PEAK Tax และการจัดการภาษี

จัดการภาษีออนไลน์ เตรียมข้อมูลภาษีถูกต้องแม่นยำ ไม่มีตกหล่น

โปรแกรมบริหารจัดการภาษีออนไลน์ PEAK Tax เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการบริหารจัดการภาษีภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยสามารถสร้างเอกสารหรือแบบภาษีต่างๆรองรับ แบบ ภพ. 30 ภ.ง.ด. 1 ภ.ง.ด. 2 ภ.ง.ด. 3 ภ.ง.ด. 53 รายงานภาษีซื้อ รายงานภาษีขายและหนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่าย รวมถึงสามารถนำออกไฟล์เพื่อไปยื่นภาษีออนไลน์ของสรรพากรได้อีกด้วย

24,000 บริษัท
วางใจใช้งาน PEAK

30,000

บริษัท

วางใจใช้งาน PEAK

1,400 พันธมิตรสำนักงานบัญชี

1,400

พันธมิตร

PEAK Family Partner

4  ล้านธุรกรรมต่อเดือน บน PEAK

4

ล้านธุรกรรม/เดือน

ธุรกรรมบน PEAK ต่อเดือน

40,000 ล้าน บาท/เดือน

40,000

ล้าน บาท/เดือน

มูลค่ารายการค้าต่อเดือน

จุดเด่นและฟังก์ชันของ PEAK Tax
โปรแกรมการจัดการภาษีออนไลน์ที่ใช้งานง่ายที่สุด

ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ภาษีมูลค่าเพิ่ม

สร้าง รายงานภาษีซื้อ ภาษีขาย แบบ ภพ.30 แท็กไฟล์ สําหรับยื่นภาษี

รองรับการยื่นแบบภาษีเพิ่มเติมและจดจำเครดิตภาษี

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

สร้างแบบภ.ง.ด. 1,2,3,53 ,50 ทวิ ไฟล์ยื่นภาษีออนไลน์ได้

สร้างหนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่ายได้ภายใน 1 นาที

บริหารจัดการภาษีได้ง่าย

บริหารจัดการภาษีได้ง่าย

เตรียมเอกสาร จัดการภาษีได้จากทุกที่ ทุกเวลา ด้วยระบบ On-Cloud

มีสถานะในการจัดการไม่ว่าจะเป็น รออนุมัติ ยื่นภาษี และชำระภาษี

บริหารจัดการภาษีได้ง่าย

บันทึกบัญชีอัตโนมัติ

ลงบัญชีให้อัตโนมัติทุกขั้นตอนในยื่นภาษีจ่ายภาษี

ลดเวลาในการทำงาน การจัดการบัญชี และป้องกันข้อมูลตกหล่น

PEAK Tax เหมาะกับใคร?
ระบบบริหารจัดการภาษีที่ตอบโจทย์ธุรกิจมากที่สุด

PEAK Tax โปรแกรมการจัดการภาษีสำหรับธุรกิจ SME

ผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการเครื่องมือด้านการบริหารจัดการภาษี

ติดตามสถานะของแบบภาษีต่างๆ ตรวจสอบประวัติการชำระภาษีหรือการออกหนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่าย รวมถึงใบกำกับภาษีอีกด้วย

PEAK Tax โปรแกรมการจัดการภาษีสำหรับฝ่ายบุคคลและนักบัญชี

ตัวช่วยในการจัดการด้านภาษี สำหรับผู้จัดทำภาษีและนักบัญชี

รวบรวมข้อมูลเพื่อเตรียมยื่นภาษี ตรวจสอบและติดตามได้ง่าย สร้างเอกสารออนไลน์ที่ไหนก็ได้

มารู้จัก PEAK Payroll โปรแกรมเงินเดือน
ออนไลน์ภายใน 3 นาที

มาเรียนรู้และเริ่มต้นใช้งานโปรแกรมคำนวณเงินเดือน
ออนไลน์ได้อย่างมืออาชีพด้วยวิดีโอสอนการใช้งาน
ครบทุกเมนู เพื่อให้คุณเริ่มต้นใช้งานโปรแกรมเงินเดือน
ออนไลน์ PEAK Payroll ได้อย่างมืออาชีพ

ทำบัญชีและภาษีได้ไวกว่าเดิมเมื่อเชื่อมต่อระบบ PEAK Tax เข้ากับ PEAK Account

ทำบัญชีและภาษีได้ไวกว่าเดิมเมื่อเชื่อมต่อระบบ PEAK Tax เข้ากับ PEAK Account

รวมรวมข้อมูล จัดเตรียมแบบภาษี และบันทึกบัญชีที่เกี่ยวข้องกับภาษีทุกอย่างโดยอัตโนมัติ ช่วยลดเวลาการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ราคาเริ่มต้น 1,200 บาท/เดือน โปรแกรมการจัดการภาษีออนไลน์ PEAK Tax

บริหารธุรกิจ บัญชี การเงิน
และจัดการเงินเดือนได้ครบวงจร

เริ่มต้นเพียง 1,200 บาท/เดือน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโปรแกรมการจัดการภาษี PEAK Tax

หากต้องการใช้โปรแกรมภาษี (PEAK TAX ) ที่ออกแบบมาเพื่อทำภาษีโดยเฉพาะ จะรองรับการสร้างแบบ ภ.ง.ด 4 ประเภท ดังนี้ ซึ่งก่อนที่จะสามารถสร้างแบบภาษีท่านสามารถดูวิธีการดึงข้อมูลหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่ายจากโปรแกรมบัญชี PEAK เข้ามาที่ โปรแกรมภาษี (PEAK TAX)ได้ที่นี่

  1. สร้างแบบ ภ.ง.ด 1
  2. สร้างแบบ ภ.ง.ด 2
  3. สร้างแบบ ภ.ง.ด 3
  4. สร้างแบบ ภ.ง.ด 53

ภ.ง.ด คืออะไรแต่ละประเภทต่างกันอย่างไรคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่

ตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากรสามารถนำภาษีซื้อมาใช้ได้ภายใน 6 เดือนโดยเริ่มนับจากวันที่ออกใบกำกับภาษีซื้อ

ซึ่งในโปรแกรมภาษี PEAK TAX ในตอนที่สร้างแบบภาษีสามารถเลือกใบกำกับภาษีซื้อของเดือนก่อนหน้ามาใช้โดยวิธีการนำภาษีซื้อมาใช้สามารถอ่านที่คู่มือนี้ได้

โปรแกรมภาษี(PEAK TAX)ที่ออกแบบมาเพื่อทำภาษีโดยเฉพาะซึ่งสามารถสร้างแบบ ภ.พ. 30 ได้ทั้งแบบยื่นปกติและยื่นเพิ่มเติม เมื่อได้มีการดึงข้อมูลใบกำกับภาษีซื้อและภาษีขายจากโปรแกรมบัญชี PEAK เข้ามาที่โปรแกรมภาษี PEAK TAX แล้ว ตามคู่มือนี้

สามารถนำเอกสารไปยื่นแบบ ภ.พ. 30 ตามคู่มือนี้ได้เลย เมื่อสร้างแบบ ภ.พ. 30 เรียบร้อยแล้วสามารถกดบันทึกปิดภาษีและบันทึกการชำระเงินได้เลยทันทีระบบจะทำงานบันทึกบัญชีให้อัตโนมัติผ่านโปรแกรมภาษี (PEAK TAX)

หากมีการออกเอกสารใบกำกับภาษีซื้อหรือใบกำกับภาขายไว้ที่โปรแกรมออนไลน์ PEAK และต้องการนำข้อมูลมาใช้ในโปรแกรมภาษี (PEAK TAX) สามารถดึงข้อมูลตามช่วงวันที่ออกเอกสารได้ทันทีเพียงกดปุ่มดึงข้อมูล เอกสารที่สร้างไว้ก็จะวิ่งเข้าไปที่โปรแกรมภาษี (PEAK TAX) เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปสร้างแบบภาษีและบันทึกบัญชีเกี่ยวกับภาษีได้ วิธีการดึงข้อมูลสามารถอ่านเพิ่มที่ Link นี้

ผลิตภัณฑ์ของ PEAK

PEAK Account
โปรแกรมบัญชีออนไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Payroll
โปรแกรมเงินเดือนออนไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Board
โปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Asset
โปรแกรมบริหารจัดการสินทรัพย์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Tax
โปรแกรมการจัดการภาษีออนไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

Line @PEAKConnect
ใช้งานโปรแกรมผ่านไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

บทความน่ารู้

ธุรกิจควรมีเงินสดขั้นต่ำกี่เดือน ถึงจะเรียกว่าปลอดภัย

จักรพงษ์

7

min

ธุรกิจควรมีเงินสดขั้นต่ำกี่เดือน ถึงจะเรียกว่าปลอดภัย

เคยสงสัยกันไหมว่า ธุรกิจควรมีเงินสดสำรองไว้อย่างน้อยกี่บาท จึงจะปลอดภัย? คำว่า ‘ปลอดภัย’ ในที่นี้ หมายถึง มีเงินเพียงต่อการซื้อของมาสต๊อกเพื่อขาย เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายดำเนินงาน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่า รวมถึง เงินเดือนพนักงานที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือน ถ้าเรามีเงินเยอะมากๆ เราจะไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องว่าธุรกิจจะขาดสภาพคล่องไหม จะมีเงินจ่ายเจ้าหนี้ไหม แต่ในความเป็นจริงธุรกิจส่วนใหญ่หาเงินมาหมุนในธุรกิจได้ยากและไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราควรรู้ว่าควรมีเงินหมุนเวียนอยู่ในธุรกิจขั้นต่ำกี่เดือนจึงจะปลอดภัย ธุรกิจควรถือเงินสดขั้นต่ำกี่เดือน นักธุรกิจหลายๆคน เชื่อกันว่าธุรกิจควรมีเงินสดสำรองไว้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 3-6 เดือน การมีเงินสำรองอย่างน้อย 3-6 เดือนจะช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินการต่อได้ในกรณีที่มีปัญหาขาดรายได้ รายได้เข้ามาน้อยลงหรือมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น การสูญเสียลูกค้ารายใหญ่ หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอื่น ๆ หลายคนอาจสงสัยต่อว่า ควรสำรองเงินไว้ 3 เดือน 4 เดือน 5 เดือน หรือ 6 เดือนกันแน่ ทำไมไม่บอกให้ชัดๆ ไปเลย นั่นก็เพราะแต่ละธุรกิจมีเป้าหมายและความเสี่ยงไม่เหมือนกัน เงินสดสำรองที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัย การคำนวณเงินสำรองขั้นต่ำ ตอนนี้เรารู้กันแล้วว่าธุรกิจควรมีเงินสำรองขั้นต่ำอย่างน้อย 3-6 เดือน แต่คำถามถัดไปคือ แล้วต้องคำนวณอย่างไร? คิดเป็นมูลค่าตัวเงินคือกี่บาท? เรามาหาคำตอบกันต่อได้เลย เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ขอกำหนดว่าธุรกิจที่จะนำมาเป็นตัวอย่างนี้มีความเสี่ยงต่ำจึงสำรองเงินขั้นต่ำที่ 3 เดือน หรือ 90 วันเท่านั้น วิธีคิดก็คือ เราต้องหาว่าในแต่ละวันเรามีค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยวันละกี่บาท (ค่าใช้จ่ายทั้งเดือน/30วัน) จากนั้น จากนั้นให้นำค่าใช้จ่ายต่อวันคูณด้วย 90วัน (3เดือน) เราก็จะได้จำนวนที่ควรสำรองขั้นต่ำ 3 เดือนทันที (ค่าใช้จ่ายต่อเดือน/30) x 90 วัน ตัวอย่างการคำนวณเงินสำรองขั้นต่ำ บริษัท A มีค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่ 30,000 บาท หาร 30 วัน จะได้ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันที่ 1,000 บาท เมื่อต้องสำรองที่ 3 เดือน จึงนำค่าใช้จ่ายต่อวันคูณด้วย 90 วัน แปลว่าต้องสำรองเงินขั้นต่ำสำหรับ 3 เดือนอยู่ที่ 90,000 บาทนั่นเอง (30,000/30) x 90 วัน = 90,000 บาท ธุรกิจควรสำรองเงินขั้นต่ำอย่างน้อย 3-6 เดือน ซึ่งคำนวณง่ายๆ โดยนำค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่จ่ายต่อวันคูณด้วย 90 วัน (3 เดือน) ซึ่งถ้าใครอยากปลอดภัยมากกว่าก็เปลี่ยนจำนวนวันที่สำรองจาก 90 วัน ไปเป็น 180 วันหรือมากกว่านั้นก็ได้ อย่างไรก็ตาม การสำรองเงินที่เหมาะสมควรพิจารณาตามลักษณะและความเสี่ยงของแต่ละธุรกิจ และควรวางแผนการบริหารจัดการเงินทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงและเป้าหมายของธุรกิจนั้น ๆ สำหรับในตอนถัดไป เราจะไปดูภาพรวมในการวางแผนการรับ-จ่ายเงินอย่างมีแบบแผนมากขึ้นผ่านการจัดทำ “งบประมาณ หรือ Budget” แบบง่ายๆ ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากในการควบคุมการใช้จ่ายเงินในธุรกิจให้ตรงตามเป้าหมาย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

ความรู้ธุรกิจความรู้บัญชี

ขายออนไลน์แบบไหนต้องจดทะเบียนการตลาดแบบตรง

PEAK Account

9

min

ขายออนไลน์แบบไหนต้องจดทะเบียนการตลาดแบบตรง

การขายออนไลน์ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในยุคดิจิทัล ธุรกิจหลายประเภทสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายและรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ อย่างไรก็ตามหากการดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับ “การตลาดแบบตรง” (Direct Marketing) กฎหมายได้กำหนดให้ผู้ประกอบการบางรายต้องดำเนินการจดทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อป้องกันความเสียหายต่อผู้บริโภคและส่งเสริมความโปร่งใสในธุรกิจ การตลาดแบบตรงคืออะไร “ตลาดแบบตรง” หมายความว่า การทําตลาดสินค้าหรือบริการในลักษณะของการสื่อสารข้อมูล เพื่อเสนอขายสินค้าหรือบริการโดยตรงต่อผู้บริโภคซึ่งอยู่ห่างโดยระยะทางและมุ่งหวังให้ผู้บริโภคแต่ละราย ตอบกลับเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงนั้นที่มา: พูดง่ายๆก็คือ การเสนอขายสินค้าหรือบริการโดยตรงถึงผู้บริโภคผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์, อีเมล, ข้อความ SMS, หรือการโฆษณาทางสื่อออนไลน์ที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคตอบสนองทันที โดยไม่ผ่านหน้าร้านค้าหรือช่องทางตัวแทนจำหน่าย หลักเกณฑ์และวิธีการยื่นคำขอจดทะเบียนการตลาดแบบตรงกับ สคบ. สำหรับธุรกิจที่เข้าข่ายการตลาดแบบตรง การจดทะเบียนกับ สคบ. ถือเป็นข้อบังคับที่สำคัญ โดยมีข้อกำหนดดังนี้ อย่างไรก็ตาม บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่จะทำการตลาดแบบตรง จะต้องยื่นคำขอจดทะเบียนการประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) มิฉะนั้น จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกวันละไม่เกิน 10,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่ ขายออนไลน์แบบไหนต้องจดทะเบียนการตลาดแบบตรง ธุรกิจที่ได้รับการยกเว้นการขึ้นทะเบียนการตลาดแบบตรง การจดทะเบียนการตลาดแบบตรงกับ สคบ. ไม่เพียงแต่เป็นการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย แต่ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจในสายตาผู้บริโภคอีกด้วย  การขายออนไลน์ในรูปแบบการตลาดแบบตรงมีโอกาสสูงในการสร้างรายได้ แต่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงหากร้านค้าออนไลน์ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืน การทำบัญชีที่ถูกต้องและเป็นระบบคือกุญแจสำคัญในการบริหารร้านค้าออนไลน์ การเลือกใช้ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถจัดการบัญชีได้ง่ายดายเพียงแค่การเชื่อมต่อ API ให้บันทึกข้อมูลบัญชี สร้างเอกสารอัตโนมัติ ครบถ้วนทุกรายการขาย เพียงเท่านี้ก็ช่วยลดขั้นตอนและลดต้นทุนในการทำงาน  เพื่อให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปอย่างราบรื่นและเป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมาย

ความรู้ธุรกิจ

PEAK Account

7

min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 13/11/2024

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✨ 1.  เพิ่มฟังก์ชันในการบันทึกรับ/จ่ายชำระเงิน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการบันทึกรายการรับ/จ่ายเงิน 1.1 เพิ่มการเลือกผังบัญชีย่อยในการรับ/จ่ายชำระเงิน 📢 สำหรับกิจการที่ต้องการความละเอียดในการปรับปรุงบัญชี สามารถบันทึกรายการโดยเลือกผังบัญชีย่อยได้โดยตรงจากหน้าบันทึกรับ/จ่ายชำระเงิน กรณีผังบัญชีที่เลือกสามารถระบุบัญชีย่อยได้ เช่น ลูกหนี้อื่น เจ้าหนี้อื่น ทำให้การบันทึกบัญชีในสมุดรายวันสามารถแยกเข้าไปยังผังบัญชีย่อยได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน ลดขั้นตอนการปรับปรุงบัญชีและเพิ่มความสะดวกในการทำงาน 1.2 เพิ่มการแก้ไขจำนวนเงิน ผังบัญชีและบัญชีย่อย 📢 สำหรับกิจการที่ต้องการความสะดวกในการแก้ไขรายการรับ-จ่ายเงิน เมื่อบันทึกรับ/จ่ายชำระเงินที่เอกสารแล้ว สามารถแก้ไขจำนวนเงิน เพิ่มหรือลบรายการรับ/จ่ายชำระเงินได้อย่างสะดวก โดยการแก้ไขนั้นมูลค่าที่รับ/จ่ายชำระจะต้องเท่ากับมูลค่าเดิม นอกจากนี้ยังสามารถเลือกรายการที่ต้องการปรับปรุงที่หน้าการแก้ไขอย่างง่าย (Easy Edit) ได้ ช่วยให้แก้ไขข้อมูลมีความสะดวก ครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้น หมายเหตุ: กรณีรับ/จ่ายชำระเงินด้วยเช็ค จะยังไม่สามารถแก้ไขข้อมูลได้ ✨ 2. เพิ่มการเลือกการแสดงข้อมูลในรายงานเอกสารฝั่งรายรับและรายจ่าย เพื่อทำให้ปรับรูปแบบการแสดงข้อมูลในรายงานได้ตามต้องการ 📢สำหรับกิจการที่ต้องการพิมพ์รายงานเอกสารรายรับ/รายจ่าย ผู้ใช้งานสามารถปรับรูปแบบรายงานและเลือกการแสดงข้อมูลในรายงานได้ตามต้องการ ทำให้เห็นรายละเอียดได้ครบถ้วนมากขึ้น เช่น สกุลเงิน อัตราแลกเปลี่ยน ช่องทางการรับ/จ่ายเงิน แสดงข้อมูลคนสร้างและคนอนุมัติเอกสาร กลุ่มจัดประเภท การหักมัดจำ เป็นต้น เพื่อให้รายงานที่ได้รับตอบโจทย์ข้อมูลที่ต้องการใช้ ✨ 3. ปรับช่องการลงทะเบียนใบกำกับภาษีและการระบุวันที่ที่ต้องการปรับปรุงรายการภาษี เพื่อเพิ่มความสะดวกในการกรอกข้อมูลและติดตามการบันทึกภาษี 📢 สำหรับกิจการที่ต้องการลงทะเบียนใบกำกับภาษี ระบบปรับช่องทางการลงทะเบียนใบกำกับภาษี ดังนี้ นอกจากนี้หากสร้างเอกสารโดยยังไม่ได้ระบุใบกำกับภาษี ระบบจะทำการแจ้งเตือนให้หน้าเอกสารอัตโนมัติ เพื่อช่วยให้การบันทึกข้อมูลมีประสิทธิภาพและสะดวกสบายมากขึ้น ตัวอย่างหน้าข้อมูลใบกำกับภาษี ตัวอย่างการแจ้งเตือน กรณีสร้างเอกสารโดยยังไม่ระบุใบกำกับภาษี ✨ 4. เพิ่มการแสดง “เลขที่ใบกำกับภาษี” ในหน้าเอกสารใบรวมจ่าย (Online View) เพื่อเพิ่มความสะดวกในการตรวจสอบข้อมูล 📢สำหรับกิจการที่ใช้แพ็กเกจ Pro และ PRO Plus หากต้องการดูรายละเอียดเลขที่ใบกำกับภาษีในใบรวมจ่ายผ่านหน้าเอกสาร (Online View) ผู้ใช้สามารถเลือกให้แสดงหรือซ่อนเลขที่ใบกำกับภาษีในใบรวมจ่ายได้ตามความต้องการ เพื่อช่วยให้การตรวจสอบข้อมูลใบกำกับภาษีสะดวกยิ่งขึ้น ตัวอย่างการแสดงเลขที่ใบกำกับภาษีหน้าเอกสาร (Online View) ✨ 5. เพิ่มการดูประวัติการใช้งานแต่ละผู้ติดต่อ ช่วยให้การติดตามการแก้ไขข้อมูลสะดวกยิ่งขึ้น 📢สำหรับกิจการที่ต้องการดูประวัติการใช้งาน ระบบจะแสดงประวัติการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับผู้ติดต่อนั้นๆในหน้าผู้ติดต่อ เช่น การสร้างผู้ติดต่อ แก้ไข เปิด-ปิดการใช้งาน และการแนบไฟล์ต่างๆ ทั้งจากบนเว็บไซต์หรือการเชื่อมต่อ API ระบบจะแสดงประวัติการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับผู้ติดต่อนั้นให้ทั้งหมด ทั้งนี้สามารถดูย้อนหลังได้สูงสุด 5 ปี เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบสาเหตุการแก้ไขข้อมูลได้สะดวกมากขึ้น ขอขอบคุณข้อเสนอแนะ โดยคุณ Kamonthip บริษัท เซลสุกิ จำกัด

ฟังก์ชันใหม่แนะนำการใช้งาน

ธุรกิจควรมีเงินสดขั้นต่ำกี่เดือน ถึงจะเรียกว่าปลอดภัย

จักรพงษ์

7

min

ธุรกิจควรมีเงินสดขั้นต่ำกี่เดือน ถึงจะเรียกว่าปลอดภัย

เคยสงสัยกันไหมว่า ธุรกิจควรมีเงินสดสำรองไว้อย่างน้อยกี่บาท จึงจะปลอดภัย? คำว่า ‘ปลอดภัย’ ในที่นี้ หมายถึง มีเงินเพียงต่อการซื้อของมาสต๊อกเพื่อขาย เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายดำเนินงาน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่า รวมถึง เงินเดือนพนักงานที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือน ถ้าเรามีเงินเยอะมากๆ เราจะไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องว่าธุรกิจจะขาดสภาพคล่องไหม จะมีเงินจ่ายเจ้าหนี้ไหม แต่ในความเป็นจริงธุรกิจส่วนใหญ่หาเงินมาหมุนในธุรกิจได้ยากและไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราควรรู้ว่าควรมีเงินหมุนเวียนอยู่ในธุรกิจขั้นต่ำกี่เดือนจึงจะปลอดภัย ธุรกิจควรถือเงินสดขั้นต่ำกี่เดือน นักธุรกิจหลายๆคน เชื่อกันว่าธุรกิจควรมีเงินสดสำรองไว้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 3-6 เดือน การมีเงินสำรองอย่างน้อย 3-6 เดือนจะช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินการต่อได้ในกรณีที่มีปัญหาขาดรายได้ รายได้เข้ามาน้อยลงหรือมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น การสูญเสียลูกค้ารายใหญ่ หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอื่น ๆ หลายคนอาจสงสัยต่อว่า ควรสำรองเงินไว้ 3 เดือน 4 เดือน 5 เดือน หรือ 6 เดือนกันแน่ ทำไมไม่บอกให้ชัดๆ ไปเลย นั่นก็เพราะแต่ละธุรกิจมีเป้าหมายและความเสี่ยงไม่เหมือนกัน เงินสดสำรองที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัย การคำนวณเงินสำรองขั้นต่ำ ตอนนี้เรารู้กันแล้วว่าธุรกิจควรมีเงินสำรองขั้นต่ำอย่างน้อย 3-6 เดือน แต่คำถามถัดไปคือ แล้วต้องคำนวณอย่างไร? คิดเป็นมูลค่าตัวเงินคือกี่บาท? เรามาหาคำตอบกันต่อได้เลย เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ขอกำหนดว่าธุรกิจที่จะนำมาเป็นตัวอย่างนี้มีความเสี่ยงต่ำจึงสำรองเงินขั้นต่ำที่ 3 เดือน หรือ 90 วันเท่านั้น วิธีคิดก็คือ เราต้องหาว่าในแต่ละวันเรามีค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยวันละกี่บาท (ค่าใช้จ่ายทั้งเดือน/30วัน) จากนั้น จากนั้นให้นำค่าใช้จ่ายต่อวันคูณด้วย 90วัน (3เดือน) เราก็จะได้จำนวนที่ควรสำรองขั้นต่ำ 3 เดือนทันที (ค่าใช้จ่ายต่อเดือน/30) x 90 วัน ตัวอย่างการคำนวณเงินสำรองขั้นต่ำ บริษัท A มีค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่ 30,000 บาท หาร 30 วัน จะได้ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันที่ 1,000 บาท เมื่อต้องสำรองที่ 3 เดือน จึงนำค่าใช้จ่ายต่อวันคูณด้วย 90 วัน แปลว่าต้องสำรองเงินขั้นต่ำสำหรับ 3 เดือนอยู่ที่ 90,000 บาทนั่นเอง (30,000/30) x 90 วัน = 90,000 บาท ธุรกิจควรสำรองเงินขั้นต่ำอย่างน้อย 3-6 เดือน ซึ่งคำนวณง่ายๆ โดยนำค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่จ่ายต่อวันคูณด้วย 90 วัน (3 เดือน) ซึ่งถ้าใครอยากปลอดภัยมากกว่าก็เปลี่ยนจำนวนวันที่สำรองจาก 90 วัน ไปเป็น 180 วันหรือมากกว่านั้นก็ได้ อย่างไรก็ตาม การสำรองเงินที่เหมาะสมควรพิจารณาตามลักษณะและความเสี่ยงของแต่ละธุรกิจ และควรวางแผนการบริหารจัดการเงินทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงและเป้าหมายของธุรกิจนั้น ๆ สำหรับในตอนถัดไป เราจะไปดูภาพรวมในการวางแผนการรับ-จ่ายเงินอย่างมีแบบแผนมากขึ้นผ่านการจัดทำ “งบประมาณ หรือ Budget” แบบง่ายๆ ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากในการควบคุมการใช้จ่ายเงินในธุรกิจให้ตรงตามเป้าหมาย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

ความรู้ธุรกิจความรู้บัญชี