ความรู้ธุรกิจ

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

14 ก.พ. 2025

PEAK Account

16 min

e-Tax Invoice ตัวช่วยจัดการเอกสาร ลดความยุ่งยากให้ธุรกิจ SMEs

ก้าวเข้าสู่ปี 2568 ในยุคที่เกือบทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนมาอยู่บนดิจิตอลแทบทั้งหมด ประเทศไทยก็พัฒนาตามยุคสมัยในหลายด้าน รวมไปถึงด้านเอกสารต่าง ๆ ที่หน่วยงานส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เกือบทั้งหมดแล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ที่กรมสรรพากรส่งเสริมให้ผู้ประกอบปัจจุบันการเปลี่ยนมาใช้ เพราะช่วยลดความยุ่งยากด้านงานเอกสาร และเป็นรูปแบบที่สอดคล้องกับกฎหมายในปัจจุบันอีกด้วย ในบทความนี้ PEAK ขอพาผู้อ่านทุกท่านไปทำความรู้จักกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ให้มากขึ้น จะเป็นอย่างไรบ้างมาติดตามกันได้เลย e-Tax Invoice คืออะไร? e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ คือ รูปแบบการออกใบกำกับภาษีอยู่ในรูปแบบออนไลน์เพื่อตอบสนองพฤติกรรมการซื้อขายของคนไทยที่นิยมซื้อผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น สามารถส่งเอกสารให้ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ รวมไปถึงสามารถส่งเอกสารออนไลน์ให้กรมสรรพากรได้ทันทีเช่นกัน ทำให้การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ช่วยให้ธุรกิจ SMEs สามารถจัดการกับเอกสารได้สะดวกมากยิ่งขึ้น  ข้อมูลจำเป็นที่ต้องทราบเกี่ยวกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากรูปแบบเอกสารเปลี่ยนมาอยู่บนโลกออนไลน์ ทำให้มีข้อมูลรายละเอียดจำเป็นเล็กน้อยที่เจ้าของกิจการควรรู้ เพื่อให้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ของเรานั้นถูกต้องทุกประการ เพื่อให้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เป็นเอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องมีการลงลายมือชื่อดิจิตอล (Digital Signature) หรือการปรับทับรับรองเวลา (Time Stamp) ด้วยเสมอ หลังจากลงลายมือชื่อหรือประทับแล้ว เอกสารฉบับดังกล่าวจะสามารถใช้เป็นหลักฐานในทางกฎหมายได้ ทำไมธุรกิจ SMEs ต้องใช้ e-Tax Invoice? หลังจากที่เรารู้จักใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้นแล้ว ในส่วนถัดมาเรามาดูข้อดีที่เจ้าของเจ้าของกิจการ SMEs จะได้รับหากเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์แทนที่ใบกำกับภาษีกระดาษรูปแบบเดิมกันดีกว่า ซึ่งข้อดีหลัก ๆ สามารถแบ่งได้ 4 ข้อดังนี้ ลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร หนึ่งในปัญหาที่เจ้าของกิจการ SMEs หลายท่านต้องประสบพบเจอคงหนีไม่พ้นเรื่องของเอกสารที่เยอะจนบางครั้งทำให้เกิดความยุ่งยาก ไม่สามารถโฟกัสกับธุรกิจได้เต็มที่เท่าที่ควร การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยลดปัญหาส่วนนี้ลงไปได้อย่างแน่นอน เพราะด้วยเอกสารที่อยู่บนออนไลน์ ไม่จำเป็นต้องหาที่จัดเก็บ หรือคอยหาเอกสารให้วุ่นวาย นอกจากนี้ยังลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร เพราะความสะดวกรวดเร็วในการส่งให้ผู้ซื้อและสรรพากรได้อย่างง่ายดาย หมดห่วงเรื่องเอกสารสูญหาย ต่อยอดจากข้อที่แล้ว นอกจากการลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร ยังเป็นการป้องกันข้อมูลสูญหายที่เป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ของการเก็บเอกสารแบบกระดาษ ซึ่งการเก็บเอกสารที่อยู่ในรูปแบบออนไลน์นั้น หากจัดให้เป็นระเบียบรับรองว่าข้อมูลไม่มีทางสูญหายแน่นอน อีกทั้งเวลาต้องการเรียกดูเอกสารก็ทำได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ช่วยลดต้นทุน หลายท่านอาจสงสัยว่าการเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ช่วยลดต้นทุนให้แก่ธุรกิจ SMEs ได้อย่างไร แต่ถ้าลองคำนวนดูแล้วการออกใบกำกับภาษีแบบกระดาษ 1 แผ่นนั้น มีต้นทุนที่แฝงมาด้วยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นค่ากระดาษ ค่าหมึกสำหรับพิมพ์เอกสารออกมา อาจรวมไปถึงค่าซองเอกสาร และค่าจัดส่งอีกด้วย หากเปลี่ยนมาใช้รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ก็บอกลาต้นทุนเหล่านี้ไปได้เลย ได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากภาครัฐ เพื่อกระตุ้นให้ธุรกิจเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้น รัฐบาลจึงได้ออกนโยบายต่าง ๆ ที่ช่วยส่งเสริมในส่วนนี้ ยกตัวอย่างเช่น Easy E-Receipt นโยบายที่ในปีพ.ศ. 2568 ก็กลับมาอีกครั้ง โดยเป็นนโยบายที่ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถนำใบกำกับภาษีออนไลน์จากสินค้าหรือบริการที่ซื้อในช่วงเวลาที่กำหนด มายื่นเพื่อขอลดหย่อนภาษีได้ นอกจากจะเป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ยังช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้น  “การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์นอกจากจะช่วยจัดการเอกสารแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนแฝง และช่วยเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายผ่านนโยบายของภาครัฐอีกด้วย” e-Tax Invoice มีกี่รูปแบบ แตกต่างกันอย่างไรบ้าง? e-Tax Invoice มีทั้งหมด 2 รูปแบบประกอบไปด้วย ซึ่งแต่ละรูปแบบแตกต่างกันอย่างไร แต่ละแบบเหมาะกับธุรกิจประเภทไหน และมีขั้นตอนการทำงานอย่างไรบ้าง มาดูกันต่อเลย 1. e-Tax Invoice & Receipt ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ประเภทแรกแบ่งได้เป็นสองส่วนคือ ส่วนที่เป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) และ ใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Recepit) ซึ่งเอกสารรูปแบบนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) แบบไม่จำกัดรายได้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ก่อนทำการส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ รวมไปถึงกรมสรรพากรจำเป็นต้องลงลายมือชื่อดิจิตอลให้เรียบร้อยเพื่อให้เอกสารนี้ถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้การส่ง e-Tax Invoice & Receipt ให้กรมสรรพากรจะต้องอยู่ในรูปแบบไฟล์ XML หรือ PDF/A3 เท่านั้น คุณสมบัติของผู้ยื่นขอจัดทำ e-Tax Invoice & e-Receipt ขั้นตอนการจัดทำและส่งมอบ e-Tax Invoice & Receipt  สำหรับขั้นตอนการใช้งานใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ประเภท e-Tax Invoice & Receipt มีขั้นตอนทั้งหมด 3 ส่วนที่สะดวก รวดเร็ว เข้าใจง่าย ไม่เป็นการเพิ่มงานแน่นอน 2. e-Tax Invoice by Time Stamp ในส่วนของ e-Tax Invoice by Time Stamp จะเป็นการทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์สำหรับธุรกิจ SMEs ขนาดเล็กที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 30 ล้านบาท และได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว เป็นรูปแบบที่ตอบโจทย์ธุรกิจที่มีการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์จำนวนที่ไม่มาก โดยการส่งเอกสาร e-Tax Invoice by Time Stamp จะเป็นการที่ธุรกิจออกร่างใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ หลังจากนั้นทำการส่งอีเมลให้ลูกค้า และ CC อีเมลไปที่ [email protected] เพื่อให้ระบบทำการ Time Stamp หรือประทับเวลาให้ หลังจากนั้นระบบจะส่งเอกสารที่ประทับเวลาแล้วให้ลูกค้าและธุรกิจอีกครั้ง คุณสมบัติของผู้ยื่นขอจัดทำ e-Tax Invoice by Time Stamp เจ้าของกิจการที่ต้องการยื่นขอการจัดทำ e-Tax Invoice by Time Stamp ต้องมีคุณสมบัติดังนี้  ขั้นตอนการจัดทำและส่งมอบ e-Tax Invoice by Time Stamp ขั้นตอนของใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์รูปแบบ e-Tax Invoice by Time Stamp อาจมีขั้นตอนมากกว่าเล็กน้อย แต่สะดวกไม่แพ้กัน อยากลดความยุ่งยากเรื่องเอกสารใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ คือคำตอบ ตอนนี้ทุกท่านรู้จักกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นแล้ว ทราบถึงข้อดีที่ทำให้การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์นั้นช่วยธุรกิจของคุณได้อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลดปัญหาความยุ่งยากในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเอกสารต่าง ๆ รวมไปถึงเป็นการลดต้นทุน และช่วยเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายให้แก่ธุรกิจผ่านนโยบายต่าง ๆ ที่รัฐบาลออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกด้วย  สำหรับเจ้าของกิจการ SMEs ท่านไหนที่กำลังมองหาเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยให้การจัดการใบกำกับภาษีเป็นเรื่องง่าย ที่ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่รองรับการทำ e-Tax Invoice ช่วยให้การจัดการบัญชีในธุรกิจของคุณสะดวก สามารถจัดการบัญชีได้อย่างเป็นระบบ เตรียมความพร้อมมุ่งสู่การเติบโตในอนาคต ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

6 ก.พ. 2025

PEAK Account

7 min

สำนักงานบัญชี ประหยัดเวลาการทำบัญชีด้วยการใช้ AI

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ การใช้ AI ได้กลายเป็นตัวช่วยสำคัญในการยกระดับการทำงานของสำนักงานบัญชี ทำให้กระบวนการต่างๆ รวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับข้อดีของการใช้ AI ในการทำบัญชีและวิธีการนำมาใช้เพื่อช่วยประหยัดเวลาในงานของคุณ ทำไมการทำบัญชีด้วยการใช้ AI ถึงสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชี? นำ AI มาปรับใช้ในงานของสำนักงานบัญชีได้อย่างไร 1. การบันทึกบัญชีด้วยระบบ AI ระบบบัญชีที่มี AI ช่วยแนะนำ รายการบันทึกบัญชีที่ใช้บ่อย จะช่วยให้นักบัญชีทำงานได้รวดเร็วและสะดวกขึ้น เพราะ AI จะเรียนรู้พฤติกรรมการบันทึกข้อมูลของผู้ใช้งาน และเสนอรายการบัญชีที่เกี่ยวข้องแบบอัตโนมัติ ลดเวลาการค้นหารายการบัญชีที่ซับซ้อนหรือใช้บ่อย ตัวอย่างเช่น ข้อดี 2. การวิเคราะห์งบการเงินและคาดการณ์แนวโน้มธุรกิจ PEAK ใช้ AI วิเคราะห์งบกำไรขาดทุน ช่วยให้นักบัญชีและเจ้าของธุรกิจเห็นภาพรวมผลประกอบการได้ชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมทั้งคาดการณ์แนวโน้มทางการเงินในอนาคต AI จะดึงข้อมูลในระบบมาคำนวณและสรุปเป็นกราฟหรือรายงานแบบเข้าใจง่าย เช่น ข้อดี 3. การตรวจสอบความผิดพลาดในการทำบัญชี AI สามารถ ตรวจสอบความถูกต้องของงบทดลอง (Trial Balance) ได้อัตโนมัติ หากพบข้อผิดพลาดหรือยอดไม่ตรง ระบบจะแสดง สัญลักษณ์ธงสี (Flag) เพื่อแจ้งเตือนผู้ใช้งานทันที เช่น ข้อดี ข้อดีของการทำบัญชีด้วยการใช้ AI ลดต้นทุนการดำเนินงาน ลดเวลาและทรัพยากรที่ใช้ในกระบวนการบัญชี ทำให้สำนักงานบัญชีสามารถลดต้นทุนได้ เพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้า เวลาที่ประหยัดได้จากการใช้ AI สามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์และให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์แก่ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น รองรับการขยายตัวของธุรกิจ สำนักงานบัญชีสามารถรองรับลูกค้าใหม่ได้มากขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มทีมงานหรือทรัพยากรเพิ่มเติม PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยสำนักงานบัญชีและธุรกิจประหยัดเวลาและเพิ่มความแม่นยำด้วยระบบ AI ที่สามารถแนะนำรายการบันทึกบัญชีที่ใช้บ่อยๆได้ เพราะ PEAK ตระหนักเห็นถึงความสำคัญในการนำ AI มาปรับใช้ในสำนักงานบัญชีไม่เพียงช่วยประหยัดเวลา แต่ยังช่วยเพิ่มคุณภาพและความแม่นยำในการทำงาน ช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

5 min

บอจ.5 คืออะไร ธุรกิจประเภทไหนต้องยื่นบ้าง ยื่นได้ตอนไหน

บอจ.5 หรือ บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น เป็นเอกสารสำคัญที่บริษัทจำกัดต้องจัดทำและนำส่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าทุกปี เพื่อแสดงโครงสร้างการถือหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงของบริษัท โดยการยื่น บอจ.5 นั้นจะช่วยแสดงว่าธุรกิจเรามีความโปร่งใสและทำตามกฎหมาย จึงเป็นเอกสารที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญมาก ๆ  บอจ.5 คืออะไร สำคัญอย่างไร บอจ.5 เป็นแบบฟอร์มทางกฎหมายที่ใช้บันทึกและรายงานข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นของบริษัทจำกัด โดยจะแสดงรายละเอียดของผู้ถือหุ้นทั้งหมด จำนวนหุ้นที่ถือ และมูลค่าหุ้น  การยื่น บอจ.5 มีความสำคัญในหลายด้าน ทั้งแสดงว่าธุรกิจเรามีความโปร่งใส ทำตามกฎหมาย และมีความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ บอจ.5 ยังเป็นเอกสารสำคัญที่ใช้อ้างอิงในการทำธุรกรรมต่าง ๆ เช่น การเข้าร่วมประมูลงาน การขอสินเชื่อ หรือการทำสัญญาทางธุรกิจอีกด้วย บอจ.5 จะประกอบด้วย เอกสาร บอจ.5 จะประกอบด้วยข้อมูลสำคัญโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัท ได้แก่ ชื่อ-นามสกุล สัญชาติ และที่อยู่ของผู้ถือหุ้นแต่ละราย จำนวนหุ้นที่ถือครอง เลขที่ใบหุ้น มูลค่าหุ้นที่ชำระแล้ว วันที่จดทะเบียนเป็นผู้ถือหุ้น และการเปลี่ยนแปลงการถือหุ้นในรอบปี นอกจากนี้ บอจ.5 ยังต้องระบุรายละเอียดของบริษัท เช่น ชื่อบริษัท เลขทะเบียนนิติบุคคล ทุนจดทะเบียน และจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทด้วย บอจ.5 ใครต้องยื่นบ้าง ยื่นได้ตอนไหน การยื่น บอจ.5 เป็นหน้าที่ตามกฎหมายของบริษัทจำกัดทุกแห่ง โดยมีกำหนดเวลาและผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน เพื่อให้การรายงานข้อมูลผู้ถือหุ้นถูกต้องและทันเวลา  ใครต้องเป็นคนยื่น กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทจะต้องลงชื่อรับรองความถูกต้องและเป็นผู้ยื่น บอจ.5  โดยการยื่น บอจ.5 สามารถทำได้ทั้งด้วยตัวเองที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือมอบอำนาจให้ผู้อื่นดำเนินการแทนก็ได้ เพียงแต่ผู้ยื่นต้องเตรียมเอกสารประกอบให้ครบถ้วน เช่น แบบ บอจ.5 ที่กรอกข้อมูลครบถ้วน สำเนาบัตรประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจ และหนังสือมอบอำนาจ (กรณีมอบอำนาจ) ต้องยื่นเมื่อไหร่ หากไม่นำส่งจะมีค่าปรับอะไรบ้าง การยื่น บอจ.5 มีกำหนดให้ยื่นภายใน 14 วันนับจากวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี หรือไม่เกินเดือนมกราคมของทุกปี แล้วแต่กรณีไหนจะถึงก่อน หากบริษัทไม่นำส่ง บอจ.5 ตามกำหนด จะมีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท และปรับอีกวันละไม่เกิน 500 บาทจนกว่าจะนำส่งได้ถูกต้อง ซึ่งการนำส่งไม่ตรงเวลาอาจทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือลดลง จนส่งผลต่อการทำธุรกรรมต่าง ๆ ด้วย การจัดทำและยื่น บอจ.5 อย่างถูกต้องและตรงเวลาเป็นหน้าที่สำคัญของบริษัทจำกัด นอกจากจะเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว ยังแสดงถึงความโปร่งใสในการทำธุรกิจ ผู้ประกอบการจึงควรให้ความสำคัญและจัดเตรียมข้อมูลให้พร้อมสำหรับการยื่น บอจ.5 ตามกำหนดเวลา โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

7 min

“โปรแกรมบัญชี” ที่ใช่! ตัวช่วยสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชี

การเลือก “โปรแกรมบัญชี” ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชีที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดข้อผิดพลาด และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ในบทความนี้จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจว่าโปรแกรมบัญชีที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไร และจะช่วยพัฒนาธุรกิจของสำนักงานบัญชีได้อย่างไรบ้าง คุณสมบัติที่สำคัญของ “โปรแกรมบัญชี” สำหรับสำนักงานบัญชี การเลือกโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสมช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถทำงานได้อย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ และลดเวลาในการทำงานประจำ คุณสมบัติเด่นที่ควรพิจารณา ได้แก่ 1. การทำงานแบบ Cloud-Based ระบบ Cloud ช่วยให้การทำงานสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา รองรับการทำงานร่วมกันในทีมแบบเรียลไทม์ และช่วยลดต้นทุนด้านฮาร์ดแวร์ พร้อมทั้งมีระบบสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย 2. การรองรับการจัดทำภาษี โปรแกรมควรมีฟังก์ชันที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดทำเอกสารภาษี เช่น ภ.ง.ด. และ ภ.พ. พร้อมทั้งรองรับการยื่นภาษีออนไลน์ผ่านระบบของกรมสรรพากร 3. ระบบ AI ช่วยแนะนำการบันทึกรายการบัญชีที่บันทึกบ่อย ระบบ AI ที่สามารถจดจำรายการบัญชีที่ใช้บ่อย และแนะนำการบันทึกบัญชีแบบอัตโนมัติ จะช่วยลดเวลาในการทำงานและลดข้อผิดพลาดในการป้อนข้อมูล 4. เชื่อมต่อข้อมูลจากภายนอกได้ง่ายด้วย API โปรแกรมควรรองรับการเชื่อมต่อ API เพื่อดึงข้อมูลจากระบบภายนอก เช่น ระบบธนาคาร ระบบ ERP หรือแพลตฟอร์ม E-Commerce เพื่อให้การบันทึกบัญชีและประมวลผลข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วและลดข้อผิดพลาด 5. อัปโหลด/ดาวน์โหลดไฟล์ได้ง่าย โปรแกรมควรรองรับการอัปโหลดและดาวน์โหลดข้อมูล เช่น ไฟล์ Excel, CSV หรือ PDF เพื่อช่วยให้สามารถจัดการข้อมูลได้อย่างยืดหยุ่น และนำข้อมูลไปใช้ในระบบอื่น ๆ ได้สะดวก ประโยชน์ของ “โปรแกรมบัญชี” สำหรับสำนักงานบัญชี การนำโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสมมาใช้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนให้กับสำนักงานบัญชีในหลายด้าน ดังนี้ 1. ประหยัดเวลาและลดข้อผิดพลาด ระบบอัตโนมัติช่วยลดเวลาการทำงานที่ใช้ไปกับงานเอกสาร และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดจากการทำงานด้วยมือ 2. เพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า โปรแกรมบัญชีช่วยให้สำนักงานสามารถส่งมอบงานได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น สร้างความน่าเชื่อถือและพึงพอใจให้กับลูกค้า 3. ช่วยในการวางแผนและตัดสินใจ ด้วยรายงานที่ถูกต้องและครบถ้วน สำนักงานบัญชีสามารถให้คำแนะนำที่มีประสิทธิภาพแก่ลูกค้าในการวางแผนการเงินและตัดสินใจทางธุรกิจ วิธีเลือก “โปรแกรมบัญชี” ที่เหมาะสมสำหรับสำนักงานบัญชี 1. วิเคราะห์ความต้องการของสำนักงานบัญชี พิจารณาว่าสำนักงานบัญชีของคุณมีความต้องการอะไร เช่น การรองรับลูกค้าจำนวนมาก การจัดการงานเอกสาร หรือการทำงานร่วมกันในทีม 2. ทดลองใช้งานก่อนตัดสินใจ หลายโปรแกรมบัญชีมีบริการทดลองใช้งานฟรี ซึ่งช่วยให้คุณสามารถประเมินว่าโปรแกรมนั้นตอบโจทย์ความต้องการของสำนักงานบัญชีหรือไม่ 3. ตรวจสอบบริการหลังการขาย เลือกโปรแกรมบัญชีที่มีทีมสนับสนุนที่พร้อมช่วยเหลือ เช่น การให้คำปรึกษา การอบรม หรือบริการช่วยแก้ไขปัญหา แนะนำโปรแกรมบัญชี PEAK ตัวช่วยที่สำนักงานบัญชีควรเลือกใช้ โปรแกรมบัญชี PEAK รองรับทั้ง 5 คุณสมบัติที่กล่าวมาเบื้องต้น เพื่อตอบโจทย์สำนักงานบัญชีโดยเฉพาะ ด้วยระบบที่ช่วยให้ทำงานสะดวกขึ้น ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพการทำบัญชี ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อข้อมูลอัตโนมัติ ระบบคลาวด์ที่ปลอดภัย รายงานที่อ่านง่าย AI ช่วยบันทึกบัญชี และเครื่องมือจัดการไฟล์ที่ยืดหยุ่น ทุกฟังก์ชันถูกพัฒนาเพื่อช่วยให้นักบัญชีทำงานได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น การเลือก “โปรแกรมบัญชี” ที่เหมาะสมเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จของสำนักงานบัญชี โปรแกรมที่ดีไม่เพียงช่วยลดความซับซ้อนในการทำงาน แต่ยังช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับบริการที่สำนักงานบัญชีมอบให้กับลูกค้า เลือกโปรแกรมที่มีคุณสมบัติตรงกับความต้องการ เช่น โปรแกรมบัญชี PEAK และเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นตั้งแต่วันนี้ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

30 ม.ค. 2025

PEAK Account

21 min

5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ

การทำบัญชีอาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของธุรกิจให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก แต่ความจริงแล้ว ความผิดพลาดทางบัญชีสามารถสร้างปัญหาใหญ่กว่าที่คุณคิด ตั้งแต่กระแสเงินสดที่ไม่สมดุล ไปจนถึงปัญหาภาษีและความน่าเชื่อถือของธุรกิจ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จัก “5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ” เพื่อให้คุณสามารถบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงทางการเงิน และสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน 5 ความผิดพลาดทางบัญชี ที่ ธุรกิจ SMEs มักมองข้าม! ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 1 : การไม่แยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว การบริหารการเงินที่ดีเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในธุรกิจ หนึ่งในหลักการพื้นฐานที่เจ้าของธุรกิจต้องให้ความสำคัญคือ การแยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว อย่างชัดเจน การใช้บัญชีเดียวกันอาจทำให้เกิดความสับสน เสียเวลา และส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจทางการเงินของธุรกิจ ดังนั้นในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจว่าทำไมการแยกบัญชีจึงเป็นเรื่องสำคัญ พร้อมแนวทางปฏิบัติที่คุณสามารถนำไปใช้ได้จริง ทำไมต้องแยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว? 1.1 ช่วยให้บริหารการเงินได้ง่ายขึ้น ลองนึกภาพว่าคุณต้องนั่งไล่ดูรายการเดินบัญชีเพื่อแยกว่าเงินไหนเป็นรายรับธุรกิจ เงินไหนเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว หากคุณใช้บัญชีเดียวกัน คุณอาจต้องเสียเวลานั่งไล่ดูทีละรายการ ซึ่งไม่คุ้มค่าเลย การแยกบัญชีช่วยให้คุณสามารถติดตามรายรับและรายจ่ายของธุรกิจได้อย่างแม่นยำ ลดความยุ่งยากในการทำบัญชี และช่วยให้การทำงบการเงินเป็นไปอย่างถูกต้อง 1.2 ป้องกันความผิดพลาดทางภาษี ช่วงยื่นภาษีทีไรต้องปวดหัว เพราะมีรายการใช้จ่ายที่ปะปนกันจนไม่รู้ว่าอันไหนใช้กับธุรกิจ อันไหนเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าคุณเผลอเอาค่าใช้จ่ายส่วนตัวมาคิดเป็นค่าใช้จ่ายธุรกิจโดยไม่ได้ตั้งใจ อาจทำให้มีปัญหากับกรมสรรพากรได้ หรือในทางตรงกันข้าม หลายครั้งที่นักบัญชีปิดงบปลายปีให้ผู้ประกอบการ และเมื่อเจอรายการเงินออกที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมอะไรของธุรกิจ กลายเป็นว่าค่าใช้จ่ายนั้นก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้าม หรือค่าใช้จ่ายบวกกลับทางภาษีของกิจการไป ทำให้ต้องเสียเงินภาษีเยอะขึ้นโดยไม่จำเป็น แต่ถ้าแยกบัญชีชัดเจน การคำนวณภาษีจะง่ายขึ้นและมีความถูกต้องมากขึ้น 1.3 สร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือให้ธุรกิจ ลองนึกถึงกรณีที่คุณต้องการขอสินเชื่อจากธนาคารหรือดึงดูดนักลงทุน หากบัญชีธุรกิจของคุณปะปนกับบัญชีส่วนตัว ธนาคารอาจมองว่าธุรกิจของคุณไม่มีระบบที่ดีพอ ทำให้โอกาสได้รับอนุมัติน้อยลง การมีบัญชีธุรกิจแยกจากบัญชีส่วนตัวช่วยให้ลูกค้า คู่ค้า และธนาคารมองว่าธุรกิจของคุณเป็นองค์กรที่มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ช่วยเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อ หรือเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น 1.4 ควบคุมกระแสเงินสดได้ดีขึ้น ถ้าใช้บัญชีเดียวกัน บางครั้งคุณอาจเผลอใช้เงินธุรกิจไปกับเรื่องส่วนตัวโดยไม่รู้ตัว เมื่อถึงเวลาต้องจ่ายค่าซัพพลายเออร์หรือพนักงาน อาจเจอปัญหาเงินสดขาดมือ การแยกบัญชีช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของกระแสเงินสดธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น และบริหารเงินได้ดีกว่าเดิม ช่วยทำให้คุณมองเห็น และเข้าใจเงินทุนหมุนเวียนของกิจการได้ดีขึ้น แนวทางปฏิบัติในการแยกบัญชีธุรกิจและบัญชีส่วนตัว 1.1 เปิดบัญชีธุรกิจแยกต่างหาก เริ่มต้นด้วยการเปิดบัญชีธุรกิจโดยเฉพาะ เลือกธนาคารที่ให้บริการด้านบัญชีธุรกิจที่เหมาะสมกับคุณ เช่น มีระบบจ่ายเงินออนไลน์ หรือค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม หรืออย่างน้อยที่สุด คุณสามารถใช้บัญชีธนาคารเพื่อกิจการก็ได้ในชื่อของคุณ เป็นบัญชีบุคคลธรรมดา แต่ที่สำคัญคือคุณต้องแยกบัญชีกัน 1.2 กำหนดเงินเดือนให้ตัวเอง อย่าคิดว่าเงินธุรกิจเป็นของตัวเอง! กำหนดเงินเดือนให้ตัวเองและใช้จ่ายในส่วนที่ได้รับเท่านั้น วิธีนี้ช่วยให้คุณควบคุมการใช้จ่ายส่วนตัวได้ดีขึ้น และป้องกันการนำเงินธุรกิจไปใช้เกินความจำเป็น และเงินเดือนของคุณ ก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทด้วย สามารถช่วยลดภาระภาษีของบริษัทไปได้ แน่นอนว่ามันจะกลายเป็นรายได้บุคคลธรรมดาของคุณ แต่ถ้าคุณจัดการภาษีบุคคลได้ดี คุณจะสามารถนำเงินเดือนเป็นเครื่องนึงในการประหยัดภาษีได้ (หากคุณต้องการจัดการเงินเดือน เราก็มีโปรแกรมที่ช่วยจัดการเงินเดือนให้คุณได้) 1.3 ใช้บัตรเครดิตธุรกิจและบัตรเครดิตส่วนตัวแยกจากกัน เช่นเดียวกับการเปิดบัญชีธนาคารแยก คุณสามารถมีบัตรเครดิตบุคคลในชื่อคุณได้ แต่ใช้เพื่อบริษัทเพียงอย่างเดียว อย่าใช้บัตรใบนั้นไปรูดซื้อของใช้ส่วนตัว เพราะจะทำให้การติดตามค่าใช้จ่ายยุ่งยาก หรือบริษัทของคุณมีความน่าเชื่อถือที่มากพอ คุณสามารถขอเปิดบัตรเครดิตในนามนิติบุคคลได้ โดยติดต่อธนาคารต่างๆ อย่างไรก็ตาม เดี๋ยวนี้ผู้ให้บริการชำระเงินหลายแห่งมีบริการ virtual card เพื่อให้คุณสามารถใช้บัตรเครดิตในบริษัทได้หลากหลายใบ โดยที่สามารถจัดการจากระบบหลังบ้านได้ 1.4 บันทึกและตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินเป็นประจำ อย่าปล่อยให้รายการเดินบัญชีสะสมเป็นเดือนๆ แล้วค่อยมาเช็ก ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะทำงบประมาณ หรือ budget ควรตรวจสอบธุรกรรมเป็นประจำทุกสัปดาห์เพื่อให้แน่ใจว่าเงินเข้า-ออกตรงตามแผน และไม่มีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น 1.5 หลีกเลี่ยงการโอนเงินระหว่างบัญชีโดยไม่จำเป็น หากต้องโอนเงินระหว่างบัญชี ควรมีบันทึกที่ชัดเจน เช่น หากคุณนำเงินส่วนตัวมาใช้ในธุรกิจ ควรลงบัญชีว่าเป็น “เงินกู้” หรือ “จ่ายเพื่ออะไร” เพื่อให้สามารถติดตามได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเดี๋ยวนี้คุณสามารถเพิ่มบันทึกสาเหตุรายการเหล่านั้นเข้าไปได้ในมือถือตอนที่ทำการจ่ายโอนเลย มันง่ายมากๆแล้ว ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 2 : การไม่จัดทำบัญชีอย่างสม่ำเสมอ การทำบัญชีเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะเล็กหรือใหญ่ การบันทึกบัญชีอย่างสม่ำเสมอช่วยให้คุณติดตามสถานะทางการเงินของธุรกิจได้อย่างถูกต้อง แต่หลายคนมักเลื่อนการบันทึกบัญชีออกไปเพราะคิดว่าไม่มีเวลาหรือไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน จนกลายเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบใหญ่กว่าที่คิด! ทำไมการไม่บันทึกบัญชีเป็นประจำถึงเป็นปัญหา? 2.1 ข้อมูลการเงินไม่ถูกต้อง ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด ลองนึกภาพว่าคุณต้องการขยายธุรกิจ แต่เมื่อดูตัวเลขทางบัญชีแล้วกลับพบว่ามีข้อมูลขาดหาย หรือไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าธุรกิจมีกำไรจริงหรือไม่ สิ่งนี้ทำให้คุณตัดสินใจทางการเงินผิดพลาด เช่น ลงทุนเกินตัว หรือคิดว่ามีเงินสดมากพอแต่กลับมีหนี้ที่ไม่ได้บันทึก ในตอนที่ผมทำบัญชีให้กับลูกค้า มีเคสนึงน่าสนใจ ร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่บันทึกบัญชีทุกวัน แต่จดยอดขายเฉพาะวันที่พนักงานมีเวลาว่าง ส่งผลให้เจ้าของเข้าใจผิดว่าธุรกิจมีกำไรดี เพราะไม่ได้บันทึกต้นทุนวัตถุดิบที่ซื้อมา และไม่ได้ตัดเครื่องปรุงเครื่องใช้ออกเลย เจ้าของตัดสินใจขยายพื้นที่ร้านเพิ่ม และสั่งของมาเพิ่มอีก แต่เมื่อถึงเวลาตรวจสอบจริง พบว่ามีค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้ถูกบันทึก มีวัตถุดิบที่หมดอายุเพราะสั่งมาเกิน มีเครื่องปรุงที่หมดไปแล้วมีไม่พอทำให้เสียโอกาสในการขาย ทำให้เงินสดขาดมือและต้องกู้เงินเพิ่มโดยไม่จำเป็น ปัญหาเหล่านี้ เกิดขึ้นจากการที่เจ้าของขาดข้อมูลที่แท้จริงในการตัดสินใจ 2.2 ปัญหาด้านภาษีและค่าปรับที่ไม่คาดคิด หากไม่มีการบันทึกบัญชีอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้คุณพลาดการยื่นภาษีที่ถูกต้อง และอาจต้องเสียค่าปรับจากกรมสรรพากรโดยไม่จำเป็น การไม่มีข้อมูลบัญชีที่ชัดเจนยังทำให้คุณไม่สามารถใช้สิทธิหักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้เต็มที่ 2.3 เสียเวลาและเพิ่มภาระงานตอนท้ายปี การสะสมงานบัญชีไว้จนถึงสิ้นเดือนหรือสิ้นปี ทำให้ต้องเสียเวลามากในการตามหาข้อมูลย้อนหลัง หากคุณปล่อยให้บัญชีไม่อัปเดตเป็นเวลานาน คุณอาจต้องใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ในการจัดการข้อมูลแทนที่จะใช้เวลานั้นในการพัฒนาธุรกิจ ซึ่งเหตุการณ์นี้ผมคิดว่าหลายกิจการก็น่าจะเจอเหมือนกัน ตอนที่ผมทำบัญชีผมเจอบริษัทหลายแห่งเลยที่ไม่ได้บันทึกค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน พอถึงสิ้นปีต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือนๆในการไล่หาบิลและเอกสารบัญชี ทำให้การปิดงบล่าช้าและส่งผลกระทบต่อการยื่นภาษีและโดยค่าปรับยื่นแบบล่าช้าอีก แนวทางปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการบันทึกบัญชีล่าช้า 2.1 กำหนดเวลาในการบันทึกบัญชีเป็นประจำ ตั้งเวลาให้แน่นอน เช่น บันทึกบัญชีทุกวันหรืออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้องและอัปเดตอยู่เสมอ 2.2 ใช้ซอฟต์แวร์บัญชีช่วยจัดการ เลือกใช้ซอฟต์แวร์บัญชีที่ช่วยให้คุณสามารถบันทึกข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและอัตโนมัติ เช่น บันทึกยอดขาย ค่าใช้จ่าย และเงินสดเข้าออกโดยไม่ต้องทำมือทั้งหมด แน่นอนว่าตัวที่เราแนะนำก็คือโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK นี่เอง คุณสามารถทดลองใช้งานได้ฟรี 2.3 มอบหมายหน้าที่ให้พนักงานหรือนักบัญชี หากคุณไม่มีเวลาทำเอง อาจมอบหมายให้พนักงานที่มีความสามารถรับผิดชอบ หรือจ้างนักบัญชีภายนอกเพื่อช่วยดูแลการเงินของธุรกิจ ซึ่งที่ PEAK เองก็มีบริการแนะนำนักบัญชีที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการใช้โปรแกรม PEAK มาช่วยดูแลบัญชีให้คุณ ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 3 : ขาดการวางแผนภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ การวางแผนภาษีเป็นเรื่องที่เจ้าของธุรกิจหลายคนมักมองข้าม หรือเลื่อนออกไปจนถึงช่วงสิ้นปี ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดพลาด เสียโอกาสในการลดภาระภาษี และส่งผลต่อกระแสเงินสดของธุรกิจ การวางแผนภาษีที่ดีควรเริ่มตั้งแต่ต้นปีเพื่อให้สามารถบริหารจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง วิธีหลีกเลี่ยง การศึกษากฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม การเตรียมตัวสำหรับการชำระภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ และการจัดสรรเงินสำรองสำหรับการชำระภาษีจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการชำระภาษีล่าช้าและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น และควรเริ่มเลยตั้งแต่กลางๆปี ไม่ควรรอไปถึงสิ้นปีแล้วค่อยคิด เพราะว่าการดำเนินการต่างๆอาจจะไม่ทันปีภาษีได้ ผมอยากแนะนำให้ลองดูบทความนี้ครับ 6 กลยุทธ์การวางแผนภาษีธุรกิจ SMEs ปี 2568 ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 4 : การไม่ใช้เทคโนโลยีช่วยในงานบัญชี ในยุคดิจิทัล การทำบัญชีด้วยวิธีดั้งเดิม เช่น การใช้สมุดจดหรือ Excel อาจไม่เพียงพอสำหรับการบริหารธุรกิจที่เติบโตขึ้น โปรแกรมบัญชี สามารถช่วยให้เจ้าของธุรกิจบริหารการเงินได้ง่ายขึ้น แม่นยำขึ้น และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำบัญชีด้วยตนเอง ข้อดีของการใช้โปรแกรมบัญชี ✅ ลดข้อผิดพลาดในการคำนวณ – ระบบช่วยให้การบันทึกบัญชีและคำนวณภาษีถูกต้องอัตโนมัติ✅ ประหยัดเวลา – ไม่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงทำบัญชีเอง สามารถโฟกัสกับการบริหารธุรกิจได้เต็มที่ ด้วยเทคโนโลยี API ที่เชื่อมต่อกับระบบต่างๆ ทำให้ข้อมูลไหลไปเป็นอัตโนมัติ✅ ช่วยบริหารกระแสเงินสด – ติดตามรายรับ-รายจ่ายได้แบบเรียลไทม์ ทำให้เห็นภาพรวมการเงินของธุรกิจ✅ พร้อมสำหรับการตรวจสอบภาษี – ข้อมูลบัญชีครบถ้วน ลดความเสี่ยงจากปัญหาภาษีและค่าปรับที่ไม่จำเป็น✅ ใช้งานง่าย – ซอฟต์แวร์บัญชีในปัจจุบันสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ผ่านระบบคลาวด์ ช่วยให้การจัดการบัญชีสะดวกขึ้น ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 5 : การไม่เก็บเอกสารทางการเงินอย่างเป็นระบบ การเก็บรักษาเอกสารทางการเงิน เช่น ใบเสร็จและใบแจ้งหนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น และยังช่วยให้การทำบัญชีและการยื่นภาษีเป็นไปอย่างถูกต้องและง่ายขึ้น ลองทำตามคำแนะนำเหล่านี้เพื่อจัดการเอกสารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ เก็บเอกสารให้เป็นระบบ – แยกประเภทเอกสารเป็นหมวดหมู่ เช่น รายรับ ค่าใช้จ่าย เงินเดือน และภาษี ใช้แฟ้ม หรือโฟลเดอร์ดิจิทัลเพื่อให้ค้นหาได้ง่าย และต้องจัดเก็บไว้ให้ได้ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดด้วย ✅ ใช้ซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันช่วยจัดการ – บันทึกและสแกนใบเสร็จ/ใบแจ้งหนี้เก็บไว้ในระบบออนไลน์ เพื่อลดความเสี่ยงจากเอกสารสูญหาย และสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ โดยที่ PEAK เองเรามีระบบคลังเอกสาร ที่คุณสามารถถ่ายรูปจากมือถือ แล้วเก็บเอกสารเข้าไปในระบบได้เลย ✅ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางบัญชี – หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับการจัดเก็บเอกสารหรือข้อกำหนดทางภาษี ให้ปรึกษานักบัญชีเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง เราสามารถช่วยแนะนำคุณได้ ผมหวังว่าบทความ “5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ” นี้จะช่วยเป็นแนวทางให้เพื่อนๆ ผู้ประกอบการ หลีกเลี่ยงความผิดพลาดได้ และสามารถดำเนินธุรกิจโดยมีพื้นฐานด้านบัญชีที่แข็งแรง เพื่อรองรับการเติบโตของคุณได้ในอนาคตครับ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ คือ ทางเลือกที่จะช่วยให้คุณบริหารธุรกิจได้อย่างมีระบบ ด้วยการใช้งานที่ง่ายและฟีเจอร์ที่ครบครัน โปรแกรมนี้ช่วยให้คุณเห็นกำไร-ขาดทุนแบบ Real-Time และจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่ารอช้าที่จะนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาธุรกิจของคุณให้เติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

24 ม.ค. 2025

PEAK Account

23 min

เคล็ด(ไม่)ลับ เป็นนักบัญชีขั้นเทพกับ 6 ความรู้พื้นฐานบัญชีที่ต้องรู้

นักบัญชีของกิจการเป็นหัวใจหลักในการบริหารงานหลังบ้านให้ราบรื่นไม่แพ้งานหน้าบ้านอย่างการขายสินค้าหรือให้บริการ การมีความรู้และทักษะทางบัญชี ภาษีที่ดีจะช่วยให้นักบัญชีสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้จะพาผู้อ่านทุกท่านไปค้นหาว่าทักษะพื้นฐานใดของนักบัญชีที่มีความจำเป็นต่อสายอาชีพ และทักษะที่ถ้ามีเพิ่มเติมแล้วอาจจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่องค์กรได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีเกณฑ์ในการคัดนักบัญชีที่เหมาะสมได้ มาเริ่มกันเลย 6 ความรู้พื้นฐานที่นักบัญชีต้องรู้ 1. เข้าใจสมการบัญชี พื้นฐานการทำบัญชีเริ่มต้นจากการเข้าใจสมการทางบัญชี เนื่องจากถ้าไม่สามารถอธิบายได้ จะลงบัญชีไม่ถูกต้อง และงบการเงินไม่น่าเชื่อถือ โดยทั่วไปหลักของสมการ คือ ตัวเลขทางด้านซ้ายต้องเท่ากับตัวเลขทางด้านขวา ซึ่งสมการทางบัญชีก็เช่นกัน ดังนี้ สมการบัญชีกำหนดว่าสินทรัพย์จะต้องเท่ากับหนี้สินบวกด้วยทุนเสมอ เช่น กิจการนำเงินสดมาเปิดกิจการ 1,000 บาท สมการบัญชีจะเป็นดังนี้ สินทรัพย์(Assets) = หนี้สิน(Liabilities) + ส่วนของเจ้าของ(Owner’s Equity)1,000(เงินสด) = 0(ไม่มีหนี้) + 1,000(เงินลงทุน) และต่อมากิจการมีการกู้ยืมเงินจากธนาคารจำนวน 500 บาท โดยได้รับเงินเป็นเงินสด สมการบัญชีจะเปลี่ยนไป ดังนี้ สินทรัพย์(Assets) = หนี้สิน(Liabilities) + ส่วนของเจ้าของ(Owner’s Equity)1,500(เงินสด) = 500(เงินกู้) + 1,000(เงินลงทุน) สมการบัญชีเป็นจุดเริ่มต้นของงบการเงินที่ถูกต้อง ถ้านักบัญชีสามารถอธิบายสมการได้ ก็คาดเดาได้ว่าจะบันทึกบัญชี(การบันทึกบัญชีอาจเรียกว่าการเดบิต เครดิตก็ได้)จะถูกต้องในระดับหนึ่งแล้ว 2. เข้าใจเกณฑ์คงค้าง เกณฑ์การจัดทำบัญชีเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ของงบการเงินของนิติบุคคล เช่น ห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือบริษัทจำกัด เพราะถ้าไม่เข้าใจ ผลที่เกิดคือ อาจบันทึกรายได้หรือค่าใช้จ่ายผิดปีได้เลย การทำบัญชีมักจะบันทึกอยู่บนเกณฑ์ยอดนิยม 2 เกณฑ์ คือ เกณฑ์เงินสด (Cash Basis) และเกณฑ์คงค้าง(Accrual Basis) ซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้ เกณฑ์เงินสด (Cash Basis) คือ การบันทึกบัญชีเมื่อได้รับเงินแล้วเท่านั้น ซึ่งในทางบัญชีและภาษีมักใช้เกณฑ์กับการรับรู้รายรับ และรายจ่ายของบุคคลธรรมดา เพราะเข้าใจง่าย ใครๆ ก็ทำได้บนกระดาษ เกณฑ์คงค้าง(Accrual Basis) คือ การบันทึกบัญชีเมื่อธุรกรรมนั้นเกิดขึ้นแล้ว เช่น มีการขายสินค้าหรือให้บริการแล้ว โดยไม่สนใจว่าจะได้รับเงินสดแล้วหรือไม่ ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ใช้ทำบัญชีและยื่นภาษีของนิติบุคคล จึงเป็นเกณฑ์ที่สำคัญมากที่นักบัญชีต้องรู้ ตัวอย่างเช่น กิจการทำธุรกิจขายสบู่ ได้ขายสบู่ให้แก่ลูกค้าในปี 2566 แต่ได้รับชำระเงินในปี 2568 การบันทึกบัญชีของแต่ละเกณฑ์จะเป็นดังนี้ เกณฑ์เงินสด เกณฑ์คงค้าง ปีที่บันทึกบัญชีขายสินค้า – ปี 2566 ปีที่บันทึกบัญชีรับชำระเงิน ปี 2568 ปี 2568 จะเห็นว่าเกณฑ์เงินสดจะบันทึกบัญชีแค่ครั้งเดียว ทำได้ง่าย แต่ไม่ค่อยสะท้อนให้เห็นความเป็นจริงว่ารายได้ที่แท้จริงเกิดขึ้นปีไหน ทั้งๆที่รายได้เกิดในปี 2566 แต่บันทึกในปี 2568 ซึ่งนานถึง 2 ปี มักใช้กับการทำบัญชีของบุคคลธรรมดาเพราะไม่ต้องการข้อมูลที่ละเอียดมาก และง่ายต้องการจัดทำ ส่วนเกณฑ์คงค้างจะบันทึกบัญชีหลายครั้งแต่ช่วยให้เห็นข้อมูลที่ถูกต้องมากขึ้นว่าแท้จริงแล้วรายได้เกิดปี 2566 แต่มารับเงินในปี 2568 จึงเป็นเกณฑ์ที่นำมาใช้ในการบันทึกบัญชีและทำภาษีของนิติบุคคลนั่นเอง 3. แยกระหว่างสินทรัพย์และค่าใช้จ่ายได้ ถ้ากิจการซื้อแก้วน้ำมา 1 ใบ ถือว่าเป็นสินทรัพย์หรือค่าใช้จ่ายของกิจการ? คำตอบ คือ สามารถเป็นได้ทั้ง 2 อย่างขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้แก้วน้ำนั้น โดยหลักการพิจารณาว่าเป็นสินทรัพย์หรือค่าใช้จ่ายนั้นต้องอิงตามหลักการบัญชี คือ การดูว่าสิ่งของนั้นกิจการตั้งใจใช้งานเกินกว่า 1 ปีหรือไม่ ถ้าใช้แล้วหมดไปภายใน 1 ปีจะถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการ แต่ถ้าใช้ได้มากกว่า 1 ปี เช่น 2 ปี จะถือเป็นสินทรัพย์ของกิจการและค่อยๆ ทยอยตัดเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละปี ตัวอย่างเช่น กิจการซื้อแก้วน้ำพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งแบบนี้จะถือเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการ แต่ถ้ากิจการซื้อแก้วน้ำเก็บความเย็นซึ่งสามารถใช้งานได้มากกว่า 1 ปี จะต้องบันทึกเป็นสินทรัพย์และทยอยตัดเป็นค่าใช้จ่ายตามจำนวนปีที่ต้องการใช้งาน การแยกประเภทสินทรัพย์และค่าใช้จ่ายที่ถูกต้องนั้น จะช่วยให้งบการเงินของกิจการสะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น กล่าวคือ ค่าใช้จ่ายไม่สูงเกินไป หรือสินทรัพย์ไม่สูงเกินไป 4. เข้าใจเอกสารค้าขาย เอกสารที่เกิดขึ้นในการค้าขายมีหลายประเภท เช่น ใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี หรือใบเสร็จรับเงิน เป็นต้น การที่เราต้องเข้าใจเอกสารแต่ละประเภทจะช่วยให้เราตัดสินใจว่าสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร  ตัวอย่างเช่น 5. เข้าใจภาษีพื้นฐาน นอกจากเรื่องบัญชีแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่นักบัญชีต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องภาษีธุรกิจ เพราะเมื่อรายการทางบัญชีเกิดขึ้น ภาระทางภาษีมักจะเกิดขึ้นเสมอเหมือนเป็นเงาตามตัวผู้ประกอบการ ทำให้นักบัญชีต้องเข้าใจเรื่องภาษีและวิธียื่นและนำส่งภาษีเพื่อป้องกันค่าปรับจากการปฏิบัติทางภาษีผิดพลาด ตัวอย่างเช่น  6. รู้จักประเภทของเงินได้และความแตกต่างของเงินได้ สรรพากรเรียก “เงินได้” ว่า “รายได้” โดยกำหนดไว้อยู่ 8 ประเภท สาเหตุที่ต้องเข้าใจว่าเงินได้ทั้ง 8 ประเภทนั้น เพราะมีผลต่อการคำนวณภาษีที่ต้องเสีย เช่น การเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายว่าต้องหักกี่ % จะขึ้นอยู่กับประเภทเงินได้  สรุปเงินได้ 8 ประเภท นอกจาก 6 ความรู้พื้นฐานดังกล่าวมาแล้ว การเข้าใจธุรกิจที่เราทำทำบัญชีให้อยู่นั้นก็ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะทำให้นักบัญชีมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น เพราะการเข้าใจบริบทของธุรกิจที่เราทำบัญชีให้ เนื่องจากมีผลต่อการบันทึกบัญชีสูงมาก ค่าใช้จ่ายประเภทเดียวกันแต่อยู่ในแต่ละธุรกิจอาจบันทึกบัญชีไม่เหมือนกัน หรือพูดง่ายๆ คือ คนละขั้วกันนั้นเอง ลองมาดูตัวอย่างข้างล่างกันครับ ตัวอย่างเช่น กิจการซื้อแก้วพลาสติกมา 100 บาท ถ้าเป็นกิจการที่ซื้อมาเพื่อใช้ในออฟฟิศให้ลูกค้ากินแบบนี้จะถือว่าเป็นค่าใช้จ่าย แต่ถ้ากิจการที่ทำธุรกิจขายแก้วพลาสติก การจ่ายเงินนี้ไม่ถือว่าเป็นค่าใช้จ่าย แต่จะถือว่าเป็นสินทรัพย์ ก็คือ “สินค้า” เพราะกิจการซื้อมาเพื่อขายไม่ได้ซื้อมาเพื่อใช้ นี้เป็นเพียงตัวอย่างเดียว จริงๆ รายได้และค่าใช้จ่ายในแต่ละธุรกิจมีบริบทที่แตกต่างกัน การที่เรารับนักบัญชีเก่งๆ มาหนึ่งแม้จะเก่งบัญชีและภาษีมากแค่ไหน แต่ถ้าไม่เข้าใจธุรกิจที่ทำงานให้อยู่จริงๆ โอกาสทำบัญชีผิดพลาดมีสูงมากๆ ครับ การเข้าใจลักษณะและกระบวนการทำงานของธุรกิจที่ตนเองทำบัญชีอยู่จะช่วยให้นักบัญชีสามารถให้คำแนะนำและจัดการทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3 ทักษะด้านอื่นๆ ยิ่งมี ยิ่งดี นอกจากเรื่องบัญชี ภาษี และการเข้าใจธุรกิจเป็นสิ่งที่สำคัญที่บอกได้ว่าใครเป็นนักบัญชีที่เก่งแล้ว ถ้านักบัญชีมีทักษะด้านอื่นๆ เพิ่มเติมจะช่วยยกศักยภาพให้สูงได้ ดังนี้ 1. ทำประมาณการรายได้-ค่าใช้จ่ายได้ ปกตินักบัญชีจะค่อนข้างอยู่กับข้อมูลในอดีต เช่น การบันทึกเอกสารก็เป็นเอกสารที่เกิดขึ้นไปแล้ว และนำมาบันทึกให้ทีหลัง ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้านักบัญชีจะไม่สามารถทำงบประมาณรายรับ-รายจ่ายในอนาคตได้ถนัด เพราะต้องใช้อีกทักษะอื่นๆ และข้อมูลอื่นๆ ในการจัดทำด้วย เช่น อัตราเงินเฟ้อ กระแสเงินสดรับ-จ่ายที่จะเข้ามา แนวโน้มยอดขาย เป็นต้น การทำงบประมาณต้องได้รับความร่วมมือจากหลายแผนกในการให้ข้อมูลและพูดคุย และนำข้อมูลต่างๆ มาจัดทำเป็นงบประมาณเพื่อเป็นเป้าให้แก่ฝ่ายต่างๆในกิจการ ถ้านักบัญชีสามารถมีทักษะนี้ได้ จะช่วยให้เราสามารถนำข้อมูลในอดีตมาวิเคราะห์ และจัดทำประมาณการตัวเลขในอนาคตให้กิจการได้อีกด้วย การจัดทำประมาณการรายได้-ค่าใช้จ่าย มีข้อดีมากมาย เช่น ทำให้ทราบสภาพคล่องที่แท้จริงทางการเงิน ทราบแหล่งที่มาของรายได้อย่างชัดเจน วางแผนประหยัดค่าใช้จ่ายและภาษีเงินได้ รวมถึงเป็นตัวกำหนดตัวชี้วัดผลงาน(KPI) ของแผนกต่างๆได้อีกด้วย 2. เข้าใจบัญชีบริหาร ที่เราพูดถึงเรื่องการบันทึกบัญชีต่างๆ มาเราจะเรียกกันว่า “บัญชีการเงิน” เป็นการบันทึกบัญชีตามสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอนาคต แต่มีอีกศาสตร์หนึ่งที่เรียกว่า “บัญชีบริหาร” คือ การนำข้อมูลทางบัญชีไปใช้ในการตัดสินใจบางอย่าง ตัวอย่างเช่น กิจการพึ่งเปิดธุรกิจมาได้ 1 ปี ที่ผ่านมาต้องเช่าโรงงานของคนอื่นเพื่อผลิตสินค้า อยากถามว่าในปีหน้ากิจการควรเช่าโรงงานต่อ หรือสร้างโรงงานเป็นของตัวเองดี? หรือ กิจการผลิตสินค้าและขายเป็นปกติอยู่แล้วแต่มีกำลังการผลิตเหลือ พอดีมีคนมาเสนอให้ผลิตสินค้าแบรนด์อื่น กิจการควรรับงานนี้หรือไม่? สังเกตว่าคำถามข้างต้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถตอบได้ในทันที และไม่สามารถใช้ข้อมูลในอดีตมาใช้ในการตอบได้อย่างเพียงพอ สิ่งเหล่านี้จะเป็นการประยุกต์ใช้โดยการนำข้อมูลในอดีตผสมกับแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ เช่น ต้นทุนค่าเสียโอกาส เพราะการเลือกทำหรือไม่ทำจะต้องมีต้นทุนค่าเสียโอกาสอยู่เสมอ ถ้านักบัญชีมีทักษะนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กิจการได้มหาศาลเลยครับ 3. วางแผนภาษีได้ บางคนอาจสงสัยว่าการรู้เรื่องภาษีเป็นสิ่งพื้นฐานแล้ว ทำไมในหัวข้อนี้ภาษีจึงเป็นทักษะอื่นๆ นั้นเพราะภาษีที่พูดก่อนหน้านี้เป็นพื้นฐาน เช่น รู้ว่าภาษีแต่ละประเภทคืออะไร เกี่ยวข้องกับกิจการยังไง คำนวณยังไง ใช้แบบภาษีชื่ออะไร และยื่นเมื่อไหร่ มีวัตถุประสงค์เพื่อทำตามที่กฎหมายกำหนดให้ทำทุกเดือนหรือทุกปี แต่การวางแผนภาษีจะเป็นเรื่องของการรวบรวมประสบการณ์และองค์ความรู้ในข้อกฎหมายภาษี (ที่เรียกกันว่า “ประมวลรัษฏากร”) มาใช้ประหยัดภาษีของกิจการ ซึ่งผู้ประกอบการหลายมักคนมักคิดว่านักบัญชีทุกคนต้องรู้เรื่องการวางแผนภาษีเป็นอย่างดี แต่จริงๆ แล้วเรื่องภาษีเป็นเรื่องของกฎหมายล้วนๆ ซึ่งต้องใช้ทั้งประสบการณ์และองค์ความรู้ในระดับหนึ่งเลย ตัวอย่างเช่น ตอนนี้เราได้รู้กันแล้วว่า 6 ความรู้พื้นฐานที่นักบัญชีต้องมี เริ่มตั้งแต่ เข้าใจสมการบัญชี เข้าใจเกณฑ์คงค้าง เข้าใจเอกสารค้าขาย เข้าใจภาษีพื้นฐาน รู้จักประเภทเงินได้ แยกสินทรัพย์กับหนี้สินได้ และสุดท้ายต้องเข้าใจธุรกิจที่ทำบัญชีให้ นอกจากนี้ถ้านักบัญชีมี 3 ทักษะนี้เพิ่มเติมจะช่วยมูลค่าในตัวเองได้มากขึ้น ได้แก่ ทำงบประมาณรายได้ค่าใช้จ่ายได้ เข้าใจบัญชีบริหาร และวางแผนภาษี แต่ขอบอกว่าทักษะอื่นๆ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สามทักษะนี้นะครับ นักบัญชีสามารถเก่งในด้านอื่นๆ ได้เช่นกัน กล่าวคือ เก่งอะไรก็ได้ที่ช่วยให้กิจการดีขึ้นและเติบโตไปพร้อมๆ กับนักบัญชี ท้ายนี้ผมขอบคุณทุกท่านมากๆ ที่ติดตาม 10 กฎพื้นฐานด้านการเงินสำหรับ SMEs ตั้งแต่ EP แรกจนถึงตอนสุดท้ายนี้ หวังเหลือเกินผู้อ่านทุกท่านจะได้ประโยชน์และสาระดีๆ จากบทความของผม เพื่อไปปรับประยุกต์ใช้กับกิจการของท่านครับ โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

17 ม.ค. 2025

PEAK Account

6 min

ถอด VAT คืออะไร? ทำไมผู้ประกอบการต้องรู้วิธีคำนวณนี้

การถอด VAT เป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการต้องเจอในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเมื่อมีการขายสินค้าที่เราต้องออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้า หรือการถอด VAT จากสินค้าที่ซื้อมาเพื่อที่ช่วยให้เราทราบราคาต้นทุนที่แท้จริงของสิ่งนั้น นอกจากนี้ การถอด VAT ยังช่วยให้นักบัญชีของกิจการจัดการภาษีได้อย่างเป็นระบบอีกด้วย ซึ่งมีทั้งการถอด VAT 3% และ 7% ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้วิธีการ ถอด VAT เรามีวิธีคำนวณมาฝากกัน ก่อนถอด VAT ควรรู้จัก VAT คืออะไร  VAT หรือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax) คือ ภาษีประเภทหนึ่งที่จัดเก็บจากมูลค่าสินค้าหรือบริการที่เพิ่มขึ้น ตั้งแต่การผลิตจนถึงการจำหน่าย ไม่ว่าสินค้านั้นจะผลิตที่ประเทศไทยหรือต่างประเทศ โดยผู้ที่มีรายได้เกินกว่า 1.8 ล้านบาท ต่อปี จากการผลิตและขายสินค้านั้น จะต้องเป็นผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มนี้ และต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มต้องทำภายใน 30 วัน  วิธีถอด VAT คำนวณด้วยเครื่องคิดเลขง่าย ๆ ในไม่กี่ขั้นตอน การถอด VAT เป็นการถอดเพื่อให้เราทราบราคาที่แท้จริงของสินค้าก่อนคิด VAT ว่ามีราคาเท่าไหร่ และสามารถคำนวณภาษีที่ต้องนำส่งได้อย่างถูกต้อง โดยมีวิธีการคำนวณที่แตกต่างกันตามอัตราภาษี ดังนี้  วิธีถอด VAT 3% VAT 3% มักใช้กับธุรกิจที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น ธุรกิจขนาดเล็ก กิจการที่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี  การจ้างทำของ หรือทำงานต่าง ๆ โดยวิธีการคำนวณนั้นจะทำได้โดยการนำราคาสินค้าที่รวม VAT แล้ว มาหารด้วย 1.03 ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นราคาที่ไม่รวม VAT ส่วนต่างระหว่างราคารวมกับราคาที่ไม่รวม VAT คือจำนวนภาษีที่ต้องนำส่ง ตัวอย่างการคำนวณ : สมมติว่าเรามีสินค้าราคารวม VAT อยู่ที่ 10,300 บาท  วิธีถอด VAT 7% การถอด VAT 7% เป็นการคำนวณที่ใช้กับธุรกิจทั่วไปที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยการคำนวณคล้ายกับการถอด VAT 3% แต่ใช้ตัวหารเป็น 1.07 แทน การถอด VAT ที่ถูกต้อง จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจคำนวณต้นทุน กำไร และภาษีที่ต้องนำส่งได้อย่างแม่นยำ ตัวอย่างการคำนวณ สมมติว่าเรามีสินค้าราคารวม VAT อยู่ที่ 10,700 บาท การเสียภาษี VAT ถ้าธุรกิจของเราเป็นทั้งผู้ขายสินค้าและซื้อสินค้ามา เราต้องมีการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องจ่าย โดยนำภาษีขายที่เก็บจากลูกค้าตลอดเดือนภาษี มาลบด้วยภาษีซื้อที่จ่ายให้ซัพพลายเออร์ในเดือนเดียวกัน หากผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่าภาษีขายสูงกว่าภาษีซื้อ เจ้าของธุรกิจจ่ายส่วนต่างให้กรมสรรพากร แต่หากภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย เจ้าของธุรกิจสามารถเลือกได้ว่าจะรับภาษีส่วนเกินคืน หรือเก็บไว้เป็นเครดิตภาษีสำหรับการคำนวณในรอบเดือนถัดไปได้เลย  ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่ขายสินค้าหรือซื้อสินค้า การถอด VAT ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยให้เราทราบต้นทุนที่แท้จริง เพื่อนำไปสู่การลดต้นทุนและบริหารจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจช่วยเพิ่มเงินทุนให้สามารถนำไปต่อยอดธุรกิจได้อีก นอกจากการคำนวณ VAT ด้วยเครื่องคิดเลขแล้ว การใช้ PEAK Tax ยังช่วยให้การคำนวณภาษีและการออกเอกสารใบกำกับภาษีเป็นเรื่องง่าย พร้อมรองรับการจัดการภาษีและบัญชีอย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์ ช่วยให้ผู้ประกอบการบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเติบโตไปสู่ความสำเร็จอย่างมั่นคง ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

17 ม.ค. 2025

PEAK Account

9 min

เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ด้วย 6 กลยุทธ์การวางแผนภาษีธุรกิจ SMEs

การบริหารภาษีอย่างมีประสิทธิภาพเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเพิ่มกำไรและบริหารเงินสดได้อย่างเหมาะสม การวางแผนภาษีไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงในการเสียภาษีเกินความจำเป็น แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับธุรกิจอีกด้วย ในบทความนี้ เราจะมาเรียนรู้กลยุทธ์การวางแผนภาษีธุรกิจ SMEที่สามารถนำไปใช้ได้จริงกัน! 6 กลยุทธ์การวางแผนภาษีธุรกิจ SMEs ปี 2568 1. รู้จักประเภทของภาษีที่เกี่ยวข้อง การเริ่มต้นวางแผนภาษีสำหรับธุรกิจ SME นั้น ควรเริ่มจากการทำความเข้าใจประเภทของภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ ภาษีแต่ละประเภทจะมีวิธีการคำนวณและข้อกำหนดที่แตกต่างกัน ซึ่งการรู้จักประเภทของภาษีจะช่วยให้การวางแผนภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้น และป้องกันการเสียภาษีเกินกว่าที่ควรจะเป็น 1.1 ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีที่คิดจากกำไรสุทธิของธุรกิจ ซึ่งธุรกิจทุกประเภทที่มีการดำเนินการในรูปแบบของนิติบุคคลต้องเสียภาษีนี้ การคำนวณและยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลจำเป็นต้องใส่ใจรายละเอียดต่าง ๆ อย่างถูกต้องเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในการคำนวณภาษี 1.2 ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)  เป็นภาษีที่คิดจากการขายสินค้าหรือบริการในบางกรณี การเสียภาษีประเภทนี้ขึ้นอยู่กับการดำเนินการทางธุรกิจของคุณ หากคุณขายสินค้าหรือบริการที่ต้องเสีย VAT ก็จำเป็นต้องคำนวณและยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างถูกต้อง 1.3 ภาษีหัก ณ ที่จ่าย  ภาษีที่ถูกหักออกจากเงินได้บางประเภทที่ธุรกิจจ่ายให้กับผู้รับบริการ เช่น ค่าจ้าง ค่าบริการ หรือเงินได้บางประเภท การหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเพื่อให้การดำเนินงานของธุรกิจไม่เกิดปัญหาในอนาคต การรู้ว่าภาษีแต่ละประเภทมีการคำนวณและยื่นเอกสารอย่างไร จะช่วยให้ธุรกิจปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายและหลีกเลี่ยงค่าปรับที่ไม่จำเป็น 2. วางระบบบัญชีที่โปร่งใส การจัดการบัญชีที่เป็นระบบและโปร่งใสถือเป็นหัวใจสำคัญในการวางแผนภาษีธุรกิจ SME ที่มีประสิทธิภาพ การทำบัญชีให้ถูกต้องและมีระเบียบไม่เพียงแต่ช่วยในการจัดการภาษีให้เหมาะสม แต่ยังทำให้เจ้าของธุรกิจสามารถมองเห็นภาพรวมทางการเงินของธุรกิจได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยในการตัดสินใจในอนาคต โดยคุณสามารถทำได้ ดังนี้ 2.1 การใช้โปรแกรมบัญชี ช่วยจัดการงานบัญชี การใช้โปรแกรมบัญชี ที่สามารถบันทึกรายรับและรายจ่ายอย่างถูกต้อง และสามารถติดตามธุรกรรมต่าง ๆ ได้แบบเรียลไทม์ โปรแกรม PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถจัดการภาษีได้ง่ายขึ้น ด้วยฟังก์ชันที่รองรับ e-Tax Invoice ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ การแยกบัญชีธุรกิจออกจากบัญชีส่วนตัวจะช่วยลดความยุ่งยากในการคำนวณภาษีและการรายงานทางการเงิน 2.2 การเก็บเอกสารหลักฐาน  ไม่ว่าจะเป็นใบเสร็จ ใบกำกับภาษี และเอกสารทางการเงินต่าง ๆ จะช่วยให้การตรวจสอบการยื่นภาษีทำได้สะดวกและง่ายขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกตรวจสอบโดยสรรพากรได้ เช่น PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์แบบครบวงจรที่สามารถเก็บเอกสารออนไลน์ได้ 3. ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี อีกหนึ่งการวางแผนภาษีธุรกิจ SME ที่ดีคือการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อลดภาระภาษีได้ ดังนี้ 4. วางแผนรายรับและรายจ่าย การจัดการรายรับและรายจ่ายอย่างมีแบบแผนช่วยให้ธุรกิจสามารถลดภาระภาษีได้ ดังนี้ 4.1 เลื่อนรายรับ หากอยู่ในช่วงปลายปีและรายได้เกินเป้าหมาย อาจเลื่อนการรับเงินไปต้นปีถัดไปเพื่อกระจายรายได้ในหลายปี 4.2 เร่งรายจ่าย  ซื้อวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นหรือชำระค่าใช้จ่ายล่วงหน้าในช่วงปลายปี เพื่อเพิ่มค่าใช้จ่ายและลดกำไรสุทธิ 5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี ผู้ประกอบการควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหรือผู้ทำบัญชีที่มีความรู้ในด้านกฎหมายภาษีที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง 6. ติดตามข่าวสารภาษีอย่างต่อเนื่อง ภาษีเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงได้ตามกฎหมายและสถานการณ์เศรษฐกิจ การตรวจสอบและปรับปรุงแผนภาษีอย่างสม่ำเสมอช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสมและลดความเสี่ยงในการเสียค่าปรับ การวางแผนภาษีธุรกิจ SME ที่ดีไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถลดภาระภาษีและเพิ่มกำไรได้ แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินและเสริมสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาของคู่ค้าและนักลงทุนอีกด้วย เริ่มต้นวางแผนภาษีตั้งแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนของธุรกิจคุณ ด้วย PEAK Tax โปรแกรมการจัดการภาษีออนไลน์ ที่จะช่วยในการบริหารจัดการภาษีภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

10 ม.ค. 2025

PEAK Account

7 min

ร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt เตรียมความพร้อมอย่างไรดี

ในยุคดิจิทัลที่ธุรกิจต้องปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีและความต้องการของลูกค้า โครงการ Easy E-Receipt 2.0 หรือที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อ ช้อปดีมีคืน ที่จัดขึ้นโดยกรมสรรพากร เป็นโอกาสสำคัญที่ร้านค้าไม่ควรพลาด โดยเฉพาะร้านค้าที่ต้องการเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับรายละเอียดโครงการและการเตรียมความพร้อมสำหรับร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt 2.0 คืออะไร? โครงการ Easy E-Receipt 2.0 เป็นโครงการที่กรมสรรพากรจัดขึ้นเพื่อสนับสนุนให้ร้านค้าหันมาใช้ระบบ e-Tax Invoice และ e-Receipt แทนการออกใบกำกับภาษีและใบเสร็จรับเงินในรูปแบบกระดาษ ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงวันที่ 16 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ นอกจากนี้ การเข้าร่วมโครงการยังช่วยให้ร้านค้าสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มองหาธุรกิจที่มีความโปร่งใส เช็กความพร้อมร้านค้า ก่อนเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ร้านค้าแบบใดที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้? อย่างไรก็ตามยังมีร้านที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : สินค้าและบริการที่ไม่เข้าร่วม “Easy E-Receipt 2.0 PEAK ตัวช่วยออกเอกสาร e-Tax Invoice & e-Receipt ของคุณ PEAK เป็นโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่รองรับการออก e-Tax Invoice & e-Receipt อย่างเต็มรูปแบบ โดยได้รับการรับรองจากกรมสรรพากร จุดเด่นของ PEAK คือการช่วยให้ร้านค้าจัดการเอกสารทางบัญชีได้สะดวกและรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง e-Tax Invoice การส่งเอกสารถึงลูกค้า หรือการบันทึกข้อมูลลงในระบบบัญชีโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ PEAK ยังมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนส่งไปยังกรมสรรพากร ทำให้คุณมั่นใจได้ในทุกขั้นตอน การเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ แต่ยังช่วยสร้างโอกาสในการกระตุ้นยอดขายให้ร้านค้า หากคุณต้องการให้ธุรกิจของคุณเติบโตในยุคดิจิทัล การเตรียมตัวเข้าร่วมโครงการนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม PEAK พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาธุรกิจของคุณ สมัครใช้งานโปรแกรมบัญชีออนไลน์วันนี้ เพื่อก้าวเข้าสู่ความสำเร็จในยุคดิจิทัล! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

รู้จักแนวทางการทำงานแบบ Paperless วิธีช่วยลดต้นทุนกระดาษ

การทำงานแบบ Paperless กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับองค์กรยุคใหม่ที่ต้องการเพิ่มคุณภาพการทำงาน โดยการปรับเปลี่ยนสู่ระบบ Paperless ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนในการประหยัดทรัพยากรกระดาษเท่านั้น แต่ยังช่วยให้การจัดการเอกสารให้มีระบบมากขึ้น ลดพื้นที่จัดเก็บ และเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล เรามาทำความเข้าใจกับแนวคิด Paperless และประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับกัน การทำงานแบบ Paperless คืออะไร การทำงานแบบ Paperless คือ การลดการใช้กระดาษในกระบวนการทำงานโดยเปลี่ยนไปใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์แทน ระบบ Paperless ไม่ได้หมายถึงการไม่ใช้กระดาษเลย แต่เป็นการลดการใช้กระดาษให้น้อยที่สุดโดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วย เช่น การสแกนเอกสาร การจัดเก็บไฟล์ดิจิทัล และการใช้ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ การทำงานในรูปแบบนี้ช่วยให้องค์กรประหยัดทั้งพื้นที่จัดเก็บ เวลาในการค้นหา และค่าใช้จ่ายในการจัดการเอกสาร ระบบ Paperless มีข้อดีอย่างไร การนำระบบ Paperless มาใช้ในองค์กรมีข้อดีมากมาย ทั้งด้านการจัดการ ความปลอดภัย และการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงานและต้นทุนขององค์กร มาดูข้อดีที่สำคัญของการใช้ระบบ Paperless กัน เข้าถึงเอกสารได้จากทุกที่ทุกเวลา ระบบ Paperless ช่วยให้พนักงานสามารถเข้าถึงเอกสารได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะทำงานที่ออฟฟิศ ที่บ้าน หรือระหว่างเดินทาง เอกสารทั้งหมดถูกจัดเก็บในระบบคลาวด์ที่มีความปลอดภัยสูง ทำให้การค้นหาและเรียกดูเอกสารทำได้ง่ายและรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังสามารถแชร์เอกสารให้กับทีมงานได้ทันที ลดเวลาในการรอคอยและเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน เพิ่มความปลอดภัยในการจัดเก็บเอกสารได้ การจัดเก็บเอกสารในระบบ Paperless มีความปลอดภัยสูงกว่าการเก็บเอกสารกระดาษ ด้วยระบบการเข้ารหัสข้อมูล การกำหนดสิทธิ์การเข้าถึง และการติดตามประวัติการใช้งาน ทำให้มั่นใจได้ว่าเอกสารสำคัญจะไม่สูญหายหรือตกไปอยู่ในมือผู้ไม่หวังดี ระบบยังมีการสำรองข้อมูลอัตโนมัติ ป้องกันความเสียหายจากภัยพิบัติหรืออุบัติเหตุต่าง ๆ  นำข้อมูลไปใช้ต่อได้อย่างง่ายดาย เอกสารในระบบ Paperless สามารถนำไปใช้ต่อได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการคัดลอกข้อมูล การแก้ไข หรือการวิเคราะห์ ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในรูปแบบดิจิทัลที่พร้อมนำไปประมวลผลหรือใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์อื่น ๆ เช่น โปรแกรมบัญชี หรือระบบวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การทำงานแบบ Paperless ช่วยลดการใช้กระดาษ ซึ่งส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมโดยตรง นอกจากจะช่วยลดการตัดต้นไม้แล้ว ยังช่วยลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตกระดาษ การขนส่ง และการกำจัดของเสีย องค์กรที่ใช้ระบบ Paperless จึงมีส่วนช่วยในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในด้านความรับผิดชอบต่อสังคม เทคโนโลยีและเครื่องมือที่ใช้ในระบบ Paperless มีอะไรบ้าง การทำงานแบบ Paperless ต้องอาศัยเทคโนโลยีและเครื่องมือหลายอย่างเพื่อให้การจัดการเอกสารมีประสิทธิภาพสูงสุด ตั้งแต่การสร้างเอกสาร การจัดเก็บ ไปจนถึงการแชร์และสำรองข้อมูล ซึ่งจะมีเครื่องมืออะไรบ้างไปดูกัน โปรแกรมสำหรับสร้างและจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โปรแกรมจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์เป็นหัวใจสำคัญของระบบ Paperless โดยระบบจะช่วยให้การจัดการเอกสารทางการเงินเป็นระบบ สามารถสร้างใบกำกับภาษี ใบเสร็จ และรายงานทางการเงินในรูปแบบดิจิทัล พร้อมระบบจัดเก็บที่ปลอดภัยและค้นหาง่าย ลดการพิมพ์เอกสารและประหยัดทรัพยากร สแกนเนอร์ที่ใช้แปลงเอกสารให้อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ สแกนเนอร์เป็นอุปกรณ์สำคัญในการแปลงเอกสารกระดาษให้เป็นไฟล์ดิจิทัล โดยเฉพาะสแกนเนอร์ที่มีเทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) ที่สามารถแปลงตัวอักษรในเอกสารให้เป็นข้อความที่แก้ไขได้ ทำให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ต่อในโปรแกรมต่าง ๆ ได้ การเซ็นเอกสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ช่วยให้การอนุมัติและลงนามในเอกสารทำได้รวดเร็วและปลอดภัย ไม่ต้องพิมพ์เอกสารเพื่อลงนามและสแกนกลับ ระบบจะมีการเข้ารหัสและตรวจสอบความถูกต้องของลายเซ็น ทำให้มั่นใจได้ว่าเอกสารมีความน่าเชื่อถือและใช้อ้างอิงทางกฎหมายได้ Cloud Storage ระบบจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ช่วยให้เข้าถึงเอกสารได้ทุกที่ทุกเวลา มีพื้นที่จัดเก็บขนาดใหญ่ และระบบรักษาความปลอดภัยระดับสูง เหมาะสำหรับการจัดเก็บเอกสารสำคัญขององค์กร โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับโปรแกรมบัญชีที่จัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ ทำให้การเข้าถึงและแชร์เอกสารทำได้ง่าย Backup Storage ระบบสำรองข้อมูลเป็นส่วนสำคัญของระบบ Paperless เพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูล โดยมีการสำรองข้อมูลอัตโนมัติและจัดเก็บในหลายที่ ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลจะปลอดภัยแม้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ระบบล่ม หรือภัยพิบัติต่าง ๆ ระบบ Knowledge Management ระบบจัดการความรู้ช่วยในการจัดเก็บและแชร์ความรู้ภายในองค์กร ทำให้พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลและแนวปฏิบัติต่างๆ ได้ง่าย เช่น คู่มือการทำงาน แนวทางปฏิบัติ และเอกสารอ้างอิงต่าง ๆ ช่วยลดการพิมพ์เอกสารและทำให้การเรียนรู้ในองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น การเปลี่ยนผ่านสู่องค์กร Paperless เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาธุรกิจ โดยเฉพาะการใช้โปรแกรมบัญชีที่มีการทำงานแบบ Paperless ก็จะสามารถช่วยให้การจัดการเอกสารทางการเงินเป็นระบบ ลดการใช้กระดาษ และทำให้องค์กรประหยัดทั้งเวลาและต้นทุนได้ โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

นายจ้างควรรู้! ขั้นตอนและช่องทางการส่งเงินสมทบประกันสังคม

การส่งเงินสมทบประกันสังคมเป็นสิ่งที่นายจ้างต้องทำทุกเดือน ปัจจุบันสำนักงานประกันสังคมได้พัฒนาระบบการส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ เพื่อให้นายจ้างสามารถทำได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น ซึ่งวิธีการส่งเงินสมทบประกันสังคมผ่านระบบออนไลน์มีขั้นตอนการสมัครและการชำระเงินอะไรบ้างไปดูกัน การจ่ายเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์คืออะไร การส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ คือ ระบบการชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ที่สำนักงานประกันสังคมพัฒนาขึ้นเพื่อให้นายจ้างส่งงินสมทบได้ง่ายขึ้น ลดขั้นตอนยุ่งยาก และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง นายจ้างสามารถทำรายการผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของธนาคารที่ร่วมให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ข้อดีของการจ่ายเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ การชำระเงินผ่านระบบออนไลน์มีข้อดีจะช่วยให้นายจ้างส่งเงินสมทบประกันสังคมได้ดีมากขึ้นหลายข้อ ซึ่งมีข้อดีอะไรบ้างมาดูกัน ความสะดวกสบายและประหยัดเวลา การส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางไปสำนักงานประกันสังคมหรือธนาคาร ระบบจะคำนวณยอดเงินที่ต้องชำระให้อัตโนมัติ ทำให้ไม่ต้องคำนวณเองที่อาจเกิดข้อผิดพลาดได้ และสามารถทำรายการได้รวดเร็วภายในไม่กี่นาที นอกจากนี้ ยังตั้งเวลาการชำระเงินล่วงหน้าและได้ ชำระได้ทุกที่ทุกเวลา ระบบเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีหยุดหรือเวลาทำการ ทำได้ทุกที่เพียงมีอินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟน นายจ้างจึงสามารถเลือกได้เองตามความสะดวก ตรวจสอบสถานะได้อย่างง่ายดาย ระบบจะเก็บประวัติการทำรายการทั้งหมด ทำให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ง่าย มีใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถดาวน์โหลดได้ทันที และสามารถติดตามสถานะการจ่ายเงินได้แบบเรียลไทม์ ยืดหยุ่นในการชำระเงิน สามารถเลือกวิธีการจ่ายเงินได้ตามความสะดวก ทั้งการหักผ่านบัญชีธนาคาร บัตรเครดิต หรือช่องทางอื่น ๆ ที่ธนาคารให้บริการ ช่วยให้นายจ้างบริหารกระแสเงินสดได้ดีมากขึ้น ทำไมบริษัทต้องส่งเงินสมทบประกันสังคม การส่งเงินสมทบประกันสังคมเป็นภาระหน้าที่ของบริษัทตามที่กฎหมายกำหนดไว้ใน พระราชบัญญัติประกันสังคม ซึ่งมีขึ้นเพื่อสร้างระบบสวัสดิการสำหรับลูกจ้างให้ได้รับความคุ้มครองในกรณีต่าง ๆ โดยบริษัทมีหน้าที่ในการสนับสนุนและรับผิดชอบในการส่งเงินสมทบ 5% ของค่าจ้างลูกจ้าง สูงสุดไม่เกินฐานเงินเดือน 15,000 บาท  หากไม่ส่งเงินสมทบประกันสังคมมีโทษไหม การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายประกันสังคมมีบทลงโทษที่รุนแรง โดยแบ่งเป็นสองกรณี ดังนี้  ขั้นตอนการส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ e-Payment การส่งเงินสมทบประกันสังคมผ่านระบบ e-Payment ทำได้ด้วยตนเองง่าย ๆ โดยมีขั้นตอน ดังนี้  การส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ช่วยให้นายจ้างบริหารจัดการได้สะดวกและง่ายมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการเสียค่าปรับจากการส่งเงินสมทบล่าช้า และสามารถตรวจสอบได้ PEAK Payroll ช่วยให้การส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์เป็นเรื่องง่ายและสะดวกสำหรับนายจ้าง ด้วยระบบที่สามารถคำนวณและส่งข้อมูลการชำระเงินสมทบได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาทำเอกสารหรือเดินทางไปที่สำนักงานประกันสังคม โดย PEAK Payroll รองรับการชำระเงินผ่าน e-Payment ที่ปลอดภัย พร้อมทั้งสามารถตรวจสอบสถานะการส่งเงินสมทบได้ตลอดเวลา ช่วยลดความเสี่ยงจากการล่าช้าและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการชำระเงินไม่ตรงเวลา ทั้งยังช่วยให้ธุรกิจของคุณบริหารจัดการการเงินและข้อมูลพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

KPI คืออะไร วิธีวัดผลและความสำคัญต่อองค์กร

Key Performance Indicators คือ เครื่องมือในการวัดผลธุรกิจที่ดีที่องค์กรนิยมใช้โดยเฉพาะในยุคที่มีการแข่งขันทางธุรกิจสูง เพราะสามารถช่วยให้องค์กรสามารถติดตามและประเมินความสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่ง KPI จะมีการวัดผลอย่างไร ทำไมสำคัญกับองค์กรไปดูกัน KPI หรือ Key Performance Indicators คืออะไร KPI หรือ Key Performance Indicators คือ เป็นวิธีวัดผลการทำธุรกิจในด้านต่าง ๆ ขององค์กร ด้วยการดูว่าผลตรงกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ไหม ทำให้องค์กรสามารถติดตามความก้าวหน้า ประเมินประสิทธิภาพ และปรับปรุงการทำธุรกิจได้ดีมากขึ้น โดยแต่ละตัวอักษรมีความหมาย ดังนี้  ประเภทการวัดผล KPI การวัดผลการปฏิบัติงานจะขึ้นอยู่กับลักษณะของงานและเป้าหมายที่ต้องการวัด โดยตัวชี้วัด KPI แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ การวัดผลทางตรงและการวัดผลทางอ้อม การวัดผลทางตรง การวัดผลทางตรงเป็นการประเมินผลงานที่สามารถวัดเป็นตัวเลขได้ชัดเจน ไม่ต้องตีความหรือแปลผล เช่น ยอดขาย จำนวนชิ้นงานที่ผลิตได้ อัตราของเสีย หรือจำนวนลูกค้าใหม่ ข้อดีของการวัดผลแบบนี้คือเราสามารถตรวจสอบได้และมีหลักฐานอ้างอิงชัดเจน ทำให้การประเมินผลมีความโปร่งใส การวัดผลทางอ้อม การวัดผลทางอ้อมเป็นการประเมินผลงานที่ไม่สามารถวัดเป็นตัวเลขได้โดยตรง ต้องอาศัยการสังเกต การประเมิน หรือการสำรวจความคิดเห็น เช่น การให้บริการ ความประทับใจของลูกค้า หรือการมีผู้นำ การวัดผลประเภทนี้อาจมีความคลาดเคลื่อนได้ เนื่องจากขึ้นอยู่กับมุมมองและการตีความของผู้ประเมิน ความสำคัญต่อองค์กร KPI มีความสำคัญต่อองค์กรในหลายด้าน สามารถช่วยให้องค์กรรู้ความคืบหน้าในการทำงานของพนักงานและประเมินความสำเร็จได้อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ ยังใช้ประเมินผลงานของพนักงาน การพิจารณาผลตอบแทน และการวางแผนพัฒนาบุคลากร รวมถึงช่วยในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์และการจัดสรรทรัพยากรขององค์กร ใช้หลักการ SMART ในการตั้ง KPI หลักการ SMART เป็นแนวทางมาตรฐานในการกำหนด key performance indicators เป็นการสร้างตัวชี้วัดที่มีประสิทธิภาพ มาดูรายละเอียดแต่ละองค์ประกอบ ตัวอย่างการตั้ง KPI ในองค์กร การกำหนด key performance indicators เป็นการสร้างมาตรฐานการวัดผลที่ตรงตามเป้าหมายขององค์กร มาดูตัวอย่างการตั้ง KPI ในแต่ละแผนก  ฝ่ายขายและการตลาด ฝ่ายผลิต ฝ่ายบุคคล ข้อควรระวังในการใช้ KPI การกำหนดและใช้ KPI (Key Performance Indicators) เป็นการวัดผลความสำเร็จขององค์กรหรือโครงการ แต่หากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง อาจเกิดการตีความที่ผิดพลาด หรือการสร้างผลกระทบเชิงลบต่อการทำงานโดยรวม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเข้าใจถึงข้อควรระวังต่าง ๆ เพื่อให้การใช้ KPI สอดคล้องกับเป้าหมายที่แท้จริง และช่วยพัฒนาองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ประโยชน์ของการใช้ KPI ที่ดี KPI (Key Performance Indicators) เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยให้องค์กรรู้ความคืบหน้าของการทำธุรกิจว่าได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใจไหม การใช้ KPI ที่ออกแบบมาอย่างเหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยวัดผลสำเร็จ แต่ยังสร้างแรงจูงใจให้ทีมงานพัฒนาการทำงานได้ดียิ่งขึ้น การเข้าใจถึงประโยชน์ของการใช้ KPI จะช่วยเพิ่มโอกาสในการบริหารจัดการและพัฒนาองค์กรในระยะยาว การใช้ KPI จะช่วยให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน แต่ต้องระวังความเหมาะสมและความเป็นกลางในการประเมินผล เพื่อคนในองค์กรอยากพัฒนาเปลี่ยนแปลงการทำงานจริง ๆ ซึ่ง Key Performance Indicators คือ เครื่องมือที่จะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จได้ หากใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

14 ก.พ. 2025

PEAK Account

16 min

e-Tax Invoice ตัวช่วยจัดการเอกสาร ลดความยุ่งยากให้ธุรกิจ SMEs

ก้าวเข้าสู่ปี 2568 ในยุคที่เกือบทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนมาอยู่บนดิจิตอลแทบทั้งหมด ประเทศไทยก็พัฒนาตามยุคสมัยในหลายด้าน รวมไปถึงด้านเอกสารต่าง ๆ ที่หน่วยงานส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เกือบทั้งหมดแล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ที่กรมสรรพากรส่งเสริมให้ผู้ประกอบปัจจุบันการเปลี่ยนมาใช้ เพราะช่วยลดความยุ่งยากด้านงานเอกสาร และเป็นรูปแบบที่สอดคล้องกับกฎหมายในปัจจุบันอีกด้วย ในบทความนี้ PEAK ขอพาผู้อ่านทุกท่านไปทำความรู้จักกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ให้มากขึ้น จะเป็นอย่างไรบ้างมาติดตามกันได้เลย e-Tax Invoice คืออะไร? e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ คือ รูปแบบการออกใบกำกับภาษีอยู่ในรูปแบบออนไลน์เพื่อตอบสนองพฤติกรรมการซื้อขายของคนไทยที่นิยมซื้อผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น สามารถส่งเอกสารให้ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ รวมไปถึงสามารถส่งเอกสารออนไลน์ให้กรมสรรพากรได้ทันทีเช่นกัน ทำให้การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ช่วยให้ธุรกิจ SMEs สามารถจัดการกับเอกสารได้สะดวกมากยิ่งขึ้น  ข้อมูลจำเป็นที่ต้องทราบเกี่ยวกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากรูปแบบเอกสารเปลี่ยนมาอยู่บนโลกออนไลน์ ทำให้มีข้อมูลรายละเอียดจำเป็นเล็กน้อยที่เจ้าของกิจการควรรู้ เพื่อให้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ของเรานั้นถูกต้องทุกประการ เพื่อให้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เป็นเอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องมีการลงลายมือชื่อดิจิตอล (Digital Signature) หรือการปรับทับรับรองเวลา (Time Stamp) ด้วยเสมอ หลังจากลงลายมือชื่อหรือประทับแล้ว เอกสารฉบับดังกล่าวจะสามารถใช้เป็นหลักฐานในทางกฎหมายได้ ทำไมธุรกิจ SMEs ต้องใช้ e-Tax Invoice? หลังจากที่เรารู้จักใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้นแล้ว ในส่วนถัดมาเรามาดูข้อดีที่เจ้าของเจ้าของกิจการ SMEs จะได้รับหากเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์แทนที่ใบกำกับภาษีกระดาษรูปแบบเดิมกันดีกว่า ซึ่งข้อดีหลัก ๆ สามารถแบ่งได้ 4 ข้อดังนี้ ลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร หนึ่งในปัญหาที่เจ้าของกิจการ SMEs หลายท่านต้องประสบพบเจอคงหนีไม่พ้นเรื่องของเอกสารที่เยอะจนบางครั้งทำให้เกิดความยุ่งยาก ไม่สามารถโฟกัสกับธุรกิจได้เต็มที่เท่าที่ควร การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยลดปัญหาส่วนนี้ลงไปได้อย่างแน่นอน เพราะด้วยเอกสารที่อยู่บนออนไลน์ ไม่จำเป็นต้องหาที่จัดเก็บ หรือคอยหาเอกสารให้วุ่นวาย นอกจากนี้ยังลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร เพราะความสะดวกรวดเร็วในการส่งให้ผู้ซื้อและสรรพากรได้อย่างง่ายดาย หมดห่วงเรื่องเอกสารสูญหาย ต่อยอดจากข้อที่แล้ว นอกจากการลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร ยังเป็นการป้องกันข้อมูลสูญหายที่เป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ของการเก็บเอกสารแบบกระดาษ ซึ่งการเก็บเอกสารที่อยู่ในรูปแบบออนไลน์นั้น หากจัดให้เป็นระเบียบรับรองว่าข้อมูลไม่มีทางสูญหายแน่นอน อีกทั้งเวลาต้องการเรียกดูเอกสารก็ทำได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ช่วยลดต้นทุน หลายท่านอาจสงสัยว่าการเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ช่วยลดต้นทุนให้แก่ธุรกิจ SMEs ได้อย่างไร แต่ถ้าลองคำนวนดูแล้วการออกใบกำกับภาษีแบบกระดาษ 1 แผ่นนั้น มีต้นทุนที่แฝงมาด้วยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นค่ากระดาษ ค่าหมึกสำหรับพิมพ์เอกสารออกมา อาจรวมไปถึงค่าซองเอกสาร และค่าจัดส่งอีกด้วย หากเปลี่ยนมาใช้รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ก็บอกลาต้นทุนเหล่านี้ไปได้เลย ได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากภาครัฐ เพื่อกระตุ้นให้ธุรกิจเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้น รัฐบาลจึงได้ออกนโยบายต่าง ๆ ที่ช่วยส่งเสริมในส่วนนี้ ยกตัวอย่างเช่น Easy E-Receipt นโยบายที่ในปีพ.ศ. 2568 ก็กลับมาอีกครั้ง โดยเป็นนโยบายที่ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถนำใบกำกับภาษีออนไลน์จากสินค้าหรือบริการที่ซื้อในช่วงเวลาที่กำหนด มายื่นเพื่อขอลดหย่อนภาษีได้ นอกจากจะเป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ยังช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้น  “การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์นอกจากจะช่วยจัดการเอกสารแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนแฝง และช่วยเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายผ่านนโยบายของภาครัฐอีกด้วย” e-Tax Invoice มีกี่รูปแบบ แตกต่างกันอย่างไรบ้าง? e-Tax Invoice มีทั้งหมด 2 รูปแบบประกอบไปด้วย ซึ่งแต่ละรูปแบบแตกต่างกันอย่างไร แต่ละแบบเหมาะกับธุรกิจประเภทไหน และมีขั้นตอนการทำงานอย่างไรบ้าง มาดูกันต่อเลย 1. e-Tax Invoice & Receipt ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ประเภทแรกแบ่งได้เป็นสองส่วนคือ ส่วนที่เป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) และ ใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Recepit) ซึ่งเอกสารรูปแบบนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) แบบไม่จำกัดรายได้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ก่อนทำการส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ รวมไปถึงกรมสรรพากรจำเป็นต้องลงลายมือชื่อดิจิตอลให้เรียบร้อยเพื่อให้เอกสารนี้ถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้การส่ง e-Tax Invoice & Receipt ให้กรมสรรพากรจะต้องอยู่ในรูปแบบไฟล์ XML หรือ PDF/A3 เท่านั้น คุณสมบัติของผู้ยื่นขอจัดทำ e-Tax Invoice & e-Receipt ขั้นตอนการจัดทำและส่งมอบ e-Tax Invoice & Receipt  สำหรับขั้นตอนการใช้งานใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ประเภท e-Tax Invoice & Receipt มีขั้นตอนทั้งหมด 3 ส่วนที่สะดวก รวดเร็ว เข้าใจง่าย ไม่เป็นการเพิ่มงานแน่นอน 2. e-Tax Invoice by Time Stamp ในส่วนของ e-Tax Invoice by Time Stamp จะเป็นการทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์สำหรับธุรกิจ SMEs ขนาดเล็กที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 30 ล้านบาท และได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว เป็นรูปแบบที่ตอบโจทย์ธุรกิจที่มีการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์จำนวนที่ไม่มาก โดยการส่งเอกสาร e-Tax Invoice by Time Stamp จะเป็นการที่ธุรกิจออกร่างใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ หลังจากนั้นทำการส่งอีเมลให้ลูกค้า และ CC อีเมลไปที่ [email protected] เพื่อให้ระบบทำการ Time Stamp หรือประทับเวลาให้ หลังจากนั้นระบบจะส่งเอกสารที่ประทับเวลาแล้วให้ลูกค้าและธุรกิจอีกครั้ง คุณสมบัติของผู้ยื่นขอจัดทำ e-Tax Invoice by Time Stamp เจ้าของกิจการที่ต้องการยื่นขอการจัดทำ e-Tax Invoice by Time Stamp ต้องมีคุณสมบัติดังนี้  ขั้นตอนการจัดทำและส่งมอบ e-Tax Invoice by Time Stamp ขั้นตอนของใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์รูปแบบ e-Tax Invoice by Time Stamp อาจมีขั้นตอนมากกว่าเล็กน้อย แต่สะดวกไม่แพ้กัน อยากลดความยุ่งยากเรื่องเอกสารใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ คือคำตอบ ตอนนี้ทุกท่านรู้จักกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นแล้ว ทราบถึงข้อดีที่ทำให้การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์นั้นช่วยธุรกิจของคุณได้อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลดปัญหาความยุ่งยากในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเอกสารต่าง ๆ รวมไปถึงเป็นการลดต้นทุน และช่วยเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายให้แก่ธุรกิจผ่านนโยบายต่าง ๆ ที่รัฐบาลออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกด้วย  สำหรับเจ้าของกิจการ SMEs ท่านไหนที่กำลังมองหาเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยให้การจัดการใบกำกับภาษีเป็นเรื่องง่าย ที่ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่รองรับการทำ e-Tax Invoice ช่วยให้การจัดการบัญชีในธุรกิจของคุณสะดวก สามารถจัดการบัญชีได้อย่างเป็นระบบ เตรียมความพร้อมมุ่งสู่การเติบโตในอนาคต ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

6 ก.พ. 2025

PEAK Account

7 min

สำนักงานบัญชี ประหยัดเวลาการทำบัญชีด้วยการใช้ AI

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ การใช้ AI ได้กลายเป็นตัวช่วยสำคัญในการยกระดับการทำงานของสำนักงานบัญชี ทำให้กระบวนการต่างๆ รวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับข้อดีของการใช้ AI ในการทำบัญชีและวิธีการนำมาใช้เพื่อช่วยประหยัดเวลาในงานของคุณ ทำไมการทำบัญชีด้วยการใช้ AI ถึงสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชี? นำ AI มาปรับใช้ในงานของสำนักงานบัญชีได้อย่างไร 1. การบันทึกบัญชีด้วยระบบ AI ระบบบัญชีที่มี AI ช่วยแนะนำ รายการบันทึกบัญชีที่ใช้บ่อย จะช่วยให้นักบัญชีทำงานได้รวดเร็วและสะดวกขึ้น เพราะ AI จะเรียนรู้พฤติกรรมการบันทึกข้อมูลของผู้ใช้งาน และเสนอรายการบัญชีที่เกี่ยวข้องแบบอัตโนมัติ ลดเวลาการค้นหารายการบัญชีที่ซับซ้อนหรือใช้บ่อย ตัวอย่างเช่น ข้อดี 2. การวิเคราะห์งบการเงินและคาดการณ์แนวโน้มธุรกิจ PEAK ใช้ AI วิเคราะห์งบกำไรขาดทุน ช่วยให้นักบัญชีและเจ้าของธุรกิจเห็นภาพรวมผลประกอบการได้ชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมทั้งคาดการณ์แนวโน้มทางการเงินในอนาคต AI จะดึงข้อมูลในระบบมาคำนวณและสรุปเป็นกราฟหรือรายงานแบบเข้าใจง่าย เช่น ข้อดี 3. การตรวจสอบความผิดพลาดในการทำบัญชี AI สามารถ ตรวจสอบความถูกต้องของงบทดลอง (Trial Balance) ได้อัตโนมัติ หากพบข้อผิดพลาดหรือยอดไม่ตรง ระบบจะแสดง สัญลักษณ์ธงสี (Flag) เพื่อแจ้งเตือนผู้ใช้งานทันที เช่น ข้อดี ข้อดีของการทำบัญชีด้วยการใช้ AI ลดต้นทุนการดำเนินงาน ลดเวลาและทรัพยากรที่ใช้ในกระบวนการบัญชี ทำให้สำนักงานบัญชีสามารถลดต้นทุนได้ เพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้า เวลาที่ประหยัดได้จากการใช้ AI สามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์และให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์แก่ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น รองรับการขยายตัวของธุรกิจ สำนักงานบัญชีสามารถรองรับลูกค้าใหม่ได้มากขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มทีมงานหรือทรัพยากรเพิ่มเติม PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยสำนักงานบัญชีและธุรกิจประหยัดเวลาและเพิ่มความแม่นยำด้วยระบบ AI ที่สามารถแนะนำรายการบันทึกบัญชีที่ใช้บ่อยๆได้ เพราะ PEAK ตระหนักเห็นถึงความสำคัญในการนำ AI มาปรับใช้ในสำนักงานบัญชีไม่เพียงช่วยประหยัดเวลา แต่ยังช่วยเพิ่มคุณภาพและความแม่นยำในการทำงาน ช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

5 min

บอจ.5 คืออะไร ธุรกิจประเภทไหนต้องยื่นบ้าง ยื่นได้ตอนไหน

บอจ.5 หรือ บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น เป็นเอกสารสำคัญที่บริษัทจำกัดต้องจัดทำและนำส่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าทุกปี เพื่อแสดงโครงสร้างการถือหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงของบริษัท โดยการยื่น บอจ.5 นั้นจะช่วยแสดงว่าธุรกิจเรามีความโปร่งใสและทำตามกฎหมาย จึงเป็นเอกสารที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญมาก ๆ  บอจ.5 คืออะไร สำคัญอย่างไร บอจ.5 เป็นแบบฟอร์มทางกฎหมายที่ใช้บันทึกและรายงานข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นของบริษัทจำกัด โดยจะแสดงรายละเอียดของผู้ถือหุ้นทั้งหมด จำนวนหุ้นที่ถือ และมูลค่าหุ้น  การยื่น บอจ.5 มีความสำคัญในหลายด้าน ทั้งแสดงว่าธุรกิจเรามีความโปร่งใส ทำตามกฎหมาย และมีความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ บอจ.5 ยังเป็นเอกสารสำคัญที่ใช้อ้างอิงในการทำธุรกรรมต่าง ๆ เช่น การเข้าร่วมประมูลงาน การขอสินเชื่อ หรือการทำสัญญาทางธุรกิจอีกด้วย บอจ.5 จะประกอบด้วย เอกสาร บอจ.5 จะประกอบด้วยข้อมูลสำคัญโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัท ได้แก่ ชื่อ-นามสกุล สัญชาติ และที่อยู่ของผู้ถือหุ้นแต่ละราย จำนวนหุ้นที่ถือครอง เลขที่ใบหุ้น มูลค่าหุ้นที่ชำระแล้ว วันที่จดทะเบียนเป็นผู้ถือหุ้น และการเปลี่ยนแปลงการถือหุ้นในรอบปี นอกจากนี้ บอจ.5 ยังต้องระบุรายละเอียดของบริษัท เช่น ชื่อบริษัท เลขทะเบียนนิติบุคคล ทุนจดทะเบียน และจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทด้วย บอจ.5 ใครต้องยื่นบ้าง ยื่นได้ตอนไหน การยื่น บอจ.5 เป็นหน้าที่ตามกฎหมายของบริษัทจำกัดทุกแห่ง โดยมีกำหนดเวลาและผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน เพื่อให้การรายงานข้อมูลผู้ถือหุ้นถูกต้องและทันเวลา  ใครต้องเป็นคนยื่น กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทจะต้องลงชื่อรับรองความถูกต้องและเป็นผู้ยื่น บอจ.5  โดยการยื่น บอจ.5 สามารถทำได้ทั้งด้วยตัวเองที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือมอบอำนาจให้ผู้อื่นดำเนินการแทนก็ได้ เพียงแต่ผู้ยื่นต้องเตรียมเอกสารประกอบให้ครบถ้วน เช่น แบบ บอจ.5 ที่กรอกข้อมูลครบถ้วน สำเนาบัตรประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจ และหนังสือมอบอำนาจ (กรณีมอบอำนาจ) ต้องยื่นเมื่อไหร่ หากไม่นำส่งจะมีค่าปรับอะไรบ้าง การยื่น บอจ.5 มีกำหนดให้ยื่นภายใน 14 วันนับจากวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี หรือไม่เกินเดือนมกราคมของทุกปี แล้วแต่กรณีไหนจะถึงก่อน หากบริษัทไม่นำส่ง บอจ.5 ตามกำหนด จะมีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท และปรับอีกวันละไม่เกิน 500 บาทจนกว่าจะนำส่งได้ถูกต้อง ซึ่งการนำส่งไม่ตรงเวลาอาจทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือลดลง จนส่งผลต่อการทำธุรกรรมต่าง ๆ ด้วย การจัดทำและยื่น บอจ.5 อย่างถูกต้องและตรงเวลาเป็นหน้าที่สำคัญของบริษัทจำกัด นอกจากจะเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว ยังแสดงถึงความโปร่งใสในการทำธุรกิจ ผู้ประกอบการจึงควรให้ความสำคัญและจัดเตรียมข้อมูลให้พร้อมสำหรับการยื่น บอจ.5 ตามกำหนดเวลา โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

7 min

“โปรแกรมบัญชี” ที่ใช่! ตัวช่วยสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชี

การเลือก “โปรแกรมบัญชี” ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชีที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดข้อผิดพลาด และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ในบทความนี้จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจว่าโปรแกรมบัญชีที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไร และจะช่วยพัฒนาธุรกิจของสำนักงานบัญชีได้อย่างไรบ้าง คุณสมบัติที่สำคัญของ “โปรแกรมบัญชี” สำหรับสำนักงานบัญชี การเลือกโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสมช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถทำงานได้อย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ และลดเวลาในการทำงานประจำ คุณสมบัติเด่นที่ควรพิจารณา ได้แก่ 1. การทำงานแบบ Cloud-Based ระบบ Cloud ช่วยให้การทำงานสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา รองรับการทำงานร่วมกันในทีมแบบเรียลไทม์ และช่วยลดต้นทุนด้านฮาร์ดแวร์ พร้อมทั้งมีระบบสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย 2. การรองรับการจัดทำภาษี โปรแกรมควรมีฟังก์ชันที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดทำเอกสารภาษี เช่น ภ.ง.ด. และ ภ.พ. พร้อมทั้งรองรับการยื่นภาษีออนไลน์ผ่านระบบของกรมสรรพากร 3. ระบบ AI ช่วยแนะนำการบันทึกรายการบัญชีที่บันทึกบ่อย ระบบ AI ที่สามารถจดจำรายการบัญชีที่ใช้บ่อย และแนะนำการบันทึกบัญชีแบบอัตโนมัติ จะช่วยลดเวลาในการทำงานและลดข้อผิดพลาดในการป้อนข้อมูล 4. เชื่อมต่อข้อมูลจากภายนอกได้ง่ายด้วย API โปรแกรมควรรองรับการเชื่อมต่อ API เพื่อดึงข้อมูลจากระบบภายนอก เช่น ระบบธนาคาร ระบบ ERP หรือแพลตฟอร์ม E-Commerce เพื่อให้การบันทึกบัญชีและประมวลผลข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วและลดข้อผิดพลาด 5. อัปโหลด/ดาวน์โหลดไฟล์ได้ง่าย โปรแกรมควรรองรับการอัปโหลดและดาวน์โหลดข้อมูล เช่น ไฟล์ Excel, CSV หรือ PDF เพื่อช่วยให้สามารถจัดการข้อมูลได้อย่างยืดหยุ่น และนำข้อมูลไปใช้ในระบบอื่น ๆ ได้สะดวก ประโยชน์ของ “โปรแกรมบัญชี” สำหรับสำนักงานบัญชี การนำโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสมมาใช้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนให้กับสำนักงานบัญชีในหลายด้าน ดังนี้ 1. ประหยัดเวลาและลดข้อผิดพลาด ระบบอัตโนมัติช่วยลดเวลาการทำงานที่ใช้ไปกับงานเอกสาร และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดจากการทำงานด้วยมือ 2. เพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า โปรแกรมบัญชีช่วยให้สำนักงานสามารถส่งมอบงานได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น สร้างความน่าเชื่อถือและพึงพอใจให้กับลูกค้า 3. ช่วยในการวางแผนและตัดสินใจ ด้วยรายงานที่ถูกต้องและครบถ้วน สำนักงานบัญชีสามารถให้คำแนะนำที่มีประสิทธิภาพแก่ลูกค้าในการวางแผนการเงินและตัดสินใจทางธุรกิจ วิธีเลือก “โปรแกรมบัญชี” ที่เหมาะสมสำหรับสำนักงานบัญชี 1. วิเคราะห์ความต้องการของสำนักงานบัญชี พิจารณาว่าสำนักงานบัญชีของคุณมีความต้องการอะไร เช่น การรองรับลูกค้าจำนวนมาก การจัดการงานเอกสาร หรือการทำงานร่วมกันในทีม 2. ทดลองใช้งานก่อนตัดสินใจ หลายโปรแกรมบัญชีมีบริการทดลองใช้งานฟรี ซึ่งช่วยให้คุณสามารถประเมินว่าโปรแกรมนั้นตอบโจทย์ความต้องการของสำนักงานบัญชีหรือไม่ 3. ตรวจสอบบริการหลังการขาย เลือกโปรแกรมบัญชีที่มีทีมสนับสนุนที่พร้อมช่วยเหลือ เช่น การให้คำปรึกษา การอบรม หรือบริการช่วยแก้ไขปัญหา แนะนำโปรแกรมบัญชี PEAK ตัวช่วยที่สำนักงานบัญชีควรเลือกใช้ โปรแกรมบัญชี PEAK รองรับทั้ง 5 คุณสมบัติที่กล่าวมาเบื้องต้น เพื่อตอบโจทย์สำนักงานบัญชีโดยเฉพาะ ด้วยระบบที่ช่วยให้ทำงานสะดวกขึ้น ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพการทำบัญชี ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อข้อมูลอัตโนมัติ ระบบคลาวด์ที่ปลอดภัย รายงานที่อ่านง่าย AI ช่วยบันทึกบัญชี และเครื่องมือจัดการไฟล์ที่ยืดหยุ่น ทุกฟังก์ชันถูกพัฒนาเพื่อช่วยให้นักบัญชีทำงานได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น การเลือก “โปรแกรมบัญชี” ที่เหมาะสมเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จของสำนักงานบัญชี โปรแกรมที่ดีไม่เพียงช่วยลดความซับซ้อนในการทำงาน แต่ยังช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับบริการที่สำนักงานบัญชีมอบให้กับลูกค้า เลือกโปรแกรมที่มีคุณสมบัติตรงกับความต้องการ เช่น โปรแกรมบัญชี PEAK และเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นตั้งแต่วันนี้ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

30 ม.ค. 2025

PEAK Account

21 min

5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ

การทำบัญชีอาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของธุรกิจให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก แต่ความจริงแล้ว ความผิดพลาดทางบัญชีสามารถสร้างปัญหาใหญ่กว่าที่คุณคิด ตั้งแต่กระแสเงินสดที่ไม่สมดุล ไปจนถึงปัญหาภาษีและความน่าเชื่อถือของธุรกิจ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จัก “5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ” เพื่อให้คุณสามารถบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงทางการเงิน และสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน 5 ความผิดพลาดทางบัญชี ที่ ธุรกิจ SMEs มักมองข้าม! ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 1 : การไม่แยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว การบริหารการเงินที่ดีเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในธุรกิจ หนึ่งในหลักการพื้นฐานที่เจ้าของธุรกิจต้องให้ความสำคัญคือ การแยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว อย่างชัดเจน การใช้บัญชีเดียวกันอาจทำให้เกิดความสับสน เสียเวลา และส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจทางการเงินของธุรกิจ ดังนั้นในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจว่าทำไมการแยกบัญชีจึงเป็นเรื่องสำคัญ พร้อมแนวทางปฏิบัติที่คุณสามารถนำไปใช้ได้จริง ทำไมต้องแยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว? 1.1 ช่วยให้บริหารการเงินได้ง่ายขึ้น ลองนึกภาพว่าคุณต้องนั่งไล่ดูรายการเดินบัญชีเพื่อแยกว่าเงินไหนเป็นรายรับธุรกิจ เงินไหนเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว หากคุณใช้บัญชีเดียวกัน คุณอาจต้องเสียเวลานั่งไล่ดูทีละรายการ ซึ่งไม่คุ้มค่าเลย การแยกบัญชีช่วยให้คุณสามารถติดตามรายรับและรายจ่ายของธุรกิจได้อย่างแม่นยำ ลดความยุ่งยากในการทำบัญชี และช่วยให้การทำงบการเงินเป็นไปอย่างถูกต้อง 1.2 ป้องกันความผิดพลาดทางภาษี ช่วงยื่นภาษีทีไรต้องปวดหัว เพราะมีรายการใช้จ่ายที่ปะปนกันจนไม่รู้ว่าอันไหนใช้กับธุรกิจ อันไหนเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าคุณเผลอเอาค่าใช้จ่ายส่วนตัวมาคิดเป็นค่าใช้จ่ายธุรกิจโดยไม่ได้ตั้งใจ อาจทำให้มีปัญหากับกรมสรรพากรได้ หรือในทางตรงกันข้าม หลายครั้งที่นักบัญชีปิดงบปลายปีให้ผู้ประกอบการ และเมื่อเจอรายการเงินออกที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมอะไรของธุรกิจ กลายเป็นว่าค่าใช้จ่ายนั้นก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้าม หรือค่าใช้จ่ายบวกกลับทางภาษีของกิจการไป ทำให้ต้องเสียเงินภาษีเยอะขึ้นโดยไม่จำเป็น แต่ถ้าแยกบัญชีชัดเจน การคำนวณภาษีจะง่ายขึ้นและมีความถูกต้องมากขึ้น 1.3 สร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือให้ธุรกิจ ลองนึกถึงกรณีที่คุณต้องการขอสินเชื่อจากธนาคารหรือดึงดูดนักลงทุน หากบัญชีธุรกิจของคุณปะปนกับบัญชีส่วนตัว ธนาคารอาจมองว่าธุรกิจของคุณไม่มีระบบที่ดีพอ ทำให้โอกาสได้รับอนุมัติน้อยลง การมีบัญชีธุรกิจแยกจากบัญชีส่วนตัวช่วยให้ลูกค้า คู่ค้า และธนาคารมองว่าธุรกิจของคุณเป็นองค์กรที่มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ช่วยเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อ หรือเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น 1.4 ควบคุมกระแสเงินสดได้ดีขึ้น ถ้าใช้บัญชีเดียวกัน บางครั้งคุณอาจเผลอใช้เงินธุรกิจไปกับเรื่องส่วนตัวโดยไม่รู้ตัว เมื่อถึงเวลาต้องจ่ายค่าซัพพลายเออร์หรือพนักงาน อาจเจอปัญหาเงินสดขาดมือ การแยกบัญชีช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของกระแสเงินสดธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น และบริหารเงินได้ดีกว่าเดิม ช่วยทำให้คุณมองเห็น และเข้าใจเงินทุนหมุนเวียนของกิจการได้ดีขึ้น แนวทางปฏิบัติในการแยกบัญชีธุรกิจและบัญชีส่วนตัว 1.1 เปิดบัญชีธุรกิจแยกต่างหาก เริ่มต้นด้วยการเปิดบัญชีธุรกิจโดยเฉพาะ เลือกธนาคารที่ให้บริการด้านบัญชีธุรกิจที่เหมาะสมกับคุณ เช่น มีระบบจ่ายเงินออนไลน์ หรือค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม หรืออย่างน้อยที่สุด คุณสามารถใช้บัญชีธนาคารเพื่อกิจการก็ได้ในชื่อของคุณ เป็นบัญชีบุคคลธรรมดา แต่ที่สำคัญคือคุณต้องแยกบัญชีกัน 1.2 กำหนดเงินเดือนให้ตัวเอง อย่าคิดว่าเงินธุรกิจเป็นของตัวเอง! กำหนดเงินเดือนให้ตัวเองและใช้จ่ายในส่วนที่ได้รับเท่านั้น วิธีนี้ช่วยให้คุณควบคุมการใช้จ่ายส่วนตัวได้ดีขึ้น และป้องกันการนำเงินธุรกิจไปใช้เกินความจำเป็น และเงินเดือนของคุณ ก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทด้วย สามารถช่วยลดภาระภาษีของบริษัทไปได้ แน่นอนว่ามันจะกลายเป็นรายได้บุคคลธรรมดาของคุณ แต่ถ้าคุณจัดการภาษีบุคคลได้ดี คุณจะสามารถนำเงินเดือนเป็นเครื่องนึงในการประหยัดภาษีได้ (หากคุณต้องการจัดการเงินเดือน เราก็มีโปรแกรมที่ช่วยจัดการเงินเดือนให้คุณได้) 1.3 ใช้บัตรเครดิตธุรกิจและบัตรเครดิตส่วนตัวแยกจากกัน เช่นเดียวกับการเปิดบัญชีธนาคารแยก คุณสามารถมีบัตรเครดิตบุคคลในชื่อคุณได้ แต่ใช้เพื่อบริษัทเพียงอย่างเดียว อย่าใช้บัตรใบนั้นไปรูดซื้อของใช้ส่วนตัว เพราะจะทำให้การติดตามค่าใช้จ่ายยุ่งยาก หรือบริษัทของคุณมีความน่าเชื่อถือที่มากพอ คุณสามารถขอเปิดบัตรเครดิตในนามนิติบุคคลได้ โดยติดต่อธนาคารต่างๆ อย่างไรก็ตาม เดี๋ยวนี้ผู้ให้บริการชำระเงินหลายแห่งมีบริการ virtual card เพื่อให้คุณสามารถใช้บัตรเครดิตในบริษัทได้หลากหลายใบ โดยที่สามารถจัดการจากระบบหลังบ้านได้ 1.4 บันทึกและตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินเป็นประจำ อย่าปล่อยให้รายการเดินบัญชีสะสมเป็นเดือนๆ แล้วค่อยมาเช็ก ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะทำงบประมาณ หรือ budget ควรตรวจสอบธุรกรรมเป็นประจำทุกสัปดาห์เพื่อให้แน่ใจว่าเงินเข้า-ออกตรงตามแผน และไม่มีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น 1.5 หลีกเลี่ยงการโอนเงินระหว่างบัญชีโดยไม่จำเป็น หากต้องโอนเงินระหว่างบัญชี ควรมีบันทึกที่ชัดเจน เช่น หากคุณนำเงินส่วนตัวมาใช้ในธุรกิจ ควรลงบัญชีว่าเป็น “เงินกู้” หรือ “จ่ายเพื่ออะไร” เพื่อให้สามารถติดตามได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเดี๋ยวนี้คุณสามารถเพิ่มบันทึกสาเหตุรายการเหล่านั้นเข้าไปได้ในมือถือตอนที่ทำการจ่ายโอนเลย มันง่ายมากๆแล้ว ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 2 : การไม่จัดทำบัญชีอย่างสม่ำเสมอ การทำบัญชีเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะเล็กหรือใหญ่ การบันทึกบัญชีอย่างสม่ำเสมอช่วยให้คุณติดตามสถานะทางการเงินของธุรกิจได้อย่างถูกต้อง แต่หลายคนมักเลื่อนการบันทึกบัญชีออกไปเพราะคิดว่าไม่มีเวลาหรือไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน จนกลายเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบใหญ่กว่าที่คิด! ทำไมการไม่บันทึกบัญชีเป็นประจำถึงเป็นปัญหา? 2.1 ข้อมูลการเงินไม่ถูกต้อง ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด ลองนึกภาพว่าคุณต้องการขยายธุรกิจ แต่เมื่อดูตัวเลขทางบัญชีแล้วกลับพบว่ามีข้อมูลขาดหาย หรือไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าธุรกิจมีกำไรจริงหรือไม่ สิ่งนี้ทำให้คุณตัดสินใจทางการเงินผิดพลาด เช่น ลงทุนเกินตัว หรือคิดว่ามีเงินสดมากพอแต่กลับมีหนี้ที่ไม่ได้บันทึก ในตอนที่ผมทำบัญชีให้กับลูกค้า มีเคสนึงน่าสนใจ ร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่บันทึกบัญชีทุกวัน แต่จดยอดขายเฉพาะวันที่พนักงานมีเวลาว่าง ส่งผลให้เจ้าของเข้าใจผิดว่าธุรกิจมีกำไรดี เพราะไม่ได้บันทึกต้นทุนวัตถุดิบที่ซื้อมา และไม่ได้ตัดเครื่องปรุงเครื่องใช้ออกเลย เจ้าของตัดสินใจขยายพื้นที่ร้านเพิ่ม และสั่งของมาเพิ่มอีก แต่เมื่อถึงเวลาตรวจสอบจริง พบว่ามีค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้ถูกบันทึก มีวัตถุดิบที่หมดอายุเพราะสั่งมาเกิน มีเครื่องปรุงที่หมดไปแล้วมีไม่พอทำให้เสียโอกาสในการขาย ทำให้เงินสดขาดมือและต้องกู้เงินเพิ่มโดยไม่จำเป็น ปัญหาเหล่านี้ เกิดขึ้นจากการที่เจ้าของขาดข้อมูลที่แท้จริงในการตัดสินใจ 2.2 ปัญหาด้านภาษีและค่าปรับที่ไม่คาดคิด หากไม่มีการบันทึกบัญชีอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้คุณพลาดการยื่นภาษีที่ถูกต้อง และอาจต้องเสียค่าปรับจากกรมสรรพากรโดยไม่จำเป็น การไม่มีข้อมูลบัญชีที่ชัดเจนยังทำให้คุณไม่สามารถใช้สิทธิหักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้เต็มที่ 2.3 เสียเวลาและเพิ่มภาระงานตอนท้ายปี การสะสมงานบัญชีไว้จนถึงสิ้นเดือนหรือสิ้นปี ทำให้ต้องเสียเวลามากในการตามหาข้อมูลย้อนหลัง หากคุณปล่อยให้บัญชีไม่อัปเดตเป็นเวลานาน คุณอาจต้องใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ในการจัดการข้อมูลแทนที่จะใช้เวลานั้นในการพัฒนาธุรกิจ ซึ่งเหตุการณ์นี้ผมคิดว่าหลายกิจการก็น่าจะเจอเหมือนกัน ตอนที่ผมทำบัญชีผมเจอบริษัทหลายแห่งเลยที่ไม่ได้บันทึกค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน พอถึงสิ้นปีต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือนๆในการไล่หาบิลและเอกสารบัญชี ทำให้การปิดงบล่าช้าและส่งผลกระทบต่อการยื่นภาษีและโดยค่าปรับยื่นแบบล่าช้าอีก แนวทางปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการบันทึกบัญชีล่าช้า 2.1 กำหนดเวลาในการบันทึกบัญชีเป็นประจำ ตั้งเวลาให้แน่นอน เช่น บันทึกบัญชีทุกวันหรืออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้องและอัปเดตอยู่เสมอ 2.2 ใช้ซอฟต์แวร์บัญชีช่วยจัดการ เลือกใช้ซอฟต์แวร์บัญชีที่ช่วยให้คุณสามารถบันทึกข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและอัตโนมัติ เช่น บันทึกยอดขาย ค่าใช้จ่าย และเงินสดเข้าออกโดยไม่ต้องทำมือทั้งหมด แน่นอนว่าตัวที่เราแนะนำก็คือโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK นี่เอง คุณสามารถทดลองใช้งานได้ฟรี 2.3 มอบหมายหน้าที่ให้พนักงานหรือนักบัญชี หากคุณไม่มีเวลาทำเอง อาจมอบหมายให้พนักงานที่มีความสามารถรับผิดชอบ หรือจ้างนักบัญชีภายนอกเพื่อช่วยดูแลการเงินของธุรกิจ ซึ่งที่ PEAK เองก็มีบริการแนะนำนักบัญชีที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการใช้โปรแกรม PEAK มาช่วยดูแลบัญชีให้คุณ ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 3 : ขาดการวางแผนภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ การวางแผนภาษีเป็นเรื่องที่เจ้าของธุรกิจหลายคนมักมองข้าม หรือเลื่อนออกไปจนถึงช่วงสิ้นปี ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดพลาด เสียโอกาสในการลดภาระภาษี และส่งผลต่อกระแสเงินสดของธุรกิจ การวางแผนภาษีที่ดีควรเริ่มตั้งแต่ต้นปีเพื่อให้สามารถบริหารจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง วิธีหลีกเลี่ยง การศึกษากฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม การเตรียมตัวสำหรับการชำระภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ และการจัดสรรเงินสำรองสำหรับการชำระภาษีจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการชำระภาษีล่าช้าและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น และควรเริ่มเลยตั้งแต่กลางๆปี ไม่ควรรอไปถึงสิ้นปีแล้วค่อยคิด เพราะว่าการดำเนินการต่างๆอาจจะไม่ทันปีภาษีได้ ผมอยากแนะนำให้ลองดูบทความนี้ครับ 6 กลยุทธ์การวางแผนภาษีธุรกิจ SMEs ปี 2568 ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 4 : การไม่ใช้เทคโนโลยีช่วยในงานบัญชี ในยุคดิจิทัล การทำบัญชีด้วยวิธีดั้งเดิม เช่น การใช้สมุดจดหรือ Excel อาจไม่เพียงพอสำหรับการบริหารธุรกิจที่เติบโตขึ้น โปรแกรมบัญชี สามารถช่วยให้เจ้าของธุรกิจบริหารการเงินได้ง่ายขึ้น แม่นยำขึ้น และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำบัญชีด้วยตนเอง ข้อดีของการใช้โปรแกรมบัญชี ✅ ลดข้อผิดพลาดในการคำนวณ – ระบบช่วยให้การบันทึกบัญชีและคำนวณภาษีถูกต้องอัตโนมัติ✅ ประหยัดเวลา – ไม่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงทำบัญชีเอง สามารถโฟกัสกับการบริหารธุรกิจได้เต็มที่ ด้วยเทคโนโลยี API ที่เชื่อมต่อกับระบบต่างๆ ทำให้ข้อมูลไหลไปเป็นอัตโนมัติ✅ ช่วยบริหารกระแสเงินสด – ติดตามรายรับ-รายจ่ายได้แบบเรียลไทม์ ทำให้เห็นภาพรวมการเงินของธุรกิจ✅ พร้อมสำหรับการตรวจสอบภาษี – ข้อมูลบัญชีครบถ้วน ลดความเสี่ยงจากปัญหาภาษีและค่าปรับที่ไม่จำเป็น✅ ใช้งานง่าย – ซอฟต์แวร์บัญชีในปัจจุบันสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ผ่านระบบคลาวด์ ช่วยให้การจัดการบัญชีสะดวกขึ้น ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 5 : การไม่เก็บเอกสารทางการเงินอย่างเป็นระบบ การเก็บรักษาเอกสารทางการเงิน เช่น ใบเสร็จและใบแจ้งหนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น และยังช่วยให้การทำบัญชีและการยื่นภาษีเป็นไปอย่างถูกต้องและง่ายขึ้น ลองทำตามคำแนะนำเหล่านี้เพื่อจัดการเอกสารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ เก็บเอกสารให้เป็นระบบ – แยกประเภทเอกสารเป็นหมวดหมู่ เช่น รายรับ ค่าใช้จ่าย เงินเดือน และภาษี ใช้แฟ้ม หรือโฟลเดอร์ดิจิทัลเพื่อให้ค้นหาได้ง่าย และต้องจัดเก็บไว้ให้ได้ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดด้วย ✅ ใช้ซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันช่วยจัดการ – บันทึกและสแกนใบเสร็จ/ใบแจ้งหนี้เก็บไว้ในระบบออนไลน์ เพื่อลดความเสี่ยงจากเอกสารสูญหาย และสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ โดยที่ PEAK เองเรามีระบบคลังเอกสาร ที่คุณสามารถถ่ายรูปจากมือถือ แล้วเก็บเอกสารเข้าไปในระบบได้เลย ✅ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางบัญชี – หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับการจัดเก็บเอกสารหรือข้อกำหนดทางภาษี ให้ปรึกษานักบัญชีเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง เราสามารถช่วยแนะนำคุณได้ ผมหวังว่าบทความ “5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ” นี้จะช่วยเป็นแนวทางให้เพื่อนๆ ผู้ประกอบการ หลีกเลี่ยงความผิดพลาดได้ และสามารถดำเนินธุรกิจโดยมีพื้นฐานด้านบัญชีที่แข็งแรง เพื่อรองรับการเติบโตของคุณได้ในอนาคตครับ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ คือ ทางเลือกที่จะช่วยให้คุณบริหารธุรกิจได้อย่างมีระบบ ด้วยการใช้งานที่ง่ายและฟีเจอร์ที่ครบครัน โปรแกรมนี้ช่วยให้คุณเห็นกำไร-ขาดทุนแบบ Real-Time และจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่ารอช้าที่จะนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาธุรกิจของคุณให้เติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

24 ม.ค. 2025

PEAK Account

23 min

เคล็ด(ไม่)ลับ เป็นนักบัญชีขั้นเทพกับ 6 ความรู้พื้นฐานบัญชีที่ต้องรู้

นักบัญชีของกิจการเป็นหัวใจหลักในการบริหารงานหลังบ้านให้ราบรื่นไม่แพ้งานหน้าบ้านอย่างการขายสินค้าหรือให้บริการ การมีความรู้และทักษะทางบัญชี ภาษีที่ดีจะช่วยให้นักบัญชีสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้จะพาผู้อ่านทุกท่านไปค้นหาว่าทักษะพื้นฐานใดของนักบัญชีที่มีความจำเป็นต่อสายอาชีพ และทักษะที่ถ้ามีเพิ่มเติมแล้วอาจจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่องค์กรได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีเกณฑ์ในการคัดนักบัญชีที่เหมาะสมได้ มาเริ่มกันเลย 6 ความรู้พื้นฐานที่นักบัญชีต้องรู้ 1. เข้าใจสมการบัญชี พื้นฐานการทำบัญชีเริ่มต้นจากการเข้าใจสมการทางบัญชี เนื่องจากถ้าไม่สามารถอธิบายได้ จะลงบัญชีไม่ถูกต้อง และงบการเงินไม่น่าเชื่อถือ โดยทั่วไปหลักของสมการ คือ ตัวเลขทางด้านซ้ายต้องเท่ากับตัวเลขทางด้านขวา ซึ่งสมการทางบัญชีก็เช่นกัน ดังนี้ สมการบัญชีกำหนดว่าสินทรัพย์จะต้องเท่ากับหนี้สินบวกด้วยทุนเสมอ เช่น กิจการนำเงินสดมาเปิดกิจการ 1,000 บาท สมการบัญชีจะเป็นดังนี้ สินทรัพย์(Assets) = หนี้สิน(Liabilities) + ส่วนของเจ้าของ(Owner’s Equity)1,000(เงินสด) = 0(ไม่มีหนี้) + 1,000(เงินลงทุน) และต่อมากิจการมีการกู้ยืมเงินจากธนาคารจำนวน 500 บาท โดยได้รับเงินเป็นเงินสด สมการบัญชีจะเปลี่ยนไป ดังนี้ สินทรัพย์(Assets) = หนี้สิน(Liabilities) + ส่วนของเจ้าของ(Owner’s Equity)1,500(เงินสด) = 500(เงินกู้) + 1,000(เงินลงทุน) สมการบัญชีเป็นจุดเริ่มต้นของงบการเงินที่ถูกต้อง ถ้านักบัญชีสามารถอธิบายสมการได้ ก็คาดเดาได้ว่าจะบันทึกบัญชี(การบันทึกบัญชีอาจเรียกว่าการเดบิต เครดิตก็ได้)จะถูกต้องในระดับหนึ่งแล้ว 2. เข้าใจเกณฑ์คงค้าง เกณฑ์การจัดทำบัญชีเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ของงบการเงินของนิติบุคคล เช่น ห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือบริษัทจำกัด เพราะถ้าไม่เข้าใจ ผลที่เกิดคือ อาจบันทึกรายได้หรือค่าใช้จ่ายผิดปีได้เลย การทำบัญชีมักจะบันทึกอยู่บนเกณฑ์ยอดนิยม 2 เกณฑ์ คือ เกณฑ์เงินสด (Cash Basis) และเกณฑ์คงค้าง(Accrual Basis) ซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้ เกณฑ์เงินสด (Cash Basis) คือ การบันทึกบัญชีเมื่อได้รับเงินแล้วเท่านั้น ซึ่งในทางบัญชีและภาษีมักใช้เกณฑ์กับการรับรู้รายรับ และรายจ่ายของบุคคลธรรมดา เพราะเข้าใจง่าย ใครๆ ก็ทำได้บนกระดาษ เกณฑ์คงค้าง(Accrual Basis) คือ การบันทึกบัญชีเมื่อธุรกรรมนั้นเกิดขึ้นแล้ว เช่น มีการขายสินค้าหรือให้บริการแล้ว โดยไม่สนใจว่าจะได้รับเงินสดแล้วหรือไม่ ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ใช้ทำบัญชีและยื่นภาษีของนิติบุคคล จึงเป็นเกณฑ์ที่สำคัญมากที่นักบัญชีต้องรู้ ตัวอย่างเช่น กิจการทำธุรกิจขายสบู่ ได้ขายสบู่ให้แก่ลูกค้าในปี 2566 แต่ได้รับชำระเงินในปี 2568 การบันทึกบัญชีของแต่ละเกณฑ์จะเป็นดังนี้ เกณฑ์เงินสด เกณฑ์คงค้าง ปีที่บันทึกบัญชีขายสินค้า – ปี 2566 ปีที่บันทึกบัญชีรับชำระเงิน ปี 2568 ปี 2568 จะเห็นว่าเกณฑ์เงินสดจะบันทึกบัญชีแค่ครั้งเดียว ทำได้ง่าย แต่ไม่ค่อยสะท้อนให้เห็นความเป็นจริงว่ารายได้ที่แท้จริงเกิดขึ้นปีไหน ทั้งๆที่รายได้เกิดในปี 2566 แต่บันทึกในปี 2568 ซึ่งนานถึง 2 ปี มักใช้กับการทำบัญชีของบุคคลธรรมดาเพราะไม่ต้องการข้อมูลที่ละเอียดมาก และง่ายต้องการจัดทำ ส่วนเกณฑ์คงค้างจะบันทึกบัญชีหลายครั้งแต่ช่วยให้เห็นข้อมูลที่ถูกต้องมากขึ้นว่าแท้จริงแล้วรายได้เกิดปี 2566 แต่มารับเงินในปี 2568 จึงเป็นเกณฑ์ที่นำมาใช้ในการบันทึกบัญชีและทำภาษีของนิติบุคคลนั่นเอง 3. แยกระหว่างสินทรัพย์และค่าใช้จ่ายได้ ถ้ากิจการซื้อแก้วน้ำมา 1 ใบ ถือว่าเป็นสินทรัพย์หรือค่าใช้จ่ายของกิจการ? คำตอบ คือ สามารถเป็นได้ทั้ง 2 อย่างขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้แก้วน้ำนั้น โดยหลักการพิจารณาว่าเป็นสินทรัพย์หรือค่าใช้จ่ายนั้นต้องอิงตามหลักการบัญชี คือ การดูว่าสิ่งของนั้นกิจการตั้งใจใช้งานเกินกว่า 1 ปีหรือไม่ ถ้าใช้แล้วหมดไปภายใน 1 ปีจะถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการ แต่ถ้าใช้ได้มากกว่า 1 ปี เช่น 2 ปี จะถือเป็นสินทรัพย์ของกิจการและค่อยๆ ทยอยตัดเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละปี ตัวอย่างเช่น กิจการซื้อแก้วน้ำพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งแบบนี้จะถือเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการ แต่ถ้ากิจการซื้อแก้วน้ำเก็บความเย็นซึ่งสามารถใช้งานได้มากกว่า 1 ปี จะต้องบันทึกเป็นสินทรัพย์และทยอยตัดเป็นค่าใช้จ่ายตามจำนวนปีที่ต้องการใช้งาน การแยกประเภทสินทรัพย์และค่าใช้จ่ายที่ถูกต้องนั้น จะช่วยให้งบการเงินของกิจการสะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น กล่าวคือ ค่าใช้จ่ายไม่สูงเกินไป หรือสินทรัพย์ไม่สูงเกินไป 4. เข้าใจเอกสารค้าขาย เอกสารที่เกิดขึ้นในการค้าขายมีหลายประเภท เช่น ใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี หรือใบเสร็จรับเงิน เป็นต้น การที่เราต้องเข้าใจเอกสารแต่ละประเภทจะช่วยให้เราตัดสินใจว่าสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร  ตัวอย่างเช่น 5. เข้าใจภาษีพื้นฐาน นอกจากเรื่องบัญชีแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่นักบัญชีต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องภาษีธุรกิจ เพราะเมื่อรายการทางบัญชีเกิดขึ้น ภาระทางภาษีมักจะเกิดขึ้นเสมอเหมือนเป็นเงาตามตัวผู้ประกอบการ ทำให้นักบัญชีต้องเข้าใจเรื่องภาษีและวิธียื่นและนำส่งภาษีเพื่อป้องกันค่าปรับจากการปฏิบัติทางภาษีผิดพลาด ตัวอย่างเช่น  6. รู้จักประเภทของเงินได้และความแตกต่างของเงินได้ สรรพากรเรียก “เงินได้” ว่า “รายได้” โดยกำหนดไว้อยู่ 8 ประเภท สาเหตุที่ต้องเข้าใจว่าเงินได้ทั้ง 8 ประเภทนั้น เพราะมีผลต่อการคำนวณภาษีที่ต้องเสีย เช่น การเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายว่าต้องหักกี่ % จะขึ้นอยู่กับประเภทเงินได้  สรุปเงินได้ 8 ประเภท นอกจาก 6 ความรู้พื้นฐานดังกล่าวมาแล้ว การเข้าใจธุรกิจที่เราทำทำบัญชีให้อยู่นั้นก็ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะทำให้นักบัญชีมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น เพราะการเข้าใจบริบทของธุรกิจที่เราทำบัญชีให้ เนื่องจากมีผลต่อการบันทึกบัญชีสูงมาก ค่าใช้จ่ายประเภทเดียวกันแต่อยู่ในแต่ละธุรกิจอาจบันทึกบัญชีไม่เหมือนกัน หรือพูดง่ายๆ คือ คนละขั้วกันนั้นเอง ลองมาดูตัวอย่างข้างล่างกันครับ ตัวอย่างเช่น กิจการซื้อแก้วพลาสติกมา 100 บาท ถ้าเป็นกิจการที่ซื้อมาเพื่อใช้ในออฟฟิศให้ลูกค้ากินแบบนี้จะถือว่าเป็นค่าใช้จ่าย แต่ถ้ากิจการที่ทำธุรกิจขายแก้วพลาสติก การจ่ายเงินนี้ไม่ถือว่าเป็นค่าใช้จ่าย แต่จะถือว่าเป็นสินทรัพย์ ก็คือ “สินค้า” เพราะกิจการซื้อมาเพื่อขายไม่ได้ซื้อมาเพื่อใช้ นี้เป็นเพียงตัวอย่างเดียว จริงๆ รายได้และค่าใช้จ่ายในแต่ละธุรกิจมีบริบทที่แตกต่างกัน การที่เรารับนักบัญชีเก่งๆ มาหนึ่งแม้จะเก่งบัญชีและภาษีมากแค่ไหน แต่ถ้าไม่เข้าใจธุรกิจที่ทำงานให้อยู่จริงๆ โอกาสทำบัญชีผิดพลาดมีสูงมากๆ ครับ การเข้าใจลักษณะและกระบวนการทำงานของธุรกิจที่ตนเองทำบัญชีอยู่จะช่วยให้นักบัญชีสามารถให้คำแนะนำและจัดการทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3 ทักษะด้านอื่นๆ ยิ่งมี ยิ่งดี นอกจากเรื่องบัญชี ภาษี และการเข้าใจธุรกิจเป็นสิ่งที่สำคัญที่บอกได้ว่าใครเป็นนักบัญชีที่เก่งแล้ว ถ้านักบัญชีมีทักษะด้านอื่นๆ เพิ่มเติมจะช่วยยกศักยภาพให้สูงได้ ดังนี้ 1. ทำประมาณการรายได้-ค่าใช้จ่ายได้ ปกตินักบัญชีจะค่อนข้างอยู่กับข้อมูลในอดีต เช่น การบันทึกเอกสารก็เป็นเอกสารที่เกิดขึ้นไปแล้ว และนำมาบันทึกให้ทีหลัง ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้านักบัญชีจะไม่สามารถทำงบประมาณรายรับ-รายจ่ายในอนาคตได้ถนัด เพราะต้องใช้อีกทักษะอื่นๆ และข้อมูลอื่นๆ ในการจัดทำด้วย เช่น อัตราเงินเฟ้อ กระแสเงินสดรับ-จ่ายที่จะเข้ามา แนวโน้มยอดขาย เป็นต้น การทำงบประมาณต้องได้รับความร่วมมือจากหลายแผนกในการให้ข้อมูลและพูดคุย และนำข้อมูลต่างๆ มาจัดทำเป็นงบประมาณเพื่อเป็นเป้าให้แก่ฝ่ายต่างๆในกิจการ ถ้านักบัญชีสามารถมีทักษะนี้ได้ จะช่วยให้เราสามารถนำข้อมูลในอดีตมาวิเคราะห์ และจัดทำประมาณการตัวเลขในอนาคตให้กิจการได้อีกด้วย การจัดทำประมาณการรายได้-ค่าใช้จ่าย มีข้อดีมากมาย เช่น ทำให้ทราบสภาพคล่องที่แท้จริงทางการเงิน ทราบแหล่งที่มาของรายได้อย่างชัดเจน วางแผนประหยัดค่าใช้จ่ายและภาษีเงินได้ รวมถึงเป็นตัวกำหนดตัวชี้วัดผลงาน(KPI) ของแผนกต่างๆได้อีกด้วย 2. เข้าใจบัญชีบริหาร ที่เราพูดถึงเรื่องการบันทึกบัญชีต่างๆ มาเราจะเรียกกันว่า “บัญชีการเงิน” เป็นการบันทึกบัญชีตามสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอนาคต แต่มีอีกศาสตร์หนึ่งที่เรียกว่า “บัญชีบริหาร” คือ การนำข้อมูลทางบัญชีไปใช้ในการตัดสินใจบางอย่าง ตัวอย่างเช่น กิจการพึ่งเปิดธุรกิจมาได้ 1 ปี ที่ผ่านมาต้องเช่าโรงงานของคนอื่นเพื่อผลิตสินค้า อยากถามว่าในปีหน้ากิจการควรเช่าโรงงานต่อ หรือสร้างโรงงานเป็นของตัวเองดี? หรือ กิจการผลิตสินค้าและขายเป็นปกติอยู่แล้วแต่มีกำลังการผลิตเหลือ พอดีมีคนมาเสนอให้ผลิตสินค้าแบรนด์อื่น กิจการควรรับงานนี้หรือไม่? สังเกตว่าคำถามข้างต้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถตอบได้ในทันที และไม่สามารถใช้ข้อมูลในอดีตมาใช้ในการตอบได้อย่างเพียงพอ สิ่งเหล่านี้จะเป็นการประยุกต์ใช้โดยการนำข้อมูลในอดีตผสมกับแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ เช่น ต้นทุนค่าเสียโอกาส เพราะการเลือกทำหรือไม่ทำจะต้องมีต้นทุนค่าเสียโอกาสอยู่เสมอ ถ้านักบัญชีมีทักษะนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กิจการได้มหาศาลเลยครับ 3. วางแผนภาษีได้ บางคนอาจสงสัยว่าการรู้เรื่องภาษีเป็นสิ่งพื้นฐานแล้ว ทำไมในหัวข้อนี้ภาษีจึงเป็นทักษะอื่นๆ นั้นเพราะภาษีที่พูดก่อนหน้านี้เป็นพื้นฐาน เช่น รู้ว่าภาษีแต่ละประเภทคืออะไร เกี่ยวข้องกับกิจการยังไง คำนวณยังไง ใช้แบบภาษีชื่ออะไร และยื่นเมื่อไหร่ มีวัตถุประสงค์เพื่อทำตามที่กฎหมายกำหนดให้ทำทุกเดือนหรือทุกปี แต่การวางแผนภาษีจะเป็นเรื่องของการรวบรวมประสบการณ์และองค์ความรู้ในข้อกฎหมายภาษี (ที่เรียกกันว่า “ประมวลรัษฏากร”) มาใช้ประหยัดภาษีของกิจการ ซึ่งผู้ประกอบการหลายมักคนมักคิดว่านักบัญชีทุกคนต้องรู้เรื่องการวางแผนภาษีเป็นอย่างดี แต่จริงๆ แล้วเรื่องภาษีเป็นเรื่องของกฎหมายล้วนๆ ซึ่งต้องใช้ทั้งประสบการณ์และองค์ความรู้ในระดับหนึ่งเลย ตัวอย่างเช่น ตอนนี้เราได้รู้กันแล้วว่า 6 ความรู้พื้นฐานที่นักบัญชีต้องมี เริ่มตั้งแต่ เข้าใจสมการบัญชี เข้าใจเกณฑ์คงค้าง เข้าใจเอกสารค้าขาย เข้าใจภาษีพื้นฐาน รู้จักประเภทเงินได้ แยกสินทรัพย์กับหนี้สินได้ และสุดท้ายต้องเข้าใจธุรกิจที่ทำบัญชีให้ นอกจากนี้ถ้านักบัญชีมี 3 ทักษะนี้เพิ่มเติมจะช่วยมูลค่าในตัวเองได้มากขึ้น ได้แก่ ทำงบประมาณรายได้ค่าใช้จ่ายได้ เข้าใจบัญชีบริหาร และวางแผนภาษี แต่ขอบอกว่าทักษะอื่นๆ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สามทักษะนี้นะครับ นักบัญชีสามารถเก่งในด้านอื่นๆ ได้เช่นกัน กล่าวคือ เก่งอะไรก็ได้ที่ช่วยให้กิจการดีขึ้นและเติบโตไปพร้อมๆ กับนักบัญชี ท้ายนี้ผมขอบคุณทุกท่านมากๆ ที่ติดตาม 10 กฎพื้นฐานด้านการเงินสำหรับ SMEs ตั้งแต่ EP แรกจนถึงตอนสุดท้ายนี้ หวังเหลือเกินผู้อ่านทุกท่านจะได้ประโยชน์และสาระดีๆ จากบทความของผม เพื่อไปปรับประยุกต์ใช้กับกิจการของท่านครับ โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก