(2) ปีละ 1,000,000 บาท หักต้นทุนแบบเหมา 50% แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี มีค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท ประกันชีวิต 20,000 บาท = 1,000,000 – 100,000 – 60,000 – 20,000 = 820,000 บาท รายได้สุทธิที่เอาไปคำนวณภาษี คือ 820,000 บาท  รายได้สุทธิ 0 – 150,000 เสียภาษี 0 บาท รายได้สุทธิ 150,001  – 300,000 (150,000 บาท) เสียภาษี 5% = 7,500 บาท รายได้สุทธิ 300,001  – 500,000 (200,000 บาท) เสียภาษี 10% = 20,000 บาท รายได้สุทธิ 500,001  – 750,000 (250,000 บาท) เสียภาษี 15% = 37,500 บาท รายได้สุทธิ 750,001  – 1,000,000 (250,000 บาท) เสียภาษี 20% = 50,000 บาท รายได้สุทธิ 820,000 บาท แต่ไม่ถึง 1,000,000 บาท จะจัดว่าอยู่ในขั้น 20% วิธีการคำนวณคือ  นำ 820,000 – 750,001 = 69,999 x 20% = 13,999.8 บาท นำภาษีที่เราต้องเสียในแต่ละขั้นบันไดมาบวกรวมกันทั้งหมดจะเท่ากับภาษีที่เราต้องเสียในปีนั้น = 7,500 + 20,000 + 37,500 + 13,999.8 = 78,999.8 บาท ภาษีที่ต้องเสียในกรณีที่ คำนวณตามวิธีที่ 1 = 78,999.8 บาท คำนวณแบบวิธีที่ 2 คือ เอารายได้ทั้งหมด x 0.5% = ภาษีที่ต้องเสีย 1,000,000 x 0.5% = 5,000 บาท  ภาษีที่ต้องเสียตามแบบวิธีที่ 2 คือ 5,000 บาท เปรียบเทียบกันแล้วถ้าคำนวณแบบวิธีที่ 1 เสียภาษี 78,999.8 บาท คำนวณแบบวิธีที่ 2 เสียภาษี 5,000 บาท ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วต้องเสียภาษีตามแบบวิธีที่คำนวณออกมาแล้วเสียมากกว่า ถ้าตามตัวอย่าง ต้องเสียภาษีตามวิธีคำนวณแบบที่ 1 ตรวจเอกสารให้ครบ ก่อนสิ้นปี ตรวจเอกสารให้ครบ ก่อนสิ้นปี เพราะทุก “ใบเสร็จที่เรามี” = เงินที่คุณประหยัดได้ และที่สำคัญ…เดือนสุดท้ายของปี ยังทัน เรายังสามารถ “อุดรูรั่วภาษี” ได้อีกหลายทาง เช่น เดือนสุดท้ายของปี เรายังสามารถซื้อประกันหรือกองทุนเพิ่ม เพื่อใช้ลดหย่อนได้ทันเวลา ทุกอย่างที่ทำ ก่อน 31 ธ.ค. คือโอกาสประหยัดเงินแบบถูกกฎหมาย อย่าปล่อยสิทธิ์ดี ๆ หลุดมือ แล้วมานั่งเสียดายทีหลัง ข้อควรระวัง การวางแผนภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา ข้อควรระวังในการยื่นภาษี หรือ เสียภาษีในแต่ละปีคือ การวางแผนภาษีสำหรับบริษัท หรือนิติบุคคล ตรวจสอบรายได้และค่าใช้จ่ายในระบบบัญชี ภาษีนิติบุคคล ( บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด)  จะแตกต่างจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคือการที่ภาษีนิติบุคคลจะไม่มีการแบ่งประเภทของรายได้ แต่จะใช้วิธีการคำนวณแบบง่ายๆ คือ รายได้ – ค่าใช้จ่าย = รายได้สุทธิที่นำไปคำนวณภาษี ทุกอย่างต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและเกี่ยวกับธุรกิจเท่านั้น และ จะต้องมีการเก็บบิล เอกสาร หลักฐาน ต้นทุนค่าใช้จ่ายทั้งหมด และ มีระบบการจัดการบัญชีและภาษีที่เข้มงวดมากกว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะ “ภาษี” ไม่ได้ดูว่าเราตั้งใจใจทำดีแค่ไหนแต่ดูจาก “เอกสาร” เท่านั้น เอกสารรายได้ที่เราออกให้ลูกค้า เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ ใบรับเงินมัดจำ เป็นต้น ซึ่งเอกสารเหล่านี้ต้องออกให้ “ครบทุกยอดขาย และ ยอดซื้อ” เพราะถ้ายอดจริงกับเอกสารต่างกันอาจจะทำให้มีปัญหาในเรื่องของการทำบัญชี ปิดงบ หรือ ยื่นภาษีได้ ด้าน ค่าใช้จ่าย ก็เหมือนกันอยากหักภาษีให้ได้เยอะๆสิ่งที่ต้องมีคือ “หลักฐานค่าใช้จ่ายที่ถูกต้อง” เช่น ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป บิลร้านค้าที่มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี ใบเสร็จที่ระบุรายการชัดเจน รายการโอนเงินที่มีรายละเอียดครบ เพราะภาษีนิติบุคคล คือ ถ้าไม่มีเอกสาร ค่าใช้จ่ายนั้น = นับเป็น 0 ถึงคุณจะจ่ายจริง แต่สรรพากรไม่นับให้จะต้องบวกกลับเป็นรายได้ทันที ยกตัวอย่าง ซื้อต้นทุนมา 10,000 บาท แต่ไม่มีบิล = เราต้องเสียภาษีเหมือนคุณ “ไม่เคยซื้อของนั้นเลย” อาจทำให้เราเสียภาษีเยอะขึ้นแบบไม่จำเป็น หักค่าใช้จ่ายได้เต็มสิทธิ์ คือ การที่บริษัทสามารถนำ “ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ” มาหักออกจากรายได้ก่อนคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งจะช่วยลดกำไรสุทธิ และทำให้ภาษีที่ต้องชำระลดลงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้การวางแผนภาษีมีประสิทธิภาพ บริษัทควรตรวจสอบว่าค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้รับการบันทึกครบถ้วน พร้อมหลักฐานที่ถูกต้องครบถ้วน ตัวอย่างค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาลดภาษีได้ 1. เงินเดือนและสวัสดิการพนักงาน : รวมถึงเงินเดือน, ค่าจ้างรายวัน, โบนัส, ค่าคอมมิชชั่น, ประกันสังคมนายจ้าง และสวัสดิการอื่น ๆ ที่อยู่ในนโยบายของบริษัท หมายเหตุ: ต้องมีสัญญาจ้าง รายการจ่ายจริง และหลักฐานการโอนเงินครบถ้วน 2. ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่า ค่าโฆษณา : เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินธุรกิจ เช่น ค่าเช่าสำนักงาน/คลังสินค้า, ค่าน้ำ ค่าไฟ ,ค่าอินเทอร์เน็ต ,ค่าโฆษณาออนไลน์ (Facebook Ads, Google Ads, TikTok Ads), ค่าทำการตลาดอื่น ๆ ทั้งหมดสามารถนำมาหักภาษีได้ หากมีใบเสร็จรับเงิน , ใบกำกับภาษีที่ถูกต้องครบถ้วน และ เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา 3. ค่าซอฟต์แวร์และระบบบัญชีออนไลน์ เช่น ค่าซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ โปรแกรมทำบัญชีออนไลน์ ระบบ CRM เครื่องมือบริหารงานในบริษัท เป็นค่าใช้จ่ายที่ถือว่าเกี่ยวข้องกับการบริหารธุรกิจโดยตรง สามารถนำมาลดภาษีได้ 100% ภายในปีภาษีนั้น ๆ (หรือบางกรณีเข้าข่ายทรัพย์สินถาวร ต้องคำนวณค่าเสื่อมราคาจะไม่สามารถบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายโดยตรงได้ทันที) 4. ค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายการตลาดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน กรณีเดินทางพบลูกค้า ค่าเดินทางไปทำงานนอกสถานที่ ค่าออกบูธ / ค่าจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ค่าอาหารที่ใช้รับรองลูกค้า (หักได้ตามเกณฑ์กฎหมาย) ทุกค่าใช้จ่ายต้อง “มีความเกี่ยวข้องกับงาน” และต้องมีหลักฐานประกอบ เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จ หรือเอกสารอนุมัติค่าใช้จ่ายภายในบริษัท ดังนั้น การหักค่าใช้จ่ายได้เต็มสิทธิ์คือการทำให้บริษัทมีต้นทุนที่ชัดเจน โปร่งใส และช่วยประหยัดภาษีอย่างถูกกฎหมาย สิ่งสำคัญ คือ ต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อธุรกิจ มีเอกสารหลักฐานครบถ้วน บันทึกบัญชีถูกต้องตามมาตรฐาน ตรวจสิทธิ์ลดหย่อนภาษีสำหรับกิจการ (Tax Incentives) การตรวจสอบ “สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกิจการ” หรือ Tax Incentives ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดค่าใช้จ่าย และใช้ประโยชน์จากมาตรการที่รัฐจัดให้ตามกฎหมายอย่างเต็มศักยภาพ ในแต่ละปี กิจการควรประเมินสิทธิ์ของตนเองว่าเข้าข่ายได้รับการส่งเสริม หรือลดหย่อนในมาตรการด้านภาษีประเภทใดบ้าง เพื่อป้องกันการเสียสิทธิ์โดยไม่จำเป็น และเพื่อลดภาระภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อัตราภาษีพิเศษสำหรับนิติบุคคลขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) SMEs ที่มีทุนชำระแล้วไม่เกินตามเกณฑ์ และรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี จะได้รับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลแบบขั้นบันได เช่น กำไรสุทธิ 0 – 300,000 บาท: ยกเว้นภาษี กำไรส่วนที่เกิน 300,000 บาท: อัตราภาษี 15%  กำไรกำไรมากกว่า 3,000,000 บาท ขึ้นไป จะมีอัตราภาษี 20% ถ้าธุรกิจที่ไม่เงื่อนไขเป็น SMEs ที่จดทะเบียนนิติบุคคล จะมีอัตราภาษี 20% ตั้งแต่กำไรบาทแรก ธุรกิจต้องตรวจสอบเงื่อนไข เช่น ทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้ว ลักษณะธุรกิจ รายได้ทั้งปี เพื่อให้ได้รับสิทธิ์อย่างถูกต้อง สิทธิลดหย่อนที่ภาครัฐมักออกให้บริษัท เช่น สิทธิ์นี้สามารถใช้ได้ต่อเนื่อง 5 รอบระยะเวลาบัญชีติดต่อกัน นับตั้งแต่ปีที่เริ่มมีรายได้หรือเริ่มดำเนินกิจการ (ตามเงื่อนไข SME ที่กฎหมายกำหนด) นิติบุคคลที่มีการส่งพนักงานเข้าอบรมเพื่อพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล (Digital Skills) สามารถนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาหักลดหย่อนภาษีได้มากกว่าปกติ โดยมีสิทธิ์หักเป็นค่าใช้จ่ายได้ถึง 2 เท่า ของจำนวนเงินที่จ่ายจริงตามมาตรการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานที่รัฐกำหนดเพื่อใช้สิทธิ์นี้ ต้องมี หลักฐานการจ่ายเงินที่ถูกต้อง เช่นใบเสร็จรับเงิน เอกสารยืนยันการอบรมจากสถาบันหรือสถานฝึกอบรมที่ได้รับการรับรอง การที่นิติบุคคลลงทุนใน ระบบบัญชี โปรแกรมดิจิทัล หรือเทคโนโลยีที่ช่วยพัฒนาการทำงานของธุรกิจ สามารถนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาลดภาษีได้มากกว่าปกติ ตามมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐ หลักการสำคัญคือ ค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ “มากกว่า 100%” ของที่จ่ายจริง (ขึ้นอยู่กับมาตรการและประกาศกรมสรรพากรในแต่ละปี) ตัวอย่างค่าใช้จ่ายที่เข้าข่าย  สรุปงบก่อนปิดปี การตรวจงบก่อนปิดปีเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจคาดการณ์ภาระภาษีล่วงหน้า และเตรียมเอกสารได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ก่อนถึงช่วงยื่นแบบภาษีประจำปี 1. ตรวจงบกำไรขาดทุน เพื่อคาดการณ์ภาษีเงินได้นิติบุคคล ธุรกิจควรสรุปงบกำไรขาดทุน (Profit & Loss Statement) ของทั้งปีเพื่อดูว่า รายได้รวมเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายบันทึกครบหรือยัง มีกำไรสุทธิหรือขาดทุน จากนั้นคำนวณ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ในอัตราทั่วไป 20% ของกำไรสุทธิ (หรืออัตราพิเศษตามเงื่อนไข SME) การคาดการณ์ภาษีล่วงหน้าช่วยให้เราวางแผนจัดการกระแสเงินสดได้ตรวจพบข้อผิดพลาดในงบก่อนยื่นจริง และวางแผนใช้สิทธิ์หักค่าใช้จ่าย/ลดหย่อนให้ครบถ้วนภายในปีภาษี 2. ตรวจยอดภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) กิจการที่มีรายได้ต้องยื่นภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) ดังนั้น ปลายปีควรตรวจสอบว่า ยื่นภาษีครึ่งปีถูกต้องหรือไม่ ประมาณการรายได้-กำไรครึ่งปีสอดคล้องกับผลประกอบการจริงหรือไม่ มีความเสี่ยงต้องชำระ “เงินเพิ่ม” กรณียื่นต่ำกว่าความเป็นจริงหรือไม่ การตรวจสอบภ.ง.ด.51 จะช่วยประเมินยอดภาษีปลายปีได้แม่นยำและถูกต้องมากขึ้น 3. เตรียมยื่นภาษีปลายปี (ภ.ง.ด.50) เมื่อปีบัญชีสิ้นสุด บริษัทต้องเตรียมเอกสารและงบการเงินสำหรับยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี (ภ.ง.ด.50) เช่น งบการเงินประจำปี รายละเอียดประกอบงบ รายการปรับปรุงภาษี รายละเอียดทรัพย์สิน–ค่าเสื่อมราคา สัญญาจ้าง / ใบกำกับภาษี / เอกสารค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ดังนั้น การสรุปงบก่อนปิดปี คือการ “ตรวจเช็กสุขภาพการเงินของบริษัท” ก่อนส่งให้สรรพากร ช่วยให้ยื่นภาษีได้ถูกต้อง มีประสิทธิภาพ และใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้เต็มที่ วางแผนภาษีก่อนหมดปี อย่ารอให้ถึงมีนาคมแล้วค่อยเริ่ม การวางแผนภาษีที่ดีควรเริ่มตั้งแต่ก่อนสิ้นปี ไม่ใช่รอจนถึงช่วงยื่นแบบ เพราะเดือนสุดท้ายของปีคือโอกาสสำคัญที่จะช่วยให้คุณใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ครบ เก็บเอกสารค่าใช้จ่ายได้ทัน ตรวจสอบยอดภาษีล่วงหน้า และปรับตัวเลขบัญชีให้ถูกต้องก่อนปิดงบ การเตรียมตัวล่วงหน้าจะช่วยให้คุณจ่ายภาษีเท่าที่จำเป็น ลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบ และไม่พลาดสิทธิ์ที่ควรได้คืน หากมีระบบที่ช่วยจัดการบัญชีและเอกสารอย่างเป็นระเบียบ เช่น PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่ช่วยบันทึกรายรับรายจ่าย เก็บเอกสาร และดูภาพรวมภาษีได้แบบเรียลไทม์ ก็จะช่วยให้การวางแผนภาษีก่อนหมดปีทำได้ง่ายขึ้น และตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากกว่าเดิม ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

ความรู้ภาษี