ธุรกิจ

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

6 ก.พ. 2025

PEAK Account

7 min

สำนักงานบัญชี ประหยัดเวลาการทำบัญชีด้วยการใช้ AI

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ การใช้ AI ได้กลายเป็นตัวช่วยสำคัญในการยกระดับการทำงานของสำนักงานบัญชี ทำให้กระบวนการต่างๆ รวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับข้อดีของการใช้ AI ในการทำบัญชีและวิธีการนำมาใช้เพื่อช่วยประหยัดเวลาในงานของคุณ ทำไมการทำบัญชีด้วยการใช้ AI ถึงสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชี? นำ AI มาปรับใช้ในงานของสำนักงานบัญชีได้อย่างไร 1. การบันทึกบัญชีด้วยระบบ AI ระบบบัญชีที่มี AI ช่วยแนะนำ รายการบันทึกบัญชีที่ใช้บ่อย จะช่วยให้นักบัญชีทำงานได้รวดเร็วและสะดวกขึ้น เพราะ AI จะเรียนรู้พฤติกรรมการบันทึกข้อมูลของผู้ใช้งาน และเสนอรายการบัญชีที่เกี่ยวข้องแบบอัตโนมัติ ลดเวลาการค้นหารายการบัญชีที่ซับซ้อนหรือใช้บ่อย ตัวอย่างเช่น ข้อดี 2. การวิเคราะห์งบการเงินและคาดการณ์แนวโน้มธุรกิจ PEAK ใช้ AI วิเคราะห์งบกำไรขาดทุน ช่วยให้นักบัญชีและเจ้าของธุรกิจเห็นภาพรวมผลประกอบการได้ชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมทั้งคาดการณ์แนวโน้มทางการเงินในอนาคต AI จะดึงข้อมูลในระบบมาคำนวณและสรุปเป็นกราฟหรือรายงานแบบเข้าใจง่าย เช่น ข้อดี 3. การตรวจสอบความผิดพลาดในการทำบัญชี AI สามารถ ตรวจสอบความถูกต้องของงบทดลอง (Trial Balance) ได้อัตโนมัติ หากพบข้อผิดพลาดหรือยอดไม่ตรง ระบบจะแสดง สัญลักษณ์ธงสี (Flag) เพื่อแจ้งเตือนผู้ใช้งานทันที เช่น ข้อดี ข้อดีของการทำบัญชีด้วยการใช้ AI ลดต้นทุนการดำเนินงาน ลดเวลาและทรัพยากรที่ใช้ในกระบวนการบัญชี ทำให้สำนักงานบัญชีสามารถลดต้นทุนได้ เพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้า เวลาที่ประหยัดได้จากการใช้ AI สามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์และให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์แก่ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น รองรับการขยายตัวของธุรกิจ สำนักงานบัญชีสามารถรองรับลูกค้าใหม่ได้มากขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มทีมงานหรือทรัพยากรเพิ่มเติม PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยสำนักงานบัญชีและธุรกิจประหยัดเวลาและเพิ่มความแม่นยำด้วยระบบ AI ที่สามารถแนะนำรายการบันทึกบัญชีที่ใช้บ่อยๆได้ เพราะ PEAK ตระหนักเห็นถึงความสำคัญในการนำ AI มาปรับใช้ในสำนักงานบัญชีไม่เพียงช่วยประหยัดเวลา แต่ยังช่วยเพิ่มคุณภาพและความแม่นยำในการทำงาน ช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

5 min

บอจ.5 คืออะไร ธุรกิจประเภทไหนต้องยื่นบ้าง ยื่นได้ตอนไหน

บอจ.5 หรือ บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น เป็นเอกสารสำคัญที่บริษัทจำกัดต้องจัดทำและนำส่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าทุกปี เพื่อแสดงโครงสร้างการถือหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงของบริษัท โดยการยื่น บอจ.5 นั้นจะช่วยแสดงว่าธุรกิจเรามีความโปร่งใสและทำตามกฎหมาย จึงเป็นเอกสารที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญมาก ๆ  บอจ.5 คืออะไร สำคัญอย่างไร บอจ.5 เป็นแบบฟอร์มทางกฎหมายที่ใช้บันทึกและรายงานข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นของบริษัทจำกัด โดยจะแสดงรายละเอียดของผู้ถือหุ้นทั้งหมด จำนวนหุ้นที่ถือ และมูลค่าหุ้น  การยื่น บอจ.5 มีความสำคัญในหลายด้าน ทั้งแสดงว่าธุรกิจเรามีความโปร่งใส ทำตามกฎหมาย และมีความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ บอจ.5 ยังเป็นเอกสารสำคัญที่ใช้อ้างอิงในการทำธุรกรรมต่าง ๆ เช่น การเข้าร่วมประมูลงาน การขอสินเชื่อ หรือการทำสัญญาทางธุรกิจอีกด้วย บอจ.5 จะประกอบด้วย เอกสาร บอจ.5 จะประกอบด้วยข้อมูลสำคัญโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัท ได้แก่ ชื่อ-นามสกุล สัญชาติ และที่อยู่ของผู้ถือหุ้นแต่ละราย จำนวนหุ้นที่ถือครอง เลขที่ใบหุ้น มูลค่าหุ้นที่ชำระแล้ว วันที่จดทะเบียนเป็นผู้ถือหุ้น และการเปลี่ยนแปลงการถือหุ้นในรอบปี นอกจากนี้ บอจ.5 ยังต้องระบุรายละเอียดของบริษัท เช่น ชื่อบริษัท เลขทะเบียนนิติบุคคล ทุนจดทะเบียน และจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทด้วย บอจ.5 ใครต้องยื่นบ้าง ยื่นได้ตอนไหน การยื่น บอจ.5 เป็นหน้าที่ตามกฎหมายของบริษัทจำกัดทุกแห่ง โดยมีกำหนดเวลาและผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน เพื่อให้การรายงานข้อมูลผู้ถือหุ้นถูกต้องและทันเวลา  ใครต้องเป็นคนยื่น กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทจะต้องลงชื่อรับรองความถูกต้องและเป็นผู้ยื่น บอจ.5  โดยการยื่น บอจ.5 สามารถทำได้ทั้งด้วยตัวเองที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือมอบอำนาจให้ผู้อื่นดำเนินการแทนก็ได้ เพียงแต่ผู้ยื่นต้องเตรียมเอกสารประกอบให้ครบถ้วน เช่น แบบ บอจ.5 ที่กรอกข้อมูลครบถ้วน สำเนาบัตรประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจ และหนังสือมอบอำนาจ (กรณีมอบอำนาจ) ต้องยื่นเมื่อไหร่ หากไม่นำส่งจะมีค่าปรับอะไรบ้าง การยื่น บอจ.5 มีกำหนดให้ยื่นภายใน 14 วันนับจากวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี หรือไม่เกินเดือนมกราคมของทุกปี แล้วแต่กรณีไหนจะถึงก่อน หากบริษัทไม่นำส่ง บอจ.5 ตามกำหนด จะมีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท และปรับอีกวันละไม่เกิน 500 บาทจนกว่าจะนำส่งได้ถูกต้อง ซึ่งการนำส่งไม่ตรงเวลาอาจทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือลดลง จนส่งผลต่อการทำธุรกรรมต่าง ๆ ด้วย การจัดทำและยื่น บอจ.5 อย่างถูกต้องและตรงเวลาเป็นหน้าที่สำคัญของบริษัทจำกัด นอกจากจะเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว ยังแสดงถึงความโปร่งใสในการทำธุรกิจ ผู้ประกอบการจึงควรให้ความสำคัญและจัดเตรียมข้อมูลให้พร้อมสำหรับการยื่น บอจ.5 ตามกำหนดเวลา โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

7 min

“โปรแกรมบัญชี” ที่ใช่! ตัวช่วยสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชี

การเลือก “โปรแกรมบัญชี” ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชีที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดข้อผิดพลาด และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ในบทความนี้จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจว่าโปรแกรมบัญชีที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไร และจะช่วยพัฒนาธุรกิจของสำนักงานบัญชีได้อย่างไรบ้าง คุณสมบัติที่สำคัญของ “โปรแกรมบัญชี” สำหรับสำนักงานบัญชี การเลือกโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสมช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถทำงานได้อย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ และลดเวลาในการทำงานประจำ คุณสมบัติเด่นที่ควรพิจารณา ได้แก่ 1. การทำงานแบบ Cloud-Based ระบบ Cloud ช่วยให้การทำงานสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา รองรับการทำงานร่วมกันในทีมแบบเรียลไทม์ และช่วยลดต้นทุนด้านฮาร์ดแวร์ พร้อมทั้งมีระบบสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย 2. การรองรับการจัดทำภาษี โปรแกรมควรมีฟังก์ชันที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดทำเอกสารภาษี เช่น ภ.ง.ด. และ ภ.พ. พร้อมทั้งรองรับการยื่นภาษีออนไลน์ผ่านระบบของกรมสรรพากร 3. ระบบ AI ช่วยแนะนำการบันทึกรายการบัญชีที่บันทึกบ่อย ระบบ AI ที่สามารถจดจำรายการบัญชีที่ใช้บ่อย และแนะนำการบันทึกบัญชีแบบอัตโนมัติ จะช่วยลดเวลาในการทำงานและลดข้อผิดพลาดในการป้อนข้อมูล 4. เชื่อมต่อข้อมูลจากภายนอกได้ง่ายด้วย API โปรแกรมควรรองรับการเชื่อมต่อ API เพื่อดึงข้อมูลจากระบบภายนอก เช่น ระบบธนาคาร ระบบ ERP หรือแพลตฟอร์ม E-Commerce เพื่อให้การบันทึกบัญชีและประมวลผลข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วและลดข้อผิดพลาด 5. อัปโหลด/ดาวน์โหลดไฟล์ได้ง่าย โปรแกรมควรรองรับการอัปโหลดและดาวน์โหลดข้อมูล เช่น ไฟล์ Excel, CSV หรือ PDF เพื่อช่วยให้สามารถจัดการข้อมูลได้อย่างยืดหยุ่น และนำข้อมูลไปใช้ในระบบอื่น ๆ ได้สะดวก ประโยชน์ของ “โปรแกรมบัญชี” สำหรับสำนักงานบัญชี การนำโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสมมาใช้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนให้กับสำนักงานบัญชีในหลายด้าน ดังนี้ 1. ประหยัดเวลาและลดข้อผิดพลาด ระบบอัตโนมัติช่วยลดเวลาการทำงานที่ใช้ไปกับงานเอกสาร และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดจากการทำงานด้วยมือ 2. เพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า โปรแกรมบัญชีช่วยให้สำนักงานสามารถส่งมอบงานได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น สร้างความน่าเชื่อถือและพึงพอใจให้กับลูกค้า 3. ช่วยในการวางแผนและตัดสินใจ ด้วยรายงานที่ถูกต้องและครบถ้วน สำนักงานบัญชีสามารถให้คำแนะนำที่มีประสิทธิภาพแก่ลูกค้าในการวางแผนการเงินและตัดสินใจทางธุรกิจ วิธีเลือก “โปรแกรมบัญชี” ที่เหมาะสมสำหรับสำนักงานบัญชี 1. วิเคราะห์ความต้องการของสำนักงานบัญชี พิจารณาว่าสำนักงานบัญชีของคุณมีความต้องการอะไร เช่น การรองรับลูกค้าจำนวนมาก การจัดการงานเอกสาร หรือการทำงานร่วมกันในทีม 2. ทดลองใช้งานก่อนตัดสินใจ หลายโปรแกรมบัญชีมีบริการทดลองใช้งานฟรี ซึ่งช่วยให้คุณสามารถประเมินว่าโปรแกรมนั้นตอบโจทย์ความต้องการของสำนักงานบัญชีหรือไม่ 3. ตรวจสอบบริการหลังการขาย เลือกโปรแกรมบัญชีที่มีทีมสนับสนุนที่พร้อมช่วยเหลือ เช่น การให้คำปรึกษา การอบรม หรือบริการช่วยแก้ไขปัญหา แนะนำโปรแกรมบัญชี PEAK ตัวช่วยที่สำนักงานบัญชีควรเลือกใช้ โปรแกรมบัญชี PEAK รองรับทั้ง 5 คุณสมบัติที่กล่าวมาเบื้องต้น เพื่อตอบโจทย์สำนักงานบัญชีโดยเฉพาะ ด้วยระบบที่ช่วยให้ทำงานสะดวกขึ้น ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพการทำบัญชี ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อข้อมูลอัตโนมัติ ระบบคลาวด์ที่ปลอดภัย รายงานที่อ่านง่าย AI ช่วยบันทึกบัญชี และเครื่องมือจัดการไฟล์ที่ยืดหยุ่น ทุกฟังก์ชันถูกพัฒนาเพื่อช่วยให้นักบัญชีทำงานได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น การเลือก “โปรแกรมบัญชี” ที่เหมาะสมเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จของสำนักงานบัญชี โปรแกรมที่ดีไม่เพียงช่วยลดความซับซ้อนในการทำงาน แต่ยังช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับบริการที่สำนักงานบัญชีมอบให้กับลูกค้า เลือกโปรแกรมที่มีคุณสมบัติตรงกับความต้องการ เช่น โปรแกรมบัญชี PEAK และเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นตั้งแต่วันนี้ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

30 ม.ค. 2025

PEAK Account

21 min

5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ

การทำบัญชีอาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของธุรกิจให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก แต่ความจริงแล้ว ความผิดพลาดทางบัญชีสามารถสร้างปัญหาใหญ่กว่าที่คุณคิด ตั้งแต่กระแสเงินสดที่ไม่สมดุล ไปจนถึงปัญหาภาษีและความน่าเชื่อถือของธุรกิจ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จัก “5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ” เพื่อให้คุณสามารถบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงทางการเงิน และสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน 5 ความผิดพลาดทางบัญชี ที่ ธุรกิจ SMEs มักมองข้าม! ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 1 : การไม่แยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว การบริหารการเงินที่ดีเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในธุรกิจ หนึ่งในหลักการพื้นฐานที่เจ้าของธุรกิจต้องให้ความสำคัญคือ การแยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว อย่างชัดเจน การใช้บัญชีเดียวกันอาจทำให้เกิดความสับสน เสียเวลา และส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจทางการเงินของธุรกิจ ดังนั้นในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจว่าทำไมการแยกบัญชีจึงเป็นเรื่องสำคัญ พร้อมแนวทางปฏิบัติที่คุณสามารถนำไปใช้ได้จริง ทำไมต้องแยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว? 1.1 ช่วยให้บริหารการเงินได้ง่ายขึ้น ลองนึกภาพว่าคุณต้องนั่งไล่ดูรายการเดินบัญชีเพื่อแยกว่าเงินไหนเป็นรายรับธุรกิจ เงินไหนเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว หากคุณใช้บัญชีเดียวกัน คุณอาจต้องเสียเวลานั่งไล่ดูทีละรายการ ซึ่งไม่คุ้มค่าเลย การแยกบัญชีช่วยให้คุณสามารถติดตามรายรับและรายจ่ายของธุรกิจได้อย่างแม่นยำ ลดความยุ่งยากในการทำบัญชี และช่วยให้การทำงบการเงินเป็นไปอย่างถูกต้อง 1.2 ป้องกันความผิดพลาดทางภาษี ช่วงยื่นภาษีทีไรต้องปวดหัว เพราะมีรายการใช้จ่ายที่ปะปนกันจนไม่รู้ว่าอันไหนใช้กับธุรกิจ อันไหนเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าคุณเผลอเอาค่าใช้จ่ายส่วนตัวมาคิดเป็นค่าใช้จ่ายธุรกิจโดยไม่ได้ตั้งใจ อาจทำให้มีปัญหากับกรมสรรพากรได้ หรือในทางตรงกันข้าม หลายครั้งที่นักบัญชีปิดงบปลายปีให้ผู้ประกอบการ และเมื่อเจอรายการเงินออกที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมอะไรของธุรกิจ กลายเป็นว่าค่าใช้จ่ายนั้นก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้าม หรือค่าใช้จ่ายบวกกลับทางภาษีของกิจการไป ทำให้ต้องเสียเงินภาษีเยอะขึ้นโดยไม่จำเป็น แต่ถ้าแยกบัญชีชัดเจน การคำนวณภาษีจะง่ายขึ้นและมีความถูกต้องมากขึ้น 1.3 สร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือให้ธุรกิจ ลองนึกถึงกรณีที่คุณต้องการขอสินเชื่อจากธนาคารหรือดึงดูดนักลงทุน หากบัญชีธุรกิจของคุณปะปนกับบัญชีส่วนตัว ธนาคารอาจมองว่าธุรกิจของคุณไม่มีระบบที่ดีพอ ทำให้โอกาสได้รับอนุมัติน้อยลง การมีบัญชีธุรกิจแยกจากบัญชีส่วนตัวช่วยให้ลูกค้า คู่ค้า และธนาคารมองว่าธุรกิจของคุณเป็นองค์กรที่มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ช่วยเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อ หรือเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น 1.4 ควบคุมกระแสเงินสดได้ดีขึ้น ถ้าใช้บัญชีเดียวกัน บางครั้งคุณอาจเผลอใช้เงินธุรกิจไปกับเรื่องส่วนตัวโดยไม่รู้ตัว เมื่อถึงเวลาต้องจ่ายค่าซัพพลายเออร์หรือพนักงาน อาจเจอปัญหาเงินสดขาดมือ การแยกบัญชีช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของกระแสเงินสดธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น และบริหารเงินได้ดีกว่าเดิม ช่วยทำให้คุณมองเห็น และเข้าใจเงินทุนหมุนเวียนของกิจการได้ดีขึ้น แนวทางปฏิบัติในการแยกบัญชีธุรกิจและบัญชีส่วนตัว 1.1 เปิดบัญชีธุรกิจแยกต่างหาก เริ่มต้นด้วยการเปิดบัญชีธุรกิจโดยเฉพาะ เลือกธนาคารที่ให้บริการด้านบัญชีธุรกิจที่เหมาะสมกับคุณ เช่น มีระบบจ่ายเงินออนไลน์ หรือค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม หรืออย่างน้อยที่สุด คุณสามารถใช้บัญชีธนาคารเพื่อกิจการก็ได้ในชื่อของคุณ เป็นบัญชีบุคคลธรรมดา แต่ที่สำคัญคือคุณต้องแยกบัญชีกัน 1.2 กำหนดเงินเดือนให้ตัวเอง อย่าคิดว่าเงินธุรกิจเป็นของตัวเอง! กำหนดเงินเดือนให้ตัวเองและใช้จ่ายในส่วนที่ได้รับเท่านั้น วิธีนี้ช่วยให้คุณควบคุมการใช้จ่ายส่วนตัวได้ดีขึ้น และป้องกันการนำเงินธุรกิจไปใช้เกินความจำเป็น และเงินเดือนของคุณ ก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทด้วย สามารถช่วยลดภาระภาษีของบริษัทไปได้ แน่นอนว่ามันจะกลายเป็นรายได้บุคคลธรรมดาของคุณ แต่ถ้าคุณจัดการภาษีบุคคลได้ดี คุณจะสามารถนำเงินเดือนเป็นเครื่องนึงในการประหยัดภาษีได้ (หากคุณต้องการจัดการเงินเดือน เราก็มีโปรแกรมที่ช่วยจัดการเงินเดือนให้คุณได้) 1.3 ใช้บัตรเครดิตธุรกิจและบัตรเครดิตส่วนตัวแยกจากกัน เช่นเดียวกับการเปิดบัญชีธนาคารแยก คุณสามารถมีบัตรเครดิตบุคคลในชื่อคุณได้ แต่ใช้เพื่อบริษัทเพียงอย่างเดียว อย่าใช้บัตรใบนั้นไปรูดซื้อของใช้ส่วนตัว เพราะจะทำให้การติดตามค่าใช้จ่ายยุ่งยาก หรือบริษัทของคุณมีความน่าเชื่อถือที่มากพอ คุณสามารถขอเปิดบัตรเครดิตในนามนิติบุคคลได้ โดยติดต่อธนาคารต่างๆ อย่างไรก็ตาม เดี๋ยวนี้ผู้ให้บริการชำระเงินหลายแห่งมีบริการ virtual card เพื่อให้คุณสามารถใช้บัตรเครดิตในบริษัทได้หลากหลายใบ โดยที่สามารถจัดการจากระบบหลังบ้านได้ 1.4 บันทึกและตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินเป็นประจำ อย่าปล่อยให้รายการเดินบัญชีสะสมเป็นเดือนๆ แล้วค่อยมาเช็ก ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะทำงบประมาณ หรือ budget ควรตรวจสอบธุรกรรมเป็นประจำทุกสัปดาห์เพื่อให้แน่ใจว่าเงินเข้า-ออกตรงตามแผน และไม่มีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น 1.5 หลีกเลี่ยงการโอนเงินระหว่างบัญชีโดยไม่จำเป็น หากต้องโอนเงินระหว่างบัญชี ควรมีบันทึกที่ชัดเจน เช่น หากคุณนำเงินส่วนตัวมาใช้ในธุรกิจ ควรลงบัญชีว่าเป็น “เงินกู้” หรือ “จ่ายเพื่ออะไร” เพื่อให้สามารถติดตามได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเดี๋ยวนี้คุณสามารถเพิ่มบันทึกสาเหตุรายการเหล่านั้นเข้าไปได้ในมือถือตอนที่ทำการจ่ายโอนเลย มันง่ายมากๆแล้ว ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 2 : การไม่จัดทำบัญชีอย่างสม่ำเสมอ การทำบัญชีเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะเล็กหรือใหญ่ การบันทึกบัญชีอย่างสม่ำเสมอช่วยให้คุณติดตามสถานะทางการเงินของธุรกิจได้อย่างถูกต้อง แต่หลายคนมักเลื่อนการบันทึกบัญชีออกไปเพราะคิดว่าไม่มีเวลาหรือไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน จนกลายเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบใหญ่กว่าที่คิด! ทำไมการไม่บันทึกบัญชีเป็นประจำถึงเป็นปัญหา? 2.1 ข้อมูลการเงินไม่ถูกต้อง ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด ลองนึกภาพว่าคุณต้องการขยายธุรกิจ แต่เมื่อดูตัวเลขทางบัญชีแล้วกลับพบว่ามีข้อมูลขาดหาย หรือไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าธุรกิจมีกำไรจริงหรือไม่ สิ่งนี้ทำให้คุณตัดสินใจทางการเงินผิดพลาด เช่น ลงทุนเกินตัว หรือคิดว่ามีเงินสดมากพอแต่กลับมีหนี้ที่ไม่ได้บันทึก ในตอนที่ผมทำบัญชีให้กับลูกค้า มีเคสนึงน่าสนใจ ร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่บันทึกบัญชีทุกวัน แต่จดยอดขายเฉพาะวันที่พนักงานมีเวลาว่าง ส่งผลให้เจ้าของเข้าใจผิดว่าธุรกิจมีกำไรดี เพราะไม่ได้บันทึกต้นทุนวัตถุดิบที่ซื้อมา และไม่ได้ตัดเครื่องปรุงเครื่องใช้ออกเลย เจ้าของตัดสินใจขยายพื้นที่ร้านเพิ่ม และสั่งของมาเพิ่มอีก แต่เมื่อถึงเวลาตรวจสอบจริง พบว่ามีค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้ถูกบันทึก มีวัตถุดิบที่หมดอายุเพราะสั่งมาเกิน มีเครื่องปรุงที่หมดไปแล้วมีไม่พอทำให้เสียโอกาสในการขาย ทำให้เงินสดขาดมือและต้องกู้เงินเพิ่มโดยไม่จำเป็น ปัญหาเหล่านี้ เกิดขึ้นจากการที่เจ้าของขาดข้อมูลที่แท้จริงในการตัดสินใจ 2.2 ปัญหาด้านภาษีและค่าปรับที่ไม่คาดคิด หากไม่มีการบันทึกบัญชีอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้คุณพลาดการยื่นภาษีที่ถูกต้อง และอาจต้องเสียค่าปรับจากกรมสรรพากรโดยไม่จำเป็น การไม่มีข้อมูลบัญชีที่ชัดเจนยังทำให้คุณไม่สามารถใช้สิทธิหักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้เต็มที่ 2.3 เสียเวลาและเพิ่มภาระงานตอนท้ายปี การสะสมงานบัญชีไว้จนถึงสิ้นเดือนหรือสิ้นปี ทำให้ต้องเสียเวลามากในการตามหาข้อมูลย้อนหลัง หากคุณปล่อยให้บัญชีไม่อัปเดตเป็นเวลานาน คุณอาจต้องใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ในการจัดการข้อมูลแทนที่จะใช้เวลานั้นในการพัฒนาธุรกิจ ซึ่งเหตุการณ์นี้ผมคิดว่าหลายกิจการก็น่าจะเจอเหมือนกัน ตอนที่ผมทำบัญชีผมเจอบริษัทหลายแห่งเลยที่ไม่ได้บันทึกค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน พอถึงสิ้นปีต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือนๆในการไล่หาบิลและเอกสารบัญชี ทำให้การปิดงบล่าช้าและส่งผลกระทบต่อการยื่นภาษีและโดยค่าปรับยื่นแบบล่าช้าอีก แนวทางปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการบันทึกบัญชีล่าช้า 2.1 กำหนดเวลาในการบันทึกบัญชีเป็นประจำ ตั้งเวลาให้แน่นอน เช่น บันทึกบัญชีทุกวันหรืออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้องและอัปเดตอยู่เสมอ 2.2 ใช้ซอฟต์แวร์บัญชีช่วยจัดการ เลือกใช้ซอฟต์แวร์บัญชีที่ช่วยให้คุณสามารถบันทึกข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและอัตโนมัติ เช่น บันทึกยอดขาย ค่าใช้จ่าย และเงินสดเข้าออกโดยไม่ต้องทำมือทั้งหมด แน่นอนว่าตัวที่เราแนะนำก็คือโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK นี่เอง คุณสามารถทดลองใช้งานได้ฟรี 2.3 มอบหมายหน้าที่ให้พนักงานหรือนักบัญชี หากคุณไม่มีเวลาทำเอง อาจมอบหมายให้พนักงานที่มีความสามารถรับผิดชอบ หรือจ้างนักบัญชีภายนอกเพื่อช่วยดูแลการเงินของธุรกิจ ซึ่งที่ PEAK เองก็มีบริการแนะนำนักบัญชีที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการใช้โปรแกรม PEAK มาช่วยดูแลบัญชีให้คุณ ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 3 : ขาดการวางแผนภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ การวางแผนภาษีเป็นเรื่องที่เจ้าของธุรกิจหลายคนมักมองข้าม หรือเลื่อนออกไปจนถึงช่วงสิ้นปี ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดพลาด เสียโอกาสในการลดภาระภาษี และส่งผลต่อกระแสเงินสดของธุรกิจ การวางแผนภาษีที่ดีควรเริ่มตั้งแต่ต้นปีเพื่อให้สามารถบริหารจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง วิธีหลีกเลี่ยง การศึกษากฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม การเตรียมตัวสำหรับการชำระภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ และการจัดสรรเงินสำรองสำหรับการชำระภาษีจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการชำระภาษีล่าช้าและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น และควรเริ่มเลยตั้งแต่กลางๆปี ไม่ควรรอไปถึงสิ้นปีแล้วค่อยคิด เพราะว่าการดำเนินการต่างๆอาจจะไม่ทันปีภาษีได้ ผมอยากแนะนำให้ลองดูบทความนี้ครับ 6 กลยุทธ์การวางแผนภาษีธุรกิจ SMEs ปี 2568 ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 4 : การไม่ใช้เทคโนโลยีช่วยในงานบัญชี ในยุคดิจิทัล การทำบัญชีด้วยวิธีดั้งเดิม เช่น การใช้สมุดจดหรือ Excel อาจไม่เพียงพอสำหรับการบริหารธุรกิจที่เติบโตขึ้น โปรแกรมบัญชี สามารถช่วยให้เจ้าของธุรกิจบริหารการเงินได้ง่ายขึ้น แม่นยำขึ้น และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำบัญชีด้วยตนเอง ข้อดีของการใช้โปรแกรมบัญชี ✅ ลดข้อผิดพลาดในการคำนวณ – ระบบช่วยให้การบันทึกบัญชีและคำนวณภาษีถูกต้องอัตโนมัติ✅ ประหยัดเวลา – ไม่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงทำบัญชีเอง สามารถโฟกัสกับการบริหารธุรกิจได้เต็มที่ ด้วยเทคโนโลยี API ที่เชื่อมต่อกับระบบต่างๆ ทำให้ข้อมูลไหลไปเป็นอัตโนมัติ✅ ช่วยบริหารกระแสเงินสด – ติดตามรายรับ-รายจ่ายได้แบบเรียลไทม์ ทำให้เห็นภาพรวมการเงินของธุรกิจ✅ พร้อมสำหรับการตรวจสอบภาษี – ข้อมูลบัญชีครบถ้วน ลดความเสี่ยงจากปัญหาภาษีและค่าปรับที่ไม่จำเป็น✅ ใช้งานง่าย – ซอฟต์แวร์บัญชีในปัจจุบันสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ผ่านระบบคลาวด์ ช่วยให้การจัดการบัญชีสะดวกขึ้น ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 5 : การไม่เก็บเอกสารทางการเงินอย่างเป็นระบบ การเก็บรักษาเอกสารทางการเงิน เช่น ใบเสร็จและใบแจ้งหนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น และยังช่วยให้การทำบัญชีและการยื่นภาษีเป็นไปอย่างถูกต้องและง่ายขึ้น ลองทำตามคำแนะนำเหล่านี้เพื่อจัดการเอกสารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ เก็บเอกสารให้เป็นระบบ – แยกประเภทเอกสารเป็นหมวดหมู่ เช่น รายรับ ค่าใช้จ่าย เงินเดือน และภาษี ใช้แฟ้ม หรือโฟลเดอร์ดิจิทัลเพื่อให้ค้นหาได้ง่าย และต้องจัดเก็บไว้ให้ได้ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดด้วย ✅ ใช้ซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันช่วยจัดการ – บันทึกและสแกนใบเสร็จ/ใบแจ้งหนี้เก็บไว้ในระบบออนไลน์ เพื่อลดความเสี่ยงจากเอกสารสูญหาย และสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ โดยที่ PEAK เองเรามีระบบคลังเอกสาร ที่คุณสามารถถ่ายรูปจากมือถือ แล้วเก็บเอกสารเข้าไปในระบบได้เลย ✅ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางบัญชี – หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับการจัดเก็บเอกสารหรือข้อกำหนดทางภาษี ให้ปรึกษานักบัญชีเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง เราสามารถช่วยแนะนำคุณได้ ผมหวังว่าบทความ “5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ” นี้จะช่วยเป็นแนวทางให้เพื่อนๆ ผู้ประกอบการ หลีกเลี่ยงความผิดพลาดได้ และสามารถดำเนินธุรกิจโดยมีพื้นฐานด้านบัญชีที่แข็งแรง เพื่อรองรับการเติบโตของคุณได้ในอนาคตครับ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ คือ ทางเลือกที่จะช่วยให้คุณบริหารธุรกิจได้อย่างมีระบบ ด้วยการใช้งานที่ง่ายและฟีเจอร์ที่ครบครัน โปรแกรมนี้ช่วยให้คุณเห็นกำไร-ขาดทุนแบบ Real-Time และจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่ารอช้าที่จะนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาธุรกิจของคุณให้เติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

10 ม.ค. 2025

PEAK Account

7 min

ร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt เตรียมความพร้อมอย่างไรดี

ในยุคดิจิทัลที่ธุรกิจต้องปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีและความต้องการของลูกค้า โครงการ Easy E-Receipt 2.0 หรือที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อ ช้อปดีมีคืน ที่จัดขึ้นโดยกรมสรรพากร เป็นโอกาสสำคัญที่ร้านค้าไม่ควรพลาด โดยเฉพาะร้านค้าที่ต้องการเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับรายละเอียดโครงการและการเตรียมความพร้อมสำหรับร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt 2.0 คืออะไร? โครงการ Easy E-Receipt 2.0 เป็นโครงการที่กรมสรรพากรจัดขึ้นเพื่อสนับสนุนให้ร้านค้าหันมาใช้ระบบ e-Tax Invoice และ e-Receipt แทนการออกใบกำกับภาษีและใบเสร็จรับเงินในรูปแบบกระดาษ ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงวันที่ 16 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ นอกจากนี้ การเข้าร่วมโครงการยังช่วยให้ร้านค้าสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มองหาธุรกิจที่มีความโปร่งใส เช็กความพร้อมร้านค้า ก่อนเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ร้านค้าแบบใดที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้? อย่างไรก็ตามยังมีร้านที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : สินค้าและบริการที่ไม่เข้าร่วม “Easy E-Receipt 2.0 PEAK ตัวช่วยออกเอกสาร e-Tax Invoice & e-Receipt ของคุณ PEAK เป็นโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่รองรับการออก e-Tax Invoice & e-Receipt อย่างเต็มรูปแบบ โดยได้รับการรับรองจากกรมสรรพากร จุดเด่นของ PEAK คือการช่วยให้ร้านค้าจัดการเอกสารทางบัญชีได้สะดวกและรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง e-Tax Invoice การส่งเอกสารถึงลูกค้า หรือการบันทึกข้อมูลลงในระบบบัญชีโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ PEAK ยังมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนส่งไปยังกรมสรรพากร ทำให้คุณมั่นใจได้ในทุกขั้นตอน การเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ แต่ยังช่วยสร้างโอกาสในการกระตุ้นยอดขายให้ร้านค้า หากคุณต้องการให้ธุรกิจของคุณเติบโตในยุคดิจิทัล การเตรียมตัวเข้าร่วมโครงการนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม PEAK พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาธุรกิจของคุณ สมัครใช้งานโปรแกรมบัญชีออนไลน์วันนี้ เพื่อก้าวเข้าสู่ความสำเร็จในยุคดิจิทัล! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

KPI คืออะไร วิธีวัดผลและความสำคัญต่อองค์กร

Key Performance Indicators คือ เครื่องมือในการวัดผลธุรกิจที่ดีที่องค์กรนิยมใช้โดยเฉพาะในยุคที่มีการแข่งขันทางธุรกิจสูง เพราะสามารถช่วยให้องค์กรสามารถติดตามและประเมินความสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่ง KPI จะมีการวัดผลอย่างไร ทำไมสำคัญกับองค์กรไปดูกัน KPI หรือ Key Performance Indicators คืออะไร KPI หรือ Key Performance Indicators คือ เป็นวิธีวัดผลการทำธุรกิจในด้านต่าง ๆ ขององค์กร ด้วยการดูว่าผลตรงกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ไหม ทำให้องค์กรสามารถติดตามความก้าวหน้า ประเมินประสิทธิภาพ และปรับปรุงการทำธุรกิจได้ดีมากขึ้น โดยแต่ละตัวอักษรมีความหมาย ดังนี้  ประเภทการวัดผล KPI การวัดผลการปฏิบัติงานจะขึ้นอยู่กับลักษณะของงานและเป้าหมายที่ต้องการวัด โดยตัวชี้วัด KPI แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ การวัดผลทางตรงและการวัดผลทางอ้อม การวัดผลทางตรง การวัดผลทางตรงเป็นการประเมินผลงานที่สามารถวัดเป็นตัวเลขได้ชัดเจน ไม่ต้องตีความหรือแปลผล เช่น ยอดขาย จำนวนชิ้นงานที่ผลิตได้ อัตราของเสีย หรือจำนวนลูกค้าใหม่ ข้อดีของการวัดผลแบบนี้คือเราสามารถตรวจสอบได้และมีหลักฐานอ้างอิงชัดเจน ทำให้การประเมินผลมีความโปร่งใส การวัดผลทางอ้อม การวัดผลทางอ้อมเป็นการประเมินผลงานที่ไม่สามารถวัดเป็นตัวเลขได้โดยตรง ต้องอาศัยการสังเกต การประเมิน หรือการสำรวจความคิดเห็น เช่น การให้บริการ ความประทับใจของลูกค้า หรือการมีผู้นำ การวัดผลประเภทนี้อาจมีความคลาดเคลื่อนได้ เนื่องจากขึ้นอยู่กับมุมมองและการตีความของผู้ประเมิน ความสำคัญต่อองค์กร KPI มีความสำคัญต่อองค์กรในหลายด้าน สามารถช่วยให้องค์กรรู้ความคืบหน้าในการทำงานของพนักงานและประเมินความสำเร็จได้อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ ยังใช้ประเมินผลงานของพนักงาน การพิจารณาผลตอบแทน และการวางแผนพัฒนาบุคลากร รวมถึงช่วยในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์และการจัดสรรทรัพยากรขององค์กร ใช้หลักการ SMART ในการตั้ง KPI หลักการ SMART เป็นแนวทางมาตรฐานในการกำหนด key performance indicators เป็นการสร้างตัวชี้วัดที่มีประสิทธิภาพ มาดูรายละเอียดแต่ละองค์ประกอบ ตัวอย่างการตั้ง KPI ในองค์กร การกำหนด key performance indicators เป็นการสร้างมาตรฐานการวัดผลที่ตรงตามเป้าหมายขององค์กร มาดูตัวอย่างการตั้ง KPI ในแต่ละแผนก  ฝ่ายขายและการตลาด ฝ่ายผลิต ฝ่ายบุคคล ข้อควรระวังในการใช้ KPI การกำหนดและใช้ KPI (Key Performance Indicators) เป็นการวัดผลความสำเร็จขององค์กรหรือโครงการ แต่หากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง อาจเกิดการตีความที่ผิดพลาด หรือการสร้างผลกระทบเชิงลบต่อการทำงานโดยรวม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเข้าใจถึงข้อควรระวังต่าง ๆ เพื่อให้การใช้ KPI สอดคล้องกับเป้าหมายที่แท้จริง และช่วยพัฒนาองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ประโยชน์ของการใช้ KPI ที่ดี KPI (Key Performance Indicators) เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยให้องค์กรรู้ความคืบหน้าของการทำธุรกิจว่าได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใจไหม การใช้ KPI ที่ออกแบบมาอย่างเหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยวัดผลสำเร็จ แต่ยังสร้างแรงจูงใจให้ทีมงานพัฒนาการทำงานได้ดียิ่งขึ้น การเข้าใจถึงประโยชน์ของการใช้ KPI จะช่วยเพิ่มโอกาสในการบริหารจัดการและพัฒนาองค์กรในระยะยาว การใช้ KPI จะช่วยให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน แต่ต้องระวังความเหมาะสมและความเป็นกลางในการประเมินผล เพื่อคนในองค์กรอยากพัฒนาเปลี่ยนแปลงการทำงานจริง ๆ ซึ่ง Key Performance Indicators คือ เครื่องมือที่จะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จได้ หากใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการยื่นประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่สำหรับนายจ้าง

การจ้างงานพนักงานใหม่นั้นนายจ้างมีหน้าที่สำคัญในการดูแลสวัสดิการพื้นฐาน โดยเฉพาะการขึ้นทะเบียนประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย การจัดการประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่อย่างรวดเร็วและถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยให้พนักงานได้รับสิทธิประโยชน์ที่ควรได้รับ แต่ยังช่วยให้องค์กรหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งนายจ้างต้องทำอะไรบ้างไปดูกัน  ทำไมเจ้าของธุรกิจต้องประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ให้พนักงาน การขึ้นทะเบียนประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่เป็นหน้าที่สำคัญที่นายจ้างต้องดำเนินการ ไม่เพียงเพราะเป็นข้อกำหนดทางกฎหมาย แต่ยังส่งผลดีต่อทั้งองค์กรและพนักงาน มาดูเหตุผลสำคัญที่นายจ้างควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ กฎหมายกำหนด พระราชบัญญัติประกันสังคมกำหนดให้นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ต้องขึ้นทะเบียนประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ภายใน 30 วันนับจากวันที่เริ่มจ้างงาน หากไม่ดำเนินการจะมีโทษปรับสูงสุด 20,000 บาท นอกจากนี้ ยังต้องจ่ายเงินสมทบย้อนหลังพร้อมเงินเพิ่ม 2% ต่อเดือนของเงินสมทบที่ต้องจ่าย ซึ่งถ้าบริษัททำตามกฎหมายนี้ก็จะช่วยป้องกันปัญหาและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น พนักงานได้ประโยชน์ทำให้อยู่กับบริษัทได้นาน การขึ้นทะเบียนประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่อย่างรวดเร็วช่วยให้พนักงานได้รับสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมทั้งค่ารักษาพยาบาล เงินทดแทนการขาดรายได้ สิทธิประโยชน์กรณีคลอดบุตร ทุพพลภาพ และเสียชีวิต ทำให้พนักงานรู้สึกมั่นคงในการทำงาน มีหลักประกันชีวิตที่ดี ส่งผลให้เกิดความผูกพันกับองค์กรจึงมีโอกาสทำงานกับบริษัทได้ยาวนานขึ้น สร้างภาพลักษณ์ที่ดี องค์กรที่ดูแลสวัสดิการพนักงานอย่างดี โดยเฉพาะการจัดการประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่อย่างรวดเร็วและถูกต้อง จะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในฐานะนายจ้างที่มีความรับผิดชอบ ช่วยดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพให้เข้ามาร่วมงาน และสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาของลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ วิธีการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม การคำนวณเงินสมทบประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่คำนวณจากฐานค่าจ้าง โดยทั้งนายจ้างและลูกจ้างต้องจ่ายในอัตราเท่ากันคือ 5% ของค่าจ้าง ซึ่งมีฐานค่าจ้างขั้นต่ำ 1,650 บาท และสูงสุด 15,000 บาท ต่อเดือน หากค่าจ้างต่ำกว่า 1,650 บาท ให้คำนวณจาก 1,650 บาท และหากสูงกว่า 15,000 บาท ให้คำนวณจาก 15,000 บาท ตัวอย่าง กรณีพนักงานเข้าใหม่มีเงินเดือน 20,000 บาท การคำนวณจะใช้ฐานสูงสุดที่ 15,000 บาท เอกสารจำเป็นระหว่างการยื่นประกันสังคมออนไลน์ ในการยื่นประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ผ่านระบบออนไลน์ ต้องเตรียมเอกสารให้พร้อมและครบถ้วน เพื่อให้การยื่นประกันสังคมออนไลน์เร็วและไม่มีปัญหา โดยเอกสารที่จำเป็นต้องใช้มี ดังนี้  ขั้นตอนการยื่นประกันสังคมพนักงานใหม่ การยื่นประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ผ่านระบบออนไลน์มีขั้นตอนที่ชัดเจนและไม่ซับซ้อน แต่ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันข้อผิดพลาด โดยมีขั้นตอนในการยื่น ดังนี้  การจัดการประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกองค์กร นอกจากจะช่วยให้พนักงานได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายแล้ว ยังช่วยให้องค์กรหลีกเลี่ยงปัญหาและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งการใช้ระบบบริหารจัดการพนักงานที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยให้กระบวนการนี้ง่ายและรวดเร็วขึ้น โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

7 min

อากรแสตมป์คืออะไร พร้อมรวมทุกเรื่องสำคัญที่ต้องรู้

อากรแสตมป์เป็นภาษีรูปแบบหนึ่งที่จัดเก็บภาษีจากการทำตราสารหรือเอกสารต่าง ๆ ทางกฎหมายในประเทศไทย ซึ่งมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแสตมป์ทั่วไปที่ใช้ในการส่งจดหมาย แต่ในความเป็นจริงอากรแสตมป์มีความสำคัญในด้านกฎหมายและธุรกรรมทางการเงิน การเข้าใจว่าอากรแสตมป์ใช้ทำอะไรได้บ้าง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรเรียนรู้ โดยเฉพาะผู้ที่มีกิจการเป็นของตัวเอง อากรแสตมป์ คืออะไร อากรแสตมป์ คือ ภาษีตามประมวลรัษฎากรรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจะจัดเก็บในลักษณะของดวงแสตมป์ที่ใช้สำหรับเอกสารราชการและสัญญาต่าง ๆ เช่น สัญญาซื้อขาย ใบมอบอำนาจ โดยอากรบนเอกสารเหล่านี้เป็นการแสดงว่าภาษีได้ถูกชำระเรียบร้อยแล้ว และเอกสารนั้นได้รับการรับรองตามกฎหมาย สามารถช่วยป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี แถมยังช่วยรับรองความถูกต้องของเอกสารทางกฎหมายอีกด้วย อากรแสตมป์ ไม่ใช่แสตมป์ปกติ หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าอากรแสตมป์เป็นแสตมป์ที่ใช้ในการส่งจดหมายหรือไปรษณีย์ แต่ความจริงแล้วอากรแสตมป์กับแสตมป์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยแสตมป์ หรือ ตราไปรษณียากร มีลักษณะเป็นกระดาษรูปสี่เหลี่ยม โดยจะนำไปใช้ติดบนซองจดหมายเพื่อใช้เป็นหลักฐานว่าได้ชำระค่าบริการส่งไปรษณีย์แล้ว ซึ่งจะมีแสตมป์ทั่วไปกับแสตมป์ที่ระลึกที่มีการออกแบบเนื่องในโอกาสพิเศษ เช่น วันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์ เป็นต้น รูปแบบของอากรแสตมป์ เอกสารที่ต้องเสียค่าอากรแสตมป์มีอะไรบ้าง การทำตราสารหรือเอกสารบางประเภทในประเทศไทยต้องมีการประทับตราอากรแสตมป์เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเอกสารที่ต้องจ่ายค่าอากรแสตมป์ เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่าที่ดิน สัญญาจำนอง สัญญาร่วมลงทุน สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ สัญญาจ้างทำของ สัญญากู้ยืมเงิน สัญญาค้ำประกัน และเอกสารอื่น ๆ ที่มีผลทางกฎหมาย  วิธีการเสียค่าอากรแสตมป์ ข้อควรรู้เกี่ยวกับอากรแสตมป์ สรุปบทความ อากรแสตมป์เป็นส่วนสำคัญในการทำตราสารและเอกสารทางกฎหมายในประเทศไทย ความเข้าใจในเรื่องอากรแสตมป์และการใช้แสตมป์อากรอย่างถูกต้อง เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการทำธุรกรรมทางการเงินหรือจัดการกับเอกสารสำคัญ โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจมือใหม่ที่ต้องเรียนรู้เรื่องบัญชี การเงิน และภาษีเพื่อความโปร่งใสในการดำเนินกิจการ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเหล่านักลงทุน PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

อยากขายของใน Shopee ต้องเริ่มต้นอย่างไร

การขายของใน Shopee กลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ การขายของในช้อปปี้เป็นแพลตฟอร์มนี้มีผู้ใช้งานจำนวนมากและมีระบบที่ใช้งานง่าย สำหรับผู้ที่สนใจแต่ยังไม่รู้วิธีขายของใน shopee ว่าควรจะเริ่มอย่างไรดี ทำอย่างไรได้บ้าง และเสียค่าใช้จ่ายไหม วันนี้เรามีวิธีการขายของใน Shopee ตั้งแต่วิธีการสมัครขายของใน Shopee และรายละเอียดเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมต่าง ๆ มาฝากทุกคนกันให้สามารถวางแผนการขายของได้ตามเป้าหมายกัน จะเริ่มสมัครขายของใน Shopee อย่างไร การสมัครขายของใน Shopee ทำได้ง่าย ๆ เพียงใช้โทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ก็สามารถสมัครขายของใน Shopee ได้ทันที โดยสามารถเริ่มต้นสมัครขายของใน Shopee ได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ 1. สร้างบัญชี Shopee ผ่านแอปพลิเคชัน 2. สร้างบัญชี Shopee ผ่านคอมพิวเตอร์ สมัครขายของใน Shopee เสียค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง การขายของใน Shopee ไม่มีค่าใช้จ่าย ฟรีค่าแรกเข้า แต่ยังมีค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ผู้ขายควรทราบเพื่อการวางแผนต้นทุนอย่างถูกต้อง ดังนี้ 1. ค่าธรรมเนียมจากการขาย ใน shopee  ค่าธรรมเนียมจากการขายเป็นส่วนที่ Shopee เรียกเก็บเมื่อมีการขายสินค้าสำเร็จ โดยทั่วไปแล้ว Shopee จะคิดค่าธรรมเนียมนี้เป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาสินค้าที่ขายได้ ซึ่งอัตราค่าธรรมเนียมอาจแตกต่างกันไปตามหมวดหมู่ของสินค้าและโปรโมชั่น ซึ่งในสินค้าหมวดหมู่อิเล็กทรอนิกส์ จะคิดที่ 3% ส่วนหมวดหมู่อื่น ๆ จะคิดที่ 5% (โดยไม่รวมค่าขนส่งและส่วนลดอื่น ๆ ) 2. ค่าธรรมเนียมชำระเงินแบบปลายทาง การชำระเงินแบบปลายทางหรือ COD (Cash on Delivery) การชำระเงินวิธีนี้ผู้ขายจะมีค่าธรรมเนียมชำระเงินปลายทางที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม COD เป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขายที่ชำระผ่านวิธีนี้ โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมชำระปลายทาง ที่ 2% จากผู้ขาย (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 3. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านบัญชีธนาคาร สำหรับการชำระเงินผ่านบัญชีธนาคาร ทั้งการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร หรือ Mobile Banking ผู้ขายต้องเสียค่าธรรมเนียม 2% เปอร์เซ็นต์ของยอดเงินที่ทำธุรกรรม (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 4. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต การชำระเงินผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตเป็นอีกวิธีที่สะดวกสบายสำหรับผู้ซื้อ แต่สำหรับผู้ขายต้องถูกหักค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดเงินที่ทำธุรกรรม โดยจะหัก 2% เมื่อผู้ซื้อชำระค่าสินค้าแล้ว (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 5. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่าน AirPay Wallet การชำระเงิน AirPay Wallet ใน Shopee เป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมอย่างมาก สำหรับผู้ขายการรับชำระเงินผ่าน AirPay Wallet จะมีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม 2% ของยอดทั้งหมด (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 6. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต แบบผ่อนชำระ การจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตแบบผ่อนชำระ โดยเฉพาะในสินค้าที่มีราคาสูงจะช่วยให้ผู้ซื้อตัดสินใจได้ง่ายขึ้น สำหรับผู้ขายการให้บริการผ่อนชำระนี้จะมีค่าธรรมเนียม 5% โดย 2% มาจากการทำธุรกรรมผ่านบัตรส่วน 3% มาจากการเลือกผ่อนชำระ (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 7. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่าน SpayLater SpayLater เป็นบริการชำระเงินแบบผ่อนชำระที่มอบความยืดหยุ่นแก่ผู้ซื้อ ทำการชำระเงินในภายหลัง สำหรับผู้ขาย การรับชำระเงินผ่าน SpayLater สำหรับผู้ขายจะมีค่าธรรมเนียม 2% ไม่ว่าจะชำระผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันก็ตาม (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) สรุปบทความ สำหรับผู้ที่อยากเริ่มเส้นทางธุรกิจออนไลน์การขายของใน Shopee ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีมาก ๆ โดยสามารถสมัครขายของใน Shopee ได้ง่าย ๆ ทั้งผ่านแอปพลิเคชันและคอมพิวเตอร์เลย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดการขายของในช้อปปี้ มีค่าธรรมเนียมต่าง ๆ แฝงอยู่ เราจะต้องมีการทำบัญชีอย่างรอบคอบเพื่อคำนวณความคุ้มค่าของต้นทุนและการคิดโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ มีบริการเชื่อมต่อ API กับพันธมิตรแพลตฟอร์ม FASTSHIP (แพลตฟอร์มขนส่งสินค้าและพัสดุ), TORYORDONLINE (แพลตฟอร์มค้าส่งออนไลน์), CLOUDCOMMERCE (แพลตฟอร์มเพื่อธุรกิจ e-Commerceครบวงจร), SELLSUKI (แพลตฟอร์ม e-Commerce Solution สำหรับธุรกิจออนไลน์) เป็นต้น ช่วยให้นักบัญชีทำงานได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น การบันทึกบัญชีเป็นอัตโนมัติมีความรวดเร็ว และถูกต้อง ครบถ้วน ไม่ต้องรอรับเอกสารแล้วค่อยบันทึกบัญชี  ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

สินเชื่อ OD คืออะไร เรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการ SME ต้องรู้

สินเชื่อ OD คือ สินเชื่อประเภทหนึ่งที่ธนาคารให้บริการแก่ผู้ประกอบการ SME เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงิน หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักในชื่อ “เงินหมุน” โดยเฉพาะในช่วงที่ธุรกิจต้องการเงินสดอย่างเร่งด่วน แต่ไม่ต้องการกู้ยืมเงินเป็นเงินก้อนใหญ่ สินเชื่อ OD คือ สินเชื่อที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถเบิกเงินจากบัญชีเงินฝากเกินกว่ายอดเงินที่มีอยู่ ได้ตามวงเงินที่ได้รับอนุมัติ โดยธนาคารจะคิดดอกเบี้ยเฉพาะในส่วนที่เบิกเกิน ซึ่งทำให้สินเชื่อ OD คือตัวเลือกที่ยืดหยุ่นและเหมาะสมสำหรับธุรกิจที่ต้องการเงินทุนสำหรับหมุนเวียนในระยะสั้น สินเชื่อ OD (Overdraft) คืออะไร? สินเชื่อ OD หรือ เงิน OD คือ การให้กู้เงินในรูปแบบของ “เงินหมุน” โดยที่ธนาคารผู้ให้กู้นั้นจะตั้งวงเงินไว้ในบัญชีกระแสรายวัน (Current Account) ที่บริษัทได้เปิดไว้กับธนาคารตั้งแต่ต้น โดยสามารถเบิกใช้เงินกู้นี้ได้ตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งเอาไว้กับธนาคารได้เลย ทั้งยังสามารถทยอยเบิกใช้ในยามที่จำเป็นได้ โดยไม่จำเป็นต้องเบิกภายในครั้งเดียวทั้งจำนวน แต่มีข้อแม้ว่าต้องไม่เบิกใช้เกินวงเงินที่ทางธนาคารกำหนดไว้ ซึ่งเงื่อนไขการผ่อนชำระนั้นจะเป็นไปที่กำหนดเอาไว้ในสัญญาสินเชื่อ มีการคำนวณดอกเบี้ยเป็นรายวัน ตามจำนวนที่ไปใช้จริงทุกสิ้นเดือน สินเชื่อ OD แตกต่างกับสินเชื่อเงินก้อน Loan อย่างไร สินเชื่อ OD คือ เงินที่กู้มาใช้ในระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อนำเงินมาหมุนในกรณีฉุกเฉินหมุนเงินไม่ทัน โดยจะเสียดอกเบี้ยเฉพาะวงเงินที่ใช้ ซึ่งจะแตกต่างกับสินเชื่อเงินก้อน (Loan) อย่างชัดเจน เนื่องจากสินเชื่อเงินก้อน (Loan) จะได้รับมาเป็นเงินก้อนเพื่อนำไปใช้ขยายกิจการหรือลงทุนระยะยาวตามแจ้งไว้กับธนาคาร โดยจะเสียดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกและผ่อนชำระเท่ากันทุกเดือน  ข้อดีของสินเชื่อ OD คืออะไร สินเชื่อ OD มีข้อดีมากมายทำให้ได้รับความนิยมมาก ๆ ในธุรกิจ SME เนื่องจากมีความยืดหยุ่นในการเบิกถอนเงินจากบัญชีตามความต้องการได้ทันที ดอกเบี้ยที่จ่ายตามการใช้งานจริง ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยเฉพาะในส่วนที่เบิกเกินเท่านั้น ช่วยเสริมสภาพคล่องในระยะสั้นทำให้ธุรกิจสามารถรับมือกับการขาดแคลนเงินสดหรือการชำระค่าใช้จ่ายฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที โดยผู้ประกอบการจะเบิกเงินได้ทันทีหลังได้รับการอนุมัติ โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการอนุมัติใหม่อีกทุกครั้ง สินเชื่อ OD เหมาะสำหรับใคร สินเชื่อ OD เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่มีความต้องการเสริมสภาพคล่องทางการเงินในระยะสั้น โดยเฉพาะธุรกิจที่มีการหมุนเวียนเงินสดสูง เช่น ธุรกิจค้าปลีก ค้าส่ง หรือธุรกิจที่ต้องการเงินสดเพื่อซื้อวัตถุดิบหรือชำระค่าใช้จ่ายในทันที สินเชื่อ OD ยังเหมาะกับธุรกิจที่มีรายรับไม่แน่นอนหรือมีรอบการชำระเงินยืดเยื้อ เนื่องจากสามารถใช้วงเงิน OD เพื่อรับมือกับค่าใช้จ่ายฉุกเฉินได้ทันที นอกจากนี้ ธุรกิจที่ต้องการความยืดหยุ่นในการจัดการสภาพคล่อง และไม่ต้องการภาระดอกเบี้ยสูงเมื่อไม่ได้ใช้เงินเต็มวงเงิน จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากสินเชื่อ OD นี้ด้วย ข้อควรรู้ก่อนกู้สินเชื่อ OD คืออะไร แม้สินเชื่อ OD จะมีข้อดีที่น่าสนใจอย่างไร แต่สินเชื่อ OD ก็มีข้อควรระวังให้เราต้องพิจารณาก่อนการตัดสินใจกู้สินเชื่อ OD ด้วยเช่นกัน ดังนี้ สินเชื่อ OD คือ เงินกู้ประเภทที่มีความยืดหยุ่นสูง เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะกับผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการเสริมสภาพคล่องในระยะสั้น การเข้าใจข้อดีและข้อควรระวังก่อนทำการตัดสินใจขอสินเชื่อ OD จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบและไม่กระทบกับการดำเนินธุรกิจ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

รหัส Swift code คืออะไร รวมรหัส Swift code จากทุกธนาคาร

รหัส SWIFT CODE เป็นหนึ่งในรหัสที่สำคัญที่สุดในโลกการเงินยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ เพราะเมื่อเวลาที่คุณต้องการโอนเงินไปยังประเทศอื่น คุณจำเป็นต้องใช้รหัสนี้เพื่อให้แน่ใจว่าเงินจะส่งถึงปลายทางถูกต้องและรวดเร็ว บทความนี้จะช่วยให้คุณทำความเข้าใจกับรหัส SWIFT CODE พร้อมกับให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับรหัสที่ใช้ในแต่ละธนาคารในประเทศไทย เพื่อให้คุณสามารถใช้ SWIFT CODE ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยมากที่สุด รหัส SWIFT CODE คืออะไร? รหัส SWIFT CODEหรือ รหัส BIC (Business Identifier Code) คือ รหัสประจำตัวที่ใช้เจาะจงธนาคารและสถาบันการเงินทั่วโลก ทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศสะดวก รวดเร็ว และถูกต้อง ซึ่งรหัสนี้จะประกอบด้วยตัวอักษรและตัวเลขจำนวน 8-11 ตัว โดยรหัสแต่ละตัวก็จะมีความหมายที่แตกต่างกันไป รวมรหัส SWIFT CODE จากทุกธนาคาร ในประเทศไทย ธนาคารแต่ละแห่งจะมีรหัส SWIFT CODE เฉพาะตัว สำหรับใช้ในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ซึ่งในส่วนของรหัสของแต่ละธนาคารจะมีดังนี้  รหัสธนาคารกรุงเทพ รหัสธนาคารกสิกรไทย รหัสธนาคารไทยพาณิชย์  รหัสธนาคารกรุงไทย รหัสธนาคารทหารไทยธนชาต  รหัสธนาคารกรุงศรีอยุธยา  รหัสธนาคารเกียรตินาคินภัทร รหัสธนาคารซีไอเอ็มบีไทย  รหัสธนาคารยูโอบี รหัสธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย รหัสธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ รหัสธนาคารไอซีบีซี รหัสธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ รหัสธนาคารออมสิน รหัสธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย รหัสธนาคารซิตี้แบงค์ SWIFT CODE เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศ เพราะเป็นรหัสที่เอาไว้ใช้ระบุว่าการโอนเงินนั้นเป็นของธนาคารใด และด้วยระบบความปลอดภัยที่สูง อีกทั้งมีความแม่นยำ รวมถึงการที่สามารถตรวจสอบได้ทำให้ SWIFT CODE เป็นระบบที่ธนาคารทั่วโลกไว้วางใจ สำหรับข้อมูลในด้านอื่น ๆ คุณสามารถค้นหาจากเว็บไซต์ของธนาคารที่คุณใช้งานโดยตรงได้เลย  ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

รู้จัก Payment Gateway คืออะไร มีกี่รูปแบบ มีประโยชน์ยังไงบ้าง

การทำธุรกรรมออนไลน์เกิดขึ้นได้ในทุกวินาที และ Payment Gateway ก็ได้กลายมาเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้กระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างสะดวกราบรื่น ซึ่งการมีระบบ Payment Gateway ที่ดีนั้นจะทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจและสะดวกสบายในการซื้อสินค้าจากร้านค้าออนไลน์ของคุณ และนอกจากนี้ Payment Gateway ไม่เพียงแต่จะเป็นสื่อกลางที่ใช้ในการรับชำระเงินเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ และป้องกันการฉ้อโกงได้อีกด้วย Payment Gateway คืออะไร? Payment Gateway คือ ช่องทางการชำระเงิน เปรียบดั่งเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างร้านค้าออนไลน์ของคุณกับลูกค้าที่ต้องการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต เดบิต หรือช่องทางออนไลน์อื่น ๆ เช่น PayPal TrueMoney Wallet เป็นต้น Payment Gateway มีกี่รูปแบบ Payment Gateway มีหลายรูปแบบให้เลือกใช้งาน ซึ่งแต่ละรูปแบบก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่เหมาะสมกับธุรกิจของตัวเองต่างกัน ซึ่งการเลือกใช้ Payment Gateway ที่เหมาะสมจะช่วยทำให้เราทำธุรกิจได้ราบรื่นมากขึ้น โดยจำแนกเป็นรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้ Payment Gateway แบบ Bank Payment Gateway แบบธนาคาร หรือที่เรียกกันว่า Payment Gateway ของธนาคารนั้นเป็นระบบการชำระเงินที่พัฒนาโดยธนาคารเอง มีจุดเด่นคือคุณสามารถเชื่อมต่อได้โดยตรงกับระบบของธนาคาร ทำให้การทำธุรกรรมต่าง ๆ เช่น การโอนเงิน การตรวจสอบยอดเงินได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยสูงมาก Payment Gateway แบบ Non-Bank Payment Gateway แบบ Non-Bank หรือ ระบบการชำระเงินออนไลน์ผ่านตัวกลางที่ไม่ใช่ธนาคาร เป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับธุรกิจออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมาก ๆ  ในปัจจุบัน โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง เนื่องจากมีความยืดหยุ่นสูง สมัครใช้งานง่าย และมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าธนาคาร Payment Gateway แบบ Bank มีอะไรบ้าง Payment Gateway แบบธนาคาร หรือ ระบบรับชำระเงินออนไลน์ของธนาคาร เป็นบริการที่ธนาคารต่าง ๆ พัฒนาขึ้นมา เพื่อรองรับธุรกิจในการชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์ของธนาคารได้โดยตรง ซึ่งมีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมเป็นอย่างมาก ซึ่งในส่วนของธนาคารต่าง ๆ นั้นจะมีดังนี้ Merchant iPay ธนาคารกรุงเทพ Merchant iPay คือ บริการรับชำระเงินออนไลน์ที่พัฒนาโดยธนาคารกรุงเทพ เพื่อให้ธุรกิจมีช่องทางการรับชำระเงินจากลูกค้าแบบสะดวกมากขึ้น โดยสามารถชำระผ่านเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และโซเชียลมีเดีย ทำให้ธุรกิจมีโอกาสดันยอดขายจากการขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น K Payment Gateway ธนาคารกสิกรไทย K Payment Gateway คือ บริการรับชำระเงินออนไลน์ที่พัฒนาโดยธนาคารกสิกรไทย มีระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งตามมาตรฐานสากล แถมยังปกป้องข้อมูลลูกค้าและธุรกรรมทางการเงินได้ โดยสามารถชำระเงินผ่านบัตรเครดิต เดบิต และ QR Code ได้เลย ทั้ง Thai QR และ QR Code ของ e-Wallet ชื่อดัง เช่น Alipay WeChat Pay และช่องทางอื่น ๆ อีกด้วย Krungsri Biz Payment Gateway ธนาคารกรุงศรี Krungsri Biz Payment Gateway หรือ บริการรับชำระเงินออนไลน์ผ่านบัตรเครดิต ของธนาคารกรุงศรี สามารถสร้างลิงก์ชำระเงินได้เองผ่านระบบ รวมถึงกำหนดจำนวนเงิน วันเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดการใช้งานลิงก์ด้วยตัวเองได้ อีกทั้ง ยังสามารถชำระเงินผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารโดยตรง เพิ่มความสะดวกให้กับผู้ขายและผู้ซื้อได้ Payment gateway แบบ Non-Bank มีอะไรบ้าง  Payment Gateway แบบ Non-Bank เป็นระบบการชำระเงินที่มีความหลากหลายและยืดหยุ่น จึงได้รับความสนใจจากหลายธุรกิจ แต่การที่จะตัดสินใจเลือกใช้ Payment Gateway แบบ Non-Bank ในแบบไหนนั้น ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของธุรกิจเป็นหลัก ซึ่งโดยทั่วไปจะมีให้เลือกดังนี้ Paypal PayPal เป็นระบบการชำระเงินออนไลน์ที่รองรับการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต เดบิต และ e-Wallet ต่าง ๆ ใช้งานได้ง่าย และมีระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง จึงทำให้ได้รับความนิยมและเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก GB PrimePay GB Prime Pay เป็นระบบการชำระเงินออนไลน์ของไทยที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ใช้งานได้กับธุรกิจทุกรูปแบบทั้งการวางขายสินค้าบนเว็บไวต์ หรือการขายผ่านโซเชียลมิเดีย แถมรองรับการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตทุกประเภท Omise Omise Payment Gateway คือ ระบบรับชำระเงินออนไลน์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในธุรกิจอีคอมเมิร์ซขนาดเล็กและขนาดกลาง ทั้งในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองรับการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต/เดบิต, e-Wallet ต่าง ๆ เช่น Alipay WeChat Pay และยังสามารถเชื่อมต่อกับช่องทางการชำระเงินอื่น ๆ ได้อีกมากมาย 2C2P 2C2P Payment Gateway คือ เป็นบริษัทรับชำระเงินออนไลน์ที่มีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ ให้บริการเกตเวย์การชำระเงินแก่ธุรกิจเป็นหลัก ชำระเงินได้หลากหลายช่องทาง มีระบบรักษาความปลอดภัยในการโจรกกรมข้อมูลธุรกรรมทางการเงินของลูกค้าที่แข็งแกร่ง Pay Solution Pay Solution Payment gateway คือ บริษัทที่ให้บริการระบบรับชำระเงินออนไลน์ในประเทศไทย มีช่องทางรองรับการชำระเงินที่หลากหลาย เช่น บัตรเครดิต บัตรเดบิต e-Wallet โอนเงินผ่านธนาคาร และการชำระเงินแบบ QR Code นอกจากนี้ก็ยังมีบริการอื่น ๆ เช่น การสร้างใบเสร็จ การติดตามยอดขาย และการเชื่อมต่อกับระบบอื่น ๆ อีกด้วย Payment Gateway คือ กุญแจสำคัญ ในการอำนวยความสะดวกให้ผู้ขายและผู้ซื้อทำธุรกรรมออนไลน์ง่ายขึ้นทั้งนี้การที่จะตัดสินใจเลือกใช้ Payment Gateway รูปแบบไหนนั้น จำเป็นต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณร่วมด้วย เพราะจะเป็นการช่วยเสริมความมั่นใจให้กับลูกค้า และทำให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณเติบโตได้ดีและมั่นคงมากยิ่งขึ้น PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ มีระบบ Payment Gateway ที่ช่วยเชื่อมโยงการรับชำระเงินออนไลน์ให้กับธุรกิจของคุณอย่างง่ายดายและปลอดภัย คุณสามารถเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการชำระเงินทั้งรูปแบบบัตรเครดิตและบัตรเดบิตได้ในระบบเดียว ทำให้กระบวนการชำระเงินสะดวกสบายทั้งสำหรับคุณและลูกค้า ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

6 ก.พ. 2025

PEAK Account

7 min

สำนักงานบัญชี ประหยัดเวลาการทำบัญชีด้วยการใช้ AI

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ การใช้ AI ได้กลายเป็นตัวช่วยสำคัญในการยกระดับการทำงานของสำนักงานบัญชี ทำให้กระบวนการต่างๆ รวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับข้อดีของการใช้ AI ในการทำบัญชีและวิธีการนำมาใช้เพื่อช่วยประหยัดเวลาในงานของคุณ ทำไมการทำบัญชีด้วยการใช้ AI ถึงสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชี? นำ AI มาปรับใช้ในงานของสำนักงานบัญชีได้อย่างไร 1. การบันทึกบัญชีด้วยระบบ AI ระบบบัญชีที่มี AI ช่วยแนะนำ รายการบันทึกบัญชีที่ใช้บ่อย จะช่วยให้นักบัญชีทำงานได้รวดเร็วและสะดวกขึ้น เพราะ AI จะเรียนรู้พฤติกรรมการบันทึกข้อมูลของผู้ใช้งาน และเสนอรายการบัญชีที่เกี่ยวข้องแบบอัตโนมัติ ลดเวลาการค้นหารายการบัญชีที่ซับซ้อนหรือใช้บ่อย ตัวอย่างเช่น ข้อดี 2. การวิเคราะห์งบการเงินและคาดการณ์แนวโน้มธุรกิจ PEAK ใช้ AI วิเคราะห์งบกำไรขาดทุน ช่วยให้นักบัญชีและเจ้าของธุรกิจเห็นภาพรวมผลประกอบการได้ชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมทั้งคาดการณ์แนวโน้มทางการเงินในอนาคต AI จะดึงข้อมูลในระบบมาคำนวณและสรุปเป็นกราฟหรือรายงานแบบเข้าใจง่าย เช่น ข้อดี 3. การตรวจสอบความผิดพลาดในการทำบัญชี AI สามารถ ตรวจสอบความถูกต้องของงบทดลอง (Trial Balance) ได้อัตโนมัติ หากพบข้อผิดพลาดหรือยอดไม่ตรง ระบบจะแสดง สัญลักษณ์ธงสี (Flag) เพื่อแจ้งเตือนผู้ใช้งานทันที เช่น ข้อดี ข้อดีของการทำบัญชีด้วยการใช้ AI ลดต้นทุนการดำเนินงาน ลดเวลาและทรัพยากรที่ใช้ในกระบวนการบัญชี ทำให้สำนักงานบัญชีสามารถลดต้นทุนได้ เพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้า เวลาที่ประหยัดได้จากการใช้ AI สามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์และให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์แก่ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น รองรับการขยายตัวของธุรกิจ สำนักงานบัญชีสามารถรองรับลูกค้าใหม่ได้มากขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มทีมงานหรือทรัพยากรเพิ่มเติม PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยสำนักงานบัญชีและธุรกิจประหยัดเวลาและเพิ่มความแม่นยำด้วยระบบ AI ที่สามารถแนะนำรายการบันทึกบัญชีที่ใช้บ่อยๆได้ เพราะ PEAK ตระหนักเห็นถึงความสำคัญในการนำ AI มาปรับใช้ในสำนักงานบัญชีไม่เพียงช่วยประหยัดเวลา แต่ยังช่วยเพิ่มคุณภาพและความแม่นยำในการทำงาน ช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

5 min

บอจ.5 คืออะไร ธุรกิจประเภทไหนต้องยื่นบ้าง ยื่นได้ตอนไหน

บอจ.5 หรือ บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น เป็นเอกสารสำคัญที่บริษัทจำกัดต้องจัดทำและนำส่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าทุกปี เพื่อแสดงโครงสร้างการถือหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงของบริษัท โดยการยื่น บอจ.5 นั้นจะช่วยแสดงว่าธุรกิจเรามีความโปร่งใสและทำตามกฎหมาย จึงเป็นเอกสารที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญมาก ๆ  บอจ.5 คืออะไร สำคัญอย่างไร บอจ.5 เป็นแบบฟอร์มทางกฎหมายที่ใช้บันทึกและรายงานข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นของบริษัทจำกัด โดยจะแสดงรายละเอียดของผู้ถือหุ้นทั้งหมด จำนวนหุ้นที่ถือ และมูลค่าหุ้น  การยื่น บอจ.5 มีความสำคัญในหลายด้าน ทั้งแสดงว่าธุรกิจเรามีความโปร่งใส ทำตามกฎหมาย และมีความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ บอจ.5 ยังเป็นเอกสารสำคัญที่ใช้อ้างอิงในการทำธุรกรรมต่าง ๆ เช่น การเข้าร่วมประมูลงาน การขอสินเชื่อ หรือการทำสัญญาทางธุรกิจอีกด้วย บอจ.5 จะประกอบด้วย เอกสาร บอจ.5 จะประกอบด้วยข้อมูลสำคัญโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัท ได้แก่ ชื่อ-นามสกุล สัญชาติ และที่อยู่ของผู้ถือหุ้นแต่ละราย จำนวนหุ้นที่ถือครอง เลขที่ใบหุ้น มูลค่าหุ้นที่ชำระแล้ว วันที่จดทะเบียนเป็นผู้ถือหุ้น และการเปลี่ยนแปลงการถือหุ้นในรอบปี นอกจากนี้ บอจ.5 ยังต้องระบุรายละเอียดของบริษัท เช่น ชื่อบริษัท เลขทะเบียนนิติบุคคล ทุนจดทะเบียน และจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทด้วย บอจ.5 ใครต้องยื่นบ้าง ยื่นได้ตอนไหน การยื่น บอจ.5 เป็นหน้าที่ตามกฎหมายของบริษัทจำกัดทุกแห่ง โดยมีกำหนดเวลาและผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน เพื่อให้การรายงานข้อมูลผู้ถือหุ้นถูกต้องและทันเวลา  ใครต้องเป็นคนยื่น กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทจะต้องลงชื่อรับรองความถูกต้องและเป็นผู้ยื่น บอจ.5  โดยการยื่น บอจ.5 สามารถทำได้ทั้งด้วยตัวเองที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือมอบอำนาจให้ผู้อื่นดำเนินการแทนก็ได้ เพียงแต่ผู้ยื่นต้องเตรียมเอกสารประกอบให้ครบถ้วน เช่น แบบ บอจ.5 ที่กรอกข้อมูลครบถ้วน สำเนาบัตรประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจ และหนังสือมอบอำนาจ (กรณีมอบอำนาจ) ต้องยื่นเมื่อไหร่ หากไม่นำส่งจะมีค่าปรับอะไรบ้าง การยื่น บอจ.5 มีกำหนดให้ยื่นภายใน 14 วันนับจากวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี หรือไม่เกินเดือนมกราคมของทุกปี แล้วแต่กรณีไหนจะถึงก่อน หากบริษัทไม่นำส่ง บอจ.5 ตามกำหนด จะมีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท และปรับอีกวันละไม่เกิน 500 บาทจนกว่าจะนำส่งได้ถูกต้อง ซึ่งการนำส่งไม่ตรงเวลาอาจทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือลดลง จนส่งผลต่อการทำธุรกรรมต่าง ๆ ด้วย การจัดทำและยื่น บอจ.5 อย่างถูกต้องและตรงเวลาเป็นหน้าที่สำคัญของบริษัทจำกัด นอกจากจะเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว ยังแสดงถึงความโปร่งใสในการทำธุรกิจ ผู้ประกอบการจึงควรให้ความสำคัญและจัดเตรียมข้อมูลให้พร้อมสำหรับการยื่น บอจ.5 ตามกำหนดเวลา โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

7 min

“โปรแกรมบัญชี” ที่ใช่! ตัวช่วยสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชี

การเลือก “โปรแกรมบัญชี” ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชีที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดข้อผิดพลาด และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ในบทความนี้จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจว่าโปรแกรมบัญชีที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไร และจะช่วยพัฒนาธุรกิจของสำนักงานบัญชีได้อย่างไรบ้าง คุณสมบัติที่สำคัญของ “โปรแกรมบัญชี” สำหรับสำนักงานบัญชี การเลือกโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสมช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถทำงานได้อย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ และลดเวลาในการทำงานประจำ คุณสมบัติเด่นที่ควรพิจารณา ได้แก่ 1. การทำงานแบบ Cloud-Based ระบบ Cloud ช่วยให้การทำงานสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา รองรับการทำงานร่วมกันในทีมแบบเรียลไทม์ และช่วยลดต้นทุนด้านฮาร์ดแวร์ พร้อมทั้งมีระบบสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย 2. การรองรับการจัดทำภาษี โปรแกรมควรมีฟังก์ชันที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดทำเอกสารภาษี เช่น ภ.ง.ด. และ ภ.พ. พร้อมทั้งรองรับการยื่นภาษีออนไลน์ผ่านระบบของกรมสรรพากร 3. ระบบ AI ช่วยแนะนำการบันทึกรายการบัญชีที่บันทึกบ่อย ระบบ AI ที่สามารถจดจำรายการบัญชีที่ใช้บ่อย และแนะนำการบันทึกบัญชีแบบอัตโนมัติ จะช่วยลดเวลาในการทำงานและลดข้อผิดพลาดในการป้อนข้อมูล 4. เชื่อมต่อข้อมูลจากภายนอกได้ง่ายด้วย API โปรแกรมควรรองรับการเชื่อมต่อ API เพื่อดึงข้อมูลจากระบบภายนอก เช่น ระบบธนาคาร ระบบ ERP หรือแพลตฟอร์ม E-Commerce เพื่อให้การบันทึกบัญชีและประมวลผลข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วและลดข้อผิดพลาด 5. อัปโหลด/ดาวน์โหลดไฟล์ได้ง่าย โปรแกรมควรรองรับการอัปโหลดและดาวน์โหลดข้อมูล เช่น ไฟล์ Excel, CSV หรือ PDF เพื่อช่วยให้สามารถจัดการข้อมูลได้อย่างยืดหยุ่น และนำข้อมูลไปใช้ในระบบอื่น ๆ ได้สะดวก ประโยชน์ของ “โปรแกรมบัญชี” สำหรับสำนักงานบัญชี การนำโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสมมาใช้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนให้กับสำนักงานบัญชีในหลายด้าน ดังนี้ 1. ประหยัดเวลาและลดข้อผิดพลาด ระบบอัตโนมัติช่วยลดเวลาการทำงานที่ใช้ไปกับงานเอกสาร และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดจากการทำงานด้วยมือ 2. เพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า โปรแกรมบัญชีช่วยให้สำนักงานสามารถส่งมอบงานได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น สร้างความน่าเชื่อถือและพึงพอใจให้กับลูกค้า 3. ช่วยในการวางแผนและตัดสินใจ ด้วยรายงานที่ถูกต้องและครบถ้วน สำนักงานบัญชีสามารถให้คำแนะนำที่มีประสิทธิภาพแก่ลูกค้าในการวางแผนการเงินและตัดสินใจทางธุรกิจ วิธีเลือก “โปรแกรมบัญชี” ที่เหมาะสมสำหรับสำนักงานบัญชี 1. วิเคราะห์ความต้องการของสำนักงานบัญชี พิจารณาว่าสำนักงานบัญชีของคุณมีความต้องการอะไร เช่น การรองรับลูกค้าจำนวนมาก การจัดการงานเอกสาร หรือการทำงานร่วมกันในทีม 2. ทดลองใช้งานก่อนตัดสินใจ หลายโปรแกรมบัญชีมีบริการทดลองใช้งานฟรี ซึ่งช่วยให้คุณสามารถประเมินว่าโปรแกรมนั้นตอบโจทย์ความต้องการของสำนักงานบัญชีหรือไม่ 3. ตรวจสอบบริการหลังการขาย เลือกโปรแกรมบัญชีที่มีทีมสนับสนุนที่พร้อมช่วยเหลือ เช่น การให้คำปรึกษา การอบรม หรือบริการช่วยแก้ไขปัญหา แนะนำโปรแกรมบัญชี PEAK ตัวช่วยที่สำนักงานบัญชีควรเลือกใช้ โปรแกรมบัญชี PEAK รองรับทั้ง 5 คุณสมบัติที่กล่าวมาเบื้องต้น เพื่อตอบโจทย์สำนักงานบัญชีโดยเฉพาะ ด้วยระบบที่ช่วยให้ทำงานสะดวกขึ้น ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพการทำบัญชี ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อข้อมูลอัตโนมัติ ระบบคลาวด์ที่ปลอดภัย รายงานที่อ่านง่าย AI ช่วยบันทึกบัญชี และเครื่องมือจัดการไฟล์ที่ยืดหยุ่น ทุกฟังก์ชันถูกพัฒนาเพื่อช่วยให้นักบัญชีทำงานได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น การเลือก “โปรแกรมบัญชี” ที่เหมาะสมเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จของสำนักงานบัญชี โปรแกรมที่ดีไม่เพียงช่วยลดความซับซ้อนในการทำงาน แต่ยังช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับบริการที่สำนักงานบัญชีมอบให้กับลูกค้า เลือกโปรแกรมที่มีคุณสมบัติตรงกับความต้องการ เช่น โปรแกรมบัญชี PEAK และเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นตั้งแต่วันนี้ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

30 ม.ค. 2025

PEAK Account

21 min

5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ

การทำบัญชีอาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของธุรกิจให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก แต่ความจริงแล้ว ความผิดพลาดทางบัญชีสามารถสร้างปัญหาใหญ่กว่าที่คุณคิด ตั้งแต่กระแสเงินสดที่ไม่สมดุล ไปจนถึงปัญหาภาษีและความน่าเชื่อถือของธุรกิจ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จัก “5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ” เพื่อให้คุณสามารถบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงทางการเงิน และสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน 5 ความผิดพลาดทางบัญชี ที่ ธุรกิจ SMEs มักมองข้าม! ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 1 : การไม่แยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว การบริหารการเงินที่ดีเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในธุรกิจ หนึ่งในหลักการพื้นฐานที่เจ้าของธุรกิจต้องให้ความสำคัญคือ การแยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว อย่างชัดเจน การใช้บัญชีเดียวกันอาจทำให้เกิดความสับสน เสียเวลา และส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจทางการเงินของธุรกิจ ดังนั้นในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจว่าทำไมการแยกบัญชีจึงเป็นเรื่องสำคัญ พร้อมแนวทางปฏิบัติที่คุณสามารถนำไปใช้ได้จริง ทำไมต้องแยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว? 1.1 ช่วยให้บริหารการเงินได้ง่ายขึ้น ลองนึกภาพว่าคุณต้องนั่งไล่ดูรายการเดินบัญชีเพื่อแยกว่าเงินไหนเป็นรายรับธุรกิจ เงินไหนเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว หากคุณใช้บัญชีเดียวกัน คุณอาจต้องเสียเวลานั่งไล่ดูทีละรายการ ซึ่งไม่คุ้มค่าเลย การแยกบัญชีช่วยให้คุณสามารถติดตามรายรับและรายจ่ายของธุรกิจได้อย่างแม่นยำ ลดความยุ่งยากในการทำบัญชี และช่วยให้การทำงบการเงินเป็นไปอย่างถูกต้อง 1.2 ป้องกันความผิดพลาดทางภาษี ช่วงยื่นภาษีทีไรต้องปวดหัว เพราะมีรายการใช้จ่ายที่ปะปนกันจนไม่รู้ว่าอันไหนใช้กับธุรกิจ อันไหนเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าคุณเผลอเอาค่าใช้จ่ายส่วนตัวมาคิดเป็นค่าใช้จ่ายธุรกิจโดยไม่ได้ตั้งใจ อาจทำให้มีปัญหากับกรมสรรพากรได้ หรือในทางตรงกันข้าม หลายครั้งที่นักบัญชีปิดงบปลายปีให้ผู้ประกอบการ และเมื่อเจอรายการเงินออกที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมอะไรของธุรกิจ กลายเป็นว่าค่าใช้จ่ายนั้นก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้าม หรือค่าใช้จ่ายบวกกลับทางภาษีของกิจการไป ทำให้ต้องเสียเงินภาษีเยอะขึ้นโดยไม่จำเป็น แต่ถ้าแยกบัญชีชัดเจน การคำนวณภาษีจะง่ายขึ้นและมีความถูกต้องมากขึ้น 1.3 สร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือให้ธุรกิจ ลองนึกถึงกรณีที่คุณต้องการขอสินเชื่อจากธนาคารหรือดึงดูดนักลงทุน หากบัญชีธุรกิจของคุณปะปนกับบัญชีส่วนตัว ธนาคารอาจมองว่าธุรกิจของคุณไม่มีระบบที่ดีพอ ทำให้โอกาสได้รับอนุมัติน้อยลง การมีบัญชีธุรกิจแยกจากบัญชีส่วนตัวช่วยให้ลูกค้า คู่ค้า และธนาคารมองว่าธุรกิจของคุณเป็นองค์กรที่มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ช่วยเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อ หรือเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น 1.4 ควบคุมกระแสเงินสดได้ดีขึ้น ถ้าใช้บัญชีเดียวกัน บางครั้งคุณอาจเผลอใช้เงินธุรกิจไปกับเรื่องส่วนตัวโดยไม่รู้ตัว เมื่อถึงเวลาต้องจ่ายค่าซัพพลายเออร์หรือพนักงาน อาจเจอปัญหาเงินสดขาดมือ การแยกบัญชีช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของกระแสเงินสดธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น และบริหารเงินได้ดีกว่าเดิม ช่วยทำให้คุณมองเห็น และเข้าใจเงินทุนหมุนเวียนของกิจการได้ดีขึ้น แนวทางปฏิบัติในการแยกบัญชีธุรกิจและบัญชีส่วนตัว 1.1 เปิดบัญชีธุรกิจแยกต่างหาก เริ่มต้นด้วยการเปิดบัญชีธุรกิจโดยเฉพาะ เลือกธนาคารที่ให้บริการด้านบัญชีธุรกิจที่เหมาะสมกับคุณ เช่น มีระบบจ่ายเงินออนไลน์ หรือค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม หรืออย่างน้อยที่สุด คุณสามารถใช้บัญชีธนาคารเพื่อกิจการก็ได้ในชื่อของคุณ เป็นบัญชีบุคคลธรรมดา แต่ที่สำคัญคือคุณต้องแยกบัญชีกัน 1.2 กำหนดเงินเดือนให้ตัวเอง อย่าคิดว่าเงินธุรกิจเป็นของตัวเอง! กำหนดเงินเดือนให้ตัวเองและใช้จ่ายในส่วนที่ได้รับเท่านั้น วิธีนี้ช่วยให้คุณควบคุมการใช้จ่ายส่วนตัวได้ดีขึ้น และป้องกันการนำเงินธุรกิจไปใช้เกินความจำเป็น และเงินเดือนของคุณ ก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทด้วย สามารถช่วยลดภาระภาษีของบริษัทไปได้ แน่นอนว่ามันจะกลายเป็นรายได้บุคคลธรรมดาของคุณ แต่ถ้าคุณจัดการภาษีบุคคลได้ดี คุณจะสามารถนำเงินเดือนเป็นเครื่องนึงในการประหยัดภาษีได้ (หากคุณต้องการจัดการเงินเดือน เราก็มีโปรแกรมที่ช่วยจัดการเงินเดือนให้คุณได้) 1.3 ใช้บัตรเครดิตธุรกิจและบัตรเครดิตส่วนตัวแยกจากกัน เช่นเดียวกับการเปิดบัญชีธนาคารแยก คุณสามารถมีบัตรเครดิตบุคคลในชื่อคุณได้ แต่ใช้เพื่อบริษัทเพียงอย่างเดียว อย่าใช้บัตรใบนั้นไปรูดซื้อของใช้ส่วนตัว เพราะจะทำให้การติดตามค่าใช้จ่ายยุ่งยาก หรือบริษัทของคุณมีความน่าเชื่อถือที่มากพอ คุณสามารถขอเปิดบัตรเครดิตในนามนิติบุคคลได้ โดยติดต่อธนาคารต่างๆ อย่างไรก็ตาม เดี๋ยวนี้ผู้ให้บริการชำระเงินหลายแห่งมีบริการ virtual card เพื่อให้คุณสามารถใช้บัตรเครดิตในบริษัทได้หลากหลายใบ โดยที่สามารถจัดการจากระบบหลังบ้านได้ 1.4 บันทึกและตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินเป็นประจำ อย่าปล่อยให้รายการเดินบัญชีสะสมเป็นเดือนๆ แล้วค่อยมาเช็ก ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะทำงบประมาณ หรือ budget ควรตรวจสอบธุรกรรมเป็นประจำทุกสัปดาห์เพื่อให้แน่ใจว่าเงินเข้า-ออกตรงตามแผน และไม่มีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น 1.5 หลีกเลี่ยงการโอนเงินระหว่างบัญชีโดยไม่จำเป็น หากต้องโอนเงินระหว่างบัญชี ควรมีบันทึกที่ชัดเจน เช่น หากคุณนำเงินส่วนตัวมาใช้ในธุรกิจ ควรลงบัญชีว่าเป็น “เงินกู้” หรือ “จ่ายเพื่ออะไร” เพื่อให้สามารถติดตามได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเดี๋ยวนี้คุณสามารถเพิ่มบันทึกสาเหตุรายการเหล่านั้นเข้าไปได้ในมือถือตอนที่ทำการจ่ายโอนเลย มันง่ายมากๆแล้ว ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 2 : การไม่จัดทำบัญชีอย่างสม่ำเสมอ การทำบัญชีเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะเล็กหรือใหญ่ การบันทึกบัญชีอย่างสม่ำเสมอช่วยให้คุณติดตามสถานะทางการเงินของธุรกิจได้อย่างถูกต้อง แต่หลายคนมักเลื่อนการบันทึกบัญชีออกไปเพราะคิดว่าไม่มีเวลาหรือไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน จนกลายเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบใหญ่กว่าที่คิด! ทำไมการไม่บันทึกบัญชีเป็นประจำถึงเป็นปัญหา? 2.1 ข้อมูลการเงินไม่ถูกต้อง ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด ลองนึกภาพว่าคุณต้องการขยายธุรกิจ แต่เมื่อดูตัวเลขทางบัญชีแล้วกลับพบว่ามีข้อมูลขาดหาย หรือไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าธุรกิจมีกำไรจริงหรือไม่ สิ่งนี้ทำให้คุณตัดสินใจทางการเงินผิดพลาด เช่น ลงทุนเกินตัว หรือคิดว่ามีเงินสดมากพอแต่กลับมีหนี้ที่ไม่ได้บันทึก ในตอนที่ผมทำบัญชีให้กับลูกค้า มีเคสนึงน่าสนใจ ร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่บันทึกบัญชีทุกวัน แต่จดยอดขายเฉพาะวันที่พนักงานมีเวลาว่าง ส่งผลให้เจ้าของเข้าใจผิดว่าธุรกิจมีกำไรดี เพราะไม่ได้บันทึกต้นทุนวัตถุดิบที่ซื้อมา และไม่ได้ตัดเครื่องปรุงเครื่องใช้ออกเลย เจ้าของตัดสินใจขยายพื้นที่ร้านเพิ่ม และสั่งของมาเพิ่มอีก แต่เมื่อถึงเวลาตรวจสอบจริง พบว่ามีค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้ถูกบันทึก มีวัตถุดิบที่หมดอายุเพราะสั่งมาเกิน มีเครื่องปรุงที่หมดไปแล้วมีไม่พอทำให้เสียโอกาสในการขาย ทำให้เงินสดขาดมือและต้องกู้เงินเพิ่มโดยไม่จำเป็น ปัญหาเหล่านี้ เกิดขึ้นจากการที่เจ้าของขาดข้อมูลที่แท้จริงในการตัดสินใจ 2.2 ปัญหาด้านภาษีและค่าปรับที่ไม่คาดคิด หากไม่มีการบันทึกบัญชีอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้คุณพลาดการยื่นภาษีที่ถูกต้อง และอาจต้องเสียค่าปรับจากกรมสรรพากรโดยไม่จำเป็น การไม่มีข้อมูลบัญชีที่ชัดเจนยังทำให้คุณไม่สามารถใช้สิทธิหักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้เต็มที่ 2.3 เสียเวลาและเพิ่มภาระงานตอนท้ายปี การสะสมงานบัญชีไว้จนถึงสิ้นเดือนหรือสิ้นปี ทำให้ต้องเสียเวลามากในการตามหาข้อมูลย้อนหลัง หากคุณปล่อยให้บัญชีไม่อัปเดตเป็นเวลานาน คุณอาจต้องใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ในการจัดการข้อมูลแทนที่จะใช้เวลานั้นในการพัฒนาธุรกิจ ซึ่งเหตุการณ์นี้ผมคิดว่าหลายกิจการก็น่าจะเจอเหมือนกัน ตอนที่ผมทำบัญชีผมเจอบริษัทหลายแห่งเลยที่ไม่ได้บันทึกค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน พอถึงสิ้นปีต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือนๆในการไล่หาบิลและเอกสารบัญชี ทำให้การปิดงบล่าช้าและส่งผลกระทบต่อการยื่นภาษีและโดยค่าปรับยื่นแบบล่าช้าอีก แนวทางปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการบันทึกบัญชีล่าช้า 2.1 กำหนดเวลาในการบันทึกบัญชีเป็นประจำ ตั้งเวลาให้แน่นอน เช่น บันทึกบัญชีทุกวันหรืออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้องและอัปเดตอยู่เสมอ 2.2 ใช้ซอฟต์แวร์บัญชีช่วยจัดการ เลือกใช้ซอฟต์แวร์บัญชีที่ช่วยให้คุณสามารถบันทึกข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและอัตโนมัติ เช่น บันทึกยอดขาย ค่าใช้จ่าย และเงินสดเข้าออกโดยไม่ต้องทำมือทั้งหมด แน่นอนว่าตัวที่เราแนะนำก็คือโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK นี่เอง คุณสามารถทดลองใช้งานได้ฟรี 2.3 มอบหมายหน้าที่ให้พนักงานหรือนักบัญชี หากคุณไม่มีเวลาทำเอง อาจมอบหมายให้พนักงานที่มีความสามารถรับผิดชอบ หรือจ้างนักบัญชีภายนอกเพื่อช่วยดูแลการเงินของธุรกิจ ซึ่งที่ PEAK เองก็มีบริการแนะนำนักบัญชีที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการใช้โปรแกรม PEAK มาช่วยดูแลบัญชีให้คุณ ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 3 : ขาดการวางแผนภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ การวางแผนภาษีเป็นเรื่องที่เจ้าของธุรกิจหลายคนมักมองข้าม หรือเลื่อนออกไปจนถึงช่วงสิ้นปี ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดพลาด เสียโอกาสในการลดภาระภาษี และส่งผลต่อกระแสเงินสดของธุรกิจ การวางแผนภาษีที่ดีควรเริ่มตั้งแต่ต้นปีเพื่อให้สามารถบริหารจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง วิธีหลีกเลี่ยง การศึกษากฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม การเตรียมตัวสำหรับการชำระภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ และการจัดสรรเงินสำรองสำหรับการชำระภาษีจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการชำระภาษีล่าช้าและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น และควรเริ่มเลยตั้งแต่กลางๆปี ไม่ควรรอไปถึงสิ้นปีแล้วค่อยคิด เพราะว่าการดำเนินการต่างๆอาจจะไม่ทันปีภาษีได้ ผมอยากแนะนำให้ลองดูบทความนี้ครับ 6 กลยุทธ์การวางแผนภาษีธุรกิจ SMEs ปี 2568 ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 4 : การไม่ใช้เทคโนโลยีช่วยในงานบัญชี ในยุคดิจิทัล การทำบัญชีด้วยวิธีดั้งเดิม เช่น การใช้สมุดจดหรือ Excel อาจไม่เพียงพอสำหรับการบริหารธุรกิจที่เติบโตขึ้น โปรแกรมบัญชี สามารถช่วยให้เจ้าของธุรกิจบริหารการเงินได้ง่ายขึ้น แม่นยำขึ้น และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำบัญชีด้วยตนเอง ข้อดีของการใช้โปรแกรมบัญชี ✅ ลดข้อผิดพลาดในการคำนวณ – ระบบช่วยให้การบันทึกบัญชีและคำนวณภาษีถูกต้องอัตโนมัติ✅ ประหยัดเวลา – ไม่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงทำบัญชีเอง สามารถโฟกัสกับการบริหารธุรกิจได้เต็มที่ ด้วยเทคโนโลยี API ที่เชื่อมต่อกับระบบต่างๆ ทำให้ข้อมูลไหลไปเป็นอัตโนมัติ✅ ช่วยบริหารกระแสเงินสด – ติดตามรายรับ-รายจ่ายได้แบบเรียลไทม์ ทำให้เห็นภาพรวมการเงินของธุรกิจ✅ พร้อมสำหรับการตรวจสอบภาษี – ข้อมูลบัญชีครบถ้วน ลดความเสี่ยงจากปัญหาภาษีและค่าปรับที่ไม่จำเป็น✅ ใช้งานง่าย – ซอฟต์แวร์บัญชีในปัจจุบันสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ผ่านระบบคลาวด์ ช่วยให้การจัดการบัญชีสะดวกขึ้น ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 5 : การไม่เก็บเอกสารทางการเงินอย่างเป็นระบบ การเก็บรักษาเอกสารทางการเงิน เช่น ใบเสร็จและใบแจ้งหนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น และยังช่วยให้การทำบัญชีและการยื่นภาษีเป็นไปอย่างถูกต้องและง่ายขึ้น ลองทำตามคำแนะนำเหล่านี้เพื่อจัดการเอกสารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ เก็บเอกสารให้เป็นระบบ – แยกประเภทเอกสารเป็นหมวดหมู่ เช่น รายรับ ค่าใช้จ่าย เงินเดือน และภาษี ใช้แฟ้ม หรือโฟลเดอร์ดิจิทัลเพื่อให้ค้นหาได้ง่าย และต้องจัดเก็บไว้ให้ได้ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดด้วย ✅ ใช้ซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันช่วยจัดการ – บันทึกและสแกนใบเสร็จ/ใบแจ้งหนี้เก็บไว้ในระบบออนไลน์ เพื่อลดความเสี่ยงจากเอกสารสูญหาย และสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ โดยที่ PEAK เองเรามีระบบคลังเอกสาร ที่คุณสามารถถ่ายรูปจากมือถือ แล้วเก็บเอกสารเข้าไปในระบบได้เลย ✅ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางบัญชี – หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับการจัดเก็บเอกสารหรือข้อกำหนดทางภาษี ให้ปรึกษานักบัญชีเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง เราสามารถช่วยแนะนำคุณได้ ผมหวังว่าบทความ “5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ” นี้จะช่วยเป็นแนวทางให้เพื่อนๆ ผู้ประกอบการ หลีกเลี่ยงความผิดพลาดได้ และสามารถดำเนินธุรกิจโดยมีพื้นฐานด้านบัญชีที่แข็งแรง เพื่อรองรับการเติบโตของคุณได้ในอนาคตครับ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ คือ ทางเลือกที่จะช่วยให้คุณบริหารธุรกิจได้อย่างมีระบบ ด้วยการใช้งานที่ง่ายและฟีเจอร์ที่ครบครัน โปรแกรมนี้ช่วยให้คุณเห็นกำไร-ขาดทุนแบบ Real-Time และจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่ารอช้าที่จะนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาธุรกิจของคุณให้เติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

10 ม.ค. 2025

PEAK Account

7 min

ร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt เตรียมความพร้อมอย่างไรดี

ในยุคดิจิทัลที่ธุรกิจต้องปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีและความต้องการของลูกค้า โครงการ Easy E-Receipt 2.0 หรือที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อ ช้อปดีมีคืน ที่จัดขึ้นโดยกรมสรรพากร เป็นโอกาสสำคัญที่ร้านค้าไม่ควรพลาด โดยเฉพาะร้านค้าที่ต้องการเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับรายละเอียดโครงการและการเตรียมความพร้อมสำหรับร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt 2.0 คืออะไร? โครงการ Easy E-Receipt 2.0 เป็นโครงการที่กรมสรรพากรจัดขึ้นเพื่อสนับสนุนให้ร้านค้าหันมาใช้ระบบ e-Tax Invoice และ e-Receipt แทนการออกใบกำกับภาษีและใบเสร็จรับเงินในรูปแบบกระดาษ ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงวันที่ 16 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ นอกจากนี้ การเข้าร่วมโครงการยังช่วยให้ร้านค้าสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มองหาธุรกิจที่มีความโปร่งใส เช็กความพร้อมร้านค้า ก่อนเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ร้านค้าแบบใดที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้? อย่างไรก็ตามยังมีร้านที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : สินค้าและบริการที่ไม่เข้าร่วม “Easy E-Receipt 2.0 PEAK ตัวช่วยออกเอกสาร e-Tax Invoice & e-Receipt ของคุณ PEAK เป็นโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่รองรับการออก e-Tax Invoice & e-Receipt อย่างเต็มรูปแบบ โดยได้รับการรับรองจากกรมสรรพากร จุดเด่นของ PEAK คือการช่วยให้ร้านค้าจัดการเอกสารทางบัญชีได้สะดวกและรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง e-Tax Invoice การส่งเอกสารถึงลูกค้า หรือการบันทึกข้อมูลลงในระบบบัญชีโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ PEAK ยังมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนส่งไปยังกรมสรรพากร ทำให้คุณมั่นใจได้ในทุกขั้นตอน การเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ แต่ยังช่วยสร้างโอกาสในการกระตุ้นยอดขายให้ร้านค้า หากคุณต้องการให้ธุรกิจของคุณเติบโตในยุคดิจิทัล การเตรียมตัวเข้าร่วมโครงการนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม PEAK พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาธุรกิจของคุณ สมัครใช้งานโปรแกรมบัญชีออนไลน์วันนี้ เพื่อก้าวเข้าสู่ความสำเร็จในยุคดิจิทัล! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

KPI คืออะไร วิธีวัดผลและความสำคัญต่อองค์กร

Key Performance Indicators คือ เครื่องมือในการวัดผลธุรกิจที่ดีที่องค์กรนิยมใช้โดยเฉพาะในยุคที่มีการแข่งขันทางธุรกิจสูง เพราะสามารถช่วยให้องค์กรสามารถติดตามและประเมินความสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่ง KPI จะมีการวัดผลอย่างไร ทำไมสำคัญกับองค์กรไปดูกัน KPI หรือ Key Performance Indicators คืออะไร KPI หรือ Key Performance Indicators คือ เป็นวิธีวัดผลการทำธุรกิจในด้านต่าง ๆ ขององค์กร ด้วยการดูว่าผลตรงกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ไหม ทำให้องค์กรสามารถติดตามความก้าวหน้า ประเมินประสิทธิภาพ และปรับปรุงการทำธุรกิจได้ดีมากขึ้น โดยแต่ละตัวอักษรมีความหมาย ดังนี้  ประเภทการวัดผล KPI การวัดผลการปฏิบัติงานจะขึ้นอยู่กับลักษณะของงานและเป้าหมายที่ต้องการวัด โดยตัวชี้วัด KPI แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ การวัดผลทางตรงและการวัดผลทางอ้อม การวัดผลทางตรง การวัดผลทางตรงเป็นการประเมินผลงานที่สามารถวัดเป็นตัวเลขได้ชัดเจน ไม่ต้องตีความหรือแปลผล เช่น ยอดขาย จำนวนชิ้นงานที่ผลิตได้ อัตราของเสีย หรือจำนวนลูกค้าใหม่ ข้อดีของการวัดผลแบบนี้คือเราสามารถตรวจสอบได้และมีหลักฐานอ้างอิงชัดเจน ทำให้การประเมินผลมีความโปร่งใส การวัดผลทางอ้อม การวัดผลทางอ้อมเป็นการประเมินผลงานที่ไม่สามารถวัดเป็นตัวเลขได้โดยตรง ต้องอาศัยการสังเกต การประเมิน หรือการสำรวจความคิดเห็น เช่น การให้บริการ ความประทับใจของลูกค้า หรือการมีผู้นำ การวัดผลประเภทนี้อาจมีความคลาดเคลื่อนได้ เนื่องจากขึ้นอยู่กับมุมมองและการตีความของผู้ประเมิน ความสำคัญต่อองค์กร KPI มีความสำคัญต่อองค์กรในหลายด้าน สามารถช่วยให้องค์กรรู้ความคืบหน้าในการทำงานของพนักงานและประเมินความสำเร็จได้อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ ยังใช้ประเมินผลงานของพนักงาน การพิจารณาผลตอบแทน และการวางแผนพัฒนาบุคลากร รวมถึงช่วยในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์และการจัดสรรทรัพยากรขององค์กร ใช้หลักการ SMART ในการตั้ง KPI หลักการ SMART เป็นแนวทางมาตรฐานในการกำหนด key performance indicators เป็นการสร้างตัวชี้วัดที่มีประสิทธิภาพ มาดูรายละเอียดแต่ละองค์ประกอบ ตัวอย่างการตั้ง KPI ในองค์กร การกำหนด key performance indicators เป็นการสร้างมาตรฐานการวัดผลที่ตรงตามเป้าหมายขององค์กร มาดูตัวอย่างการตั้ง KPI ในแต่ละแผนก  ฝ่ายขายและการตลาด ฝ่ายผลิต ฝ่ายบุคคล ข้อควรระวังในการใช้ KPI การกำหนดและใช้ KPI (Key Performance Indicators) เป็นการวัดผลความสำเร็จขององค์กรหรือโครงการ แต่หากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง อาจเกิดการตีความที่ผิดพลาด หรือการสร้างผลกระทบเชิงลบต่อการทำงานโดยรวม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเข้าใจถึงข้อควรระวังต่าง ๆ เพื่อให้การใช้ KPI สอดคล้องกับเป้าหมายที่แท้จริง และช่วยพัฒนาองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ประโยชน์ของการใช้ KPI ที่ดี KPI (Key Performance Indicators) เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยให้องค์กรรู้ความคืบหน้าของการทำธุรกิจว่าได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใจไหม การใช้ KPI ที่ออกแบบมาอย่างเหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยวัดผลสำเร็จ แต่ยังสร้างแรงจูงใจให้ทีมงานพัฒนาการทำงานได้ดียิ่งขึ้น การเข้าใจถึงประโยชน์ของการใช้ KPI จะช่วยเพิ่มโอกาสในการบริหารจัดการและพัฒนาองค์กรในระยะยาว การใช้ KPI จะช่วยให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน แต่ต้องระวังความเหมาะสมและความเป็นกลางในการประเมินผล เพื่อคนในองค์กรอยากพัฒนาเปลี่ยนแปลงการทำงานจริง ๆ ซึ่ง Key Performance Indicators คือ เครื่องมือที่จะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จได้ หากใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก