บัญชี

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

8 min

สเตทเม้น คืออะไร เรื่องที่คนทั่วไปและเจ้าของธุรกิจควรรู้

สเตทเม้น คือ รายงานการเคลื่อนไหวทางการเงินที่แสดงรายละเอียดการทำธุรกรรมในบัญชี ซึ่งสถาบันการเงินจัดทำให้กับลูกค้าเป็นประจำทุกเดือน และเป็นเอกสารสำคัญที่ช่วยให้เรารู้และควบคุมการใช้จ่ายได้ รวมถึงยังรู้ว่ารายการเดินบัญชีมีความถูกต้องหรือไม่ ทำให้เราสามารถบริหารจัดการการเงินได้ง่ายและดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งสเตทเม้นเอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง และจะสามารถขอสเตทเม้นได้อย่างไรไปดูกัน สเตทเม้น คืออะไร สเตทเม้น คือ เอกสารทางการเงินที่แสดงรายการเดินบัญชีทั้งหมดในช่วงเวลาหนึ่ง โดยปกติจะเป็นรายเดือน ซึ่งจะระบุรายละเอียดของรายการฝาก ถอน โอน หรือชำระเงินต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบัญชี พร้อมทั้งแสดงยอดเงินคงเหลือ ณ สิ้นเดือน สามารถใช้อ้างอิงการทำธุรกรรมทางการเงิน การจัดทำบัญชี และการยื่นภาษีได้ นอกจากนี้ ยังเป็นตัวช่วยในการวางแผนการเงิน และตรวจสอบว่ารายการเดินบัญชีมีความผิดปกติหรือไม่ รายละเอียดสำคัญที่ปรากฏในสเตทเม้น เอกสารที่รวบรวมข้อมูลสำคัญในการทำธุรกรรมทางการเงินของเรา ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลหลายส่วนที่จะช่วยบริหารการเงินได้ทั้งส่วนบุคคลและธุรกิจ ดังนี้ สเตทเม้นสามารถนำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง สเตทเม้น คือ ตัวช่วยในการบริหารการเงินที่มีประโยชน์หลายด้าน สามารถใช้ในการติดตามรายรับรายจ่าย การวางแผนการเงิน การจัดทำบัญชี การยื่นภาษี และการขอสินเชื่อ นอกจากนี้ ยังช่วยตรวจสอบรายการเดินบัญชีและการทำงบประมาณว่ามีความผิดปกติหรือไม่ และการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่าย ทำให้สามารถควบคุมการเงินได้ดีมากขึ้น ทำบัญชีรายรับรายจ่ายส่วนบุคคล สเตทเม้นเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายส่วนบุคคล ทำให้รู้ว่าตอนนี้จ่ายไปกับอะไรและจ่ายเท่าไหร่บ้าง เพื่อนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงินของตัวเองและปรับปรุงนิสัยการใช้จ่ายเกินความจำเป็นของเราได้ นอกจากนี้ ยังนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนการออม การลงทุน รวมถึงการจัดการหนี้สินต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้น  จัดทำบัญชีธุรกิจ สเตทเม้นเป็นเอกสารสำคัญในการจัดทำบัญชีธุรกิจ ใช้เป็นหลักฐานประกอบการบันทึกรายได้และจัดทำงบการเงิน รวมถึงการคำนวณภาษี ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามกระแสเงินสด ตรวจสอบและวิเคราะห์รายการได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ การขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน สเตทเม้นเป็นเอกสารที่สถาบันการเงินใช้ประกอบในการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของเรา โดยจะพิจารณาจากความสม่ำเสมอของรายได้ พฤติกรรมการใช้จ่าย การออม และประวัติการชำระเงินต่าง ๆ  การมีสเตทเม้นที่แสดงถึงความมั่นคงทางการเงินจะเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อ การสมัครบัตรเครดิต สเตทเม้นเป็นหลักฐานสำคัญในการสมัครบัตรเครดิต โดยธนาคารจะดูว่าเรามีรายรับเท่าไหร่ เพื่อพิจารณาวงเงินบัตรเครดิต และดูว่าเราสามารถจ่ายหนี้ได้มากหรือน้อยขนาดไหน โดยจะดูจากรายได้เฉลี่ยต่อเดือนว่ามีจำนวนเท่าไหร่และมีความสม่ำเสมอไหม รวมถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านบัญชีนั้นด้วย วิธีขอสเตทเม้น การขอสเตทเม้นสามารถเลือกทำจากช่องทางต่าง ๆ ได้ตามความสะดวกและบริการของแต่ละธนาคาร โดยช่องทางหลัก ๆ ได้แก่ การขอผ่านแอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ ซึ่งสามารถดาวน์โหลดสเตทเม้นย้อนหลังได้ฟรีโดยไม่มีค่าธรรมเนียม หรือเป็นการขอที่ตู้ ATM โดยใช้บัตร ATM/Debit ให้กดเลือกบริการพิมพ์รายการเดินบัญชี หรือการติดต่อที่สาขาธนาคารโดยตรงพร้อมบัตรประชาชนและสมุดบัญชี ทั้งนี้ การขอสเตทเม้นย้อนหลังเกิน 6 เดือนอาจมีค่าธรรมเนียมตามที่แต่ละธนาคารกำหนด และระยะเวลาในการขอย้อนหลังอาจแตกต่างกันไปตามนโยบายของแต่ละธนาคาร สเตทเม้นคือเอกสารสำคัญมาก ๆ ในการนำมาทำบัญชีธุรกิจ นำมาใช้ขอสินเชื่อและการทำธุรกรรมต่าง ๆ โดยเราสามารถขอได้ตามความสะดวกที่เราแนะนำไปข้างต้นได้เลย แต่สำหรับผู้ที่มีเงินเข้าออกหลายทางการทำบัญชีอย่างละเอียดยังคงมีความสำคัญมาก ๆ  โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

6 min

Audit คืออะไร? สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องรู้เพื่อเตรียมพร้อม

Audit คือ สิ่งที่คนทำงานบริษัทได้ยินกันบ่อย ๆ และมีความสำคัญกับธุรกิจอย่างมาก เพราะการ Audit คือ การตรวจสอบและประเมินข้อมูลบัญชีทางการเงินว่ามีความถูกต้องหรือไม่ และประเมินว่าพนักงานและบริษัทได้ทำตามกฎระเบียบขององค์กรและกฎหมายจริง ๆ โดยผู้เชี่ยวชาญอิสระ ซึ่งการ Audit นั้นจะมีความสำคัญกับธุรกิจอย่างไร ทำไมธุรกิจต้องตรวจสอบบัญชีเราไปดูกัน  Audit คือสิ่งสำคัญสำหรับทุกธุรกิจ Audit คือ กระบวนการสำคัญที่ช่วยให้การทำธุรกิจโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ โดยมีบทบาทสำคัญในหลายด้าน ทั้งการสร้างความน่าเชื่อถือ การทำตามกฎหมาย การป้องกันการทุจริต และการสนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจ สร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ การตรวจสอบบัญชี หรือ Audit คือ กลไกในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร โดยผู้ตรวจสอบอิสระที่มีความเชี่ยวชาญ จะทำให้งบการเงินของบริษัทน่าเชื่อถือมากขึ้น จนนักลงทุนและสถาบันการเงินมั่นใจในการลงทุนหรือร่วมงานกับองค์กร นอกจากนี้ ยังช่วยทำให้ธุรกิจมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาคนทั่วไป ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับ Audit คือ ตัวช่วยให้องค์กรและคนทั่วไปมั่นใจว่าบริษัททำตามข้อบังคับและกฎหมายจริง ๆ ทั้งด้านการเงินและภาษี เพื่อช่วยป้องกันการถูกปรับจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย รวมถึงช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงการการทำงานต่าง ๆ ได้สอดคล้องกับข้อกำหนดต่าง ๆ อย่างทันท่วงที ป้องกันการทุจริตและข้อผิดพลาด Audit คือ กระบวนการที่ช่วยค้นหาข้อผิดพลาดในการทำธุรกิจ และป้องกันปัญหาทุจริตที่อาจจะเกิดจขึ้น ผ่านการตรวจสอบภายในและรายการต่าง ๆ อย่างละเอียด ซึ่งถ้าบริษัทมีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ธุรกิจสามารถรู้จุดอ่อนของตัวเอง และปรับปรุงได้ก่อนที่จะเกิดความเสียหายรุนแรง เพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ Audit คือ ปัจจัยสำคัญที่เพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ โดยเฉพาะการตรวจสอบงบการเงินที่จะเพิ่มความน่าเชื่อถือจากนักลงทุนและจากสถาบันการเงิน นอกจากนี้ ยังช่วยให้การวางแผนและตัดสินใจทางธุรกิจ จากข้อมูลทางการเงินที่มีความถูกต้องได้ง่ายและรอบคอบมากขึ้น ประเภทของอาชีพ Audit การ Audit มีความสำคัญกับธุรกิจมากมาย เราจึงจะขอพาไปทำความรู้จักกับอาชีพ Audit ว่ามีประเภทอะไรบ้าง และมีหน้าที่ตรวจสอบธุรกิจส่วนไหน เพื่อให้เจ้าของธุรกิจ พนักงานบัญชี และบุคคลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถเตรียมพร้อมรับการตรวจสอบได้อย่างราบรื่น Financial Audit  Financial Audit คือ การตรวจสอบรายงานทางการเงินจากผู้สอบบัญชีอิสระ เพื่อดูว่าข้อมูลมีความถูกต้องและเชื่อถือได้ตามมาตรฐานการบัญชี  โดยจะครอบคลุมการตรวจสอบรายการบัญชีและเอกสารประกอบต่าง ๆ  Internal Audit  Internal Audit คือ การตรวจสอบภายในที่ดำเนินการโดยพนักงานขององค์กรเอง มีหน้าที่ในการประเมินระบบต่าง ๆ และการบริหารความเสี่ยงในการทำธุรกิจ เพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรมีการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพตามนโยบายที่กำหนด IT Audit  IT Audit คือ การตรวจสอบระบบเทคโนโลยีขององค์กร ว่ามีความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูลขนาดไหน และมีการปฏิบัติตามนโยบายหรือไม่ เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านปลอดภัยของข้อมูล การตรวจสอบบัญชี หรือ Audit คือ กระบวนการสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน โดยการสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือให้กับบริษัท ผู้ประกอบการจึงต้องมีการตรวจสอบบัญชีเพื่อการพัฒนาธุรกิจอย่างมั่นคง โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

24 ม.ค. 2025

PEAK Account

23 min

เคล็ด(ไม่)ลับ เป็นนักบัญชีขั้นเทพกับ 6 ความรู้พื้นฐานบัญชีที่ต้องรู้

นักบัญชีของกิจการเป็นหัวใจหลักในการบริหารงานหลังบ้านให้ราบรื่นไม่แพ้งานหน้าบ้านอย่างการขายสินค้าหรือให้บริการ การมีความรู้และทักษะทางบัญชี ภาษีที่ดีจะช่วยให้นักบัญชีสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้จะพาผู้อ่านทุกท่านไปค้นหาว่าทักษะพื้นฐานใดของนักบัญชีที่มีความจำเป็นต่อสายอาชีพ และทักษะที่ถ้ามีเพิ่มเติมแล้วอาจจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่องค์กรได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีเกณฑ์ในการคัดนักบัญชีที่เหมาะสมได้ มาเริ่มกันเลย 6 ความรู้พื้นฐานที่นักบัญชีต้องรู้ 1. เข้าใจสมการบัญชี พื้นฐานการทำบัญชีเริ่มต้นจากการเข้าใจสมการทางบัญชี เนื่องจากถ้าไม่สามารถอธิบายได้ จะลงบัญชีไม่ถูกต้อง และงบการเงินไม่น่าเชื่อถือ โดยทั่วไปหลักของสมการ คือ ตัวเลขทางด้านซ้ายต้องเท่ากับตัวเลขทางด้านขวา ซึ่งสมการทางบัญชีก็เช่นกัน ดังนี้ สมการบัญชีกำหนดว่าสินทรัพย์จะต้องเท่ากับหนี้สินบวกด้วยทุนเสมอ เช่น กิจการนำเงินสดมาเปิดกิจการ 1,000 บาท สมการบัญชีจะเป็นดังนี้ สินทรัพย์(Assets) = หนี้สิน(Liabilities) + ส่วนของเจ้าของ(Owner’s Equity)1,000(เงินสด) = 0(ไม่มีหนี้) + 1,000(เงินลงทุน) และต่อมากิจการมีการกู้ยืมเงินจากธนาคารจำนวน 500 บาท โดยได้รับเงินเป็นเงินสด สมการบัญชีจะเปลี่ยนไป ดังนี้ สินทรัพย์(Assets) = หนี้สิน(Liabilities) + ส่วนของเจ้าของ(Owner’s Equity)1,500(เงินสด) = 500(เงินกู้) + 1,000(เงินลงทุน) สมการบัญชีเป็นจุดเริ่มต้นของงบการเงินที่ถูกต้อง ถ้านักบัญชีสามารถอธิบายสมการได้ ก็คาดเดาได้ว่าจะบันทึกบัญชี(การบันทึกบัญชีอาจเรียกว่าการเดบิต เครดิตก็ได้)จะถูกต้องในระดับหนึ่งแล้ว 2. เข้าใจเกณฑ์คงค้าง เกณฑ์การจัดทำบัญชีเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ของงบการเงินของนิติบุคคล เช่น ห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือบริษัทจำกัด เพราะถ้าไม่เข้าใจ ผลที่เกิดคือ อาจบันทึกรายได้หรือค่าใช้จ่ายผิดปีได้เลย การทำบัญชีมักจะบันทึกอยู่บนเกณฑ์ยอดนิยม 2 เกณฑ์ คือ เกณฑ์เงินสด (Cash Basis) และเกณฑ์คงค้าง(Accrual Basis) ซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้ เกณฑ์เงินสด (Cash Basis) คือ การบันทึกบัญชีเมื่อได้รับเงินแล้วเท่านั้น ซึ่งในทางบัญชีและภาษีมักใช้เกณฑ์กับการรับรู้รายรับ และรายจ่ายของบุคคลธรรมดา เพราะเข้าใจง่าย ใครๆ ก็ทำได้บนกระดาษ เกณฑ์คงค้าง(Accrual Basis) คือ การบันทึกบัญชีเมื่อธุรกรรมนั้นเกิดขึ้นแล้ว เช่น มีการขายสินค้าหรือให้บริการแล้ว โดยไม่สนใจว่าจะได้รับเงินสดแล้วหรือไม่ ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ใช้ทำบัญชีและยื่นภาษีของนิติบุคคล จึงเป็นเกณฑ์ที่สำคัญมากที่นักบัญชีต้องรู้ ตัวอย่างเช่น กิจการทำธุรกิจขายสบู่ ได้ขายสบู่ให้แก่ลูกค้าในปี 2566 แต่ได้รับชำระเงินในปี 2568 การบันทึกบัญชีของแต่ละเกณฑ์จะเป็นดังนี้ เกณฑ์เงินสด เกณฑ์คงค้าง ปีที่บันทึกบัญชีขายสินค้า – ปี 2566 ปีที่บันทึกบัญชีรับชำระเงิน ปี 2568 ปี 2568 จะเห็นว่าเกณฑ์เงินสดจะบันทึกบัญชีแค่ครั้งเดียว ทำได้ง่าย แต่ไม่ค่อยสะท้อนให้เห็นความเป็นจริงว่ารายได้ที่แท้จริงเกิดขึ้นปีไหน ทั้งๆที่รายได้เกิดในปี 2566 แต่บันทึกในปี 2568 ซึ่งนานถึง 2 ปี มักใช้กับการทำบัญชีของบุคคลธรรมดาเพราะไม่ต้องการข้อมูลที่ละเอียดมาก และง่ายต้องการจัดทำ ส่วนเกณฑ์คงค้างจะบันทึกบัญชีหลายครั้งแต่ช่วยให้เห็นข้อมูลที่ถูกต้องมากขึ้นว่าแท้จริงแล้วรายได้เกิดปี 2566 แต่มารับเงินในปี 2568 จึงเป็นเกณฑ์ที่นำมาใช้ในการบันทึกบัญชีและทำภาษีของนิติบุคคลนั่นเอง 3. แยกระหว่างสินทรัพย์และค่าใช้จ่ายได้ ถ้ากิจการซื้อแก้วน้ำมา 1 ใบ ถือว่าเป็นสินทรัพย์หรือค่าใช้จ่ายของกิจการ? คำตอบ คือ สามารถเป็นได้ทั้ง 2 อย่างขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้แก้วน้ำนั้น โดยหลักการพิจารณาว่าเป็นสินทรัพย์หรือค่าใช้จ่ายนั้นต้องอิงตามหลักการบัญชี คือ การดูว่าสิ่งของนั้นกิจการตั้งใจใช้งานเกินกว่า 1 ปีหรือไม่ ถ้าใช้แล้วหมดไปภายใน 1 ปีจะถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการ แต่ถ้าใช้ได้มากกว่า 1 ปี เช่น 2 ปี จะถือเป็นสินทรัพย์ของกิจการและค่อยๆ ทยอยตัดเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละปี ตัวอย่างเช่น กิจการซื้อแก้วน้ำพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งแบบนี้จะถือเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการ แต่ถ้ากิจการซื้อแก้วน้ำเก็บความเย็นซึ่งสามารถใช้งานได้มากกว่า 1 ปี จะต้องบันทึกเป็นสินทรัพย์และทยอยตัดเป็นค่าใช้จ่ายตามจำนวนปีที่ต้องการใช้งาน การแยกประเภทสินทรัพย์และค่าใช้จ่ายที่ถูกต้องนั้น จะช่วยให้งบการเงินของกิจการสะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น กล่าวคือ ค่าใช้จ่ายไม่สูงเกินไป หรือสินทรัพย์ไม่สูงเกินไป 4. เข้าใจเอกสารค้าขาย เอกสารที่เกิดขึ้นในการค้าขายมีหลายประเภท เช่น ใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี หรือใบเสร็จรับเงิน เป็นต้น การที่เราต้องเข้าใจเอกสารแต่ละประเภทจะช่วยให้เราตัดสินใจว่าสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร  ตัวอย่างเช่น 5. เข้าใจภาษีพื้นฐาน นอกจากเรื่องบัญชีแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่นักบัญชีต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องภาษีธุรกิจ เพราะเมื่อรายการทางบัญชีเกิดขึ้น ภาระทางภาษีมักจะเกิดขึ้นเสมอเหมือนเป็นเงาตามตัวผู้ประกอบการ ทำให้นักบัญชีต้องเข้าใจเรื่องภาษีและวิธียื่นและนำส่งภาษีเพื่อป้องกันค่าปรับจากการปฏิบัติทางภาษีผิดพลาด ตัวอย่างเช่น  6. รู้จักประเภทของเงินได้และความแตกต่างของเงินได้ สรรพากรเรียก “เงินได้” ว่า “รายได้” โดยกำหนดไว้อยู่ 8 ประเภท สาเหตุที่ต้องเข้าใจว่าเงินได้ทั้ง 8 ประเภทนั้น เพราะมีผลต่อการคำนวณภาษีที่ต้องเสีย เช่น การเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายว่าต้องหักกี่ % จะขึ้นอยู่กับประเภทเงินได้  สรุปเงินได้ 8 ประเภท นอกจาก 6 ความรู้พื้นฐานดังกล่าวมาแล้ว การเข้าใจธุรกิจที่เราทำทำบัญชีให้อยู่นั้นก็ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะทำให้นักบัญชีมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น เพราะการเข้าใจบริบทของธุรกิจที่เราทำบัญชีให้ เนื่องจากมีผลต่อการบันทึกบัญชีสูงมาก ค่าใช้จ่ายประเภทเดียวกันแต่อยู่ในแต่ละธุรกิจอาจบันทึกบัญชีไม่เหมือนกัน หรือพูดง่ายๆ คือ คนละขั้วกันนั้นเอง ลองมาดูตัวอย่างข้างล่างกันครับ ตัวอย่างเช่น กิจการซื้อแก้วพลาสติกมา 100 บาท ถ้าเป็นกิจการที่ซื้อมาเพื่อใช้ในออฟฟิศให้ลูกค้ากินแบบนี้จะถือว่าเป็นค่าใช้จ่าย แต่ถ้ากิจการที่ทำธุรกิจขายแก้วพลาสติก การจ่ายเงินนี้ไม่ถือว่าเป็นค่าใช้จ่าย แต่จะถือว่าเป็นสินทรัพย์ ก็คือ “สินค้า” เพราะกิจการซื้อมาเพื่อขายไม่ได้ซื้อมาเพื่อใช้ นี้เป็นเพียงตัวอย่างเดียว จริงๆ รายได้และค่าใช้จ่ายในแต่ละธุรกิจมีบริบทที่แตกต่างกัน การที่เรารับนักบัญชีเก่งๆ มาหนึ่งแม้จะเก่งบัญชีและภาษีมากแค่ไหน แต่ถ้าไม่เข้าใจธุรกิจที่ทำงานให้อยู่จริงๆ โอกาสทำบัญชีผิดพลาดมีสูงมากๆ ครับ การเข้าใจลักษณะและกระบวนการทำงานของธุรกิจที่ตนเองทำบัญชีอยู่จะช่วยให้นักบัญชีสามารถให้คำแนะนำและจัดการทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3 ทักษะด้านอื่นๆ ยิ่งมี ยิ่งดี นอกจากเรื่องบัญชี ภาษี และการเข้าใจธุรกิจเป็นสิ่งที่สำคัญที่บอกได้ว่าใครเป็นนักบัญชีที่เก่งแล้ว ถ้านักบัญชีมีทักษะด้านอื่นๆ เพิ่มเติมจะช่วยยกศักยภาพให้สูงได้ ดังนี้ 1. ทำประมาณการรายได้-ค่าใช้จ่ายได้ ปกตินักบัญชีจะค่อนข้างอยู่กับข้อมูลในอดีต เช่น การบันทึกเอกสารก็เป็นเอกสารที่เกิดขึ้นไปแล้ว และนำมาบันทึกให้ทีหลัง ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้านักบัญชีจะไม่สามารถทำงบประมาณรายรับ-รายจ่ายในอนาคตได้ถนัด เพราะต้องใช้อีกทักษะอื่นๆ และข้อมูลอื่นๆ ในการจัดทำด้วย เช่น อัตราเงินเฟ้อ กระแสเงินสดรับ-จ่ายที่จะเข้ามา แนวโน้มยอดขาย เป็นต้น การทำงบประมาณต้องได้รับความร่วมมือจากหลายแผนกในการให้ข้อมูลและพูดคุย และนำข้อมูลต่างๆ มาจัดทำเป็นงบประมาณเพื่อเป็นเป้าให้แก่ฝ่ายต่างๆในกิจการ ถ้านักบัญชีสามารถมีทักษะนี้ได้ จะช่วยให้เราสามารถนำข้อมูลในอดีตมาวิเคราะห์ และจัดทำประมาณการตัวเลขในอนาคตให้กิจการได้อีกด้วย การจัดทำประมาณการรายได้-ค่าใช้จ่าย มีข้อดีมากมาย เช่น ทำให้ทราบสภาพคล่องที่แท้จริงทางการเงิน ทราบแหล่งที่มาของรายได้อย่างชัดเจน วางแผนประหยัดค่าใช้จ่ายและภาษีเงินได้ รวมถึงเป็นตัวกำหนดตัวชี้วัดผลงาน(KPI) ของแผนกต่างๆได้อีกด้วย 2. เข้าใจบัญชีบริหาร ที่เราพูดถึงเรื่องการบันทึกบัญชีต่างๆ มาเราจะเรียกกันว่า “บัญชีการเงิน” เป็นการบันทึกบัญชีตามสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอนาคต แต่มีอีกศาสตร์หนึ่งที่เรียกว่า “บัญชีบริหาร” คือ การนำข้อมูลทางบัญชีไปใช้ในการตัดสินใจบางอย่าง ตัวอย่างเช่น กิจการพึ่งเปิดธุรกิจมาได้ 1 ปี ที่ผ่านมาต้องเช่าโรงงานของคนอื่นเพื่อผลิตสินค้า อยากถามว่าในปีหน้ากิจการควรเช่าโรงงานต่อ หรือสร้างโรงงานเป็นของตัวเองดี? หรือ กิจการผลิตสินค้าและขายเป็นปกติอยู่แล้วแต่มีกำลังการผลิตเหลือ พอดีมีคนมาเสนอให้ผลิตสินค้าแบรนด์อื่น กิจการควรรับงานนี้หรือไม่? สังเกตว่าคำถามข้างต้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถตอบได้ในทันที และไม่สามารถใช้ข้อมูลในอดีตมาใช้ในการตอบได้อย่างเพียงพอ สิ่งเหล่านี้จะเป็นการประยุกต์ใช้โดยการนำข้อมูลในอดีตผสมกับแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ เช่น ต้นทุนค่าเสียโอกาส เพราะการเลือกทำหรือไม่ทำจะต้องมีต้นทุนค่าเสียโอกาสอยู่เสมอ ถ้านักบัญชีมีทักษะนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กิจการได้มหาศาลเลยครับ 3. วางแผนภาษีได้ บางคนอาจสงสัยว่าการรู้เรื่องภาษีเป็นสิ่งพื้นฐานแล้ว ทำไมในหัวข้อนี้ภาษีจึงเป็นทักษะอื่นๆ นั้นเพราะภาษีที่พูดก่อนหน้านี้เป็นพื้นฐาน เช่น รู้ว่าภาษีแต่ละประเภทคืออะไร เกี่ยวข้องกับกิจการยังไง คำนวณยังไง ใช้แบบภาษีชื่ออะไร และยื่นเมื่อไหร่ มีวัตถุประสงค์เพื่อทำตามที่กฎหมายกำหนดให้ทำทุกเดือนหรือทุกปี แต่การวางแผนภาษีจะเป็นเรื่องของการรวบรวมประสบการณ์และองค์ความรู้ในข้อกฎหมายภาษี (ที่เรียกกันว่า “ประมวลรัษฏากร”) มาใช้ประหยัดภาษีของกิจการ ซึ่งผู้ประกอบการหลายมักคนมักคิดว่านักบัญชีทุกคนต้องรู้เรื่องการวางแผนภาษีเป็นอย่างดี แต่จริงๆ แล้วเรื่องภาษีเป็นเรื่องของกฎหมายล้วนๆ ซึ่งต้องใช้ทั้งประสบการณ์และองค์ความรู้ในระดับหนึ่งเลย ตัวอย่างเช่น ตอนนี้เราได้รู้กันแล้วว่า 6 ความรู้พื้นฐานที่นักบัญชีต้องมี เริ่มตั้งแต่ เข้าใจสมการบัญชี เข้าใจเกณฑ์คงค้าง เข้าใจเอกสารค้าขาย เข้าใจภาษีพื้นฐาน รู้จักประเภทเงินได้ แยกสินทรัพย์กับหนี้สินได้ และสุดท้ายต้องเข้าใจธุรกิจที่ทำบัญชีให้ นอกจากนี้ถ้านักบัญชีมี 3 ทักษะนี้เพิ่มเติมจะช่วยมูลค่าในตัวเองได้มากขึ้น ได้แก่ ทำงบประมาณรายได้ค่าใช้จ่ายได้ เข้าใจบัญชีบริหาร และวางแผนภาษี แต่ขอบอกว่าทักษะอื่นๆ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สามทักษะนี้นะครับ นักบัญชีสามารถเก่งในด้านอื่นๆ ได้เช่นกัน กล่าวคือ เก่งอะไรก็ได้ที่ช่วยให้กิจการดีขึ้นและเติบโตไปพร้อมๆ กับนักบัญชี ท้ายนี้ผมขอบคุณทุกท่านมากๆ ที่ติดตาม 10 กฎพื้นฐานด้านการเงินสำหรับ SMEs ตั้งแต่ EP แรกจนถึงตอนสุดท้ายนี้ หวังเหลือเกินผู้อ่านทุกท่านจะได้ประโยชน์และสาระดีๆ จากบทความของผม เพื่อไปปรับประยุกต์ใช้กับกิจการของท่านครับ โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

รู้จักแนวทางการทำงานแบบ Paperless วิธีช่วยลดต้นทุนกระดาษ

การทำงานแบบ Paperless กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับองค์กรยุคใหม่ที่ต้องการเพิ่มคุณภาพการทำงาน โดยการปรับเปลี่ยนสู่ระบบ Paperless ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนในการประหยัดทรัพยากรกระดาษเท่านั้น แต่ยังช่วยให้การจัดการเอกสารให้มีระบบมากขึ้น ลดพื้นที่จัดเก็บ และเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล เรามาทำความเข้าใจกับแนวคิด Paperless และประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับกัน การทำงานแบบ Paperless คืออะไร การทำงานแบบ Paperless คือ การลดการใช้กระดาษในกระบวนการทำงานโดยเปลี่ยนไปใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์แทน ระบบ Paperless ไม่ได้หมายถึงการไม่ใช้กระดาษเลย แต่เป็นการลดการใช้กระดาษให้น้อยที่สุดโดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วย เช่น การสแกนเอกสาร การจัดเก็บไฟล์ดิจิทัล และการใช้ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ การทำงานในรูปแบบนี้ช่วยให้องค์กรประหยัดทั้งพื้นที่จัดเก็บ เวลาในการค้นหา และค่าใช้จ่ายในการจัดการเอกสาร ระบบ Paperless มีข้อดีอย่างไร การนำระบบ Paperless มาใช้ในองค์กรมีข้อดีมากมาย ทั้งด้านการจัดการ ความปลอดภัย และการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงานและต้นทุนขององค์กร มาดูข้อดีที่สำคัญของการใช้ระบบ Paperless กัน เข้าถึงเอกสารได้จากทุกที่ทุกเวลา ระบบ Paperless ช่วยให้พนักงานสามารถเข้าถึงเอกสารได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะทำงานที่ออฟฟิศ ที่บ้าน หรือระหว่างเดินทาง เอกสารทั้งหมดถูกจัดเก็บในระบบคลาวด์ที่มีความปลอดภัยสูง ทำให้การค้นหาและเรียกดูเอกสารทำได้ง่ายและรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังสามารถแชร์เอกสารให้กับทีมงานได้ทันที ลดเวลาในการรอคอยและเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน เพิ่มความปลอดภัยในการจัดเก็บเอกสารได้ การจัดเก็บเอกสารในระบบ Paperless มีความปลอดภัยสูงกว่าการเก็บเอกสารกระดาษ ด้วยระบบการเข้ารหัสข้อมูล การกำหนดสิทธิ์การเข้าถึง และการติดตามประวัติการใช้งาน ทำให้มั่นใจได้ว่าเอกสารสำคัญจะไม่สูญหายหรือตกไปอยู่ในมือผู้ไม่หวังดี ระบบยังมีการสำรองข้อมูลอัตโนมัติ ป้องกันความเสียหายจากภัยพิบัติหรืออุบัติเหตุต่าง ๆ  นำข้อมูลไปใช้ต่อได้อย่างง่ายดาย เอกสารในระบบ Paperless สามารถนำไปใช้ต่อได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการคัดลอกข้อมูล การแก้ไข หรือการวิเคราะห์ ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในรูปแบบดิจิทัลที่พร้อมนำไปประมวลผลหรือใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์อื่น ๆ เช่น โปรแกรมบัญชี หรือระบบวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การทำงานแบบ Paperless ช่วยลดการใช้กระดาษ ซึ่งส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมโดยตรง นอกจากจะช่วยลดการตัดต้นไม้แล้ว ยังช่วยลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตกระดาษ การขนส่ง และการกำจัดของเสีย องค์กรที่ใช้ระบบ Paperless จึงมีส่วนช่วยในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในด้านความรับผิดชอบต่อสังคม เทคโนโลยีและเครื่องมือที่ใช้ในระบบ Paperless มีอะไรบ้าง การทำงานแบบ Paperless ต้องอาศัยเทคโนโลยีและเครื่องมือหลายอย่างเพื่อให้การจัดการเอกสารมีประสิทธิภาพสูงสุด ตั้งแต่การสร้างเอกสาร การจัดเก็บ ไปจนถึงการแชร์และสำรองข้อมูล ซึ่งจะมีเครื่องมืออะไรบ้างไปดูกัน โปรแกรมสำหรับสร้างและจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โปรแกรมจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์เป็นหัวใจสำคัญของระบบ Paperless โดยระบบจะช่วยให้การจัดการเอกสารทางการเงินเป็นระบบ สามารถสร้างใบกำกับภาษี ใบเสร็จ และรายงานทางการเงินในรูปแบบดิจิทัล พร้อมระบบจัดเก็บที่ปลอดภัยและค้นหาง่าย ลดการพิมพ์เอกสารและประหยัดทรัพยากร สแกนเนอร์ที่ใช้แปลงเอกสารให้อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ สแกนเนอร์เป็นอุปกรณ์สำคัญในการแปลงเอกสารกระดาษให้เป็นไฟล์ดิจิทัล โดยเฉพาะสแกนเนอร์ที่มีเทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) ที่สามารถแปลงตัวอักษรในเอกสารให้เป็นข้อความที่แก้ไขได้ ทำให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ต่อในโปรแกรมต่าง ๆ ได้ การเซ็นเอกสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ช่วยให้การอนุมัติและลงนามในเอกสารทำได้รวดเร็วและปลอดภัย ไม่ต้องพิมพ์เอกสารเพื่อลงนามและสแกนกลับ ระบบจะมีการเข้ารหัสและตรวจสอบความถูกต้องของลายเซ็น ทำให้มั่นใจได้ว่าเอกสารมีความน่าเชื่อถือและใช้อ้างอิงทางกฎหมายได้ Cloud Storage ระบบจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ช่วยให้เข้าถึงเอกสารได้ทุกที่ทุกเวลา มีพื้นที่จัดเก็บขนาดใหญ่ และระบบรักษาความปลอดภัยระดับสูง เหมาะสำหรับการจัดเก็บเอกสารสำคัญขององค์กร โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับโปรแกรมบัญชีที่จัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ ทำให้การเข้าถึงและแชร์เอกสารทำได้ง่าย Backup Storage ระบบสำรองข้อมูลเป็นส่วนสำคัญของระบบ Paperless เพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูล โดยมีการสำรองข้อมูลอัตโนมัติและจัดเก็บในหลายที่ ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลจะปลอดภัยแม้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ระบบล่ม หรือภัยพิบัติต่าง ๆ ระบบ Knowledge Management ระบบจัดการความรู้ช่วยในการจัดเก็บและแชร์ความรู้ภายในองค์กร ทำให้พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลและแนวปฏิบัติต่างๆ ได้ง่าย เช่น คู่มือการทำงาน แนวทางปฏิบัติ และเอกสารอ้างอิงต่าง ๆ ช่วยลดการพิมพ์เอกสารและทำให้การเรียนรู้ในองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น การเปลี่ยนผ่านสู่องค์กร Paperless เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาธุรกิจ โดยเฉพาะการใช้โปรแกรมบัญชีที่มีการทำงานแบบ Paperless ก็จะสามารถช่วยให้การจัดการเอกสารทางการเงินเป็นระบบ ลดการใช้กระดาษ และทำให้องค์กรประหยัดทั้งเวลาและต้นทุนได้ โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

นายจ้างควรรู้! ขั้นตอนและช่องทางการส่งเงินสมทบประกันสังคม

การส่งเงินสมทบประกันสังคมเป็นสิ่งที่นายจ้างต้องทำทุกเดือน ปัจจุบันสำนักงานประกันสังคมได้พัฒนาระบบการส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ เพื่อให้นายจ้างสามารถทำได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น ซึ่งวิธีการส่งเงินสมทบประกันสังคมผ่านระบบออนไลน์มีขั้นตอนการสมัครและการชำระเงินอะไรบ้างไปดูกัน การจ่ายเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์คืออะไร การส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ คือ ระบบการชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ที่สำนักงานประกันสังคมพัฒนาขึ้นเพื่อให้นายจ้างส่งงินสมทบได้ง่ายขึ้น ลดขั้นตอนยุ่งยาก และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง นายจ้างสามารถทำรายการผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของธนาคารที่ร่วมให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ข้อดีของการจ่ายเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ การชำระเงินผ่านระบบออนไลน์มีข้อดีจะช่วยให้นายจ้างส่งเงินสมทบประกันสังคมได้ดีมากขึ้นหลายข้อ ซึ่งมีข้อดีอะไรบ้างมาดูกัน ความสะดวกสบายและประหยัดเวลา การส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางไปสำนักงานประกันสังคมหรือธนาคาร ระบบจะคำนวณยอดเงินที่ต้องชำระให้อัตโนมัติ ทำให้ไม่ต้องคำนวณเองที่อาจเกิดข้อผิดพลาดได้ และสามารถทำรายการได้รวดเร็วภายในไม่กี่นาที นอกจากนี้ ยังตั้งเวลาการชำระเงินล่วงหน้าและได้ ชำระได้ทุกที่ทุกเวลา ระบบเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีหยุดหรือเวลาทำการ ทำได้ทุกที่เพียงมีอินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟน นายจ้างจึงสามารถเลือกได้เองตามความสะดวก ตรวจสอบสถานะได้อย่างง่ายดาย ระบบจะเก็บประวัติการทำรายการทั้งหมด ทำให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ง่าย มีใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถดาวน์โหลดได้ทันที และสามารถติดตามสถานะการจ่ายเงินได้แบบเรียลไทม์ ยืดหยุ่นในการชำระเงิน สามารถเลือกวิธีการจ่ายเงินได้ตามความสะดวก ทั้งการหักผ่านบัญชีธนาคาร บัตรเครดิต หรือช่องทางอื่น ๆ ที่ธนาคารให้บริการ ช่วยให้นายจ้างบริหารกระแสเงินสดได้ดีมากขึ้น ทำไมบริษัทต้องส่งเงินสมทบประกันสังคม การส่งเงินสมทบประกันสังคมเป็นภาระหน้าที่ของบริษัทตามที่กฎหมายกำหนดไว้ใน พระราชบัญญัติประกันสังคม ซึ่งมีขึ้นเพื่อสร้างระบบสวัสดิการสำหรับลูกจ้างให้ได้รับความคุ้มครองในกรณีต่าง ๆ โดยบริษัทมีหน้าที่ในการสนับสนุนและรับผิดชอบในการส่งเงินสมทบ 5% ของค่าจ้างลูกจ้าง สูงสุดไม่เกินฐานเงินเดือน 15,000 บาท  หากไม่ส่งเงินสมทบประกันสังคมมีโทษไหม การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายประกันสังคมมีบทลงโทษที่รุนแรง โดยแบ่งเป็นสองกรณี ดังนี้  ขั้นตอนการส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ e-Payment การส่งเงินสมทบประกันสังคมผ่านระบบ e-Payment ทำได้ด้วยตนเองง่าย ๆ โดยมีขั้นตอน ดังนี้  การส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ช่วยให้นายจ้างบริหารจัดการได้สะดวกและง่ายมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการเสียค่าปรับจากการส่งเงินสมทบล่าช้า และสามารถตรวจสอบได้ PEAK Payroll ช่วยให้การส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์เป็นเรื่องง่ายและสะดวกสำหรับนายจ้าง ด้วยระบบที่สามารถคำนวณและส่งข้อมูลการชำระเงินสมทบได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาทำเอกสารหรือเดินทางไปที่สำนักงานประกันสังคม โดย PEAK Payroll รองรับการชำระเงินผ่าน e-Payment ที่ปลอดภัย พร้อมทั้งสามารถตรวจสอบสถานะการส่งเงินสมทบได้ตลอดเวลา ช่วยลดความเสี่ยงจากการล่าช้าและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการชำระเงินไม่ตรงเวลา ทั้งยังช่วยให้ธุรกิจของคุณบริหารจัดการการเงินและข้อมูลพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

ใบสั่งซื้อ Purchase Order (PO) คืออะไร พร้อมตัวอย่าง

ในการดำเนินธุรกิจการควบคุมการสั่งซื้อสินค้าและบริการให้มีระบบ ธุรกิจจะสามารถบริหารต้นทุนได้ดีมากขึ้น โดยเฉพาะระบบเอกสารอย่างใบสั่งซื้อ หรือ PO ที่มีรายละเอียดในการสั่งซื้อชัดเจนสามารถตรวจสอบได้ง่าย ทำให้วางแผนควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น ซึ่งเอกสารสำคัญนี้จะมีรายละเอียดอะไรบ้างเราไปดูตัวอย่างที่จะช่วยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นกัน ใบสั่งซื้อ PO สำคัญอย่างไรกับธุรกิจ การแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุนและการควบคุมการจัดซื้อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการใช้ใบสั่งซื้อ PO ที่เป็นวิธีการควบคุมค่าใช้จ่ายให้ง่ายขึ้น มาดูกันว่าใบสั่งซื้อมีความสำคัญต่อธุรกิจอย่างไรบ้าง ช่วยควบคุมงบประมาณ ใบสั่งซื้อ PO ช่วยให้องค์กรรู้ที่มาของค่าใช้จ่าย และควบคุมการใช้จ่ายของบริษัทได้ดีขึ้น เนื่องจากทุกการสั่งซื้อจะต้องได้รับการอนุมัติและตรวจสอบตามขั้นตอน ทำให้สามารถป้องกันการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและเกินงบประมาณได้ นอกจากนี้ ยังช่วยในการวางแผนการเงินและการจัดการกระแสเงินสดขององค์กร สร้างความโปร่งใส ใบสั่งซื้อ PO ทำให้กระบวนการจัดซื้อมีความโปร่งใส และลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากทุกรายการมีการบันทึกและตรวจสอบได้ อีกทั้ง ยังเป็นหลักฐานการตรวจสอบบัญชีภายในอีกด้วย เพิ่มประสิทธิภาพการจัดซื้อ ใบสั่งซื้อ PO ช่วยให้กระบวนการจัดซื้อมีระบบและมาตรฐาน ทำให้การติดต่อกับผู้ขายมีความชัดเจน เปรียบเทียบราคากับผู้ขายรายต่างๆ ได้ ทำให้การสั่งซื้อมีความผิดพลาดน้อยลง และช่วยให้การจัดส่งสินค้าเป็นไปตามกำหนดเวลา  ใบสั่งซื้อ PO คืออะไร แตกต่างจากขอซื้อ PR อย่างไร ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง มีเอกสารสำคัญสองประเภทที่มักสร้างความสับสนให้กับผู้ประกอบการ นั่นคือใบสั่งซื้อ (PO) และใบขอซื้อ (PR) แม้จะมีความเกี่ยวข้องกัน แต่มีวัตถุประสงค์และการใช้งานที่แตกต่างกัน มาทำความเข้าใจแต่ละประเภทกัน ใบสั่งซื้อ PO คือ ใบสั่งซื้อหรือ Purchase Order (PO) เป็นเอกสารทางธุรกิจที่ออกโดยฝ่ายจัดซื้อขององค์กร เพื่อสั่งซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ขาย (Supplier) อย่างเป็นทางการ ใบสั่งซื้อ PO จะถูกจัดทำขึ้นหลังจากที่ใบขอซื้อ (PR) ได้รับการอนุมัติแล้ว โดยจะมีรายละเอียด เช่น ราคา การชำระเงิน ชนิดสินค้า จำนวนและการจัดส่ง เมื่อผู้ขายได้รับใบสั่งซื้อ PO และยอมรับเงื่อนไข สัญญานี้จะมีผลตามกฎหมายที่ต้องปฏิบัติตาม การออกใบสั่งซื้อ PO ผู้มีอำนาจต้องอนุมัติก่อน เพื่อควบคุมการใช้จ่ายและป้องกันการทุจริต ใบขอซื้อ PR คือ ใบขอซื้อหรือ Purchase Requisition (PR) เป็นเอกสารภายในองค์กรที่แผนกต่าง ๆ ใช้แจ้งความต้องการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการไปยังฝ่ายจัดซื้อ โดยระบุรายละเอียดสินค้าที่ต้องการ เหตุผล และงบประมาณที่ต้องใช้ เอกสาร PR หัวหน้าแผนกหรือผู้มีอำนาจจะต้องตรวจสอบและอนุมัติก่อน เพื่อยืนยันความจำเป็นและความเหมาะสมของการจัดซื้อ ระบบ PR ช่วยควบคุมการใช้จ่ายและป้องกันการสั่งซื้อที่ไม่จำเป็น รวมถึงป้องกันการทุจริตของพนักงานและผู้ขาย ข้อมูลที่ต้องมีในใบสั่งซื้อ ใบสั่งซื้อ PO ที่สมบูรณ์ต้องประกอบด้วยข้อมูลสำคัญที่ครบถ้วน เริ่มจากข้อมูลพื้นฐานของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ได้แก่ ชื่อบริษัท ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษี รายละเอียดการสั่งซื้อต้องระบุชนิดสินค้า คุณสมบัติ จำนวน ราคาต่อหน่วย และราคารวม นอกจากนี้ ยังต้องมีเงื่อนไขการชำระเงิน กำหนดการจัดส่ง และลายเซ็นผู้มีอำนาจอนุมัติ การระบุข้อมูลให้ครบถ้วนช่วยลดข้อผิดพลาดและข้อพิพาทในอนาคต ตัวอย่างใบสั่งซื้อ และ ตัวอย่างใบขอซื้อ เพื่อให้เข้าใจรูปแบบและองค์ประกอบของเอกสารทั้งสองประเภทได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราได้รวบรวมตัวอย่างใบสั่งซื้อ PO และใบขอซื้อ PR ที่มีการใช้งานจริงในองค์กรมาให้ดูกัน การจัดการระบบเอกสารการสั่งซื้อที่มีประสิทธิภาพ ช่วยควบคุมการใช้จ่าย ป้องกันการทุจริต และสร้างความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อขององค์กรได้ดีขึ้น เจ้าของธุรกิจจึงควรเข้าใจและใช้ประโยชน์จากใบสั่งซื้อ PO อย่างเต็มที่ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ รองรับการสร้าง ใบสั่งซื้อ (PO) ได้อย่างง่ายดาย ช่วยให้คุณจัดการคำสั่งซื้อจากผู้จัดจำหน่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบสามารถบันทึกและติดตามข้อมูลการสั่งซื้อ สินค้า และเงื่อนไขการชำระเงิน พร้อมทั้งสามารถเชื่อมโยงกับใบส่งสินค้าและใบแจ้งหนี้ได้ทันที ทำให้การจัดการธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่นและมีระบบมากยิ่งขึ้น ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

ใบเสนอราคา (Quotation) คืออะไร ต้องออกเมื่อไหร่

การทำธุรกิจในปัจจุบันไม่ใช่แค่เรื่องของการซื้อขายเท่านั้น แต่ยังต้องมีเอกสารสำคัญที่ทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยเฉพาะใบเสนอราคาฟอร์มที่นอกจากจะช่วยให้ลูกค้าเข้าใจรายละเอียดสินค้า และบริการได้ชัดเจนแล้ว ยังเป็นหลักฐานสำคัญในการทำธุรกรรมที่เจ้าของธุรกิจทุกคนควรมีอีกด้วย ซึ่งแบบฟอร์มใบเสนอราคา ตั้งแต่ความหมาย ความสำคัญ จะมีองค์ประกอบที่จำเป็นอะไรบ้างไปดูกัน ใบเสนอราคาฟอร์มเอกสารธุรกิจ คืออะไร ใบเสนอราคาฟอร์มเอกสารทางธุรกิจที่ผู้ขายจัดทำขึ้นเพื่อแจ้งรายละเอียดสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้า โดยระบุข้อมูลสำคัญอย่างครบถ้วน ทั้งชื่อสินค้า จำนวน ราคาต่อหน่วย และยอดรวมทั้งหมด รวมถึงวิธีการส่งมอบสินค้าและชำระเงิน ซึ่งเอกสารนี้จะออกให้ลูกค้าเมื่อมีการสอบถามราคาสินค้าหรือบริการ เพื่อใช้ในการพิจารณาและตัดสินใจ โดยใบเสนอราคาจะต้องผ่านการอนุมัติทุกครั้งจากผู้มีอำนาจ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในอนาคตก่อนจะส่งให้ลูกค้า  ใบเสนอราคาสำคัญกับธุรกิจอย่างไร ในโลกธุรกิจการมีเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะใบเสนอราคาที่ไม่เพียงแต่แสดงรายละเอียดสินค้าและบริการ แต่ยังทำให้ผู้ประกอบการดูมืออาชีพอีกด้วย มาดูกันว่าใบเสนอราคามีความสำคัญอย่างไรบ้าง ช่วยสื่อสารกับลูกค้าได้ชัดเจนมากขึ้น การมีใบเสนอราคาที่ระบุรายละเอียดครบถ้วนช่วยลดความคลุมเครือในการสื่อสารระหว่างผู้ขายและลูกค้า เพราะทุกข้อมูลถูกระบุไว้อย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งคุณสมบัติสินค้า ราคา เงื่อนไขการชำระเงิน และการจัดส่ง ทำให้ลูกค้าเข้าใจและสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น พร้อมช่วยป้องกันความเข้าใจผิดในอนาคต ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อพิพาทระหว่างคู่ค้าได้ ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ การมีแบบฟอร์มใบเสนอราคาที่เป็นมาตรฐาน พร้อมตราสัญลักษณ์และข้อมูลบริษัทครบถ้วน ทำให้ธุรกิจดูมีความมืออาชีพ ทำให้ลูกค้ารู้สึกกล้าทำธุรกรรมกับธุรกิจเรา นอกจากนี้ การระบุรายละเอียดที่ชัดเจนยังสร้างความเชื่อถือว่าธุรกิจของเรามีความโปร่งใส ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความไว้วางใจจากลูกค้า ช่วยเพิ่มโอกาสซื้อสินค้าของลูกค้า การจัดทำใบเสนอราคาอย่างเป็นระบบ แสดงรายละเอียดสินค้าและบริการอย่างครบถ้วน พร้อมระบุสิทธิประโยชน์หรือโปรโมชันต่าง ๆ จะช่วยลูกค้าเห็นรายละเอียดสินค้าและบริการที่จะได้รับทั้งหมด ซึ่งจะช่วยลดความลังเลและเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น ใช้เป็นเอกสารอ้างอิงทางกฎหมาย แม้ว่าใบเสนอราคาจะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายโดยตรง แต่สามารถใช้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาในกรณีที่เกิดข้อพิพาทได้ โดยเฉพาะเมื่อมีการลงนามยอมรับเงื่อนไขข้อตกลงเบื้องต้นที่แสดงถึงเจตนาในการซื้อขายของเราและอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งสามารถใช้อ้างอิงในชั้นศาลได้หากเกิดปัญหาในภายหลัง ใบเสนอราคาต้องออกเมื่อไหร่ การออกใบเสนอราคาควรดำเนินการทันทีเมื่อลูกค้าแสดงความสนใจในสินค้าหรือบริการและต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่องราคาและเงื่อนไขต่าง ๆ ความรวดเร็วในการตอบสนองถือเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้ลูกค้าตัดสินใจตกลงซื้อขายได้เร็วขึ้น เนื่องจากลูกค้าอาจกำลังเปรียบเทียบราคากับคู่แข่งรายอื่น อย่างไรก็ตาม ความถูกต้องของข้อมูลในใบเสนอราคาให้ละเอียดก่อนส่งให้ลูกค้า เพื่อป้องกันปัญหในอนาคต แบบฟอร์มใบเสนอราคาต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง แบบฟอร์มใบเสนอราคาที่ดีควรมีองค์ประกอบครบถ้วน เพื่อให้ข้อมูลที่จำเป็นแก่ลูกค้าและใช้เป็นเอกสารอ้างอิงในอนาคต โดยองค์ประกอบสำคัญที่ควรมีในใบเสนอราคามี ดังนี้ การมีใบเสนอราคาฟอร์มเอกสารธุรกิจที่ครบถ้วนและเป็นระบบ จะช่วยทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือ ช่วยให้การทำธุรกิจไม่มีปัญหาและเติบโตได้ดี การจัดทำใบเสนอราคาอย่างมืออาชีพจึงเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจและให้ความสำคัญ  PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยให้การออก ใบเสนอราคา เป็นเรื่องง่ายและเป็นมืออาชีพ ด้วยระบบที่สามารถสร้างและปรับแต่งใบเสนอราคาได้อย่างรวดเร็ว รองรับการส่งเอกสารออนไลน์หรือดาวน์โหลดเป็น PDF พร้อมติดตามสถานะและเปลี่ยนเป็นใบแจ้งหนี้ได้ทันที ระบบยังจัดเก็บเอกสารอย่างเป็นระเบียบ เพิ่มความสะดวกและความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณในทุกขั้นตอน ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

ทะเบียนพาณิชย์คืออะไร สำคัญกับธุรกิจอย่างไร

ทะเบียนพาณิชย์ คือ เอกสารสำคัญที่ใช้รับรองการประกอบธุรกิจการค้าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นต้องดำเนินการจดทะเบียนพาณิชย์ก่อนเริ่มประกอบกิจการ เพื่อแสดงตัวตนทางการค้าและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ ซึ่งจะมีกิจการไหนบ้างต้องจดทะเบียนนี้ และวิธีการจดทะเบียนพาณิชย์ต้องทำอย่างไรบ้างไปดูกัน การจดทะเบียนพาณิชย์ คืออะไร? ทะเบียนพาณิชย์ คือ การจดแจ้งการประกอบธุรกิจการค้ากับหน่วยงานราชการตามที่กฎหมายกำหนด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมและส่งเสริมการประกอบธุรกิจให้เป็นไปอย่างถูกต้อง การจดทะเบียนพาณิชย์จะทำให้ธุรกิจมีตัวตนทางกฎหมาย สามารถทำธุรกรรมทางการเงิน การค้า และการภาษีได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคู่ค้าและลูกค้า รวมถึงเป็นประโยชน์ในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ทะเบียนพาณิชย์คืออะไร สำคัญกับธุรกิจอย่างไร ทะเบียนพาณิชย์มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจหลายด้าน เป็นหลักฐานแสดงการมีตัวตนของกิจการที่ถูกต้องตามกฎหมาย ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมทางการค้า การติดต่อกับหน่วยงานราชการ และการทำสัญญากับคู่ค้า นอกจากนี้ ทะเบียนพาณิชย์ยังเป็นเอกสารสำคัญในการขอสินเชื่อธุรกิจ การเปิดบัญชีธุรกิจ และการเข้าร่วมประมูลงานต่าง ๆ กิจการไหนบ้างที่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ กฎหมายกำหนดให้ผู้ประกอบการทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่ประกอบกิจการในประเทศไทยต้องจดทะเบียนพาณิชย์ โดยแบ่งตามประเภทของผู้ประกอบการ ดังนี้ จดทะเบียนพาณิชย์สำหรับบุคคลธรรมดา บุคคลธรรมดาที่ประกอบกิจการค้าด้วยทุนทรัพย์เกิน 20,000 บาท หรือมีกำไรขั้นต้นประจำปีเกิน 1,000 บาท ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ รวมถึงกิจการค้าปลีก ค้าส่ง การผลิตสินค้า การให้บริการ และการประกอบธุรกิจออนไลน์ การจดทะเบียนพาณิชย์จะช่วยให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือและสามารถดำเนินกิจการได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย จดทะเบียนพาณิชย์สำหรับนิติบุคคล นิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย เช่น บริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด ต้องจดทะเบียนพาณิชย์เมื่อเริ่มประกอบกิจการ โดยไม่คำนึงถึงจำนวนทุนหรือรายได้ การจดทะเบียนพาณิชย์จะทำให้นิติบุคคลสามารถดำเนินธุรกรรมทางการค้าและการเงินได้อย่างถูกต้อง กิจการไหนบ้างที่ได้รับยกเว้นจดทะเบียนพาณิชย์ กิจการบางประเภทได้รับการยกเว้นไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ เช่น การค้าเร่ การค้าแผงลอย กิจการของกระทรวง ทบวง กรม การค้าของสหกรณ์ การค้าของมูลนิธิ สมาคม สโมสรที่จดทะเบียนตามกฎหมาย และการประกอบอาชีพอิสระ เช่น แพทย์ ทนายความ สถาปนิก ที่ทำงานโดยใช้วิชาชีพส่วนตัว เอกสารที่ต้องใช้ในการจดทะเบียนพาณิชย์ การเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนจะช่วยให้การจดทะเบียนพาณิชย์ไม่มีปัญหาและทำให้ได้รับเอกสารเร็วขึ้น โดยเอกสารที่ต้องเตรียมมีดังนี้  วิธีการจดทะเบียนพาณิชย์ การจดทะเบียนพาณิชย์เป็นขั้นตอนสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นทำธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทย โดยการจดทะเบียนพาณิชย์นี้สามารถทำได้ทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อความสะดวกของผู้ประกอบการ โดยมีขั้นตอนดังนี้  บทลงโทษถ้าไม่จดทะเบียนพาณิชย์ ผู้ประกอบการที่ไม่จดทะเบียนพาณิชย์ตามที่กฎหมายกำหนดจะมีความผิดตามพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ มีโทษปรับตั้งแต่ 500 ถึง 5,000 บาท และปรับต่อเนื่องอีกวันละไม่เกิน 100 บาทจนกว่าจะได้จดทะเบียน นอกจากนี้ ยังอาจมีผลกระทบต่อการทำธุรกรรมทางการเงินและความน่าเชื่อถือของธุรกิจ ทะเบียนพาณิชย์คือขั้นตอนสำคัญในการเริ่มต้นธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและโอกาสทางธุรกิจ ผู้ประกอบการควรศึกษาข้อมูลและเตรียมเอกสารให้พร้อมก่อนดำเนินการจดทะเบียน เพื่อให้การจดทะเบียนเป็นไปอย่างถูกต้องและไม่มีปัญหา โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

E-Document เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ คืออะไร มีข้อดีกับองค์กรอย่างไร

E-Document หรือ เอกสารอิเล็กทรอนิกส์กลายเป็นระบบที่เหมาะกับการทำงานในองค์กรสมัยใหม่มาก ๆ โดยเฉพาะในธุรกิจที่ต้องจัดการเอกสารจำนวนมาก โดยการใช้ E-Document สามารถช่วยลดต้นทุนของบริษัทและยังช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน ซึ่ง E-Document จะสามารถทำอะไรได้บ้าง เราไปทำความรู้จักและดูจุดเด่นกัน E-Document คืออะไร E-Document หรือ เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ คือ ข้อมูลที่สามารถสร้างส่ง-รับ หรือเก็บรักษาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสามารถเข้าถึงและนำมาใช้อ้างอิงได้ในภายหลัง โดยเนื้อหาจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่การสร้างครั้งแรก ระบบ E-Document สามารถรองรับเอกสารได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารทางธุรกิจ สัญญา ใบแจ้งหนี้ หรือรายงานต่าง ๆ การทำงานด้วยระบบ E-Document ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการเอกสารได้อย่างเป็นระบบ มีความปลอดภัย และสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ตลอดเวลา ประเภทของ E-Document E-Document สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณะการใช้งานและความน่าเชื่อถือทางกฎหมาย โดยแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและการนำไปใช้ที่แตกต่างกัน องค์กรสามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับความต้องการและข้อกำหนดทางกฎหมายได้ E-Document ที่ไม่ลงลายมือชื่อ (Unsigned E-Document) Unsigned E-Document เป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ต้องลงลายมือชื่อรับรอง เหมาะสำหรับเอกสารภายในองค์กรที่ไม่ต้องการความน่าเชื่อถือทางกฎหมาย เช่น บันทึกภายใน รายงานการประชุม หรือเอกสารประกอบการทำงานทั่วไป ระบบจะบันทึกข้อมูลการสร้าง แก้ไข และเข้าถึงเอกสาร ทำให้สามารถตรวจสอบประวัติการทำงานได้ แม้จะไม่มีลายเซ็นรับรอง แต่ยังคงมีความปลอดภัยผ่านระบบการจัดการสิทธิ์และการเข้ารหัสข้อมูล E-Document ที่ลงลายมือชื่อ (Signed E-Document) Signed E-Document เป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการลงลายมือชื่อดิจิทัลเพื่อรับรองความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ ใช้สำหรับเอกสารที่ต้องการผลทางกฎหมาย เช่น สัญญา ใบแจ้งหนี้ หรือเอกสารทางการเงิน การลงลายมือชื่อดิจิทัลจะใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสที่มีความปลอดภัยสูง ทำให้ไม่สามารถปลอมแปลงหรือแก้ไขเอกสารได้หลังจากการลงนาม และสามารถตรวจสอบความถูกต้องของลายเซ็นได้ ข้อดีของ E-Document การนำระบบ E-Document มาใช้ในองค์กรมีประโยชน์มากมาย ทั้งด้านการจัดการ ความปลอดภัย และประสิทธิภาพการทำงาน มาดูข้อดีในการใช้ E-Document ในแต่ละด้านกัน จัดการเอกสารในองค์กรได้ง่ายขึ้น การใช้ระบบ E-Document ช่วยให้การจัดการเอกสารในองค์กรเป็นระบบมากขึ้น เพราะสามารถจัดเก็บเอกสารไว้ในระบบคลาวด์ ทำให้ค้นหาและเรียกดูได้ทุกที่ทุกเวลา ระบบยังมีการจัดหมวดหมู่และมีการจัดทำดรรชนีอัตโนมัติ (Automatic indexing) ทำให้สามารถช่วยลดเวลาในการค้นหาได้ นอกจากนี้ ยังสามารถกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษาเอกสารและทำลายเอกสารอัตโนมัติตามนโยบายขององค์กรได้อีกด้วย ทำงานกับระบบปฏิบัติการได้หลากหลาย ระบบ E-Document สามารถทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการและแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้อย่างยืดหยุ่น ไม่ว่าจะเป็น Windows, macOS, iOS หรือ Android ทำให้พนักงานสามารถเข้าถึงเอกสารได้จากทุกอุปกรณ์ การแชร์และทำงานร่วมกันบนเอกสารทำได้ง่าย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความเข้ากันได้ของระบบ นอกจากนี้ ยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบอื่น ๆ ในองค์กร เช่น ระบบ ERP หรือระบบ CRM เพื่อการทำงานที่ครบวงจร สามารถกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงเอกสารในองค์กร ระบบ E-Document มีระบบจัดการสิทธิ์ที่ยืดหยุ่น สามารถกำหนดได้ว่าใครมีสิทธิ์เข้าถึง ดู แก้ไข หรือแชร์เอกสารใดบ้าง ทำให้ข้อมูลสำคัญขององค์กรถูกจำกัดการเข้าถึงเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น โดยระบบจะบันทึกประวัติการเข้าถึงและการทำงานกับเอกสารทุกครั้ง ทำให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ว่าใครทำอะไรกับเอกสารบ้าง จึงสามารถเพิ่มความโปร่งใสในการทำงานได้ด้วย ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ การใช้ E-Document ช่วยลดต้นทุนในหลายด้าน ทั้งค่ากระดาษ ค่าหมึกพิมพ์ ค่าจัดเก็บเอกสาร และค่าขนส่งเอกสาร นอกจากนี้ ยังช่วยประหยัดเวลาในการค้นหาและจัดการเอกสาร ลดความผิดพลาดจากการทำงานด้วยมือ และเพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน พนักงานสามารถทำงานร่วมกันบนเอกสารเดียวกันได้พร้อมกัน ลดการทำงานซ้ำซ้อน เพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล ระบบ E-Document มีระบบรักษาความปลอดภัยหลายชั้น ทั้งการเข้ารหัสข้อมูล การยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัย และการบันทึกประวัติการใช้งาน ช่วยป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลและการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ ยังมีระบบสำรองข้อมูลอัตโนมัติ ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องเอกสารสูญหายหรือเสียหายจากภัยพิบัติต่าง ๆ ตัวอย่างรูปแบบการใช้งาน E-Document ระบบ E-Document สามารถประยุกต์ใช้ได้หลากหลายรูปแบบในองค์กร เช่น การจัดการเอกสารทางการเงิน สัญญา และเอกสารด้านทรัพยากรบุคคล การใช้ E-Document ในการออกใบแจ้งหนี้และใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ช่วยลดขั้นตอนและเวลาในการทำงาน รวมถึงการใช้ในกระบวนการอนุมัติเอกสารที่ต้องการความรวดเร็วและการติดตามสถานะที่ชัดเจน การนำระบบ E-Document มาใช้ในองค์กรถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาสู่องค์กรดิจิทัล เพราะช่วยลดต้นทุนในการทำงานทำให้องค์กรมีงบในการแข่งขันได้มากขึ้น ซึ่งสามารถเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน ช่วยทำให้การทำงานดีมากยิ่งขึ้น และข้อมูลของบริษัทจะมีความปลอดภัย โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

14 min

รวม 7 ขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทแบบฉบับเข้าใจง่ายในไม่กี่นาที

สำหรับนักธุรกิจที่ประกอบกิจการในไทย การจดทะเบียนบริษัทถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย เพราะจะช่วยให้ธุรกิจของคุณถูกต้องตามกฎหมาย สามารถดำเนินกิจการได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดปัญหาในภายหลัง แล้วต้องทำอย่างไร? สามารถจดทะเบียนบริษัทออนไลน์ได้ไหม? Peak Account ได้สรุปข้อมูลมาให้แล้ว เจ้าของธุรกิจคนไหนที่กำลังจะเปิดบริษัทใหม่ ห้ามพลาดบทความนี้เลย! การจดทะเบียนบริษัทคืออะไร ก่อนที่จะไปดูว่าการจดทะเบียนบริษัทมีขั้นตอนอย่างไร เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับการจดทะเบียนบริษัทก่อน โดยการจดทะเบียนบริษัท คือ การที่ผู้ประกอบการนำธุรกิจของตนเองไปจดทะเบียนให้มีสถานะเป็นนิติบุคคลรูปแบบหนึ่ง ซึ่งหมายถึงบุคคลที่กฎหมายสมมติให้มีสภาพบุคคลเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป ทำให้สามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ ในนามบริษัทได้ ไม่ว่าจะเป็น การทำธุรกรรมทางการเงิน การเสียภาษี การครอบครองสิทธิในการเป็นเจ้าของทรัพย์สินต่าง ๆ รวมถึงการเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ได้นั่นเอง ประเภทการจดทะเบียนบริษัท การดำเนินธุรกิจในประเทศไทย จะสามารถจดทะเบียนบริษัทได้ 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ จดทะเบียนแบบพาณิชย์ (บุคคลธรรมดา) และจดทะเบียนแบบนิติบุคคล ซึ่งจะมีข้อกำหนดแตกต่างกัน ดังนี้  1. ประเภททะเบียนพาณิชย์ (บุคคลธรรมดา) การจดทะเบียนบริษัทประเภทนี้ จะเหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก หรือธุรกิจที่มีเจ้าของคนเดียว มีข้อดีตรงที่สามารถทำธุรกิจได้อิสระมากกว่าแบบที่สอง ไม่ต้องคอยทำบัญชียื่นงบส่งให้ยุ่งยาก และจะเสียภาษีโดยคำนวณจากอัตราภาษีหลังหักค่าใช้จ่าย แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ ถ้าธุรกิจขาดทุนก็ต้องรับผิดชอบเอง และสามารถมีหนี้สินได้ไม่จำกัด หากการเงินของบริษัทไม่เพียงพอ เจ้าของธุรกิจก็ต้องรับผิดชอบด้วยทรัพย์สินส่วนตัวเอง 2. ประเภททะเบียนนิติบุคคล เป็นประเภทการจดทะเบียนบริษัทที่พบได้ทั่วไป เหมาะกับธุรกิจที่ต้องดำเนินการในรูปแบบบริษัท หรือมีผู้ประกอบการ หรือเจ้าของกิจการมาร่วมลงทุนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป มีข้อดีตรงที่หนี้สินมีจำกัด เมื่อบริษัทเป็นหนี้ก็จะรับผิดชอบไม่เกินจำนวนเงินที่ได้ลงทุนไป และเสียภาษีน้อยกว่าแบบแรก โดยภาษีเงินได้ที่ต้องเสียจะไม่เกิน 20% ของอัตราภาษีหลังหักค่าใช้จ่าย ที่สำคัญยังช่วยให้บริษัทน่าเชื่อถือด้วย 7 ขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทแบบฉบับเข้าใจง่าย ในปัจจุบัน เราสามารถจดทะเบียนบริษัทได้หลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น การจดผ่านสำนักงานบัญชี ไปจดที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าด้วยตนเอง หรือจดทะเบียนบริษัทออนไลน์ มีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก แค่ 7 ขั้นตอนเท่านั้น!  1. ตั้งชื่อบริษัทที่ต้องการใช้ในการจดทะเบียน สิ่งแรกที่คุณต้องทำก็คือการตั้งชื่อบริษัทที่จะใช้ในการจดทะเบียนบริษัท เพื่อให้ผ่านได้ง่าย ๆ แนะนำให้ตั้งชื่อที่ไม่ซ้ำกับบริษัทอื่น และตรงตามข้อกำหนดของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หลีกเลี่ยงการใช้คำที่อยู่ในข้อห้าม ไม่ว่าจะเป็น ชื่อประเทศ กลุ่มคำที่ทำให้คนเข้าใจผิด ชื่อที่มีความใกล้เคียงกับพระนามของมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ หรือชื่อที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับราชการต่าง ๆ เช่น ชื่อกระทรวง ชื่อกรม หรือชื่อทบวง โดยคุณสามารถเช็กผ่านระบบออนไลน์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้เลยว่าใช้ได้หรือไม่ 2. จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิและยื่นต่อนายทะเบียน หลังจากได้ชื่อบริษัทแล้ว เจ้าของธุรกิจจะต้องไปจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิต่อ ซึ่งเป็นเอกสารที่ระบุถึงวัตถุประสงค์ของบริษัท โครงสร้างทุน และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เอกสารนี้สามารถยื่นในขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทออนไลน์ได้เลย โดยหลังจากที่นายทะเบียนลงชื่อบนเอกสารแล้ว คุณจะต้องนำไปยื่นภายในระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน หากช้ากว่านั้นก็จะต้องทำใหม่ 3. เปิดให้มีการจองซื้อหุ้นบริษัทและนัดประชุมผู้ถือหุ้นทั้งหมด การเปิดจองให้ซื้อหุ้นบริษัทสำหรับผู้ถือหุ้นที่สนใจ และนัดให้ผู้ถือหุ้นทุกคนมาประชุมร่วมกัน เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญของการจดทะเบียนบริษัท เพราะจะช่วยให้เราสามารถกำหนดโครงสร้างและทิศทางของบริษัทให้ไปในทิศทางเดียวกันได้ตั้งแต่เริ่ม และลดโอกาสเกิดความขัดแย้งในภายหลัง โดยเจ้าของธุรกิจจะต้องดำเนินการอย่างโปร่งใส เปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นทุกคนมีสิทธิ์จองซื้อหุ้นอย่างเท่าเทียม 4. การจัดประชุมเพื่อจัดตั้งจดทะเบียนบริษัท ขั้นตอนการจัดประชุมจัดตั้งจดทะเบียนบริษัทจะทำหลังจากที่ผู้ถือหุ้นได้จองซื้อหุ้นกันเรียบร้อยแล้ว โดยผู้ถือหุ้นทุกคนจะต้องมาพิจารณาและอนุมัติเรื่องสำคัญต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินการของบริษัท ทั้งการแต่งตั้งคณะกรรมการบริษัท การออกข้อบังคับต่าง ๆ หรือการออกหุ้น เป็นต้น 5. เลือกคณะกรรมการบริษัทเพื่อดำเนินการในกิจกรรมต่าง ๆ เมื่อบริษัทได้รับการจัดตั้งแล้ว คณะกรรมการบริษัทจะต้องถูกเลือกให้เรียบร้อย เพื่อมาดำเนินการกิจกรรมต่าง ๆ ของบริษัท เช่น การบริหารจัดการ การเงิน และการตลาด การเลือกคณะกรรมการที่มีความสามารถและความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ จะช่วยให้บริษัทดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 6. ชำระค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนบริษัท ในส่วนของการชำระค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนบริษัท ค่าธรรมเนียมจะขึ้นอยู่กับทุนจดทะเบียน และอาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับบริการต่าง ๆ หากดำเนินการจดทะเบียนบริษัทออนไลน์ คุณสามารถเลือกชำระผ่านบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือสแกน QR Code Payment ผ่านโมบายแบงก์กิ้งได้เลย โดยค่าธรรมเนียมจะอยู่ที่ 500 – 25,000 บาท 7. รับใบสำคัญและหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท หลังจากที่ทำทุกขั้นตอนเสร็จแล้ว เจ้าของธุรกิจจะได้รับใบรับรองการจดทะเบียนบริษัท ไว้ใช้เป็นหลักฐานว่า บริษัทมีการเปิดบริการถูกต้องตามกฎหมาย และมีสถานะเป็นนิติบุคคลแล้วนั่นเอง ช่องทางในการจดทะเบียนบริษัท การจดทะเบียนบริษัทในปัจจุบัน ผู้ประกอบการสามารถเลือกทำในช่องทางที่ตัวเองสะดวกได้เลย ซึ่งแต่ละช่องทางก็มีข้อดีที่น่าสนใจหรืออาจข้อจำกัดที่เราต้องพิจารณาเพิ่มมากขึ้น ทั้งในแง่ของค่าใช้จ่าย ระยะเวลา และความยุ่งยากในการดำเนินการ เราจึงได้รวบรวมช่องทางหลัก ๆ พร้อมรายละเอียดมาให้เปรียบเทียบก่อนตัดสินใจเลือก จดทะเบียนบริษัทผ่านการใช้บริการสำนักงานบัญชี การใช้บริการสำนักงานบัญชีเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ในการจดทะเบียนมาก่อน สำนักงานบัญชีจะดูแลตั้งแต่การเตรียมเอกสาร ช่วยดูความถูกต้องต่าง ๆ ไปจนถึงการติดต่อกับหน่วยงานราชการให้กับเรา โดยจะใช้เวลาดำเนินการเพียง 1-3 วันทำการ ซึ่งเหมาะมาก ๆ กับผู้ประกอบการที่ต้องการรับคำแนะนำเกี่ยวกับโครงสร้างบริษัท การวางแผนภาษี และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แม้จะมีค่าบริการเพิ่มเติมจากค่าธรรมเนียมปกติ แต่ถือว่าคุ้มค่าสำหรับการประหยัดเวลาและไม่ต้องกังวลใจว่าจะเกิดข้อผิดพลาดด้วย จดด้วยตนเองผ่านระบบออนไลน์ DBD e-Registration ระบบ DBD e-Registration เป็นช่องทางที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าพัฒนาขึ้นเพื่อให้การจดทะเบียนบริษัทเป็นเรื่องง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น สามารถจดทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องเสียเงินและเวลาเดินทาง แต่ผู้ที่เลือกช่องทางนี้ต้องเตรียมเอกสารให้พร้อม และกรอกข้อมูลด้วยตนเอง ซึ่งอาจใช้เวลาดำเนินการ 3-5 วันทำการ และต้องมีความเข้าใจในขั้นตอนพอสมควร จดด้วยตนเองแบบ walk-in ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า วิธีนี้เป็นการเดินทางไปจดทะเบียนถึงกรมพัฒนาธุรกิจการค้า สามารถดำเนินการเสร็จสิ้นภายในวันเดียว หากเอกสารครบถ้วนและถูกต้อง เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบและให้คำแนะนำได้ทันที ทำให้แก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว ไม่ต้องเสียค่าดำเนินการเพิ่มเติม เหมาะสำหรับผู้ที่พอมีความรู้หรือความเข้าใจเกี่ยวกับการจดทะเบียนอยู่แล้ว และมีเวลาในการเดินทางในจดทะเบียน แม้จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเต็มจำนวนและอาจต้องรอคิวนาน แต่ก็เป็นวิธีที่รวดเร็วที่สุดหากต้องการจดทะเบียนแบบเร่งด่วน  สรุปบทความ การจดทะเบียนบริษัทเป็นขั้นตอนที่สำคัญสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจในประเทศไทย ผู้ประกอบการจะเลือกทำด้วยตัวเองหรือว่าจ้างสำนักงานบัญชีที่มีประสบการณ์ช่วยในการจดทะเบียนแทนก็ได้ ซึ่งจะช่วยลดเวลาในการเตรียมเอกสารและทำให้การจดทะเบียนสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

ห้างหุ้นส่วนจำกัดคืออะไร มีข้อดีอย่างไรบ้าง

ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือ ที่เรียกว่า หจก. ได้รับความนิยมอย่างมากในการจัดตั้งธุรกิจในประเทศไทย โดยจะใช้การร่วมทุนในการจัดตั้งธุรกิจร่วมกันมากกว่า 2 คนขึ้นไป โดยการจดทะเบียน หจก. หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ไม่ยุ่งยากซับซ้อนแถมยังใช้เวลาไม่นาน สำหรับคนที่กำลังจะจัดตั้งบริษัทเราจะขอพาไปรู้จักห้างหุ้นส่วนจำกัดในมุมต่าง ๆ ทั้งรูปแบบในการจัดตั้งและข้อดีของการจดทะเบียน หจก. เพื่อให้มีข้อมูลก่อนตัดสินใจเลือกการจัดตั้งธุรกิจประเภทนี้กัน ห้างหุ้นส่วนจำกัด คืออะไร ห้างหุ้นส่วนจำกัด คือ ธุรกิจที่มีผู้ร่วมทุนอย่างน้อย 2 คนขึ้นไป โดยผู้ถือหุ้นทุกคนสามารถจัดสรรและตกลงรายละเอียดกันได้ตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการเลือกสิ่งของในการลงทุน เช่น ลงทุนด้วยเงิน ทรัพย์สิน แรงงาน หรือสิ่งอื่นก็ได้แล้วแต่จะตกลงกัน และต้องมีการคำนวณหุ้นที่เป็นสินทรัพย์และแรงงานออกมาเป็นจำนวนเงิน โดยมีทุนจดทะเบียนที่แยกจากเงินส่วนตัว และหุ้นส่วนแต่ละคนจะรับผิดชอบหนี้สินตามที่ลงทุนเท่านั้น ห้างหุ้นส่วนสามัญและห้างหุ้นส่วนจำกัด  ห้างหุ้นส่วนจำกัดสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 รูปแบบ ตามความรับผิดชอบของหุ้นส่วนผู้ร่วมลงทุน ได้แก่ หุ้นส่วนแบบจำกัดความรับผิดและหุ้นส่วนแบบไม่จำกัดความรับผิด โดยมีความแตกต่างกันดังนี้  1. หุ้นส่วนจำกัดแบบจำกัดความรับผิด หุ้นส่วนจำกัดแบบจำกัดความรับผิด หมายถึง ผู้ร่วมทุนที่มีความรับผิดชอบในหนี้สินของธุรกิจเฉพาะจำนวนเงินที่ลงทุนเท่านั้น ผู้ร่วมทุนประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบหนี้สินที่เกิดขึ้นมากไปกว่าจำนวนเงินที่ได้ลงทุนไป ทำให้การลงทุนในห้างหุ้นส่วนจำกัดแบบนี้มีความเสี่ยงต่ำกว่าแบบไม่จำกัดความรับผิดจึงค่อนข้างปลอดภัยเพราะผู้ร่วมทุนสามารถคำนวณและจำกัดความเสี่ยงได้ การมีหุ้นส่วนจำกัดแบบนี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ร่วมทุนใหม่ ๆ ที่สนใจลงทุนในธุรกิจ 2. หุ้นส่วนแบบไม่จำกัดความรับผิด หุ้นส่วนแบบไม่จำกัดความรับผิด หมายถึง ผู้ร่วมลงทุนต้องรับผิดชอบหนี้สินของธุรกิจร่วมกันทั้งหมด โดยผู้ร่วมทุนประเภทนี้มักจะมีหน้าที่ในการบริหารธุรกิจโดยตรง เป็นรูปแบบที่มีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงที่สูงขึ้น ดังนั้น หุ้นส่วนที่มีความรู้และประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจจึงเหมาะสมกับการรับผิดชอบในลักษณะนี้ 6 ข้อดีของการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด การจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดมีข้อดีมาก ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจขนาดกลาง ซึ่งข้อดีเหล่านี้จะเป็นปัจจัยที่สำคัญในการช่วยผลักดันการทำธุรกิจประสบความสำเร็จและไปได้ด้วยดี โดยข้อดีมีรายละเอียดดังนี้  1. เพิ่มความน่าเชื่อถือ การจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดจะทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือกับทั้งลูกค้าเองและคู่ค้าธุรกิจ เพราะการจดทะเบียนทำให้ธุรกิจได้รับการยอมรับตามกฎหมาย และสามารถทำธุรกรรมการเงินต่าง ๆ ได้ง่ายและถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้ผู้ที่มีสถานะเป็นนิติบุคคลไม่ต้องกังวลใจในการทำธุรกรรมนั้น ๆ ด้วย 2. การระดมทุน ห้างหุ้นส่วนจำกัดมีความยืดหยุ่นในการระดมทุน สามารถเพิ่มจำนวนหุ้นส่วนได้ตามความต้องการของธุรกิจ การมีหุ้นส่วนหลายคนช่วยเสริมสร้างฐานะทางการเงิน และทำให้ธุรกิจมีเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการขยายกิจการที่เพียงพอ การระดมทุนผ่านห้างหุ้นส่วนจำกัดยังเป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็วเมื่อเทียบกับรูปแบบธุรกิจอื่น ๆ 3. จำกัดความรับผิดชอบ ผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัดผู้ถือหุ้นจะไม่ต้องรับผิดในหนี้สินที่เกินกว่าเงินที่ลงทุนไป จึงสามารถจะจำกัดความรับผิดชอบได้ตามจำนวนเงินหรือทรัพย์สินที่ลงทุน เพื่อเป็นการสร้างความปลอดภัยทางการเงินให้กับผู้ร่วมทุนได้มั่นใจด้วยนั่นเอง 4. บริหารจัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัดมีความยืดหยุ่นด้านการบริหารจัดการ ผู้ร่วมทุนจะสามารถแบ่งหน้าที่ได้ตามความเหมาะสมและความสามารถ ซึ่งถ้ามีการบริหารจัดการที่ดีก็จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคงและก้าวกระโดด นอกจากนี้ การมีผู้ร่วมทุนหลายคนยังสามารถนำความรู้และความเชี่ยวชาญที่หลากหลายด้านมาพัฒนาธุรกิจได้มากขึ้นอีกด้วย 5. สิทธิประโยชน์ทางภาษี ห้างหุ้นส่วนจำกัดจะได้รับการลดหย่อนภาษีตามกฎหมาย ซึ่งการใช้สิทธิด้านนี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถลดภาระทางการเงินและเพิ่มกำไรสุทธิให้กับกิจการได้ นอกจากนี้ การวางแผนภาษีอย่างถูกต้องยังส่งผลให้จัดการธุรกิจและเงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 6. สิทธิประโยชน์อื่น ๆ นอกจากข้อดีทั้ง 5 ข้อที่ได้กล่าวไปแล้ว การจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดยังมีสิทธิประโยชน์อื่น ๆ เช่น ในบางโครงการจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล หรือการเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำกว่า การที่ธุรกิจได้รับการสนับสนุนเหล่านี้จะช่วยให้กิจการมั่นคงและมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น สำหรับผู้ที่ต้องการจัดตั้งธุรกิจในรูปแบบที่มีความยืดหยุ่นและมีความเสี่ยงต่ำ การจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดถือเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์มาก ๆ เพราะมีรูปแบบการลงทุนหลากหลาย ระดมทุนได้ง่าย แบ่งความรับผิดชอบได้ชัดเจน มีความน่าเชื่อถือ และมีสิทธิลดหย่อนภาษี จึงทำให้เป็นวิธีที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้ไม่ยากนั่นเอง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

สินทรัพย์หมุนเวียนคืออะไร สำคัญต่อธุรกิจของเราอย่างไร

สินทรัพย์หมุนเวียนเป็นส่วนสำคัญของงบการเงิน มีส่วนช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้ดีและมั่นคงมากขึ้น การมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่เพียงพอจะช่วยบริษัทรักษาสภาพคล่องได้ ทั้งการชำระหนี้สินในระยะสั้น และใช้เป็นงบประมาณในดำเนินกิจการให้ไม่สะดุดด้านค่าใช้จ่ายประจำวัน สำหรับใครยังไม่รู้จักว่าสินทรัพย์หมุนเวียนคืออะไร ธุรกิจต่าง ๆ ควรมีสินทรัพย์นี้หรือไม่ เรามีคำตอบมาฝากกัน สินทรัพย์หมุนเวียน คืออะไร สินทรัพย์หมุนเวียน คือ สินทรัพย์ที่สามารถแปลงเป็นเงินสดเพื่อนำมาใช้จ่ายในธุรกิจประจำวันให้ยังคงมีสภาพคล่องได้โดยไม่สะดุด ไม่ว่าตลาดตอนนั้นจะเป็นอย่างไรธุรกิจก็จะมีเงินรองรับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่แน่นอนได้ โดยสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ภายใน 1 รอบระยะเวลาของการดำเนินธุรกิจหรือ 1 ปี ซึ่งแบ่งออกเป็นสินทรัพย์หมุนเวียน 10 ชนิดด้วยกัน เช่น เงินสด บัญชีลูกหนี้ สินค้าคงคลัง และรายได้ค้างรับ เป็นต้น สินทรัพย์หมุนเวียน 10 ชนิด มีอะไรบ้าง สินทรัพย์หมุนเวียนสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ซึ่งทั้งหมดนี้มีความสามารถในการเปลี่ยนสภาพเป็นเงินสด ภายในระยะเวลาอันสั้น เช่น ข้อดีของการมีสินทรัพย์หมุนเวียน การมีสินทรัพย์หมุนเวียนเพียงพอ ช่วยให้การทำธุรกิจไม่สะดุดและมีความมั่นคงในอนาคต มีสภาพคล่องทางการเงินในการชำระหนี้ระยะสั้นและพอสำหรับใช้ดำเนินงาน ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินให้ธุรกิจรับมือกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนได้โดยไม่เกิดปัญหาขาดสภาพคล่อง และการมีสินทรัพย์หมุนเวียนเพียงพอจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นจากผู้ร่วมลงทุนให้ธุรกิจได้ สินทรัพย์หมุนเวียนมีประโยชน์อย่างไรต่อนักลงทุน สินทรัพย์หมุนเวียนเป็นข้อมูลสำคัญที่นักลงทุนใช้วิเคราะห์สุขภาพทางการเงินของบริษัท โดยจะช่วยวิเคราะห์สภาพคล่อง ทั้งยังช่วยให้นักลงทุนประเมินความเสี่ยงและความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทได้ หรือช่วย ทำให้นักลงทุนสามารถพิจารณาความเสี่ยงอันเกี่ยวเนื่องกับการลงทุนในบริษัทนั้น ๆ และช่วยตัดสินใจลงทุนในบริษัทดีขึ้นด้วย สินทรัพย์หมุนเวียนเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การทำธุรกิจ โดยเป็นทรัพยากรที่สามารถแปลงสภาพเป็นเงินสดได้ภายในระยะเวลาอันสั้น การมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่เพียงพอช่วยให้ธุรกิจรักษาสภาพคล่องและปรับตัวต่อสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนได้เป็นได้ดี นอกจากนี้ นักลงทุนยังใช้ข้อมูลนี้ในการวิเคราะห์สุขภาพทางการเงินประเมินความแข็งแกร่งของธุรกิจ และตัดสินใจลงทุนในบริษัทได้ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

8 min

สเตทเม้น คืออะไร เรื่องที่คนทั่วไปและเจ้าของธุรกิจควรรู้

สเตทเม้น คือ รายงานการเคลื่อนไหวทางการเงินที่แสดงรายละเอียดการทำธุรกรรมในบัญชี ซึ่งสถาบันการเงินจัดทำให้กับลูกค้าเป็นประจำทุกเดือน และเป็นเอกสารสำคัญที่ช่วยให้เรารู้และควบคุมการใช้จ่ายได้ รวมถึงยังรู้ว่ารายการเดินบัญชีมีความถูกต้องหรือไม่ ทำให้เราสามารถบริหารจัดการการเงินได้ง่ายและดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งสเตทเม้นเอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง และจะสามารถขอสเตทเม้นได้อย่างไรไปดูกัน สเตทเม้น คืออะไร สเตทเม้น คือ เอกสารทางการเงินที่แสดงรายการเดินบัญชีทั้งหมดในช่วงเวลาหนึ่ง โดยปกติจะเป็นรายเดือน ซึ่งจะระบุรายละเอียดของรายการฝาก ถอน โอน หรือชำระเงินต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบัญชี พร้อมทั้งแสดงยอดเงินคงเหลือ ณ สิ้นเดือน สามารถใช้อ้างอิงการทำธุรกรรมทางการเงิน การจัดทำบัญชี และการยื่นภาษีได้ นอกจากนี้ ยังเป็นตัวช่วยในการวางแผนการเงิน และตรวจสอบว่ารายการเดินบัญชีมีความผิดปกติหรือไม่ รายละเอียดสำคัญที่ปรากฏในสเตทเม้น เอกสารที่รวบรวมข้อมูลสำคัญในการทำธุรกรรมทางการเงินของเรา ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลหลายส่วนที่จะช่วยบริหารการเงินได้ทั้งส่วนบุคคลและธุรกิจ ดังนี้ สเตทเม้นสามารถนำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง สเตทเม้น คือ ตัวช่วยในการบริหารการเงินที่มีประโยชน์หลายด้าน สามารถใช้ในการติดตามรายรับรายจ่าย การวางแผนการเงิน การจัดทำบัญชี การยื่นภาษี และการขอสินเชื่อ นอกจากนี้ ยังช่วยตรวจสอบรายการเดินบัญชีและการทำงบประมาณว่ามีความผิดปกติหรือไม่ และการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่าย ทำให้สามารถควบคุมการเงินได้ดีมากขึ้น ทำบัญชีรายรับรายจ่ายส่วนบุคคล สเตทเม้นเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายส่วนบุคคล ทำให้รู้ว่าตอนนี้จ่ายไปกับอะไรและจ่ายเท่าไหร่บ้าง เพื่อนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงินของตัวเองและปรับปรุงนิสัยการใช้จ่ายเกินความจำเป็นของเราได้ นอกจากนี้ ยังนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนการออม การลงทุน รวมถึงการจัดการหนี้สินต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้น  จัดทำบัญชีธุรกิจ สเตทเม้นเป็นเอกสารสำคัญในการจัดทำบัญชีธุรกิจ ใช้เป็นหลักฐานประกอบการบันทึกรายได้และจัดทำงบการเงิน รวมถึงการคำนวณภาษี ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามกระแสเงินสด ตรวจสอบและวิเคราะห์รายการได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ การขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน สเตทเม้นเป็นเอกสารที่สถาบันการเงินใช้ประกอบในการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของเรา โดยจะพิจารณาจากความสม่ำเสมอของรายได้ พฤติกรรมการใช้จ่าย การออม และประวัติการชำระเงินต่าง ๆ  การมีสเตทเม้นที่แสดงถึงความมั่นคงทางการเงินจะเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อ การสมัครบัตรเครดิต สเตทเม้นเป็นหลักฐานสำคัญในการสมัครบัตรเครดิต โดยธนาคารจะดูว่าเรามีรายรับเท่าไหร่ เพื่อพิจารณาวงเงินบัตรเครดิต และดูว่าเราสามารถจ่ายหนี้ได้มากหรือน้อยขนาดไหน โดยจะดูจากรายได้เฉลี่ยต่อเดือนว่ามีจำนวนเท่าไหร่และมีความสม่ำเสมอไหม รวมถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านบัญชีนั้นด้วย วิธีขอสเตทเม้น การขอสเตทเม้นสามารถเลือกทำจากช่องทางต่าง ๆ ได้ตามความสะดวกและบริการของแต่ละธนาคาร โดยช่องทางหลัก ๆ ได้แก่ การขอผ่านแอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ ซึ่งสามารถดาวน์โหลดสเตทเม้นย้อนหลังได้ฟรีโดยไม่มีค่าธรรมเนียม หรือเป็นการขอที่ตู้ ATM โดยใช้บัตร ATM/Debit ให้กดเลือกบริการพิมพ์รายการเดินบัญชี หรือการติดต่อที่สาขาธนาคารโดยตรงพร้อมบัตรประชาชนและสมุดบัญชี ทั้งนี้ การขอสเตทเม้นย้อนหลังเกิน 6 เดือนอาจมีค่าธรรมเนียมตามที่แต่ละธนาคารกำหนด และระยะเวลาในการขอย้อนหลังอาจแตกต่างกันไปตามนโยบายของแต่ละธนาคาร สเตทเม้นคือเอกสารสำคัญมาก ๆ ในการนำมาทำบัญชีธุรกิจ นำมาใช้ขอสินเชื่อและการทำธุรกรรมต่าง ๆ โดยเราสามารถขอได้ตามความสะดวกที่เราแนะนำไปข้างต้นได้เลย แต่สำหรับผู้ที่มีเงินเข้าออกหลายทางการทำบัญชีอย่างละเอียดยังคงมีความสำคัญมาก ๆ  โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

6 min

Audit คืออะไร? สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องรู้เพื่อเตรียมพร้อม

Audit คือ สิ่งที่คนทำงานบริษัทได้ยินกันบ่อย ๆ และมีความสำคัญกับธุรกิจอย่างมาก เพราะการ Audit คือ การตรวจสอบและประเมินข้อมูลบัญชีทางการเงินว่ามีความถูกต้องหรือไม่ และประเมินว่าพนักงานและบริษัทได้ทำตามกฎระเบียบขององค์กรและกฎหมายจริง ๆ โดยผู้เชี่ยวชาญอิสระ ซึ่งการ Audit นั้นจะมีความสำคัญกับธุรกิจอย่างไร ทำไมธุรกิจต้องตรวจสอบบัญชีเราไปดูกัน  Audit คือสิ่งสำคัญสำหรับทุกธุรกิจ Audit คือ กระบวนการสำคัญที่ช่วยให้การทำธุรกิจโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ โดยมีบทบาทสำคัญในหลายด้าน ทั้งการสร้างความน่าเชื่อถือ การทำตามกฎหมาย การป้องกันการทุจริต และการสนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจ สร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ การตรวจสอบบัญชี หรือ Audit คือ กลไกในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร โดยผู้ตรวจสอบอิสระที่มีความเชี่ยวชาญ จะทำให้งบการเงินของบริษัทน่าเชื่อถือมากขึ้น จนนักลงทุนและสถาบันการเงินมั่นใจในการลงทุนหรือร่วมงานกับองค์กร นอกจากนี้ ยังช่วยทำให้ธุรกิจมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาคนทั่วไป ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับ Audit คือ ตัวช่วยให้องค์กรและคนทั่วไปมั่นใจว่าบริษัททำตามข้อบังคับและกฎหมายจริง ๆ ทั้งด้านการเงินและภาษี เพื่อช่วยป้องกันการถูกปรับจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย รวมถึงช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงการการทำงานต่าง ๆ ได้สอดคล้องกับข้อกำหนดต่าง ๆ อย่างทันท่วงที ป้องกันการทุจริตและข้อผิดพลาด Audit คือ กระบวนการที่ช่วยค้นหาข้อผิดพลาดในการทำธุรกิจ และป้องกันปัญหาทุจริตที่อาจจะเกิดจขึ้น ผ่านการตรวจสอบภายในและรายการต่าง ๆ อย่างละเอียด ซึ่งถ้าบริษัทมีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ธุรกิจสามารถรู้จุดอ่อนของตัวเอง และปรับปรุงได้ก่อนที่จะเกิดความเสียหายรุนแรง เพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ Audit คือ ปัจจัยสำคัญที่เพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ โดยเฉพาะการตรวจสอบงบการเงินที่จะเพิ่มความน่าเชื่อถือจากนักลงทุนและจากสถาบันการเงิน นอกจากนี้ ยังช่วยให้การวางแผนและตัดสินใจทางธุรกิจ จากข้อมูลทางการเงินที่มีความถูกต้องได้ง่ายและรอบคอบมากขึ้น ประเภทของอาชีพ Audit การ Audit มีความสำคัญกับธุรกิจมากมาย เราจึงจะขอพาไปทำความรู้จักกับอาชีพ Audit ว่ามีประเภทอะไรบ้าง และมีหน้าที่ตรวจสอบธุรกิจส่วนไหน เพื่อให้เจ้าของธุรกิจ พนักงานบัญชี และบุคคลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถเตรียมพร้อมรับการตรวจสอบได้อย่างราบรื่น Financial Audit  Financial Audit คือ การตรวจสอบรายงานทางการเงินจากผู้สอบบัญชีอิสระ เพื่อดูว่าข้อมูลมีความถูกต้องและเชื่อถือได้ตามมาตรฐานการบัญชี  โดยจะครอบคลุมการตรวจสอบรายการบัญชีและเอกสารประกอบต่าง ๆ  Internal Audit  Internal Audit คือ การตรวจสอบภายในที่ดำเนินการโดยพนักงานขององค์กรเอง มีหน้าที่ในการประเมินระบบต่าง ๆ และการบริหารความเสี่ยงในการทำธุรกิจ เพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรมีการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพตามนโยบายที่กำหนด IT Audit  IT Audit คือ การตรวจสอบระบบเทคโนโลยีขององค์กร ว่ามีความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูลขนาดไหน และมีการปฏิบัติตามนโยบายหรือไม่ เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านปลอดภัยของข้อมูล การตรวจสอบบัญชี หรือ Audit คือ กระบวนการสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน โดยการสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือให้กับบริษัท ผู้ประกอบการจึงต้องมีการตรวจสอบบัญชีเพื่อการพัฒนาธุรกิจอย่างมั่นคง โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

24 ม.ค. 2025

PEAK Account

23 min

เคล็ด(ไม่)ลับ เป็นนักบัญชีขั้นเทพกับ 6 ความรู้พื้นฐานบัญชีที่ต้องรู้

นักบัญชีของกิจการเป็นหัวใจหลักในการบริหารงานหลังบ้านให้ราบรื่นไม่แพ้งานหน้าบ้านอย่างการขายสินค้าหรือให้บริการ การมีความรู้และทักษะทางบัญชี ภาษีที่ดีจะช่วยให้นักบัญชีสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้จะพาผู้อ่านทุกท่านไปค้นหาว่าทักษะพื้นฐานใดของนักบัญชีที่มีความจำเป็นต่อสายอาชีพ และทักษะที่ถ้ามีเพิ่มเติมแล้วอาจจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่องค์กรได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีเกณฑ์ในการคัดนักบัญชีที่เหมาะสมได้ มาเริ่มกันเลย 6 ความรู้พื้นฐานที่นักบัญชีต้องรู้ 1. เข้าใจสมการบัญชี พื้นฐานการทำบัญชีเริ่มต้นจากการเข้าใจสมการทางบัญชี เนื่องจากถ้าไม่สามารถอธิบายได้ จะลงบัญชีไม่ถูกต้อง และงบการเงินไม่น่าเชื่อถือ โดยทั่วไปหลักของสมการ คือ ตัวเลขทางด้านซ้ายต้องเท่ากับตัวเลขทางด้านขวา ซึ่งสมการทางบัญชีก็เช่นกัน ดังนี้ สมการบัญชีกำหนดว่าสินทรัพย์จะต้องเท่ากับหนี้สินบวกด้วยทุนเสมอ เช่น กิจการนำเงินสดมาเปิดกิจการ 1,000 บาท สมการบัญชีจะเป็นดังนี้ สินทรัพย์(Assets) = หนี้สิน(Liabilities) + ส่วนของเจ้าของ(Owner’s Equity)1,000(เงินสด) = 0(ไม่มีหนี้) + 1,000(เงินลงทุน) และต่อมากิจการมีการกู้ยืมเงินจากธนาคารจำนวน 500 บาท โดยได้รับเงินเป็นเงินสด สมการบัญชีจะเปลี่ยนไป ดังนี้ สินทรัพย์(Assets) = หนี้สิน(Liabilities) + ส่วนของเจ้าของ(Owner’s Equity)1,500(เงินสด) = 500(เงินกู้) + 1,000(เงินลงทุน) สมการบัญชีเป็นจุดเริ่มต้นของงบการเงินที่ถูกต้อง ถ้านักบัญชีสามารถอธิบายสมการได้ ก็คาดเดาได้ว่าจะบันทึกบัญชี(การบันทึกบัญชีอาจเรียกว่าการเดบิต เครดิตก็ได้)จะถูกต้องในระดับหนึ่งแล้ว 2. เข้าใจเกณฑ์คงค้าง เกณฑ์การจัดทำบัญชีเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ของงบการเงินของนิติบุคคล เช่น ห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือบริษัทจำกัด เพราะถ้าไม่เข้าใจ ผลที่เกิดคือ อาจบันทึกรายได้หรือค่าใช้จ่ายผิดปีได้เลย การทำบัญชีมักจะบันทึกอยู่บนเกณฑ์ยอดนิยม 2 เกณฑ์ คือ เกณฑ์เงินสด (Cash Basis) และเกณฑ์คงค้าง(Accrual Basis) ซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้ เกณฑ์เงินสด (Cash Basis) คือ การบันทึกบัญชีเมื่อได้รับเงินแล้วเท่านั้น ซึ่งในทางบัญชีและภาษีมักใช้เกณฑ์กับการรับรู้รายรับ และรายจ่ายของบุคคลธรรมดา เพราะเข้าใจง่าย ใครๆ ก็ทำได้บนกระดาษ เกณฑ์คงค้าง(Accrual Basis) คือ การบันทึกบัญชีเมื่อธุรกรรมนั้นเกิดขึ้นแล้ว เช่น มีการขายสินค้าหรือให้บริการแล้ว โดยไม่สนใจว่าจะได้รับเงินสดแล้วหรือไม่ ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ใช้ทำบัญชีและยื่นภาษีของนิติบุคคล จึงเป็นเกณฑ์ที่สำคัญมากที่นักบัญชีต้องรู้ ตัวอย่างเช่น กิจการทำธุรกิจขายสบู่ ได้ขายสบู่ให้แก่ลูกค้าในปี 2566 แต่ได้รับชำระเงินในปี 2568 การบันทึกบัญชีของแต่ละเกณฑ์จะเป็นดังนี้ เกณฑ์เงินสด เกณฑ์คงค้าง ปีที่บันทึกบัญชีขายสินค้า – ปี 2566 ปีที่บันทึกบัญชีรับชำระเงิน ปี 2568 ปี 2568 จะเห็นว่าเกณฑ์เงินสดจะบันทึกบัญชีแค่ครั้งเดียว ทำได้ง่าย แต่ไม่ค่อยสะท้อนให้เห็นความเป็นจริงว่ารายได้ที่แท้จริงเกิดขึ้นปีไหน ทั้งๆที่รายได้เกิดในปี 2566 แต่บันทึกในปี 2568 ซึ่งนานถึง 2 ปี มักใช้กับการทำบัญชีของบุคคลธรรมดาเพราะไม่ต้องการข้อมูลที่ละเอียดมาก และง่ายต้องการจัดทำ ส่วนเกณฑ์คงค้างจะบันทึกบัญชีหลายครั้งแต่ช่วยให้เห็นข้อมูลที่ถูกต้องมากขึ้นว่าแท้จริงแล้วรายได้เกิดปี 2566 แต่มารับเงินในปี 2568 จึงเป็นเกณฑ์ที่นำมาใช้ในการบันทึกบัญชีและทำภาษีของนิติบุคคลนั่นเอง 3. แยกระหว่างสินทรัพย์และค่าใช้จ่ายได้ ถ้ากิจการซื้อแก้วน้ำมา 1 ใบ ถือว่าเป็นสินทรัพย์หรือค่าใช้จ่ายของกิจการ? คำตอบ คือ สามารถเป็นได้ทั้ง 2 อย่างขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้แก้วน้ำนั้น โดยหลักการพิจารณาว่าเป็นสินทรัพย์หรือค่าใช้จ่ายนั้นต้องอิงตามหลักการบัญชี คือ การดูว่าสิ่งของนั้นกิจการตั้งใจใช้งานเกินกว่า 1 ปีหรือไม่ ถ้าใช้แล้วหมดไปภายใน 1 ปีจะถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการ แต่ถ้าใช้ได้มากกว่า 1 ปี เช่น 2 ปี จะถือเป็นสินทรัพย์ของกิจการและค่อยๆ ทยอยตัดเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละปี ตัวอย่างเช่น กิจการซื้อแก้วน้ำพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งแบบนี้จะถือเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการ แต่ถ้ากิจการซื้อแก้วน้ำเก็บความเย็นซึ่งสามารถใช้งานได้มากกว่า 1 ปี จะต้องบันทึกเป็นสินทรัพย์และทยอยตัดเป็นค่าใช้จ่ายตามจำนวนปีที่ต้องการใช้งาน การแยกประเภทสินทรัพย์และค่าใช้จ่ายที่ถูกต้องนั้น จะช่วยให้งบการเงินของกิจการสะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น กล่าวคือ ค่าใช้จ่ายไม่สูงเกินไป หรือสินทรัพย์ไม่สูงเกินไป 4. เข้าใจเอกสารค้าขาย เอกสารที่เกิดขึ้นในการค้าขายมีหลายประเภท เช่น ใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี หรือใบเสร็จรับเงิน เป็นต้น การที่เราต้องเข้าใจเอกสารแต่ละประเภทจะช่วยให้เราตัดสินใจว่าสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร  ตัวอย่างเช่น 5. เข้าใจภาษีพื้นฐาน นอกจากเรื่องบัญชีแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่นักบัญชีต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องภาษีธุรกิจ เพราะเมื่อรายการทางบัญชีเกิดขึ้น ภาระทางภาษีมักจะเกิดขึ้นเสมอเหมือนเป็นเงาตามตัวผู้ประกอบการ ทำให้นักบัญชีต้องเข้าใจเรื่องภาษีและวิธียื่นและนำส่งภาษีเพื่อป้องกันค่าปรับจากการปฏิบัติทางภาษีผิดพลาด ตัวอย่างเช่น  6. รู้จักประเภทของเงินได้และความแตกต่างของเงินได้ สรรพากรเรียก “เงินได้” ว่า “รายได้” โดยกำหนดไว้อยู่ 8 ประเภท สาเหตุที่ต้องเข้าใจว่าเงินได้ทั้ง 8 ประเภทนั้น เพราะมีผลต่อการคำนวณภาษีที่ต้องเสีย เช่น การเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายว่าต้องหักกี่ % จะขึ้นอยู่กับประเภทเงินได้  สรุปเงินได้ 8 ประเภท นอกจาก 6 ความรู้พื้นฐานดังกล่าวมาแล้ว การเข้าใจธุรกิจที่เราทำทำบัญชีให้อยู่นั้นก็ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะทำให้นักบัญชีมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น เพราะการเข้าใจบริบทของธุรกิจที่เราทำบัญชีให้ เนื่องจากมีผลต่อการบันทึกบัญชีสูงมาก ค่าใช้จ่ายประเภทเดียวกันแต่อยู่ในแต่ละธุรกิจอาจบันทึกบัญชีไม่เหมือนกัน หรือพูดง่ายๆ คือ คนละขั้วกันนั้นเอง ลองมาดูตัวอย่างข้างล่างกันครับ ตัวอย่างเช่น กิจการซื้อแก้วพลาสติกมา 100 บาท ถ้าเป็นกิจการที่ซื้อมาเพื่อใช้ในออฟฟิศให้ลูกค้ากินแบบนี้จะถือว่าเป็นค่าใช้จ่าย แต่ถ้ากิจการที่ทำธุรกิจขายแก้วพลาสติก การจ่ายเงินนี้ไม่ถือว่าเป็นค่าใช้จ่าย แต่จะถือว่าเป็นสินทรัพย์ ก็คือ “สินค้า” เพราะกิจการซื้อมาเพื่อขายไม่ได้ซื้อมาเพื่อใช้ นี้เป็นเพียงตัวอย่างเดียว จริงๆ รายได้และค่าใช้จ่ายในแต่ละธุรกิจมีบริบทที่แตกต่างกัน การที่เรารับนักบัญชีเก่งๆ มาหนึ่งแม้จะเก่งบัญชีและภาษีมากแค่ไหน แต่ถ้าไม่เข้าใจธุรกิจที่ทำงานให้อยู่จริงๆ โอกาสทำบัญชีผิดพลาดมีสูงมากๆ ครับ การเข้าใจลักษณะและกระบวนการทำงานของธุรกิจที่ตนเองทำบัญชีอยู่จะช่วยให้นักบัญชีสามารถให้คำแนะนำและจัดการทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3 ทักษะด้านอื่นๆ ยิ่งมี ยิ่งดี นอกจากเรื่องบัญชี ภาษี และการเข้าใจธุรกิจเป็นสิ่งที่สำคัญที่บอกได้ว่าใครเป็นนักบัญชีที่เก่งแล้ว ถ้านักบัญชีมีทักษะด้านอื่นๆ เพิ่มเติมจะช่วยยกศักยภาพให้สูงได้ ดังนี้ 1. ทำประมาณการรายได้-ค่าใช้จ่ายได้ ปกตินักบัญชีจะค่อนข้างอยู่กับข้อมูลในอดีต เช่น การบันทึกเอกสารก็เป็นเอกสารที่เกิดขึ้นไปแล้ว และนำมาบันทึกให้ทีหลัง ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้านักบัญชีจะไม่สามารถทำงบประมาณรายรับ-รายจ่ายในอนาคตได้ถนัด เพราะต้องใช้อีกทักษะอื่นๆ และข้อมูลอื่นๆ ในการจัดทำด้วย เช่น อัตราเงินเฟ้อ กระแสเงินสดรับ-จ่ายที่จะเข้ามา แนวโน้มยอดขาย เป็นต้น การทำงบประมาณต้องได้รับความร่วมมือจากหลายแผนกในการให้ข้อมูลและพูดคุย และนำข้อมูลต่างๆ มาจัดทำเป็นงบประมาณเพื่อเป็นเป้าให้แก่ฝ่ายต่างๆในกิจการ ถ้านักบัญชีสามารถมีทักษะนี้ได้ จะช่วยให้เราสามารถนำข้อมูลในอดีตมาวิเคราะห์ และจัดทำประมาณการตัวเลขในอนาคตให้กิจการได้อีกด้วย การจัดทำประมาณการรายได้-ค่าใช้จ่าย มีข้อดีมากมาย เช่น ทำให้ทราบสภาพคล่องที่แท้จริงทางการเงิน ทราบแหล่งที่มาของรายได้อย่างชัดเจน วางแผนประหยัดค่าใช้จ่ายและภาษีเงินได้ รวมถึงเป็นตัวกำหนดตัวชี้วัดผลงาน(KPI) ของแผนกต่างๆได้อีกด้วย 2. เข้าใจบัญชีบริหาร ที่เราพูดถึงเรื่องการบันทึกบัญชีต่างๆ มาเราจะเรียกกันว่า “บัญชีการเงิน” เป็นการบันทึกบัญชีตามสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอนาคต แต่มีอีกศาสตร์หนึ่งที่เรียกว่า “บัญชีบริหาร” คือ การนำข้อมูลทางบัญชีไปใช้ในการตัดสินใจบางอย่าง ตัวอย่างเช่น กิจการพึ่งเปิดธุรกิจมาได้ 1 ปี ที่ผ่านมาต้องเช่าโรงงานของคนอื่นเพื่อผลิตสินค้า อยากถามว่าในปีหน้ากิจการควรเช่าโรงงานต่อ หรือสร้างโรงงานเป็นของตัวเองดี? หรือ กิจการผลิตสินค้าและขายเป็นปกติอยู่แล้วแต่มีกำลังการผลิตเหลือ พอดีมีคนมาเสนอให้ผลิตสินค้าแบรนด์อื่น กิจการควรรับงานนี้หรือไม่? สังเกตว่าคำถามข้างต้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถตอบได้ในทันที และไม่สามารถใช้ข้อมูลในอดีตมาใช้ในการตอบได้อย่างเพียงพอ สิ่งเหล่านี้จะเป็นการประยุกต์ใช้โดยการนำข้อมูลในอดีตผสมกับแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ เช่น ต้นทุนค่าเสียโอกาส เพราะการเลือกทำหรือไม่ทำจะต้องมีต้นทุนค่าเสียโอกาสอยู่เสมอ ถ้านักบัญชีมีทักษะนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กิจการได้มหาศาลเลยครับ 3. วางแผนภาษีได้ บางคนอาจสงสัยว่าการรู้เรื่องภาษีเป็นสิ่งพื้นฐานแล้ว ทำไมในหัวข้อนี้ภาษีจึงเป็นทักษะอื่นๆ นั้นเพราะภาษีที่พูดก่อนหน้านี้เป็นพื้นฐาน เช่น รู้ว่าภาษีแต่ละประเภทคืออะไร เกี่ยวข้องกับกิจการยังไง คำนวณยังไง ใช้แบบภาษีชื่ออะไร และยื่นเมื่อไหร่ มีวัตถุประสงค์เพื่อทำตามที่กฎหมายกำหนดให้ทำทุกเดือนหรือทุกปี แต่การวางแผนภาษีจะเป็นเรื่องของการรวบรวมประสบการณ์และองค์ความรู้ในข้อกฎหมายภาษี (ที่เรียกกันว่า “ประมวลรัษฏากร”) มาใช้ประหยัดภาษีของกิจการ ซึ่งผู้ประกอบการหลายมักคนมักคิดว่านักบัญชีทุกคนต้องรู้เรื่องการวางแผนภาษีเป็นอย่างดี แต่จริงๆ แล้วเรื่องภาษีเป็นเรื่องของกฎหมายล้วนๆ ซึ่งต้องใช้ทั้งประสบการณ์และองค์ความรู้ในระดับหนึ่งเลย ตัวอย่างเช่น ตอนนี้เราได้รู้กันแล้วว่า 6 ความรู้พื้นฐานที่นักบัญชีต้องมี เริ่มตั้งแต่ เข้าใจสมการบัญชี เข้าใจเกณฑ์คงค้าง เข้าใจเอกสารค้าขาย เข้าใจภาษีพื้นฐาน รู้จักประเภทเงินได้ แยกสินทรัพย์กับหนี้สินได้ และสุดท้ายต้องเข้าใจธุรกิจที่ทำบัญชีให้ นอกจากนี้ถ้านักบัญชีมี 3 ทักษะนี้เพิ่มเติมจะช่วยมูลค่าในตัวเองได้มากขึ้น ได้แก่ ทำงบประมาณรายได้ค่าใช้จ่ายได้ เข้าใจบัญชีบริหาร และวางแผนภาษี แต่ขอบอกว่าทักษะอื่นๆ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สามทักษะนี้นะครับ นักบัญชีสามารถเก่งในด้านอื่นๆ ได้เช่นกัน กล่าวคือ เก่งอะไรก็ได้ที่ช่วยให้กิจการดีขึ้นและเติบโตไปพร้อมๆ กับนักบัญชี ท้ายนี้ผมขอบคุณทุกท่านมากๆ ที่ติดตาม 10 กฎพื้นฐานด้านการเงินสำหรับ SMEs ตั้งแต่ EP แรกจนถึงตอนสุดท้ายนี้ หวังเหลือเกินผู้อ่านทุกท่านจะได้ประโยชน์และสาระดีๆ จากบทความของผม เพื่อไปปรับประยุกต์ใช้กับกิจการของท่านครับ โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

รู้จักแนวทางการทำงานแบบ Paperless วิธีช่วยลดต้นทุนกระดาษ

การทำงานแบบ Paperless กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับองค์กรยุคใหม่ที่ต้องการเพิ่มคุณภาพการทำงาน โดยการปรับเปลี่ยนสู่ระบบ Paperless ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนในการประหยัดทรัพยากรกระดาษเท่านั้น แต่ยังช่วยให้การจัดการเอกสารให้มีระบบมากขึ้น ลดพื้นที่จัดเก็บ และเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล เรามาทำความเข้าใจกับแนวคิด Paperless และประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับกัน การทำงานแบบ Paperless คืออะไร การทำงานแบบ Paperless คือ การลดการใช้กระดาษในกระบวนการทำงานโดยเปลี่ยนไปใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์แทน ระบบ Paperless ไม่ได้หมายถึงการไม่ใช้กระดาษเลย แต่เป็นการลดการใช้กระดาษให้น้อยที่สุดโดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วย เช่น การสแกนเอกสาร การจัดเก็บไฟล์ดิจิทัล และการใช้ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ การทำงานในรูปแบบนี้ช่วยให้องค์กรประหยัดทั้งพื้นที่จัดเก็บ เวลาในการค้นหา และค่าใช้จ่ายในการจัดการเอกสาร ระบบ Paperless มีข้อดีอย่างไร การนำระบบ Paperless มาใช้ในองค์กรมีข้อดีมากมาย ทั้งด้านการจัดการ ความปลอดภัย และการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงานและต้นทุนขององค์กร มาดูข้อดีที่สำคัญของการใช้ระบบ Paperless กัน เข้าถึงเอกสารได้จากทุกที่ทุกเวลา ระบบ Paperless ช่วยให้พนักงานสามารถเข้าถึงเอกสารได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะทำงานที่ออฟฟิศ ที่บ้าน หรือระหว่างเดินทาง เอกสารทั้งหมดถูกจัดเก็บในระบบคลาวด์ที่มีความปลอดภัยสูง ทำให้การค้นหาและเรียกดูเอกสารทำได้ง่ายและรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังสามารถแชร์เอกสารให้กับทีมงานได้ทันที ลดเวลาในการรอคอยและเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน เพิ่มความปลอดภัยในการจัดเก็บเอกสารได้ การจัดเก็บเอกสารในระบบ Paperless มีความปลอดภัยสูงกว่าการเก็บเอกสารกระดาษ ด้วยระบบการเข้ารหัสข้อมูล การกำหนดสิทธิ์การเข้าถึง และการติดตามประวัติการใช้งาน ทำให้มั่นใจได้ว่าเอกสารสำคัญจะไม่สูญหายหรือตกไปอยู่ในมือผู้ไม่หวังดี ระบบยังมีการสำรองข้อมูลอัตโนมัติ ป้องกันความเสียหายจากภัยพิบัติหรืออุบัติเหตุต่าง ๆ  นำข้อมูลไปใช้ต่อได้อย่างง่ายดาย เอกสารในระบบ Paperless สามารถนำไปใช้ต่อได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการคัดลอกข้อมูล การแก้ไข หรือการวิเคราะห์ ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในรูปแบบดิจิทัลที่พร้อมนำไปประมวลผลหรือใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์อื่น ๆ เช่น โปรแกรมบัญชี หรือระบบวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การทำงานแบบ Paperless ช่วยลดการใช้กระดาษ ซึ่งส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมโดยตรง นอกจากจะช่วยลดการตัดต้นไม้แล้ว ยังช่วยลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตกระดาษ การขนส่ง และการกำจัดของเสีย องค์กรที่ใช้ระบบ Paperless จึงมีส่วนช่วยในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในด้านความรับผิดชอบต่อสังคม เทคโนโลยีและเครื่องมือที่ใช้ในระบบ Paperless มีอะไรบ้าง การทำงานแบบ Paperless ต้องอาศัยเทคโนโลยีและเครื่องมือหลายอย่างเพื่อให้การจัดการเอกสารมีประสิทธิภาพสูงสุด ตั้งแต่การสร้างเอกสาร การจัดเก็บ ไปจนถึงการแชร์และสำรองข้อมูล ซึ่งจะมีเครื่องมืออะไรบ้างไปดูกัน โปรแกรมสำหรับสร้างและจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โปรแกรมจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์เป็นหัวใจสำคัญของระบบ Paperless โดยระบบจะช่วยให้การจัดการเอกสารทางการเงินเป็นระบบ สามารถสร้างใบกำกับภาษี ใบเสร็จ และรายงานทางการเงินในรูปแบบดิจิทัล พร้อมระบบจัดเก็บที่ปลอดภัยและค้นหาง่าย ลดการพิมพ์เอกสารและประหยัดทรัพยากร สแกนเนอร์ที่ใช้แปลงเอกสารให้อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ สแกนเนอร์เป็นอุปกรณ์สำคัญในการแปลงเอกสารกระดาษให้เป็นไฟล์ดิจิทัล โดยเฉพาะสแกนเนอร์ที่มีเทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) ที่สามารถแปลงตัวอักษรในเอกสารให้เป็นข้อความที่แก้ไขได้ ทำให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ต่อในโปรแกรมต่าง ๆ ได้ การเซ็นเอกสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ช่วยให้การอนุมัติและลงนามในเอกสารทำได้รวดเร็วและปลอดภัย ไม่ต้องพิมพ์เอกสารเพื่อลงนามและสแกนกลับ ระบบจะมีการเข้ารหัสและตรวจสอบความถูกต้องของลายเซ็น ทำให้มั่นใจได้ว่าเอกสารมีความน่าเชื่อถือและใช้อ้างอิงทางกฎหมายได้ Cloud Storage ระบบจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ช่วยให้เข้าถึงเอกสารได้ทุกที่ทุกเวลา มีพื้นที่จัดเก็บขนาดใหญ่ และระบบรักษาความปลอดภัยระดับสูง เหมาะสำหรับการจัดเก็บเอกสารสำคัญขององค์กร โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับโปรแกรมบัญชีที่จัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ ทำให้การเข้าถึงและแชร์เอกสารทำได้ง่าย Backup Storage ระบบสำรองข้อมูลเป็นส่วนสำคัญของระบบ Paperless เพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูล โดยมีการสำรองข้อมูลอัตโนมัติและจัดเก็บในหลายที่ ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลจะปลอดภัยแม้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ระบบล่ม หรือภัยพิบัติต่าง ๆ ระบบ Knowledge Management ระบบจัดการความรู้ช่วยในการจัดเก็บและแชร์ความรู้ภายในองค์กร ทำให้พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลและแนวปฏิบัติต่างๆ ได้ง่าย เช่น คู่มือการทำงาน แนวทางปฏิบัติ และเอกสารอ้างอิงต่าง ๆ ช่วยลดการพิมพ์เอกสารและทำให้การเรียนรู้ในองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น การเปลี่ยนผ่านสู่องค์กร Paperless เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาธุรกิจ โดยเฉพาะการใช้โปรแกรมบัญชีที่มีการทำงานแบบ Paperless ก็จะสามารถช่วยให้การจัดการเอกสารทางการเงินเป็นระบบ ลดการใช้กระดาษ และทำให้องค์กรประหยัดทั้งเวลาและต้นทุนได้ โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

นายจ้างควรรู้! ขั้นตอนและช่องทางการส่งเงินสมทบประกันสังคม

การส่งเงินสมทบประกันสังคมเป็นสิ่งที่นายจ้างต้องทำทุกเดือน ปัจจุบันสำนักงานประกันสังคมได้พัฒนาระบบการส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ เพื่อให้นายจ้างสามารถทำได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น ซึ่งวิธีการส่งเงินสมทบประกันสังคมผ่านระบบออนไลน์มีขั้นตอนการสมัครและการชำระเงินอะไรบ้างไปดูกัน การจ่ายเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์คืออะไร การส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ คือ ระบบการชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ที่สำนักงานประกันสังคมพัฒนาขึ้นเพื่อให้นายจ้างส่งงินสมทบได้ง่ายขึ้น ลดขั้นตอนยุ่งยาก และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง นายจ้างสามารถทำรายการผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของธนาคารที่ร่วมให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ข้อดีของการจ่ายเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ การชำระเงินผ่านระบบออนไลน์มีข้อดีจะช่วยให้นายจ้างส่งเงินสมทบประกันสังคมได้ดีมากขึ้นหลายข้อ ซึ่งมีข้อดีอะไรบ้างมาดูกัน ความสะดวกสบายและประหยัดเวลา การส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางไปสำนักงานประกันสังคมหรือธนาคาร ระบบจะคำนวณยอดเงินที่ต้องชำระให้อัตโนมัติ ทำให้ไม่ต้องคำนวณเองที่อาจเกิดข้อผิดพลาดได้ และสามารถทำรายการได้รวดเร็วภายในไม่กี่นาที นอกจากนี้ ยังตั้งเวลาการชำระเงินล่วงหน้าและได้ ชำระได้ทุกที่ทุกเวลา ระบบเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีหยุดหรือเวลาทำการ ทำได้ทุกที่เพียงมีอินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟน นายจ้างจึงสามารถเลือกได้เองตามความสะดวก ตรวจสอบสถานะได้อย่างง่ายดาย ระบบจะเก็บประวัติการทำรายการทั้งหมด ทำให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ง่าย มีใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถดาวน์โหลดได้ทันที และสามารถติดตามสถานะการจ่ายเงินได้แบบเรียลไทม์ ยืดหยุ่นในการชำระเงิน สามารถเลือกวิธีการจ่ายเงินได้ตามความสะดวก ทั้งการหักผ่านบัญชีธนาคาร บัตรเครดิต หรือช่องทางอื่น ๆ ที่ธนาคารให้บริการ ช่วยให้นายจ้างบริหารกระแสเงินสดได้ดีมากขึ้น ทำไมบริษัทต้องส่งเงินสมทบประกันสังคม การส่งเงินสมทบประกันสังคมเป็นภาระหน้าที่ของบริษัทตามที่กฎหมายกำหนดไว้ใน พระราชบัญญัติประกันสังคม ซึ่งมีขึ้นเพื่อสร้างระบบสวัสดิการสำหรับลูกจ้างให้ได้รับความคุ้มครองในกรณีต่าง ๆ โดยบริษัทมีหน้าที่ในการสนับสนุนและรับผิดชอบในการส่งเงินสมทบ 5% ของค่าจ้างลูกจ้าง สูงสุดไม่เกินฐานเงินเดือน 15,000 บาท  หากไม่ส่งเงินสมทบประกันสังคมมีโทษไหม การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายประกันสังคมมีบทลงโทษที่รุนแรง โดยแบ่งเป็นสองกรณี ดังนี้  ขั้นตอนการส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ e-Payment การส่งเงินสมทบประกันสังคมผ่านระบบ e-Payment ทำได้ด้วยตนเองง่าย ๆ โดยมีขั้นตอน ดังนี้  การส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ช่วยให้นายจ้างบริหารจัดการได้สะดวกและง่ายมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการเสียค่าปรับจากการส่งเงินสมทบล่าช้า และสามารถตรวจสอบได้ PEAK Payroll ช่วยให้การส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์เป็นเรื่องง่ายและสะดวกสำหรับนายจ้าง ด้วยระบบที่สามารถคำนวณและส่งข้อมูลการชำระเงินสมทบได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาทำเอกสารหรือเดินทางไปที่สำนักงานประกันสังคม โดย PEAK Payroll รองรับการชำระเงินผ่าน e-Payment ที่ปลอดภัย พร้อมทั้งสามารถตรวจสอบสถานะการส่งเงินสมทบได้ตลอดเวลา ช่วยลดความเสี่ยงจากการล่าช้าและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการชำระเงินไม่ตรงเวลา ทั้งยังช่วยให้ธุรกิจของคุณบริหารจัดการการเงินและข้อมูลพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

ใบสั่งซื้อ Purchase Order (PO) คืออะไร พร้อมตัวอย่าง

ในการดำเนินธุรกิจการควบคุมการสั่งซื้อสินค้าและบริการให้มีระบบ ธุรกิจจะสามารถบริหารต้นทุนได้ดีมากขึ้น โดยเฉพาะระบบเอกสารอย่างใบสั่งซื้อ หรือ PO ที่มีรายละเอียดในการสั่งซื้อชัดเจนสามารถตรวจสอบได้ง่าย ทำให้วางแผนควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น ซึ่งเอกสารสำคัญนี้จะมีรายละเอียดอะไรบ้างเราไปดูตัวอย่างที่จะช่วยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นกัน ใบสั่งซื้อ PO สำคัญอย่างไรกับธุรกิจ การแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุนและการควบคุมการจัดซื้อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการใช้ใบสั่งซื้อ PO ที่เป็นวิธีการควบคุมค่าใช้จ่ายให้ง่ายขึ้น มาดูกันว่าใบสั่งซื้อมีความสำคัญต่อธุรกิจอย่างไรบ้าง ช่วยควบคุมงบประมาณ ใบสั่งซื้อ PO ช่วยให้องค์กรรู้ที่มาของค่าใช้จ่าย และควบคุมการใช้จ่ายของบริษัทได้ดีขึ้น เนื่องจากทุกการสั่งซื้อจะต้องได้รับการอนุมัติและตรวจสอบตามขั้นตอน ทำให้สามารถป้องกันการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและเกินงบประมาณได้ นอกจากนี้ ยังช่วยในการวางแผนการเงินและการจัดการกระแสเงินสดขององค์กร สร้างความโปร่งใส ใบสั่งซื้อ PO ทำให้กระบวนการจัดซื้อมีความโปร่งใส และลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากทุกรายการมีการบันทึกและตรวจสอบได้ อีกทั้ง ยังเป็นหลักฐานการตรวจสอบบัญชีภายในอีกด้วย เพิ่มประสิทธิภาพการจัดซื้อ ใบสั่งซื้อ PO ช่วยให้กระบวนการจัดซื้อมีระบบและมาตรฐาน ทำให้การติดต่อกับผู้ขายมีความชัดเจน เปรียบเทียบราคากับผู้ขายรายต่างๆ ได้ ทำให้การสั่งซื้อมีความผิดพลาดน้อยลง และช่วยให้การจัดส่งสินค้าเป็นไปตามกำหนดเวลา  ใบสั่งซื้อ PO คืออะไร แตกต่างจากขอซื้อ PR อย่างไร ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง มีเอกสารสำคัญสองประเภทที่มักสร้างความสับสนให้กับผู้ประกอบการ นั่นคือใบสั่งซื้อ (PO) และใบขอซื้อ (PR) แม้จะมีความเกี่ยวข้องกัน แต่มีวัตถุประสงค์และการใช้งานที่แตกต่างกัน มาทำความเข้าใจแต่ละประเภทกัน ใบสั่งซื้อ PO คือ ใบสั่งซื้อหรือ Purchase Order (PO) เป็นเอกสารทางธุรกิจที่ออกโดยฝ่ายจัดซื้อขององค์กร เพื่อสั่งซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ขาย (Supplier) อย่างเป็นทางการ ใบสั่งซื้อ PO จะถูกจัดทำขึ้นหลังจากที่ใบขอซื้อ (PR) ได้รับการอนุมัติแล้ว โดยจะมีรายละเอียด เช่น ราคา การชำระเงิน ชนิดสินค้า จำนวนและการจัดส่ง เมื่อผู้ขายได้รับใบสั่งซื้อ PO และยอมรับเงื่อนไข สัญญานี้จะมีผลตามกฎหมายที่ต้องปฏิบัติตาม การออกใบสั่งซื้อ PO ผู้มีอำนาจต้องอนุมัติก่อน เพื่อควบคุมการใช้จ่ายและป้องกันการทุจริต ใบขอซื้อ PR คือ ใบขอซื้อหรือ Purchase Requisition (PR) เป็นเอกสารภายในองค์กรที่แผนกต่าง ๆ ใช้แจ้งความต้องการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการไปยังฝ่ายจัดซื้อ โดยระบุรายละเอียดสินค้าที่ต้องการ เหตุผล และงบประมาณที่ต้องใช้ เอกสาร PR หัวหน้าแผนกหรือผู้มีอำนาจจะต้องตรวจสอบและอนุมัติก่อน เพื่อยืนยันความจำเป็นและความเหมาะสมของการจัดซื้อ ระบบ PR ช่วยควบคุมการใช้จ่ายและป้องกันการสั่งซื้อที่ไม่จำเป็น รวมถึงป้องกันการทุจริตของพนักงานและผู้ขาย ข้อมูลที่ต้องมีในใบสั่งซื้อ ใบสั่งซื้อ PO ที่สมบูรณ์ต้องประกอบด้วยข้อมูลสำคัญที่ครบถ้วน เริ่มจากข้อมูลพื้นฐานของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ได้แก่ ชื่อบริษัท ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษี รายละเอียดการสั่งซื้อต้องระบุชนิดสินค้า คุณสมบัติ จำนวน ราคาต่อหน่วย และราคารวม นอกจากนี้ ยังต้องมีเงื่อนไขการชำระเงิน กำหนดการจัดส่ง และลายเซ็นผู้มีอำนาจอนุมัติ การระบุข้อมูลให้ครบถ้วนช่วยลดข้อผิดพลาดและข้อพิพาทในอนาคต ตัวอย่างใบสั่งซื้อ และ ตัวอย่างใบขอซื้อ เพื่อให้เข้าใจรูปแบบและองค์ประกอบของเอกสารทั้งสองประเภทได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราได้รวบรวมตัวอย่างใบสั่งซื้อ PO และใบขอซื้อ PR ที่มีการใช้งานจริงในองค์กรมาให้ดูกัน การจัดการระบบเอกสารการสั่งซื้อที่มีประสิทธิภาพ ช่วยควบคุมการใช้จ่าย ป้องกันการทุจริต และสร้างความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อขององค์กรได้ดีขึ้น เจ้าของธุรกิจจึงควรเข้าใจและใช้ประโยชน์จากใบสั่งซื้อ PO อย่างเต็มที่ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ รองรับการสร้าง ใบสั่งซื้อ (PO) ได้อย่างง่ายดาย ช่วยให้คุณจัดการคำสั่งซื้อจากผู้จัดจำหน่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบสามารถบันทึกและติดตามข้อมูลการสั่งซื้อ สินค้า และเงื่อนไขการชำระเงิน พร้อมทั้งสามารถเชื่อมโยงกับใบส่งสินค้าและใบแจ้งหนี้ได้ทันที ทำให้การจัดการธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่นและมีระบบมากยิ่งขึ้น ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก