ธุรกิจ

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

15 ต.ค. 2025

PEAK Account

11 min

ค่าขนส่งกับการบันทึกบัญชี สิ่งที่ผู้ประกอบการห้ามมอง

ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าทางออนไลน์ น่าจะคุ้นเคยกับการคิด ค่าขนส่งสินค้า สินค้ากันเป็นอย่างดี แต่ผู้ประกอบการหลายท่านอาจยังไม่ทราบว่า ค่าขนส่งที่เรียกเก็บจากลูกค้านั้น ถือเป็นเงินที่ต้องรับรู้เป็นรายได้อีกด้วย! ในบทความนี้เราจะพาคุณมาดูความเกี่ยวข้องกับค่าขนส่งสินค้าและการบันทึกบัญชีกัน ค่าขนส่งสินค้า คืออะไร ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ค่าขนส่งสินค้า คือ ค่าใช้จ่ายที่ผู้ส่งต้องจ่ายให้กับบริษัทขนส่ง เพื่อนำสินค้าไปให้ถึงมือลูกค้า การเรียกเก็บเงินค่าขนส่งจากลูกค้าเป็นหน้าที่ของผู้ขาย แต่ผู้ประกอบการหลายท่านอาจไม่ทราบว่า ค่าขนส่งสินค้า เหล่านี้ ไม่ว่าจะมาจากการสั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หรือสั่งกับร้านโดยตรง ถือเป็นรายได้ของบริษัท และจำเป็นต้องทำการบันทึกบัญชีอย่างชัดเจน ค่าขนส่งสินค้ากับการบันทึกบัญชี การบันทึกบัญชีของค่าขนส่งสินค้า จะมี 2 เรื่องหลักที่ผู้ประกอบการและนักบัญชีควรทราบดังนี้ เมื่อไหร่ที่ค่าขนส่ง จะนับเป็นรายได้ของเรา? ปัจจัยสำคัญในการใช้ดูว่า ค่าขนส่งสินค้า จะนับเป็นรายได้ของเราหรือของแพลตฟอร์มออนไลน์ ต้องดูว่าใครเป็นผู้ออกใบเสร็จค่าขนส่งสินค้าให้ลูกค้า  ค่าขนส่งสินค้า มี VAT หรือไม่? ในกรณีที่ธุรกิจทำการจด VAT เรียบร้อยแล้วก็จำเป็นที่จะต้องมีการออกใบกำกับภาษีรวมค่าขนส่งสินค้า และรับรู้ภาษีขายจากค่าขนส่งสินค้าที่เรานับว่าเป็นรายได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ในกรณีที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ก็ไม่จำเป็นต้องคำนวณภาษีขายเพิ่ม ตัวอย่างการบันทึกบัญชีกรณีที่มีค่าขนส่งสินค้า ยกตัวอย่างการบันทึกบัญชีกรณีที่มีการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และจำเป็นต้องมีการบันทึกค่าขนส่งสินค้าเป็นรายได้ในบัญชี บริษัท A ขายเก้าอี้ผ่านช่องทางออนไลน์ราคา 1,000 บาท โดยมีค่าขนส่งสินค้าโดยบริษัทขนส่ง 50 บาท เมื่อลูกค้าชำระเงินและทำการจัดส่งสินค้าถึงมือลูกค้าเรียบร้อยแล้ว สามารถบันทึกบัญชีแยกได้ดังนี้ ราคารวมที่ลูกค้าต้องจ่ายคือ 1,000 + 50 = 1,050 บาท ทั้งนี้ หากบริษัท A ทำการจด VAT เรียบร้อยแล้วต้องทำการออกใบกำกับภาษี และต้องทำการบันทึกเป็นภาษีขาย 73.50 บาทด้วย โดยคิดเป็นราคารวม 1,123.50 บาท ทำไมบิลเก็บเงินค่าขนส่งสินค้า จากแพลตฟอร์มไม่ได้รวม VAT แต่ร้านค้าต้องคิด VAT? อีกหนึ่งคำถามที่หลายท่านอาจสงสัยเกี่ยวกับการคำนวณ VAT ของค่าขนส่งสินค้าจากแพลตฟอร์มออนไลน์ เพราะถ้าเราดูตัวอย่างใบเสร็จจากหัวข้อก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่าไม่ได้มีการคิด VAT มาด้วย แต่ทำไมร้านค้าถึงต้องคิด VAT เข้าไปในค่าขนส่งสินค้า ซึ่งคำตอบแยกได้เป็นสองส่วนดังนี้ เกิดอะไรขึ้นหากไม่ได้บันทึกค่าขนส่งสินค้า ลงในบัญชีบริษัท หากผู้ประกอบการไม่ได้ทำการลงบันทึกค่าขนส่งสินค้าเป็นรายได้ของบริษัท อาจทำให้ตัวเลขในรายการธุรกรรมมีความคลาดเคลื่อน เช่นในใบเสนอราคามีการเรียกเก็บค่าขนส่งสินค้ารวมเป็นจำนวนเงินที่เรียกเก็บจากลูกค้า แต่ในบันทึกบัญชีกลับไม่ได้มีจำนวนเงินค่าขนส่งสินค้าในส่วนนี้ อาจเกิดปัญหาตอนกระทบยอดตรวจสอบบัญชี และอาจส่งผลต่อการจัดการเรื่องภาษีได้ด้วยเช่นเดียวกัน เคล็ดลับลดข้อผิดพลาดในการบันทึกบัญชีสำหรับผู้ประกอบการ ในส่วนถัดมาเรามีเคล็ดลับสำหรับผู้ประกอบการในการลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการบันทึกบัญชี ซึ่งนอกจากการทำตารางบัญชีให้เข้าใจง่าย และการบันทึกบัญชีตามลำดับ ไม่ข้ามไปมา ยังมีปัจจัยอื่นที่เป็นส่วนช่วยให้ทำได้ง่ายยิ่งขึ้น จะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกัน เก็บเอกสารให้เป็นระบบ การทำงานบัญชีมักมาพร้อมกับเอกสารมากมายที่ต้องเก็บและจัดระเบียบ ดังนั้นการออกแบบระบบการจัดเก็บเอกสารที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี เอกสารเหล่านี้ควรได้รับการจัดหมวดหมู่อย่างเป็นระบบ และอาจเก็บทั้งรูปแบบไฟล์ และรูปแบบเอกสารจริง ตรงส่วนนี้หากจำเป็นต้องมีการอ้างอิงถึงเอกสารที่เก็บ นักบัญชีอาจต้องมีการบันทึกในบัญชีตามหมวดหมู่และระบบที่จัดเก็บ เช่น รหัสของเอกสาร เพื่อให้สามารถหยิบเอกสารเหล่านั้นออกมาตรวจสอบได้รวดเร็วมากขึ้น ทำสรุปบัญชีเป็นประจำทุกเดือน การทำบัญชีจำเป็นต้องทำเป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้เห็นภาพรวมด้านการเงิน และบัญชีของธุรกิจ ตรงส่วนนี้จะเป็นตัวช่วยประกอบการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ เพราะผู้ประกอบการจะได้เห็นธุรกรรมทั้งหมดในแต่ละเดือน สามารถใช้คาดการณ์ วางแผน หรือปรับปรุงแนวทางการดำเนินธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ การทำบัญชีในปัจจุบันมีการใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์เข้ามาช่วย เพื่อให้สามารถทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้น ทั้งยังลดข้อผิดพลาดลงได้ เพราะโปรแกรมเหล่านี้มักมาพร้อมฟีเจอร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านการบันทึกค่าใช้จ่าย การออกเอกสารที่เกี่ยวข้องอย่างใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จ/ใบกำกับภาษี ทั้งยังสามารถจัดทำรายงานได้แบบเรียลไทม์ รวมไปถึงช่วยในเรื่องการจัดการเรื่องภาษีอีกด้วย ดังนั้นการปรับใช้โปรแกรมบัญชีในการทำงานก็เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้การบันทึกบัญชีง่ายขึ้น และลดข้อผิดพลาดลงไปได้ บันทึกบัญชีง่าย ๆ ด้วยโปรแกรม PEAK Account PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่พร้อมเป็นตัวช่วยในการบันทึกบัญชี ด้วยฟีเจอร์สมุดบัญชีรายวัน ให้การบันทึกบัญชีง่ายยิ่งขึ้น และลดข้อผิดพลาด นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ การจัดการด้านเอกสารทั้งรายรับ รายจ่าย จัดการด้านการเงินและบัญชี การจัดการภาษี รวมไปถึงสต๊อกสินค้า เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำบัญชี เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเตรียมความพร้อมสู่การเติบโตของธุรกิจ

10 ต.ค. 2025

PEAK Account

12 min

การเชื่อมต่อ API เคล็ดลับลดเวลางานบัญชี สำหรับธุรกิจขายออนไลน์

ทุกวันนี้การปรับใช้โปรแกรมในการทำงานเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเร่งการเติบโตของธุรกิจ เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถช่วยลดเวลาการทำงาน อำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจได้ไม่รู้จบ และหนึ่งในเทคโนโลยีที่ช่วยผู้ประกอบการให้ทำธุรกิจง่ายขึ้นคือ การเชื่อมต่อ API ที่จะทำให้หลายโปรแกรมทำงานด้วยกันได้อย่างราบรื่น ซึ่งผู้ประกอบการหลายท่านอาจสงสัยว่า API คืออะไร และมีประโยชน์อะไรบ้าง มาค้นหาคำตอบในบทความนี้กันได้เลย การเชื่อมต่อ API ในการบันทึกบัญชีคืออะไร? การเชื่อมต่อ API (Application Programming Interface) คือการเชื่อมต่อเพื่อให้ระหว่างสองโปรแกรมขึ้นไปสามารถสื่อสารกันได้ โดยการสื่อสารนี้รวมไปถึงการถ่าย โอน ย้าย แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือการใช้งานฟังก์ชันต่าง ๆ ของระหว่างโปรแกรม โดย API จะทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโปรแกรมให้สามารถทำงานร่วมกันได้ ยกตัวอย่างเช่น โปรแกรม A และโปรแกรม B ทั้งสองโปรแกรมสามารถเข้าสู่ระบบด้วย Gmail และเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูลโปรไฟล์ใหม่ หากต้องการสมัครสมาชิกของโปรแกรม B  ดังนั้นโปรแกรม B จึงสร้าง API ขึ้นมาเพื่อให้สามารถดึงข้อมูลโปรไฟล์จากโปรแกรม A ได้นั่นเอง ซึ่งการเชื่อมต่อ API นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เพราะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของโปรแกรม เพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้งาน หลายโปรแกรมที่ดีจึงมักมาพร้อมกับระบบ API ให้สามารถเชื่อมต่อกับหลาย ๆ โปรแกรมที่มักใช้งานควบคู่กัน ในมุมของผู้ประกอบการที่กำลังมองหาโปรแกรมสำหรับใช้ในกิจการ ก็ควรเลือกโปรแกรมที่สามารถเชื่อมต่อ API ได้หลากหลาย ครอบคลุมกับการใช้งานของเรา ถ้าเป็นในกรณีของโปรแกรมบัญชีก็แนะนำให้มองหาโปรแกรมที่สามารถเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ หรือธนาคารก็จะสะดวกต่อการใช้งานมากที่สุดนั่นเอง ทำไมร้านค้าออนไลน์ต้องใช้ระบบ การเชื่อมต่อ API เพื่อบันทึกบัญชีอัตโนมัติ สำหรับฟีเจอร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกได้อย่างมากเมื่อใช้โปรแกรมที่มีการเชื่อมต่อ API คือการบันทึกบัญชีอัตโนมัติจากจำนวนออเดอร์ที่เข้ามา เพราะในธุรกิจที่ขายออนไลน์เป็นหลัก มีจำนวนคำสั่งซื้อเข้ามาต่อวันนับไม่ถ้วน การต้องมาบันทึกบัญชีด้วยตัวเองทุกรายการก็ใช้เวลาและแรงกายแรงใจเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังอาจเกิดความผิดพลาดในการลงข้อมูล ช่วยประหยัดเวลาการทำงาน ให้ผู้ประกอบการสามารถโฟกัสในเรื่องของการเพิ่มยอดขายได้อย่างเต็มที่ ตรงส่วนนี้โปรแกรมบัญชีที่เชื่อมต่อ API ได้คือคำตอบ  ทุกเอกสารเชื่อมตรงเข้าสู่ระบบบัญชี PEAK ซึ่ง PEAK Account ก็เป็นโปรแกรมบัญชีที่มีการเชื่อมต่อ API ครบถ้วนทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์และธนาคาร ที่สามารถดึงข้อมูลมาจากแพลตฟอร์มที่ใช้งานได้โดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูลด้วยตัวเอง ข้อดีตรงนี้จะช่วยลดเวลาการทำงาน ลดข้อผิดพลาด ได้โฟกัสกับส่วนที่จำเป็นมากกว่า อีกหนึ่งข้อดีที่ทำให้ผู้ประกอบการควรหันมาใช้โปรแกรมบัญชีคือ การจัดเก็บไฟล์เอกสารต่าง ๆ ที่ล้วนอยู่ในโปรแกรมสามารถเรียกดูได้ง่าย หรือจะโหลดเก็บไว้ในเครื่องก็ได้เช่นกัน หากเน้นทำธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ระบบการจัดเก็บเหล่านี้จะช่วยลดภาระของผู้ประกอบการลงไปได้เยอะพอสมควรเลยทีเดียว ส่วนผู้ประกอบการท่านไหนที่มีปัญหาเรื่องการทำงบหรือยื่นภาษี ที่มองว่ายุ่งยากและใช้เวลา การใช้โปรแกรมบัญชีที่ทุกระบบเชื่อมต่อกันก็จะทำให้การจัดการภาษีกลายเป็นเรื่องง่ายมากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าเพียงแค่โปรแกรมเดียวก็ช่วยวางรากฐานของระบบบัญชีของธุรกิจให้แข็งแรงเตรียมความพร้อมสู่การเติบโตในอนาคต การเชื่อมต่อ API ของ PEAK กับแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์สามารถทำอะไรได้บ้าง หนึ่งในโปรแกรมที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเชื่อมต่อกับ PEAK คือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ที่สามารถทำได้ทั้งการออกเอกสาร และบันทึกบัญชีอัตโนมัติเมื่อทำการเชื่อมต่อกับแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งในปัจจุบันโปรแกรม PEAK สามารถทำการเชื่อมต่อ API กับแพลตฟอร์มสำหรับขายสินค้าออนไลน์ได้ถึง 4 โปรแกรม ซึ่งตารางด้านล่างจะเป็นรายละเอียดของแต่ละโปรแกรมว่าเมื่อเชื่อมต่อกับ PEAK และจะส่งข้อมูลอะไรมาที่ PEAK ได้บ้าง ด้านเอกสาร ด้านเอกสารนับเป็นส่วนที่ค่อนข้างมีรายละเอียด และยุ่งยากในการจัดการพอสมควร หากจำเป็นต้องทำด้วยตัวเอง ดังนั้นโปรแกรม PEAK ที่สามารถเชื่อมต่อ API กับแต่ละแพลตฟอร์มขายสินค้าได้ ก็จะเรียกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเอกสารต่าง ๆ สำหรับการนำมาเก็บไว้เพื่อใช้เป็นหลักฐาน รวมไปถึงในการบันทึกบัญชี ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มสามารถดึงข้อมูลได้แตกต่างกัน เอกสารที่สามารถส่งข้อมูลระหว่างแพลตฟอร์มได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโปรแกรมต้นทางว่าสามารถส่งข้อมูลอะไรมายัง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ได้บ้าง ตัวอย่างหากขายสินค้าผ่านหลายแพลตฟอร์ม PEAK สามารถรับข้อมูลทางบัญชีมาสร้างเอกสารสำคัญและเก็บไว้ครบถ้วน ไม่ต้องคีย์เองทีละออเดอร์ ด้านการบันทึกบัญชีรายได้ ระบบช่วยบันทึกยอดขายและจัดหมวดหมู่ให้อัตโนมัติ ชัดเจนและตรวจสอบง่าย ในส่วนของการบันทึกบัญชี แต่ละแพลตฟอร์มก็สามารถส่งข้อมูลตรงมายัง PEAK เพื่อทำการบันทึกบัญชีได้เช่นกัน ซึ่งทั้ง 4 แพลตฟอร์มสามารถส่งข้อมูลรายได้ทั้งหมด 3 ส่วนด้วยกัน ความน่าสนใจคือ รายได้ค่าขนส่งสินค้า ที่ผู้ประกอบการบางท่านอาจไม่ทราบว่าต้องทำการบันทึกบัญชีรายได้เป็นรายการแยกออกจากค่าสินค้าด้วย ซึ่งส่วนนี้โปรแกรม PEAK ที่เชื่อมต่อ API กับแพลตฟอร์มก็จะดึงข้อมูลและทำการบันทึกส่วนนี้ให้โดยอัตโนมัติ สะดวกและรวดเร็วกว่าการทำด้วยตัวเองอย่างแน่นอน ตัวอย่างสถานการณ์การใช้โปรแกรม PEAK ในธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ บริษัท A ขายเสื้อผ้าผ่านหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Shopee, Lazada, TikTok, หรือ Line Shopping และในปัจจุบันก็เป็นช่วงขาขึ้นขายสินค้าดีทุกช่องทาง มียอดขายเข้ามาไม่หยุดหย่อน โดยเฉลี่ยแล้ว 30 ออเดอร์ต่อแพลตฟอร์ม ซึ่งในการบันทึกบัญชีก็ต้องไปดูรายการแต่ละแพลตฟอร์มเพื่อทำการบันทึก ซึ่งอาจใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วโมงและมีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน แต่ถ้าบริษัท A เลือกใช้โปรแกรมบัญชีที่มีการเชื่อมต่อ API กับแพลตฟอร์มทั้ง 4 แพลตฟอร์มได้ ก็สามารถดึงข้อมูลออเดอร์ทั้ง 3 แพลตฟอร์มบันทึกบัญชีให้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาทำข้อมูลเอง เตรียมความพร้อมสู่การเติบโตด้วยโปรแกรมบัญชี PEAK Account ด้วยเหตุนี้ถ้าคุณกำลังทำธุรกิจขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เหล่านี้ การปรับใช้ PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่มีการเชื่อมต่อ API อีกทั้งยังมาพร้อมฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานบัญชีและภาษี ที่สามารถช่วยจัดการข้อมูลสินค้า จัดการรายรับ-รายจ่าย รวมไปถึงบริหารจัดการข้อมูลการเงินและบัญชีโปรแกรม PEAK จึงไม่ได้ช่วยเพียงแค่การบันทึกยอดขายอย่างเดียว แต่ยังช่วยจัดการเรื่องการเงินและบัญชีได้อย่างรอบด้าน ช่วยให้สามารถวางรากฐานระบบบัญชีของธุรกิจให้มั่นคง ลดระยะเวลาการทำงาน ให้ผู้ประกอบการสามารถโฟกัสกับส่วนที่จำเป็นต่อยอดขายหรือการเติบโตของกิจการได้อย่างเต็มที่ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

3 ต.ค. 2025

PEAK Account

17 min

หยุดความเสี่ยง! รู้จักบัญชีม้า กลโกงมิจฉาชีพ และวิธีป้องกันธุรกิจคุณ

ช่วงนี้หลายท่านอาจได้ยินคำว่าบัญชีม้ากันบ่อย ๆ แต่ไม่เคยเข้าใจว่ามันคืออะไร บางท่านอาจมีคนใกล้ตัวถูกหลอกให้เปิดบัญชีม้าจนถูกดำเนินคดี หรือผู้ประกอบการบางท่านอาจสงสัยว่ามีเงินโอนเข้าบ่อย ๆ จะถูกอายัดบัญชีหรือไม่ ในบทความนี้เรารวบรวมความรู้เกี่ยวกับ บัญชีม้า กลโกงของมิจฉาชีพ และวิธีป้องกันไว้ให้คุณ บัญชีม้า คืออะไร? บัญชีม้า คือ บัญชีเงินฝากที่เจ้าของชื่อบัญชีไม่ได้เปิดขึ้นมาเพื่อใช้งานบัญชีดังกล่าวด้วยตัวเอง แต่เปิดบัญชีเพื่อให้มิจฉาชีพใช้ในการโอนเงินผิดกฎหมาย หรือรับเงินที่ได้มาจากการหลอกลวง ไม่ว่าจะเป็นเงินจากการพนันผิดกฎหมาย แก๊งคอลเซนเตอร์ที่หลอกลวงเงินจากผู้อื่น หรือแม้กระทั่งการฟอกเงิน ก็มักใช้บัญชีม้าเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถติดตามไปจนถึงต้นตอผู้กระทำผิด เพราะไม่สามารถโยงเส้นทางการเงินไปหาตัวได้นั่นเอง นอกจากนี้ในบางครั้งผู้ที่เปิดบัญชีม้าก็ถูกหลอกจากมิจฉาชีพให้เปิดบัญชีม้ามาอีกที ทำให้หลายครั้งกระทำความผิดโดยไม่รู้ตัว แต่หากถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบก็นับว่ามีความผิดทางกฎหมายเช่นกัน ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันตนเองส่วนถัดไปของบทความนี้เราจะมาแนะนำวิธีป้องกันจากการถูกหลอก พร้อมแนวทางการจัดการเมื่อถูกหลอกเปิดบัญชีม้า หรือถูกอายัดบัญชีเนื่องจากเข้าข่ายเป็นต้องสงสัยกัน เหตุผลที่เรียกว่า บัญชีม้า แต่ก่อนอื่น หลายท่านน่าจะสงสัยว่า ทำไมเรียกบัญชีม้า ซึ่งเหตุผลก็เพราะว่า ม้า ในที่นี้เปรียบเสมือนยานพาหนะสำหรับการพาเงินที่ได้มาจากการโกงผู้อื่น หรือเงินผิดกฎหมายที่ได้จากผู้ถูกหลอกลวง ไปสู่บัญชีของตนเองนั่นเอง และเพื่อให้สามารถติดตามตรวจสอบได้ยาก จึงมีการใช้ ม้า หรือ บัญชีม้า มาเป็นตัวกลางนั่นเอง บัญชีม้า แต่ละสี/ประเภท ข้อบ่งชี้ระดับความเสี่ยงของบัญชี บัญชีม้านั้นมีหลายระดับ โดยสามารถแบ่งตามระดับความเสี่ยงของการเข้าข่ายเป็นบัญชีม้า โดยสามารถเรียงลำดับได้ดังนี้ บัญชีธุรกิจที่มีความเสี่ยงเป็นบัญชีต้องสงสัย เงื่อนไขการเข้าข่ายเป็นบัญชีม้านั้นมีหลายแบบ แต่ด้วยรูปแบบของการดำเนินธุรกิจบางครั้งอาจทำให้สุ่มเสี่ยงเป็นบัญชีม้ามากเป็นพิเศษ โดยสามารถแบ่งเงื่อนไขได้เป็นดังนี้ ดังนั้นผู้ประกอบการท่านไหนที่บัญชีของธุรกิจเข้าข่ายทั้ง 3 ข้อนี้ก็มีโอกาสโดนตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ ดังนั้นควรเตรียมเอกสารเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของเส้นทางการเงินให้ครบถ้วน เพราะหากถูกระงับบัญชีเพื่อตรวจสอบ ก็สามารถกู้คืนกลับมาได้เร็วยิ่งขึ้น โอนเงินเข้าออกหลายครั้ง เข้าข่ายเป็นบัญชีม้าหรือไม่? หากบัญชีของคุณมีการโอนเงินเข้าออกหลายครั้ง อาจจะยังไม่นับว่าเป็นบัญชีม้า แต่อาจถูกตรวจสอบโดยทางกฎหมายได้มีการกำหนดเงื่อนไขประเภทของบัญชีที่ต้องทำการชี้แจงที่มาของเงินดังนี้ หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่ต้องรับเงินเข้าบัญชีตัวเองหลายครั้งต่อปี แต่หากยังไม่ถึงกำหนดข้างต้นก็ไม่จำเป็นต้องกังวล แต่ทั้งนี้แนะนำให้เก็บเอกสารไว้ให้ครบถ้วนสำหรับการยื่นให้สรรพากรในกรณีที่มีการตรวจสอบ บทลงโทษของการเปิดบัญชีม้า หากชื่อบัญชีของคุณถูกนำไปใช้เป็นเส้นทางการเงินผิดกฎหมายหรือกลายเป็นบัญชีม้า ก็เข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมายที่มีบทลงโทษกำหนดไว้อย่างชัดเจน โดยผู้กระทำความผิดจะเป็นทั้งผู้ที่นำบัญชีม้าไปใช้ และชื่อของผู้เปิดบัญชีอีกด้วย ซึ่งข้อกฎหมายนี้อยู่ใน พระราชกำหนด มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ได้มีการระบุบทลงโทษไว้ว่าจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีและปรับไม่เกิน 300,000 บาท โดยผู้ที่เข้าข่ายจะรวมตั้งแต่การเปิดบัญชี หรือยินยอมให้ใช้บัญชีธนาคารในการรับเงินผิดกฎหมาย หรือชำระเงินเกี่ยวกับสิ่งที่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ข้อกฎหมายยังกำหนดครอบคลุมไปถึงบัญชีธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ บัตรเครดิต และบัตรเดบิต ในส่วนของผู้ที่จัดหาหรือโฆษณาเชิญชวนผู้อื่นให้เปิดบัญชีม้าก็มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2-5 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000 – 500,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับด้วยนั่นเอง เป็นอีกหนึ่งการกระทำความผิดที่มีบทลงโทษรุนแรง ผลกระทบจากการต้องสงสัยและถูกระงับบัญชี สำหรับผู้ประกอบการแล้ว หากบัญชีของธุรกิจถูกระงับเนื่องจากเข้าข่ายต้องสงสัยว่าเป็นบัญชีม้าต้องส่งผลกระทบร้ายแรงสำหรับการดำเนินกิจการในหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน ที่หากบัญชีถูกระงับหรืออยู่ในระหว่างการตรวจสอบ ห้ามทำธุรกรรม ก็อาจทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินเดือนพนักงาน ส่งผลต่อไปถึงความน่าเชื่อถือของบริษัท นอกจากนี้ในมุมที่เกี่ยวข้องกับคนนอกบริษัท หากบริษัทจำเป็นต้องชำระหนี้ทุกเดือน แต่ไม่สามารถโอนเงินออกจากบัญชีได้ก็ส่งผลกระทบในส่วนนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ ความไว้ใจในการทำธุรกิจระหว่างองค์กรด้วยเช่นเดียวกัน ในที่นี้ก็อาจรวมไปถึงการบริหารเงินภายในองค์กรเองด้วย ด้วยเหตุนี้นักบัญชีหรือผู้ประกอบการควรที่จะให้ความสำคัญ วางแผนล่วงหน้าหากธุรกิจของเราอาจถูกตรวจสอบ ด้วยการเตรียมเงินสดสำรอง รวมไปถึงการเตรียมเอกสารหลักฐานสำคัญที่ใช้ในการยืนยันความบริสุทธิ์ให้แก่เจ้าหน้าที่ เพื่อให้สามารถจัดการบัญชีให้กลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็วหากถูกตรวจสอบ วิธีป้องกันบัญชีบริษัทไม่ให้กลายเป็นบัญชีม้า ในส่วนนี้เราได้รวบรวมวิธีป้องกันเบื้องต้น ที่ช่วยให้บัญชีขององค์กรไม่ให้เข้าข่ายสุ่มเสี่ยงกลายเป็นบัญชีม้าโดยไม่รู้ตัว ซึ่งโดยหลักแล้วธุรกิจสามารถป้องกันได้ด้วยการจัดการระบบควบคุมภายใน (Internal Control) ขององค์กรให้ชัดเจน มีความเป็นระเบียบ แบ่งแยกหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง โดยสามารถทำได้ 3 ข้อดังนี้ 1. แบ่งแยกหน้าที่ระหว่างฝ่ายบัญชีและการเงินให้ชัดเจน (Segregation of Duties) เพราะการทำงานที่ทับซ้อนหรือไม่ชัดเจนอาจก่อให้เกิดความผิดพลาดในการจัดการระบบภายในองค์กรได้ หรือการแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจน และห้ามให้มีการผ่อนปรนอันเป็นโอกาสนำไปสู่ปัญหาได้ ซึ่ง Segregation of Duties หรือ SoD สามารถทำได้หลัก ๆ ดังนี้ ซึ่งการจัดการระบบภายในเหล่านี้จะช่วยให้ทำงานกันอย่างลื่นไหล เป็นระเบียบ ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด ซึ่งรวมไปถึงปิดช่องโหว่การฉ้อโกง เพิ่มความโปร่งใสในการทำงาน และลดโอกาสที่จะทำให้บัญชีเข้าข่ายต้องสงสัย หรือหากมีการตรวจสอบก็มีหลักฐานชัดเจน 2. ตรวจสอบรายการบัญชีเป็นประจำ เนื่องจากบัญชีม้ามีความเกี่ยวข้องกับการเดินบัญชี ดังนั้นการตรวจสอบรายการบัญชีของธุรกิจเป็นประจำอย่างต่อเนื่องสามารถช่วยป้องกันได้ระดับหนึ่ง หรืออาจดูจากจำนวนครั้งการโอน และยอดการโอนที่หากเข้าข่ายต้องได้รับการตรวจสอบจากกรมสรรพากร นักบัญชีอาจเตรียมเอกสารการชี้แจงต่าง ๆ ให้พร้อมเพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบเร็วยิ่งขึ้น 3. กำหนดผู้มีอำนาจในตรวจสอบอนุมัติ การทำธุรกรรมแต่ละครั้งควรมีผู้มีอำนาจไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการฝ่ายบัญชี หรือเจ้าของธุรกิจรับหน้าที่ตรวจสอบรายการธุรกรรมและเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีของบริษัท เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการโกงโดยพนักงาน หรือมีการโอนเงินที่ผิดปกติ 4. จัดเก็บเอกสารด้านบัญชีอย่างเป็นระบบ หากธุรกิจเข้าข่ายสุ่มเสี่ยงและถูกตรวจสอบจากผู้มีอำนาจ ผู้ประกอบการสามารถยืนยันความบริสุทธิ์ของเส้นทางการเงินบริษัทได้ด้วยการแสดงเอกสารต่าง ๆ เช่น ใบแจ้งหนี้ หรือใบเสร็จรับเงินที่สามารถใช้เป็นหลักฐานแสดงความบริสุทธิ์ได้ ดังนั้นนักบัญชีหรือผู้ประกอบการควรวางระบบภายในที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บเอกสาร เช่น การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ควบคู่กับการเก็บเอกสารฉบับจริง ก็สามารถช่วยให้จัดการเอกสารด้านบัญชีให้เป็นระเบียบ เรียกดูเอกสารแต่ละฉบับได้ง่ายมากขึ้นได้ Checklist เอกสารที่ต้องเตรียม เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเส้นทางการเงินบริษัท ในกรณีที่บริษัทถูกตรวจสอบจากผู้มีอำนาจ เนื่องจากเข้าข่ายเสี่ยงเป็นบัญชีม้า ผู้ประกอบการหรือนักบัญชีสามารถจัดเตรียมเอกสารให้เรียบร้อยสำหรับการยืนยันเส้นทางการเงิน เป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้องค์กร โดยมีเอกสารทั้งหมด 4 ส่วนดังนี้ ซึ่งเอกสารเหล่านี้สามารถใช้ในการยืนยันถึงเส้นทางการเงินของบริษัทได้ ดังนั้นผู้ประกอบการควรมีการวางระบบจัดการเอกสารให้ชัดเจน หากมีความจำเป็นต้องยื่นเอกสารเหล่านี้ประกอบก็สามารถทำได้รวดเร็วและถูกต้องมากยิ่งขึ้น โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ตัวช่วยจัดการเอกสารด้านบัญชีในองค์กร จากที่เราได้แนะนำก่อนหน้านี้ว่า การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ควบคู่ไปกับการจัดเก็บเอกสารฉบับจริง ก็ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการระบบเอกสารเหล่านี้ได้ดีมากยิ่งขึ้น สามารถเรียกดูได้ง่าย ลดโอกาสที่เอกสารจะสูญหาย รวมไปถึงสามารถดูข้อมูลได้อย่างชัดเจน ซึ่ง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ก็เป็นหนึ่งในโปรแกรมด้านบัญชีที่สามารถใช้ในการจัดการระบบบัญชีในองค์กร มาพร้อมฟีเจอร์ด้านบัญชีต่าง ๆ มากมาย ที่นอกจากช่วยการจัดการเอกสารในการยืนยันความบริสุทธิ์จากการเข้าข่ายเป็นบัญชีม้า ยังสามารถออกเอกสารบัญชี เรียกดูรายงาน เพื่อการวิเคราะห์ด้านการเงินของธุรกิจได้อย่างแม่นยำ! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

25 ก.ค. 2025

PEAK Account

15 min

เทคนิคออกเอกสาร หนังสือรับรองเงินเดือน ให้ถูกต้องและมืออาชีพ

ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจมาระดับหนึ่ง และมีพนักงานพอสมควร ต้องเคยมีพนักงานเข้ามาขอใบรับรองมากมาย ไม่ว่าจะเป็นใบรับรองการทำงาน หรือหนังสือรับรองเงินเดือน และในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ หนังสือรับรองเงินเดือน ให้มากขึ้น ว่าคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร รวมไปถึงข้อมูลที่ต้องมี เพื่อให้สามารถออกเอกสารให้พนักงานได้อย่างถูกต้อง จะมีเนื้อหาอะไรบ้าง เรามาเริ่มกันเลย! ทำความรู้จัก หนังสือรับรองเงินเดือน หนังสือรับรองเงินเดือน คือ เอกสารที่บริษัทออกให้แก่พนักงานเพื่อเป็นการยืนยันถึงเงินเดือนที่พนักงานได้รับในแต่ละเดือนจากบริษัทดังกล่าว และนอกจากการยืนยันจำนวนเงินเดือนแล้ว ยังเป็นเอกสารที่ช่วยยืนยันสถานะการทำงาน การเป็นพนักงานในองค์กรนั้น ๆ ได้อีกเช่นเดียวกัน ซึ่งหนังสือรับรองเงินเดือนนี้ก็จะประกอบไปด้วยข้อมูลสำคัญสำหรับใช้ในด้านการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับด้านการเงิน โดยผู้ประกอบการสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเต็ม ๆ เกี่ยวกับหนังสือรับรองเงินเดือนได้ที่บทความ “ใบรับรองเงินเดือนเอกสารสำคัญที่มนุษย์เงินเดือนห้ามพลาด” ซึ่งโดยปกติแล้วหนังสือรับรองเงินเดือนที่พนักงานขอมักนำไปใช้ในการติดต่อธุระ โดยหลักจะมี 2 วัตถุประสงค์ที่พนักงานมักขอประกอบไปด้วย เหตุผลที่จำเป็นต้องใช้เอกสารรับรองเงินเดือนในการติดต่อธุระเหล่านี้ เพื่อเป็นการยืนยันสถานภาพทางการเงินของผู้ยื่นว่ามีเงินเดือนและสามารถชำระหนี้ได้ตามที่กำหนด สิ่งที่ผู้ประกอบการควรรู้เกี่ยวกับการออก เอกสารรับรอง สำหรับผู้ประกอบการแล้ว ถึงแม้เราอาจไม่ได้ใช้หนังสือรับรองเงินเดือนโดยตรง แต่ก็มีหน้าที่ต้องออกเอกสารเหล่านี้ให้พนักงาน ในส่วนนี้เราจึงจะมาแนะนำในมุมของผู้ประกอบการโดยเฉพาะ ว่ามีเรื่องใดที่ควรทราบ 1. เตรียมเอกสารล่วงหน้า ลดความยุ่งยากในการทำงาน สำหรับเอกสารหนังสือรับรองเงินเดือน เป็นเอกสารที่ผู้ประกอบการสามารถเตรียมไว้ล่วงหน้าได้เป็นเทมเพลตเพื่อให้สามารถนำมาใช้งานได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องเพิ่มขั้นตอนให้มีความยุ่งยากซับซ้อน เมื่อมีพนักงานขอเอกสารสามารถเปลี่ยนข้อมูลเล็กน้อยและใช้ได้เลย 2. ผู้จัดการฝ่ายบุคคล หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจะสามารถลงนามรับรองเอกสารได้ การเซ็นรับรองหนังสือเงินเดือนให้พนักงาน โดยปกติจะเป็นอำนาจของผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่สามารถลงลายมือชื่อเพื่อรับรองเอกสารฉบับดังกล่าวได้ นอกจากนี้ผู้ที่รับมอบหมายให้มีอำนาจก็สามารถลงนามเพื่อยืนยันส่วนนี้ได้เช่นกัน 3. ต้องมีการประทับตราบริษัทเสมอ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับหนังสือรับรองเงินเดือน ในส่วนนี้บริษัทจำเป็นต้องลงประทับตราบริษัทลงไปในเอกสารเพื่อเป็นการยืนยัน และลดโอกาสในการปลอมแปลงเอกสารได้  4. การออกเอกสารรับรองสำหรับพนักงานที่รับเงินรายวัน ในบางบริษัทอาจมีพนักงานที่รับเงินรายวัน ไม่ใช่ในรูปแบบของเงินเดือน ในกรณีนี้สามารถออกหนังสือรับรองเงินเดือนได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามภายในเอกสารจำเป็นต้องมีการระบุให้ชัดเจนว่าพนักงานผู้ยื่นขอเอกสาร ได้รับเงินในรูปแบบรายวัน เพื่อแจ้งให้ธนาคารทราบประกอบการพิจารณานั้นเอง 5. หนังสือรับรองเงินเดือน ไม่ใช่ สลิปเงินเดือน หนังสือรับรองเงินเดือน แตกต่างจากสลิปเงินเดือนพอสมควร เพราะหนังสือรับรองเงินเดือนคือเอกสารที่ออกโดยบริษัทตามคำขอพนักงาน มีข้อมูล และการลงลายมือชื่อกำกับพร้อมตราประทับ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับข้อมูลได้มากกว่าสลิปเงินเดือน เพราะในขณะเดียวกัน สลิปเงินเดือน จะเป็นเอกสารที่พนักงานได้รับทุกเดือนอยู่แล้ว เพื่อยืนยันว่าทางบริษัทได้มีการจ่ายเงินเดือนให้พนักงานจริง พร้อมแจงรายละเอียดต่าง ๆ ของเงินที่ได้รับ นอกจากนี้ยังมีเอกสารรับรองการทำงานที่มีความคล้ายกันอีกด้วย 6. ภาษาของเอกสารขึ้นอยู่กับความต้องการของพนักงาน สำหรับหนังสือรับรองเงินเดือนสามารถออกเป็นทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้ ขึ้นอยู่กับหน่วยงานหรือเงื่อนไขที่พนักงานต้องการติดต่อยื่นเอกสาร ในส่วนนี้เราขอแนะนำให้ผู้ประกอบการหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจัดเตรียมเทมเพลตไว้ทั้ง 2 ภาษาเพื่อรองรับคำขอจากพนักงาน อีกทั้งยังช่วยลดการทำงานของพนักงานฝ่ายบุคคลหรือผู้ออกเอกสารไม่ต้องทำเอกสารใหม่ทุกครั้งเมื่อเปลี่ยนภาษาอีกด้วย 7. จัดวางระบบ ใช้โปรแกรมออนไลน์ ช่วยลดจำนวนเอกสารและขั้นตอนการทำงาน การออกเอกสารต่างๆ เช่น หนังสือรับรองเงินเดือน แม้จะไม่ใช่งานที่ยากซับซ้อน แต่กลับเป็นงานที่กินเวลาทำงานของพนักงานฝ่ายบุคคลเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในองค์กรที่มีจำนวนพนักงานเยอะ ซึ่งอาจทำให้ฝ่ายบุคคลไม่สามารถมุ่งเป้าหมายไปที่การพัฒนาบุคลากรในองค์กรได้อย่างเต็มที่ เพื่อแก้ปัญหานี้ ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการลดจำนวนงานที่ไม่จำเป็น โดยการนำ โปรแกรมเงินเดือนและบริหารงานบุคคลออนไลน์ เข้ามาช่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง PEAK Payroll ฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อลดขั้นตอนและลดจำนวนเอกสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยฟีเจอร์ PEAK Payroll ฝ่ายบุคคลและผู้ประกอบการจะสามารถ: การนำ PEAK Payroll เข้ามาใช้ จะช่วยให้งานเอกสารของฝ่ายบุคคลลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้มีเวลาและทรัพยากรมากขึ้นในการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตขององค์กรในระยะยาวค่ะ 8. เอกสารอื่น ๆ ที่พนักงานอาจขอ นอกจากหนังสือรับรองเงินเดือนแล้ว ยังมีเอกสารอื่นที่พนักงานอาจขอสำหรับการนำไปใช้ยื่นในธุระสำคัญต่าง ๆ ของแต่ละ โดยในส่วนนี้เราขอยกตัวอย่างเอกสารที่ใกล้เคียงกัน และเป็นหนึ่งในเอกสารที่มักมีการขอจากพนักงานบ่อยพอสมควร 8.1 สลิปเงินเดือน จากที่เราได้แนะนำไปในข้อก่อนหน้านี้ สลิปเงินเดือนก็เป็นอีกหนึ่งเอกสารที่พนักงานมักใช้ในการยื่น แต่โดยปกติแล้วสลิปเงินเดือนจะทำการส่งให้พนักงานในแต่ละเดือนเพื่อยืนยันว่าพนักงานได้รับเงินจริงแล้ว ทั้งนี้สำหรับบางองค์กรที่ยังยื่นเอกสารแบบแผ่นจริงให้พนักงาน อาจพบกับปัญหาด้านการจัดเก็บเอกสาร แนะนำให้เลือกใช้โปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ที่มีระบบส่งสลิปอัตโนมัติสะดวกมากยิ่งขึ้น 8.2 หนังสือรับรองการทำงาน อีกหนึ่งเอกสารที่มีความเป็นทางการมากยิ่งขึ้น แต่จะไม่มีการระบุถึงเงินเดือนของพนักงาน โดยจะเป็นเอกสารเพื่อยืนยันสถานภาพการเป็นพนักงานในองค์กรเท่านั้น โดยเอกสารนี้จะมีความใกล้เคียงกับหนังสือรับรองเงินเดือน ที่ต้องมีการลงชื่อโดยผู้รับรอง สามารถทำได้สองภาษา และสามารถทำเป็นเทมเพลตเตรียมให้พนักงานได้เช่นเดียวกัน  ข้อควรระวังในการออกหนังสือรับรองเงินเดือน ข้อควรระวังสำหรับผู้ประกอบการในการออกหนังสือรับรองเงินเดือน คือ ข้อมูลภายในเอกสารที่ควรตรวจสอบให้ถูกต้องชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นชื่อ จำนวนเงินเดือน หรือวันที่ เพื่อลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและอาจส่งผลเสียถึงองค์กรได้ รวมไปถึงตราประทับบริษัทก็เป็นเรื่องที่สำคัญเพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือของเอกสาร สรุปสิ่งสำคัญที่ควรรู้ก่อนออกเอกสารรับรอง จากข้อมูลข้างต้นน่าจะพอรู้จักกับ หนังสือรับรอง เงินเดือนกันมากขึ้นว่ามีความสำคัญอย่างไร มีข้อมูลอะไรบ้าง และผู้ประกอบการควรเตรียมตัวอย่างไรเมื่อมีพนักงานขอเอกสาร ซึ่งเอกสารฉบับนี้ก็ไม่ได้มีความซับซ้อน แต่หากเตรียมพร้อมให้ดีก็ช่วยลดขั้นตอนการทำงานของพนักงานลงได้ โดยเฉพาะในงานของฝ่ายบุคคลที่เอกสารหนังสือรับรองเงินเดือนเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีเอกสารอีกมากมายที่จำเป็นต้องใช้ และเป็นหน้าที่ขององค์กรในการออกเอกสารเหล่านั้นให้พนักงาน ทำให้การมีโปรแกรมที่เข้ามาช่วยลดขั้นตอนการทำงานในส่วนนี้อย่าง PEAK Payroll ที่พร้อมช่วยลดการทำงานของฝ่ายบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการออกสลิปเงินเดือน การทำเงินเดือนให้เป็นระบบ การยื่นประกันสังคม และการคำนวณภาษี ที่ล้วนเป็นงานซับซ้อนให้ง่ายมากยิ่งขึ้น ลดข้อผิดพลาด พร้อมโฟกัสกับการพัฒนาศักยภาพของพนักงานได้อย่างแท้จริง สามารถอ่านคู่มือการใช้งานเบื้องต้นของ PEAK Payroll ได้ที่นี่ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

18 ก.ค. 2025

PEAK Account

6 min

5 เคล็ดลับ สร้างเว็ปไซต์ ให้ขายดีแบบมือโปร!

เคยสงสัยกันมั้ยคะว่าทำไมเว็บขายของของเราถึงขายไม่ได้หรือขายได้น้อย ทั้ง ๆ ที่เว็บอื่น ๆ ก็ขายเหมือนกับเรา เขามีเทคนิคเรียกลูกค้ายังไงกันนะ? ปัญหานี้แก้ไม่ยาก เพียงแค่ลองกลับมาเช็คเว็บขายของของตัวเองดูก่อนว่าเว็บไซต์ของเราพร้อมเปิดขายให้ลูกค้าแล้วหรือยัง ส่วนประกอบของเว็บไซต์ที่สำคัญมีครบหรือไม่ โดยทำตาม 5 เทคนิคที่เราจะบอกในบทความนี้ หากอยากรู้เพิ่มเติมว่าเว็บไซต์ธุรกิจที่ดีควรมีอะไรบ้าง และวิธีสร้างเว็บไซต์ตั้งแต่เริ่มต้น อ่านต่อได้ในบทความ👉 ส่วนประกอบของเว็บไซต์ที่สำคัญ👉 6 ขั้นตอนสร้างเว็บไซต์ธุรกิจฉบับเจ้าของมือใหม่! 5 เทคนิค สร้างเว็บขายของให้ขายดี! 1. รูปภาพต้องคมชัดและมีหลายมุม เมื่อจะขายของ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ รูปภาพสินค้า ซึ่งจะต้องมีความคมชัด ภาพไม่แตกหรือเบลอ เพราะสินค้าบางประเภทอาจมีรายละเอียดที่ต้องโฟกัสและอาจเป็นจุดขายของสินค้านั้นเลยก็ได้ เช่น ลายสินค้า พื้นผิววัสดุ ลายของผ้า  เราแนะนำว่า รูปภาพสินค้าบนเว็บไซต์ควรมีความละเอียด 75 PPI และกว้าง 1000 Pixels ขึ้นไป สำหรับรูปภาพสินค้าที่ต้องมีหลายมุม ก็เพื่อเป็นการนำเสนอรูปลักษณ์ภายนอกของสินค้าทั้งหมด หรือบอกถึงฟังก์ชั่นการใช้งานของสินค้า เช่น ปุ่มกด ด้ามจับ วิธีเปิดใช้งาน ฯลฯ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าเข้าใจตัวสินค้ามากขึ้น และเป็นการเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้นเช่นกัน 2. ตั้งชื่อสินค้า ให้จำง่ายที่สุด หากเราใช้ชื่อสินค้าสุดยูนีคที่คิดขึ้นมาเอง อาจทำให้สินค้าของเราถูกเสิร์ชเจอได้ยากขึ้น ดังนั้น เราควรตั้งชื่อสินค้าด้วยชื่อมาตราฐาน และควรมีรายละเอียดสั้น ๆ ของสินค้า เพื่อบอกถึงคุณสมบัติคร่าว ๆ ของสินค้าได้ 3. ใส่ข้อมูลสินค้าบนเว็บให้ครบและเข้าใจง่าย ข้อมูลที่ครบถ้วนคือข้อมูลที่พร้อมขายได้ด้วยตัวเอง โดยที่ลูกค้าไม่ต้องโทรมาถามให้เสียเวลา เจ้าของเว็บไซต์จึงควรใส่ข้อมูลสำคัญของสินค้าไปให้ครบถ้วนมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น สี ขนาด คุณสมบัติ ราคา วิธีการใช้งาน และเงื่อนไขการรับประกันสินค้า  4. ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าได้ง่ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มช่องค้นหา (Search) หรือเปิดตัวกรองสินค้า (Product Filter) ไว้บนเว็บไซต์ เป็นสิ่งที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการได้รวดเร็วที่สุด ไม่ว่าจะกรองด้วยแบรนด์ ไซส์ สี หรือราคา เมื่อลูกค้าหาสินค้าที่ต้องการได้ไว เราก็ขายได้เร็วขึ้นด้วย   5. เว็บขายของต้องจ่ายง่ายและปลอดภัย การมีช่องทางการชำระเงินที่ครอบคลุมทุกการสะดวกจ่ายของลูกค้า มี QR Promtpay สแกนผ่านแอปธนาคารได้โดยง่าย ใครที่อยากสะสมพ้อยท์บัตรเครดิตก็เลือกจะจ่ายแบบตัดบัตรได้เลย หรือหากสะดวกเก็บเงินปลายทางก็มีให้ มากกว่านั้นหากเว็บขายของนั้นขายสินค้าราคาสูง ก็มีตัวเลือกให้ผ่อนชำระได้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้นแบบเท่าตัวเลยล่ะค่ะ สรุปท้ายบทความ : จัดการเว็บไซต์ได้แบบมืออาชีพกับ MakeWebEasy การออกแบบเว็บไซต์ขายของให้ดี อาจไม่ใช่แค่การออกแบบเว็บไซต์ให้สวยงามอย่างเดียว แต่ต้องทำให้เว็บไซต์ให้มีสิ่งที่ลูกค้าต้องการอย่างครบถ้วนและซื้อได้ง่ายที่สุด อยากให้เจ้าของร้านค้าลองนึกถึงประโยชน์และความสะดวกสบายของลูกค้ามาก่อนความสบายของเจ้าของร้านอย่างตัวเราเอง ไม่เพียงแค่จะทำให้ธุกิจของเราน่าเชื่อถือ แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ดีที่ช่วยให้ธุรกิจของเราไปต่อได้อย่างราบรื่นอีกด้วย  อยากทำเว็บไซต์ขายของให้ขายดี มาเริ่มเปิดเว็บไซต์ด้วยตัวเองง่าย ๆ ที่ MakeWebEasy.com ได้เลยค่ะ ติดต่อสอบถามทีมงาน MakeWebEasy โทร. 022177999 Facebook Page : www.facebook.com/makewebeasy   Add Line : 40xsm5339b  

18 ก.ค. 2025

PEAK Account

9 min

6 ขั้นตอน สร้างเว็บไซต์ ธุรกิจฉบับเจ้าของมือใหม่

ยุคนี้ อะไร ๆ ก็ง่ายและสะดวกไปหมด ไม่เว้นแม้แต่การทำเว็บไซต์ ที่หากเรามองย้อนไปเมื่อหลายปีก่อนอาจจะดูยุ่งยาก ซับซ้อน ทั้งในเรื่องระบบ การเขียนโค้ด การออกแบบและค่าใช้จ่ายที่แพงเกินเอื้อม แต่ตอนนี้ เรามีระบบเว็บไซต์สำเร็จรูปเกิดขึ้นมา ทำให้การสร้างเว็บไซต์เป็นของตัวเองนั้นดูง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก  บทความนี้จะเป็นการแนะนำวิธีสร้างเว็บไซต์ฟรี ด้วยระบบเว็บไซต์ของ MakeWebEasy รับรองว่าถ้าคุณทำตามวิธีนี้ คุณจะได้เว็บไซต์ฟรีที่ใช้งานได้จริงและขยายธุรกิจบนออนไลน์ได้แน่นอน เริ่มสร้างเว็บไซต์ฟรีกับ MakeWebEasy  สมัครสร้างเว็บไซต์ฟรี คลิก 1. วางข้อมูลและทำแผนผังเว็บไซต์ (Sitemap) ก่อนจะเริ่มสร้างเว็บไซต์ เราต้องจัดเตรียมข้อมูลก่อนว่าเว็บไซต์ของคุณจะมีกี่หน้า? มีหน้าอะไรบ้าง? ด้วยการทำ Sitemap หรือสร้างแผนผังเว็บไซต์ เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมของเว็บไซต์ทั้งหมด จากนั้นลองวางโครงสร้างหน้าเพจ วาด Layout ใส่รายละเอียดคร่าวๆ ว่าแต่ละหน้าเพจที่จะทำนั้นมีข้อมูลอะไรอยู่ในหน้านั้นบ้าง อาจดูตัวอย่างการจัดวางเนื้อหาจากเว็บไซต์คู่แข่งว่าเขามีบริการอะไรที่แตกต่างจากเราบ้าง และนำมาปรับใช้กับเว็บไซต์ของเรา หรือจะเข้าไปดูตัวอย่างเว็บไซต์จากแหล่งรวบรวมไอเดียสร้างเว็บไซต์ก็ได้ 2. สมัครสร้างเว็บไซต์ฟรี  ระบบเว็บไซต์สำเร็จรูปในปัจจุบันมีให้เลือกเยอะมาก แต่หากต้องการใช้ฟรี มีฟีเจอร์พื้นฐานหลัก ๆ ที่ครบครัน ระบบเว็บไซต์ของ MakeWebEasy ตอบโจทย์ที่สุด  ซึ่งคุณสามารถสมัครใช้งานได้จาก Email หรือ Facebook พร้อมใส่ชื่อโดเมนเว็บไซต์ (www.) ที่ต้องการได้เลย โดยระบบจะแจ้งเตือนหากใช้ชื่อซ้ำ และจะให้เลือกเทมเพลตเว็บไซต์ก่อนเข้าสู่การใช้งานจริง 3. ปรับแต่งหน้าแรกของเว็บไซต์ (Home Page) หน้าแรกถือเป็น First Impression สำหรับลูกค้าหรือผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์เลย ซึ่งเราควรเลือกข้อมูลที่สำคัญจริง ๆ และใช้คำ รูปภาพที่ดึงดูดใจลูกค้ามากที่สุดไว้ในส่วนบน และใน 1 หน้าเว็บไซต์ไม่ควรยาวจนเกินไป แนะนำว่ามีสัก 4 – 6 sections ก็เพียงพอแล้วค่ะ จุดสำคัญที่ควรใส่ใจมากที่สุดบนหน้า Home Page คือส่วนบน (Header) และส่วนล่าง (Footer) เพราะเป็นส่วนที่จะอยู่ในทุกหน้าของเว็บไซต์ ควรตรวจสอบให้ดีว่ามีโลโก้ ช่องทางการติดต่อครบและถูกต้องหรือไม่ เพราะหากผิดพลาดไป อาจทำให้คุณเสียลูกค้าไปได้เลย สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า ส่วนประกอบสำคัญในการสร้างเว็บไซต์มีอะไรบ้าง คลิกอ่านที่นี่เลย 4. ใส่ข้อมูลให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือ อยากให้เว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับมากขึ้น อยากให้คนเข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น การลงบทความบนเว็บไซต์จึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้คนค้นหาเว็บไซต์ของคุณเจอด้วยการค้นคีย์เวิร์ด เว็บไซต์ E-commerce จะขาดสินค้าไปไม่ได้เลย ซึ่งคุณควรใส่ข้อมูลให้ครบถ้วนมากที่สุด เพื่อให้ลูกค้าสามารถอ่านรายละเอียดและตัดสินใจซื้อได้เลยบนเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็น SKU ชื่อรุ่น คุณสมบัติเฉพาะต่าง ๆ เพิ่มเติมด้วยการใส่รูปหลากหลายมุมและคลิปวิดิโอยิ่งดี ลงข้อมูลสินค้าพร้อมช้อปแล้ว ก็อย่าลืมเปิดใช้งานบัญชีรับเงินด้วยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินผ่านธนาคาร QR Promptpay หรือรับชำระผ่านบัตรเครดิต ในระบบเว็บไซต์ของ MakeWebEasy นอกจากเราจะเลือกผู้ให้บริการขนส่งได้หลากหลายแล้ว ยังกำหนดค่าบริการตาม จำนวน, ราคา และน้ำหนักของสินค้าได้อีกด้วย 5. ปรับแต่ง SEO เว็บไซต์ การทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมได้ เพิ่มจำนวนคนที่รู้จักได้ มีลูกค้าเข้ามาได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องยิงโฆษณา ซึ่งการตั้งค่า SEO หลัก ๆ จะอยู่ที่ การทำเนื้อหาเว็บไซต์ การจัดวางโครงสร้างเนื้อหา และการเลือกใช้ Keyword บนเว็บไซต์ค่ะ 6. ติดตั้ง Google Analytics สุดยอดเครื่องมือที่นักการตลาดออนไลน์ทุกคนต้องใช้  เพราะ Google Analytics สามารถวัดผลลัพธ์ของเว็บไซต์ และการทำการตลาดได้มากมาย เช็คจำนวนผู้ชมเว็บไซต์ว่าเป็นใคร มาจากช่องทางไหน เข้ามาทำอะไรบ้างในเว็บไซต์ นับเป็นเครื่องมือวัดผลลัพธ์ที่ครอบคลุมมากที่สุดเลยค่ะ สรุปท้ายบทความ : สร้างเว็บไซต์ได้แบบมืออาชีพ หากคุณทำธุรกิจแล้วอยากขยายช่องทาง เพิ่มรายได้ให้มากขึ้น มาสร้างเว็บไซต์เองได้ง่ายๆ เพื่อต่อยอดทำการตลาดออนไลน์ด้วย SEO หรือ Google Ads เพื่อเพิ่มโอกาสการขายให้มากขึ้น ธุรกิจของคุณก็จะเติบโตได้แบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว และคุณสามารถเรียนรู้ 5 เคล็ดลับในการสร้างเว็ปไซต์แบบมือโปรได้ในบทความนี้ คลิก ลองสร้างเว็บไซต์ฟรีมากดมาเล่นกันดูได้ที่ MakeWebEasy.com นะคะ ติดต่อสอบถามทีมงาน MakeWebEasy โทร. 022177999 Facebook Page : www.facebook.com/makewebeasy  Add Line : 40xsm5339b

18 ก.ค. 2025

PEAK Account

10 min

ส่วนประกอบสำคัญ บนเว็ปไซต์ที่ธุรกิจต้องมี?

คนไทยส่วนใหญ่มักเริ่มต้นทำธุรกิจด้วยการเปิดร้านค้าบน Social media แต่ถ้าคุณอยากให้ธุรกิจเติบโตยิ่งขึ้น การขายแบบนี้อาจยังไม่เพียงพอ หลายธุรกิจจึงต้องการขยายฐานลูกค้าออนไลน์และหันไปลงขายสินค้าบน Market Place อย่าง Shopee, Lazada หรือทำ เว็บไซต์ e-Commerce เพิ่มเติม เพื่อสร้างมั่นคงให้กับแบรนด์และ ทำการตลาดออนไลน์ผ่าน เว็บไซต์ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งการจะทำให้เว็บไซต์ e-Commerce ประสบความสำเร็จได้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป หากคุณมีการพัฒนาเว็บไซต์อยู่ตลอดเวลา ธุรกิจของคุณก็ประสบความสำเร็จได้ e-Commerce คือ อะไร ? Electronic Commerce หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า e-Commerce คือ การทำธุรกิจที่มีการซื้อขายสินค้าแลกเปลี่ยนสินค้า และบริการต่างๆ กันบนอินเตอร์เน็ต โดยใช้เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน เป็นช่องทางในการโปรโมท รวมไปถึงเป็นช่องทางการติดต่อระหว่างร้านค้าและลูกค้า จุดเด่นของ eCommerce คือผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงร้านค้า เลือกซื้อสินค้า และบริการได้ง่ายๆ ตลอด 24 ชั่วโมง นั่นหมายความว่า หากธุรกิจของคุณมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง ผู้คนที่ใช้อินเตอร์เน็ตก็สามารถเข้าถึงร้านค้าของคุณได้ตลอดเวลา กดซื้อสินค้าได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม แล้วเว็บไซต์ e-Commerce ที่ดีต้องมีอะไรบ้าง ?  1.User-Friendly เป็นมิตรต่อผู้ใช้และง่ายต่อความเข้าใจ เพราะวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเว็บไซต์ e-Commerce คือ การอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้งาน หากเว็บไซต์ของเรามีความซับซ้อนมากเกินไป ก็มีโอกาสสูงที่ลูกค้าจะออกจากเว็บไซต์ ถ้าคุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณใช้งานง่าย คุณต้องวางโครางสร้างเว็บไซต์ให้เป็นระเบียบ จัดหมวดหมู่สินค้าให้ชัดเจน หลังจากทำเว็บไซต์เสร็จแล้ว ลองทดสอบเว็บไซต์ แบ่งให้คนในทีม หรือคนรอบข้างใช้งานดู และนำคอมเม้นท์ที่ได้มาปรับใช้ เพื่อให้คุณได้เว็บไซต์ eCommerce ที่ใช้งานง่ายที่สุด 2.Mobile-Friendly Website เว็บไซต์ที่รองรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ 50% ของการชำระเงินออนไลน์มาจาก การซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านมือถือ หากคุณต้องการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้ เว็บไซต์ของคุณต้องเป็น Responsive Website หรือรองรับการใช้งานบนมือถือ และอุปกรณ์อื่นๆ เพราะนอกจากจะอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าแล้ว เว็บไซต์ที่รองรับมือถือยังส่งผลดีต่อการจัดอันดับบน Google ด้วย 3. ภาพประกอบต้องคมชัด ภาพสินค้าที่ใช้ ไม่ใช่แค่ถ่ายแล้วลงเท่านั้น แต่ต้องคมชัด มีความน่าสนใจ ดึงดูดความต้องการของลูกค้า เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการเห็นภาพสินค้าหลากหลายมุม และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน รวมถึงการซูมเข้า ซูมออกก็จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันด้วย  เพราะรูปภาพ คือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการขาย ไม่ใช่ข้อความอธิบาย และภาพนั้นต้องมีความละเอียดสูง แต่ต้องโหลดไว  4. ระบบตะกร้าสินค้า ฟีเจอร์ที่เว็บไซต์ e-Commerce จะขาดไปไม่ได้ ระบบตะกร้าสินค้า หรือระบบสั่งซื้อ เป็นสิ่งที่ช่วยให้ลูกค้าของคุณสามารถซื้อสินค้าบนเว็บไซต์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ระบบตะกร้าสินค้าที่ดีจะต้องสามารถคำนวนราคาสินค้าได้อย่างแม่นยำ แจกแจงรายละเอียดสินค้าถูกต้อง จำนวน ราคา ส่วนลด ค่าขนส่ง และพาลูกค้าของเราไปจบที่หน้าชำระเงินได้ ครบ จบ ในที่เดียว 5. โปรโมชั่น ข้อเสนอที่น่าสนใจ การจัดแคมเปญโปรโมชั่น หรือกิจกรรมทางการตลาดเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อ หากเว็บไซต์ของคุณมีฟังก์ชั่นที่สามารถจัดโปรมชั่น ลด, แลก, แจก, แถมเหล่านี้ได้ก็จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสร้างยอดขายได้ไม่ยากเลย 6. Social Proof ความคิดเห็นจากลูกค้าที่ใช้งานจริง นักช้อปออนไลน์กว่า 95% ที่อ่านรีวิวสินค้า และมี 57% เลือกซื้อสินค้า หรือบริการที่มีรีวิว 4 ดาวขึ้นไป  การใช้ Social Proof หรือการใช้บุคคลมาบอกต่อกับลูกค้าเพื่อช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ จึงเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยโน้มน้าวลูกค้าให้กล้าตัดสินใจซื้อ หรือที่เรียกกันง่ายๆ ก็คือการรีวิวสินค้านี่แหล่ะ ไม่ว่าการรีวิวนั้นจะมาจากผู้เชี่ยวชาญ คนที่มีชื่อเสียง ผู้ใช้งานจริงบอกกันปากต่อปาก ก็ใช้ได้ทั้งหมด 7. ช่องทางการรับชำระเงิน แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดของ เว็บไซต์ e-Commerce คือ ต้องมีระบบรับชำระเงินออนไลน์ เป็นฟีเจอร์ที่จะขาดไปไม่ได้เลย จึงต้องการให้ความสะดวกกับลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นเว็บไซต์ของคุณต้องมีช่องทางการชำระเงินที่หลากหลายให้ลูกค้าเลือก รับได้ทั้งการโอน สแกนคิวอาร์โค้ด บัตรเดบิต-บัตรเครดิต หรือแม้แต่ตัวเลือกในการผ่อนชำระให้กับลูกค้า  8. ระบบการจัดส่งสินค้า เว็บไซต์ e-Commerce ที่ดีจะต้องบอกรายละเอียดของการจัดส่งสินค้า ผู้ให้บริการขนส่งเป็นใคร มีกี่ตัวเลือกบ้าง และในการจัดส่งแต่ละวิธีจะใช้เวลานานเท่าไหร่ ที่สำคัญคือการบอกราคาว่าทางร้านของเราคิดค่าขนส่งอย่างไร  9. ความปลอดภัยของเว็บไซต์ เพราะลูกค้าชำระเงินผ่านเว็บไซต์ของเราอยู่ตลอดเวลา ความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ธุรกิจและแบรนด์ใหญ่ๆ มักตกเป็นเป้าหมายของอาชญากรไซเบอร์ หน้าที่ของเราคือสร้างความปลอดภัยให้กับลูกค้า การใช้ SSL หรือเว็บไซต์ที่เป็น HTTPS จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ ให้ลูกค้าช้อปได้อย่างมั่นใจบนเว็บไซต์ของคุณ นอกจากนี้ยังส่งผลดีต่อการจัดอันดับของ Google อีกด้วย 10. หน้าติดต่อเรา สิ่งที่ช่วยให้เว็บไซต์ e-Commerce มีความน่าเชื่อถือมากที่สุดคงหนีไม่หน้าเพจ Contact us หรือ ติดต่อเรา ที่บอกรายละเอียดที่อยู่ และช่องทางการติดต่อของเราไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าอุ่นใจว่าสามารถติดต่อหาเราได้หากเกิดปัญหาขึ้น นอกจากนี้หากธุรกิจของคุณมีหน้าร้าน หรือมีหลายสาขา การเชื่อมต่อกับ Google Map ยังช่วยให้ลูกค้าสามารถไปร้านคุณได้อย่างถูกต้องอีกด้วย เว็บไซต์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง! เว็บไซต์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง!หากคุณต้องการต่อยอดการตลาดออนไลน์ด้วยเว็บไซต์ สร้างผลลัพธ์ให้ธุรกิจได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น นี่คือฟีเจอร์ที่เว็บไซต์ของคุณจะขาดไม่ได้ 📌 และถ้าอยากเริ่มต้นสร้างเว็บไซต์ด้วยตัวเองตั้งแต่ศูนย์ พร้อมเทคนิคทำเว็บให้ขายดีแบบมือโปร👉 อ่านต่อ: 6 ขั้นตอนสร้างเว็บไซต์ธุรกิจฉบับเจ้าของมือใหม่!👉 อ่านต่อ: 5 เคล็ดลับ สร้างเว็บไซต์ให้ขายดีแบบมือโปร! ติดต่อสอบถามทีมงาน MakeWebEasy โทร. 02-217-7999 Facebook Page : www.facebook.com/makewebeasy   Add Line : 40xsm5339b  

6 ก.ค. 2025

PEAK Account

15 min

จดทะเบียนเพิ่มทุน เตรียมความพร้อมก่อนขยายธุรกิจ!

การดำเนินธุรกิจทุกธุรกิจมีเป้าหมายเพิ่มขยายการเติบโตให้ได้มากที่สุด และในเส้นทางการเติบโตของหลายองค์กร ก็มักจะมีการ จดทะเบียนเพิ่มทุน เข้ามาด้วยเสมอ เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งที่บริษัทมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้มากขึ้น เจ้าของธุรกิจหลายคนเลือกที่จะ จดทะเบียน เพิ่มทุน เพื่อนำมาพัฒนาธุรกิจต่อสำหรับรองรับการเติบโตในอนาคต สำหรับท่านไหนที่กำลังสงสัยเกี่ยวกับการจดทะเบียนเพิ่มทุน บทความนี้เรารวบรวมทุกเรื่องที่ควรรู้จะมีอะไรบ้าง มาหาคำตอบกัน จดทะเบียนเพิ่มทุน คืออะไร? การจดทะเบียนเพิ่มทุน คือ การที่บริษัทที่มีการจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าต้องการเพิ่มเงินทุนในการทำธุรกิจ ซึ่งแน่นอนว่าในการจดทะเบียนครั้งแรกเริ่มจะต้องมีการแจ้งเงินทุนที่ใช้ในการจดทะเบียนอยู่แล้ว แต่สำหรับหลายธุรกิจที่ไม่ว่าจะต้องการขยายธุรกิจให้เติบโต หรือการเงินขาดสภาพคล่องก็มักที่จะต้องแจ้งจดทะเบียนเพิ่มทุน เพื่อนำเงินทุนเข้ามาใช้ขยายหรือแก้ปัญหาธุรกิจต่อไป ทำไมต้อง จดทะเบียนเพิ่มทุน เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ต้องใช้เงินเพิ่มในการบริหารธุรกิจ จึงจำเป็นที่จะต้องมีการจดทะเบียนเพิ่มทุนเข้ามา เพื่อให้บริษัทมีเงินทุนสำหรับใช้ในวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้ นอกจากนี้สำหรับมองว่าการที่บริษัทของเราเงินทุนจดทะเบียนที่สูง จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือตามไปด้วย อย่างไรก็ตามกรณีนี้อาจไม่จำเป็นมากขนาดนั้น ควรวิเคราะห์เงินในการจดทะเบียนจากแผนธุรกิจ และรูปแบบของธุรกิจที่กำลังดำเนินอยู่มากกว่า หากจำเป็นต้องขยายธุรกิจจริง ๆ ค่อยจดทะเบียนเพิ่มทุนภายหลังได้  เมื่อไหร่ที่ควร จดทะเบียนเพิ่มทุน สำหรับการจดทะเบียนเพิ่มทุนก็มีจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการจดเพิ่ม เพื่อให้ธุรกิจใช้เงินได้อย่างคุ้มค่า ไม่ต้องรีบจดทะเบียนทุนสูงตั้งแต่แรก โดยปกติแล้วช่วงเวลาที่ควรจดทะเบียนเพิ่มทุนแบ่งออกเป็น 2 ช่วงหลัก ๆ  ดังนี้ 1. จดทะเบียนเพิ่มทุน เพื่อนำทุนมาขยายธุรกิจ จะเป็นช่วงที่บริษัทกำลังเติบโต จำเป็นต้องขยายธุรกิจ เพิ่มพนักงาน เพิ่มเครื่องจักร หรือสาขา เมื่อธุรกิจของเราดำเนินไปจนถึงจุดนั้นแล้ว ย่อมสามารถเพิ่มเงินทุนเข้าไปในการดำเนินธุรกิจต่อได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ก่อนที่จะตัดสินใจจดทะเบียนเพิ่มแนะนำให้ลองคาดการณ์รายได้ จัดวางแผนการดำเนินธุรกิจในอนาคต เงินทุนที่เพิ่มเข้ามาจะนำไปใช้ทำอะไรให้เรียบร้อยเพื่อการใช้เงินได้อย่างคุ้มค่านั่นเอง 2. จดทะเบียนเพิ่มทุน เพื่อเพิ่มหุ้นส่วนในองค์กร นอกจากนี้ในการเพิ่มทุนหลายครั้งไม่เพียงแค่เป็นการขยายธุรกิจแต่เป็นการรับหุ้นส่วนรายใหญ่เข้ามาเพิ่มเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นนั่นเอง โดยลักษณะนี้วัตถุประสงค์อาจไม่ใช่การนำเงินไปใช้ในการขยายเพียงอย่างเดียว แต่หลายครั้งได้คู่คิดด้านธุรกิจมาเพิ่มก็สามารถจดเข้ามาเพื่อช่วยกันดำเนินธุรกิจต่อไปในอนาคตได้ นับเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่หลายองค์กรใช้เพื่อขยายการเติบโต และนอกเหนือจากสองข้อที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ในบางครั้งบริษัทที่อาจไม่ได้ดำเนินธุรกิจไปได้ดีมากนัก ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องจำเป็นต้องใช้เงินทุนเพิ่มเติมในการช่วยกู้ธุรกิจให้อยู่รอดได้ และในกรณีที่ไม่สามารถกู้เงินจากธนาคารได้ เจ้าของธุรกิจก็มักจะเป็นผู้ที่นำเงินของตัวเองอัดฉีดเข้ามาเพื่อเพิ่มเงินทุนให้บริษัท โดยต้องการให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปด้วย ทั้งนี้ก่อนที่จะเลือกใช้วิธีนี้ ขอแนะนำให้จัดทำแผนกู้วิกฤตให้เรียบร้อย เงินที่นำเข้ามาจะนำไปใช้ทำอะไร และความเป็นไปได้ในการฟื้นตัวของธุรกิจนั้นมีมากน้อยแค่ไหน เพื่อช่วยในการตัดสินใจได้แม่นยำขึ้นนั่นเอง ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่เหมาะสมกับการเพิ่มทุน เช่น  บริษัท A เป็นบริษัท Tech Startup แอปพลิเคชันด้านสุขภาพที่เพิ่งเริ่มต้นได้ปีกว่า เริ่มต้นจดบริษัทด้วยทุน 1 ล้านบาท แต่ด้วยแนวโน้มเทรนด์ของสุขภาพที่จากการวิเคราะห์ของเจ้าของธุรกิจแล้ว มองว่าน่าจะมีแนวโน้มที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ รวมไปถึงยอดผู้ใช้งานแอปพลิเคชันต่อวันก็สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยด้านโอกาสทั้งในมุมของเทรนด์ภาพรวม และยอดการใช้งานในปัจจุบัน ทำให้บริษัท A ตัดสินใจที่จะเพิ่มเงินทุนเพื่อทำการพัฒนาแอปพลิเคชันให้สามารถรองรับการใช้งานที่มากขึ้น การทำการตลาดที่เจาะกลุ่มโดยใช้ตัวอย่าง Persona จากกลุ่มลูกค้าปัจจุบัน และมองหากลุ่มใหม่ รวมไปถึงการ พัฒนาฟีเจอร์ที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าในใช้งานแอปพลิเคชัน  ซึ่งสิ่งเหล่านี้ที่บริษัท A ต้องการพัฒนาเป็นการนำเงินทุนที่ต้องการจดทะเบียนเพิ่มเข้ามาใช้ในการจ้างพนักงาน งบการตลาด สวัสดิการเพื่อดึงดูดพนักงานมากฝีมือมาร่วมในโปรเจกต์นี้ โดยแนวโน้มของบริษัท A เป็นไปในทางที่ดี และการจดทะเบียนเพิ่มทุนครั้งนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสเติบโตในอนาคต และเป็นบันไดไปสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้นขององค์กร เอกสารสำหรับการจดทะเบียนเพิ่มทุน ในส่วนถัดมาเราขอพาทุกท่านมาดูเอกสารที่ต้องใช้สำหรับการจดทะเบียนเพิ่มทุนกันบ้าง โดยเอกสารที่ต้องใช้ทั้งหมดประกอบไปด้วยเอกสารดังนี้ 1. เอกสารคำขอจดทะเบียนบริษัทจำกัด (บอจ. 1) 2. แบบรับรองการจดทะเบียนบริษัทจำกัด 3. แบบจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติม และ หรือ มติพิเศษ (บอจ. 4) 4. หนังสือบริคณหสนธิ ฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว พร้อมจ่ายค่าอากรแสตมป์ 50 บาท 5. หลักฐานรับเงินค่าหุ้นเพิ่มทุน ที่บริษัทออกให้ผู้ถือหุ้น 6. คำสั่งศาลในกรณีที่ฟื้นฟูกิจการ 7. สำเนาบัตรประชาชนของกรรมการที่ลงชื่ออยู่ในคำขอจดทะเบียน 8. สำเนาหลักฐานรับรองลายมือชื่อ ถ้ามี 9. หนังสือมอบอำนาจ ถ้ามี 10. สำหรับธุรกิจที่ต้องการจดทะเบียนเพิ่มเติมมากกว่า 5 ล้านบาท จำเป็นต้องยื่นเอกสารเพิ่มเติมตามคำสั่งสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ เอกสารสำคัญที่ต้องใช้ในการจดทะเบียนมีด้วยกัน 10 ฉบับข้างต้น นอกจากนี้เอกสารทุกฉบับที่เป็นสำเนา จำเป็นต้องให้ผู้ขอจดทะเบียนอย่างน้อยหนึ่งเป็นผู้ลงลายมือชื่อเพื่อรับรองความถูกต้อง ยกเว้นในส่วนของบัตรประชาชนที่เจ้าของบัตรต้องเป็นผู้ลงลายมือชื่อเพื่อรับรองความถูกต้องด้วยตัวเอง นอกจากนี้ในการจดทะเบียนเพิ่มทุนจะมีค่าธรรมเนียมที่ต้องชำระดังนี้ ขั้นตอนการ จดทะเบียนเพิ่มทุนบริษัท สำหรับขั้นตอนการจดทะเบียนเพิ่มทุนบริษัท สามารถทำตาม 3 ขั้นตอนได้ดังนี้ 1. ออกหนังสือนัดประชุมผู้ถือหุ้น ขั้นตอนแรกเป็นการออกหนังสือสำหรับการนัดประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท โดยสามารถทำได้ผ่านช่องทางการส่งไปรษณีย์ หรือการส่งหนังสือมอบถึงตัวผู้ถือหุ้น นอกจากนี้บริษัทที่มีหุ้นผู้ถือ หรือมีข้อบังคับ จำเป็นที่จะต้องลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ด้วย ซึ่งขั้นตอนนี้จำเป็นต้องดำเนินการก่อนการประชุมผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 14 วัน หรือตามแต่ข้อบังคับกำหนดไว้ 2. จัดการประชุมผู้ถือหุ้น ถัดมาเมื่อทำการออกหนังสือนัดประชุมเรียบร้อยแล้ว เป็นขั้นตอนของการจัดประชุมจริง โดยผู้ร่วมประชุมต้องมีจำนวนทั้งสิ้น 2 คนขึ้นไป อีกทั้งเมื่อนับจำนวนหุ้นของผู้ร่วมประชุมแล้วต้องมากกว่า 1 ใน 4 ของหุ้นทุนทั้งหมด โดยในการประชุมจะเป็นวาระการอนุมัติการจดทะเบียนเพิ่มทุน ซึ่งคะแนนที่ได้รับต้องมากกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์ลงคะแนนทั้งหมดที่เข้าร่วมในการประชุม 3. ยื่นจดทะเบียนเพิ่มทุน เมื่อประชุมและได้รับการอนุมัติในการเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นที่เข้าร่วมประชุมแล้ว เป็นขั้นตอนการยื่นเอกสารให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยต้องดำเนินการภายใน 14 วันหลังจากที่มีมติให้เพิ่มทุนในการจดทะเบียน เพียง 3 ขั้นตอนก็เสร็จเรียบร้อย อย่าลืมตรวจสอบเอกสารที่ต้องนำไปใช้ในการเพิ่มทุนให้เรียบร้อย เพื่อให้สามารถดำเนินการจดทะเบียนได้อย่างรวดเร็ว ความสำคัญในการจดทะเบียนเพิ่มทุน คือการรู้ว่าต้องเพิ่มทุนเมื่อไหร่ การจดทะเบียนไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด จะมีขั้นตอนเอกสารที่น้อยกว่าในขั้นตอนจดทะเบียนบริษัทครั้งแรก ทั้งนี้สิ่งที่ควรให้ความสำคัญแท้จริงคือเหตุผลในการเพิ่มทุน และการวางแผนถึงอนาคตหลังจากที่ทำการเพิ่มทุนแล้ว เพื่อให้สามารถต่อยอดจากจำนวนทุนที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มโอกาสเติบโตให้กับธุรกิจ สำหรับท่านไหนที่กำลังคิดตัดสินใจในการจดทะเบียนเพิ่มทุน และเตรียมความพร้อมในการขยายธุรกิจให้เติบโต PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ครบวงจร พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยดูแลระบบบัญชีของคุณให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพ รวมไปถึงโปรแกรมอื่น ๆ อาทิ PEAK Payroll โปรแกรมเงินเดือน, PEAK Asset โปรแกรมจัดการสินทรัพย์, PEAK Board โปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจ, PEAK Tax โปรแกรมจัดการภาษี ซึ่งโปรแกรมทั้งหมดมาพร้อมคู่มือการใช้งาน ปรับใช้ในองค์กรได้อย่างง่ายดาย! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

27 มิ.ย. 2025

PEAK Account

24 min

เริ่มธุรกิจให้ถูกต้อง! จดทะเบียนพาณิชย์ จดทะเบียนบริษัท ภาษีมูลค่าเพิ่ม

การเริ่มต้นธุรกิจเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและท้าทาบ แต่หนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่หลายคนอาจมองข้าม คือ การจดทะเบียนพาณิชย์ หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ จดทะเบียนการค้า ซึ่งไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจคนเดียว หรือกำลังจะจัดตั้งนิติบุคคล การทำความเข้าใจขั้นตอนและประเภทของการจดทะเบียนจะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและถูกต้องตามกฎหมาย บทความนี้จะพาคุณรู้จักการจดทะเบียนแต่ละประเภทมากขึ้น  จดทะเบียนพาณิชย์ คืออะไร ทำไมต้องจด? การจดทะเบียนพาณิชย์ คือ การแจ้งให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบว่าคุณกำลังดำเนินกิจการค้า ซึ่งมีประโยชน์ต่อธุรกิจในหลายประการ เช่น: ประเภทการ จดทะเบียนพาณิชย์: บุคคลธรรมดา vs. นิติบุคคล ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า จดทะเบียนพาณิชย์ หรีอ จดทะเบียนการค้า แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ตามลักษณะของกิจการ ดังนี้ 1. จดทะเบียนการค้า บุคคลธรรมดา สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการดำเนินธุรกิจในนามส่วนตัว (กิจการเจ้าของคนเดียว) ไม่ได้มีการแยกนิติบุคคลออกจากเจ้าของกิจการ การจดทะเบียนประเภทนี้จะเหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก ข้อดีคือขั้นตอนไม่ซับซ้อนและค่าใช้จ่ายน้อย ความรับผิดชอบในหนี้สินของกิจการจะครอบคลุมไปถึงทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้าของด้วย สรุปง่ายๆ: หากคุณเป็นบุคคลธรรมดาที่เปิดร้าน มีหน้าร้าน มีการซื้อมาขายไป หรือให้บริการที่มีลักษณะเป็นการค้าอย่างสม่ำเสมอ และมีรายได้ในระดับหนึ่ง คุณมีหน้าที่ต้อง จดทะเบียนการค้า บุคคลธรรมดา  ใครบ้างที่ “ได้รับการยกเว้น” ไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์? 2. จดทะเบียนนิติบุคคล การเลือกรูปแบบธุรกิจที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมีผลต่อทั้งความรับผิดชอบทางกฎหมาย ภาระภาษี และความน่าเชื่อถือในสายตาคู่ค้าและลูกค้า โดยหลักๆ แล้ว รูปแบบนิติบุคคลที่นิยมจดทะเบียนเพื่อประกอบธุรกิจในประเทศไทยมี 3 รูปแบบดังนี้ 1. ห้างหุ้นส่วนสามัญ (Ordinary Partnership) เป็นสัญญาที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ตกลงเข้าหุ้นกันเพื่อประกอบกิจการร่วมกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งปันกำไร สถานะทางกฎหมาย: ห้างหุ้นส่วนสามัญสามารถจดทะเบียนเป็น นิติบุคคล หรือ ไม่จดทะเบียน ก็ได้ ความรับผิดชอบ: หุ้นส่วนทุกคนต้องรับผิดร่วมกันในหนี้สินทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนอย่างไม่จำกัดจำนวน หมายความว่า หากห้างหุ้นส่วนมีหนี้สินเกินกว่าทรัพย์สินของกิจการ หุ้นส่วนแต่ละคนจะต้องนำทรัพย์สินส่วนตัวมาใช้ชำระหนี้ด้วย ทุนจดทะเบียน: ไม่มีข้อกำหนดขั้นต่ำของทุนจดทะเบียน หุ้นส่วนสามารถนำเงิน ทรัพย์สิน หรือแรงงานมาลงหุ้นได้ การบริหารจัดการ: หุ้นส่วนทุกคนมีสิทธิ์ในการบริหารจัดการกิจการได้ เว้นแต่จะมีการตกลงกันเป็นอย่างอื่น ข้อดี: จัดตั้งง่าย มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีหุ้นส่วนไว้วางใจซึ่งกันและกันสูง ข้อเสีย: ความรับผิดชอบไม่จำกัด ทำให้ทรัพย์สินส่วนตัวมีความเสี่ยง 2. ห้างหุ้นส่วนจำกัด (Limited Partnership) นิยาม: เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นโดยมีผู้เป็นหุ้นส่วน 2 ประเภทขึ้นไป สถานะทางกฎหมาย: เป็นนิติบุคคล แยกจากตัวบุคคลผู้เป็นหุ้นส่วน ความรับผิดชอบ: มีหุ้นส่วน 2 ประเภท คือ ทุนจดทะเบียน: ไม่มีข้อกำหนดขั้นต่ำของทุนจดทะเบียน หุ้นส่วนสามารถนำเงิน หรือทรัพย์สินมาลงหุ้นได้ (ห้ามนำแรงงานมาลงหุ้นในส่วนของหุ้นส่วนจำกัดความรับผิด) การบริหารจัดการ: ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนต้องเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดเท่านั้น ข้อดี: หุ้นส่วนบางคนสามารถจำกัดความรับผิดชอบได้ ทำให้ดึงดูดผู้ร่วมลงทุนได้ง่ายขึ้น มีความน่าเชื่อถือมากกว่าห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ได้จดทะเบียน ข้อเสีย: การบริหารจัดการถูกจำกัดโดยหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดเท่านั้น 3. บริษัทจำกัด (Limited Company) นิยาม: องค์การธุรกิจที่จัดตั้งขึ้นด้วยการแบ่งทุนเป็นหุ้น มีมูลค่าเท่า ๆ กัน โดยผู้ถือหุ้นต่างรับผิดชอบจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินค่าหุ้นที่ตนยังส่งใช้ไม่ครบ สถานะทางกฎหมาย: เป็นนิติบุคคลที่แยกต่างหากจากผู้ถือหุ้นอย่างสิ้นเชิง ความรับผิดชอบ: ผู้ถือหุ้นรับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินค่าหุ้นที่ตนยังชำระไม่ครบ (หากชำระเต็มจำนวนแล้ว ก็ไม่มีความรับผิดเพิ่มเติม) ทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ถือหุ้นจะไม่ถูกนำมาใช้ชำระหนี้ของบริษัท ทุนจดทะเบียน: ปัจจุบันกฎหมายกำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำเพียง 10 บาท โดยหุ้นสามัญต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 5 บาท และต้องมีผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป (ข้อมูลอัปเดต ณ ปัจจุบัน) แม้ไม่มีขั้นต่ำสูง แต่โดยทั่วไปนิยมจดทะเบียนทุนสูงขึ้นเพื่อความน่าเชื่อถือ การบริหารจัดการ: ดำเนินการโดยคณะกรรมการบริษัทที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ถือหุ้น มีการประชุมผู้ถือหุ้นและปฏิบัติตามระเบียบที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด การระดมทุน: สามารถระดมทุนได้ง่ายกว่าผ่านการออกหุ้นเพิ่ม ข้อดี: ความรับผิดชอบจำกัด ทำให้ความเสี่ยงส่วนตัวของผู้ลงทุนต่ำ มีความน่าเชื่อถือสูง เหมาะสำหรับการขยายธุรกิจและระดมทุน มีโครงสร้างที่เป็นระบบ ข้อเสีย: มีขั้นตอนการจัดตั้งและบริหารจัดการที่ซับซ้อนกว่า มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า และต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดกว่า จดทะเบียนบริษัท ต่างจากแบบอื่นอย่างไร? การจดทะเบียนบริษัทแตกต่างจากการประกอบกิจการในนามบุคคลธรรมดาหรือห้างหุ้นส่วนตรงที่ บริษัทจำกัดมี สถานะเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้น โดยสิ้นเชิง นี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้การจดทะเบียนบริษัทเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ จดทะเบียนบริษัท สามารถทำได้ที่ไหน? หลังจากที่ทำตามขั้นตอนการขอจดทะเบียนบริษัทเรียบร้อยแล้ว สามารถดำเนินการได้ที่: หลัง “จดทะเบียนบริษัท” ต้องทำอะไรต่อ? เมื่อบริษัทของคุณได้รับการจดทะเบียนอย่างสมบูรณ์แล้ว ยังมีขั้นตอนสำคัญอื่นๆ ที่ต้องดำเนินการต่อเพื่อการดำเนินธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย: การจดทะเบียนบริษัทเป็นก้าวแรกที่สำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน การศึกษาข้อมูลและเตรียมความพร้อมอย่างรอบคอบจะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จในระยะยาว ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax : VAT) เมื่อธุรกิจของคุณเติบโตและถึงจุดที่ต้อง จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax – VAT) การทำความเข้าใจเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะ VAT ไม่ใช่แค่หน้าที่ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการการเงินที่ส่งผลต่อต้นทุนและราคาขายสินค้าหรือบริการของคุณโดยตรง การทำความเข้าใจ VAT อย่างลึกซึ้งจะช่วยให้คุณปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง และใช้ประโยชน์จากระบบภาษีนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร? ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT คือภาษีทางอ้อมที่รัฐบาลเรียกเก็บจากการบริโภคสินค้าหรือบริการ โดยเก็บจากมูลค่าส่วนเพิ่มที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนของห่วงโซ่การผลิตและจำหน่าย ตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ไปจนถึงผู้บริโภคคนสุดท้าย อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทยปัจจุบันอยู่ที่ 7% สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ VAT ไม่ได้เป็นภาระของผู้ประกอบการโดยตรง แต่เป็นภาระของผู้บริโภคคนสุดท้าย ผู้ประกอบการมีหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” ในการเรียกเก็บ VAT จากลูกค้า แล้วนำส่งให้กรมสรรพากร ใครมีหน้าที่ “จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม”? ผู้ประกอบการที่มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่: ข้อยกเว้น: กิจการบางประเภทได้รับการยกเว้น VAT เช่น กิจการขายพืชผลทางการเกษตร สัตว์ การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักร การให้บริการทางการแพทย์ การประกอบโรคศิลปะ การสอบบัญชี การจัดส่งหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือตำราเรียน รวมถึงกิจการขนาดเล็กที่มีรายรับไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี (และไม่ได้เลือกจดทะเบียนโดยความสมัครใจ) ทำไมต้อง “จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม”? นอกเหนือจากเป็นข้อบังคับตามกฎหมายเมื่อรายได้ถึงเกณฑ์ การจดทะเบียน VAT ยังมีประโยชน์ในบางแง่มุม: สรุปท้ายบทความ การเริ่มต้นธุรกิจต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ตั้งแต่ การจดทะเบียนพาณิชย์บุคคลธรรมดา ที่ง่ายและเหมาะกับคนเดียว ไปจนถึง ห้างหุ้นส่วน ที่มีหุ้นส่วนหลายคนแต่ความรับผิดชอบต่างกัน และ บริษัทจำกัด ที่มีความน่าเชื่อถือสูงและจำกัดความรับผิดของผู้ถือหุ้น การเลือกรูปแบบที่ใช่ตั้งแต่แรกจะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างมั่นคง และอย่าลืมว่าเมื่อรายได้ถึงเกณฑ์ การ จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำตามกฎหมาย เพื่อความสะดวกและแม่นยำในการจัดการบัญชี ภาษี และเตรียมพร้อมสำหรับ VAT โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK จะเป็นผู้ช่วยคนสำคัญที่ทำให้การทำบัญชีเป็นเรื่องง่ายขึ้น ไม่ว่าคุณจะเลือกรูปแบบธุรกิจใด PEAK ก็พร้อมสนับสนุนให้การเงินของคุณเป็นระบบ ตรวจสอบได้ ด้วยฟีเจอร์ที่ครบครัน เช่น การออกใบกำกับภาษี, และ การสร้างแบบยื่น ภ.พ.30 เพื่อให้คุณสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นในยุคดิจิทัล  ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท คลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย) PEAK Call Center : 1485 LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

20 มิ.ย. 2025

PEAK Account

15 min

ทำความรู้จัก! 3 คำศัพท์บัญชี จากซีรีส์สงครามส่งด่วน

ซีรีส์ “สงคราม ส่งด่วน” ไม่เพียงแต่สร้างความตื่นเต้นเร้าใจด้วยการแข่งขันในวงการขนส่ง แต่ตัวละครอย่าง “สันติ” ยังสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนจำนวนปลุกไฟในการเริ่มต้นทำธุรกิจ ในวงการบัญชีการเงินตัวละครที่สำคัญไม่แพ้กันอย่าง “เสี่ยวหยู” CFO สาวสวยสุดเก่งก็ให้มุมมองทางการเงินที่จำเป็นว่าการทำธุรกิจสมัยใหม่ต้องเข้าใจตัวเลขให้ลึกซึ้ง สำหรับผู้ที่อยากเข้าใจเบื้องหลังการบริหารธุรกิจในซีรีส์นี้ เรามาทำความรู้จักกับ 3 คำศัพท์ทางบัญชี ที่สำคัญ ได้แก่ ทุนจดทะเบียน (Registered Capital) กระแสเงินสด (Cash Flow) และระยะเวลาที่เงินสดจะหมด (Cash Runway) ผ่านบริบทที่เกิดขึ้นในซีรีส์เรื่องนี้ ศัพท์บัญชี ตัวแรก : ทุนจดทะเบียน (Registered Capital) ทุนจดทะเบียน คือ จำนวนเงินที่ผู้ถือหุ้นจะต้องนำมาลงทุนในบริษัท โดยทั่วไปจะนิยมทุนจดทะเบียนที่ 1 ล้าน – 5 ล้านบาท โดยกฎหมายไม่ได้จำกัดเพดานสูงสุด จำนวนเงินจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ต้องใช้หมุนเวียนในบริษัทของเรา   ข้อสังเกต: ทุนจดทะเบียน ≠ ทุนที่ชำระแล้ว เนื่องจากผู้ถือหุ้นสามารถชำระเงินทุนขั้นต่ำที่ 25% ได้ เช่น ทุนจดทะเบียน 100 ล้าน ไม่ได้หมายความว่าบริษัทจะมีเงินที่ 100 ล้าน เพราะถ้าผู้ถือหุ้นชำระเงินขั้นต่ำ 25% บริษัทจะมีเงินใช้ได้เพียง 25 ล้านบาทเท่านั้น เพื่อให้เห็นความสำคัญของการถือหุ้น จากซีรีส์เราจะเห็นว่า Easy Express มีทุนจดทะเบียน 100 ล้านและมีโครงสร้างการถือหุ้น ดังนี้ แต่พอบริษัท Easy Express เพิ่มทุนจาก 100 ล้านเป็น 1,000 ล้านบาท และสันติไม่มีเงินมาลงเพิ่มทำให้สันติเสียสัดส่วนหุ้น(Dilution) จากที่ถือ 19% เหลือเพียง 1.9% ซึ่งทำให้อำนาจในการออกเสียงลดลงเสมือนไม่มีตัวตนในบริษัทแล้ว ที่เหตุการณ์เป็นแบบนี้ เพราะการเพิ่มทุนต้องขอมติจากผู้ถือหุ้น 3 ใน 4 (75%) พูดง่ายๆ คือ ถ้ามีกลุ่มผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นตั้งแต่ 75% เห็นด้วยกับมติก็สามารถเพิ่มทุนได้ทันที ซึ่งในเคสนี้หุ้นของ Easy China และคณิน กรุ๊ป รวมกันก็ 81% แล้ว ทำให้สันติที่หุ้นเพียง 19% ไม่เสียงเพียงพอที่จะคัดค้าน จึงต้องยอมรับชะตากรรมนั้นไป วิธีที่ใช้ป้องกันปัญหานี้ได้ เช่น สันติต้องถือหุ้นมากกว่า 25% หรือทำสัญญาผู้ถือหุ้น (Shareholder Agreement) และระบุข้อกำหนดเพิ่มเติม อาทิ การเพิ่มทุนต้องให้สิทธิแก่ผู้ถือหุ้นเดิมซื้อก่อน หรือการเพิ่มทุนต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้นรายย่อยด้วย ศัพท์บัญชี ตัวที่สอง : กระแสเงินสด (Cash Flow) กระแสเงินสด คือ การเคลื่อนไหวของเงินสดเข้า – ออกกิจการ โดยธุรกิจมีความคาดหวังที่อยากทำให้เงินสดรับมีมากกว่าเงินสดที่จ่ายออกไป (รับ > จ่าย) โดยเฉพาะในบริบทของซีรีส์ ธุรกิจขนส่งด่วนต้องเผชิญกับการแข่งขันสูงและต้องบริหารจัดการต้นทุนและรายได้ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโต มีตัวอย่างของการบริหารกระแสเงินสดเพื่อให้เงินสดจ่ายออกเท่าที่จำเป็นให้เราได้เห็นกัน เช่น เพื่อทำความเข้าใจการเข้า – ออกเงินของธุรกิจของตัวเอง เราสามารถอ่านงบกระแสเงินสด(Cash flow statement) ซึ่งจะแบ่งการเคลื่อนไหวของเงินเป็น 3 กิจกรรม ให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าเงินเราที่จ่ายออกไปอยู่ที่กิจกรรมไหนมากที่สุด ดังนี้ 1. กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน (Operating Cash Flow) เงินสดที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจหลัก เช่น รับเงิน: รับเงินจากการขาย, รับชำระหนี้จากลูกค้า จ่ายเงิน: จ่ายค่าสินค้า, จ่ายเงินเดือน, จ่ายค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ 2. กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน (Investing Cash Flow) เงินสดที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในธุรกิจ เช่น  รับเงิน: รับเงินปันผล, รับเงินจากการขายเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ จ่ายเงิน: ซื้อเงินลงทุน, ซื้อเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ 3. กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงินทุน (Financing Cash Flow) เงินสดที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อหมุนเวียนในธุรกิจ เช่น รับเงิน: รับเงินจากการกู้ยืม, รับเงินจากการเพิ่มทุน จ่ายเงิน: ชำระคืนเงินกู้, จ่ายเงินปันผล โดยกิจกรรมที่สำคัญมากๆ ที่ธุรกิจควรมีกระแสเงินสดรับมากกว่าจ่าย คือ กิจกรรมดำเนินงาน(Operating Cash Flow) เพราะเป็นหัวใจหลักของธุรกิจ การขายหรือให้บริการต้องได้รับเงินมากว่าต้นทุนที่จ่ายออกไปนั่นเอง ในซีรีส์มีตอนที่เสี่ยวหยูพูดกับสันติว่า “80% ของบริษัทเจ๊งเพราะบริหารกระแสเงินสดไม่เป็น” ซึ่งสอดคล้องกับการอยู่รอดของธุรกิจที่ “กระแสเงินสด” โครตสำคัญกว่า “กำไร” ทำไม “กระแสเงินสด” สำคัญกว่า “กำไร” ในตลาดไทย เราเห็นกันมาหลายเคสที่บริษัทสร้างยอดขายและกำไรได้หลักร้อยล้านหรือพันล้านแต่ก็มีปัญหาในธุรกิจ เช่น ไม่มีเงินคืนเงินกู้ยืมตามกำหนดเวลา ซึ่งฟังดูก็คงแปลก ยอดขายสูงปรี๊ด กำไรมหาศาล แต่ดันไม่มีเงินคืนเจ้าหนี้ นั่นก็เพราะว่า กำไร ไม่ได้สะท้อนการมีเงินสด เช่น ดังนั้นการมี “กำไร” ที่สูง ไม่ได้บ่งบอกว่าจะมี “เงิน” ที่สูงตาม แม้ธุรกิจของเราจะยังขาดทุน แต่ถ้ายังมีกระแสเงินสดที่เพียงพอในการหมุนเวียนก็ทำให้เราขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปเพื่อให้กลับมาสร้างกำไรในอนาคตได้  คำถามสำคัญถัดไป คือ แล้วธุรกิจต้องมีเงินมากแค่ไหน เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด?? ศัพท์บัญชี ตัวที่สาม : ระยะเวลาที่เงินสดจะหมด (Cash Runway) ระยะเวลาที่เงินสดจะหมด (Cash Runway) หรือเรียกสั้นๆ ว่า Runway คือ เงินที่มีจะพอใช้ได้อีกกี่เดือน ในวันที่ธุรกิจมีรายรับมากกว่ารายจ่าย หรือไม่มีรายรับเข้ามาเลย ธุรกิจต้องรู้ให้ได้ว่าเงินที่มีตอนนี้จะใช้จ่ายเงินเดือนพนักงาน ไปซื้อสินค้าได้อีกกี่เดือน ถ้าในระหว่างนี้เราไม่สามารถหาเงินเข้ามาในบริษัทได้ เตรียมเจ๊งทันที! ตัวอย่างจากซีรีส์ ในช่วงที่ Easy Express ให้บริการขั้นส่งที่ 25 บาท/ชิ้น จะมีเงินเหลือเพียงพอจ่ายค่าใช้จ่าย 12 เดือน แต่เมื่อมีการปรับกลยุทธ์เพื่อตัดราคาคู่แข่งโดยลดค่าบริการที่ 19 บาท/ชิ้น ทำให้กระแสเงินสดที่จะเข้ามาในบริษัทลดลง ส่งผลมีเงินจ่ายค่าใช้จ่ายจาก 12 เดือน ลดลงเหลือเพียง 4 เดือน  สิ่งที่สันติต้องภาวนาให้เกิดขึ้นหลังจากนี้ คือ การลดราคาจะทำให้จำนวนมากลูกค้าหันมาใช้บริการของ Easy Express ส่งผลให้กระแสเงินสดรับพุ่งเข้ามาอย่างมหาศาลและทำให้มีเงินเพียงทำธุรกิจได้อีกหลายปี แต่ถ้าการลดราคาไม่ได้ส่งผลให้คนมาใช้บริการมากพอ สันติต้องออกไปหาเงินทุนหรือเงินกู้มาให้ได้เท่านั้น วิธีการคำนวณ Cash Runway Cash Runway = เงินที่มีอยู่ / ค่าใช้จ่ายต่อเดือน ตัวอย่างเช่น กิจการมีเงินคงเหลืออยู่ 10 ล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายต่อเดือน 1 ล้านบาท แสดงว่าจะมีเงินใช้เพียงพออีก 10 เดือน(10ล้าน/1ล้าน)  แต่ความในเป็นจริงธุรกิจอาจมีรายได้เข้ามาบ้าง เพื่อให้การคำนวณแม่นยำมากขึ้นเราอาจใช้ “เงินสดจ่ายสุทธิ” มาเป็นตัวหารแทน โดยนำยอดรายจ่ายหักรายรับ เช่น รายจ่ายต่อเดือน 1 ล้านบาท มีรายรับต่อเดือน 5 แสนบาท จะมีเงินสดจ่ายสุทธิที่ 5 แสน ถ้าคำนวณ Cash runway ใหม่จะมีเงินเพียงพออีก 20 เดือน ดังนั้นการติดตาม Cash runway อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ธุรกิจได้ทราบสถานการณ์ล่วงหน้าว่าจะหาทางรับมือกับเงินสดที่จะหมดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าได้อย่างไรบ้าง จากซีรีส์จะเห็นว่าผู้บริหารไม่รับเงินเดือน ลดเงินเดือนพนักงาน สวัสดิการและโอทีต่างๆ เพื่อยืด runway ให้เพิ่มขึ้น แต่เมื่อทำทุกอย่างแล้วเงินยังไม่พอ ต้องรีบหาคนที่จะให้เรากู้ยืมเงินหรือมาลงทุนกับเราเพิ่ม จะเห็นได้จากการที่เสี่ยวหยูต้องสละขายหุ้นของตัวเองและนำมาให้บริษัทกู้เพื่อหยุงธุรกิจให้ไปต่อได้ สรุปท้ายบทความ 3 คำศัพท์นี้ไม่เพียงแต่เป็นพื้นฐานทางบัญชีและการเงินที่สำคัญ แต่ยังสะท้อนความท้าทายและกลยุทธ์ในการบริหารธุรกิจจริงๆ ที่ปรากฏในซีรีส์ “สงคราม ส่งด่วน” ซึ่งช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจภาพรวมของการจัดการธุรกิจได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น หวังว่าบทความนี้จะช่วยคุณเข้าใจศัพท์เหล่านี้ได้ชัดเจนขึ้น และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจได้จริง เพื่อเตรียมรับมือกับวิกฤต และทั้งหมดนี้คือเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโตในตลาดที่มีการแข่งขันสูง เหมือนกับ “สงคราม ส่งด่วน” ที่เราได้ชมกัน ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท คลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย) PEAK Call Center : 1485 LINE : @systemseedwebs-comสอบถามเพิ่มเติม คลิก

15 ต.ค. 2025

PEAK Account

11 min

ค่าขนส่งกับการบันทึกบัญชี สิ่งที่ผู้ประกอบการห้ามมอง

ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าทางออนไลน์ น่าจะคุ้นเคยกับการคิด ค่าขนส่งสินค้า สินค้ากันเป็นอย่างดี แต่ผู้ประกอบการหลายท่านอาจยังไม่ทราบว่า ค่าขนส่งที่เรียกเก็บจากลูกค้านั้น ถือเป็นเงินที่ต้องรับรู้เป็นรายได้อีกด้วย! ในบทความนี้เราจะพาคุณมาดูความเกี่ยวข้องกับค่าขนส่งสินค้าและการบันทึกบัญชีกัน ค่าขนส่งสินค้า คืออะไร ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ค่าขนส่งสินค้า คือ ค่าใช้จ่ายที่ผู้ส่งต้องจ่ายให้กับบริษัทขนส่ง เพื่อนำสินค้าไปให้ถึงมือลูกค้า การเรียกเก็บเงินค่าขนส่งจากลูกค้าเป็นหน้าที่ของผู้ขาย แต่ผู้ประกอบการหลายท่านอาจไม่ทราบว่า ค่าขนส่งสินค้า เหล่านี้ ไม่ว่าจะมาจากการสั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หรือสั่งกับร้านโดยตรง ถือเป็นรายได้ของบริษัท และจำเป็นต้องทำการบันทึกบัญชีอย่างชัดเจน ค่าขนส่งสินค้ากับการบันทึกบัญชี การบันทึกบัญชีของค่าขนส่งสินค้า จะมี 2 เรื่องหลักที่ผู้ประกอบการและนักบัญชีควรทราบดังนี้ เมื่อไหร่ที่ค่าขนส่ง จะนับเป็นรายได้ของเรา? ปัจจัยสำคัญในการใช้ดูว่า ค่าขนส่งสินค้า จะนับเป็นรายได้ของเราหรือของแพลตฟอร์มออนไลน์ ต้องดูว่าใครเป็นผู้ออกใบเสร็จค่าขนส่งสินค้าให้ลูกค้า  ค่าขนส่งสินค้า มี VAT หรือไม่? ในกรณีที่ธุรกิจทำการจด VAT เรียบร้อยแล้วก็จำเป็นที่จะต้องมีการออกใบกำกับภาษีรวมค่าขนส่งสินค้า และรับรู้ภาษีขายจากค่าขนส่งสินค้าที่เรานับว่าเป็นรายได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ในกรณีที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ก็ไม่จำเป็นต้องคำนวณภาษีขายเพิ่ม ตัวอย่างการบันทึกบัญชีกรณีที่มีค่าขนส่งสินค้า ยกตัวอย่างการบันทึกบัญชีกรณีที่มีการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และจำเป็นต้องมีการบันทึกค่าขนส่งสินค้าเป็นรายได้ในบัญชี บริษัท A ขายเก้าอี้ผ่านช่องทางออนไลน์ราคา 1,000 บาท โดยมีค่าขนส่งสินค้าโดยบริษัทขนส่ง 50 บาท เมื่อลูกค้าชำระเงินและทำการจัดส่งสินค้าถึงมือลูกค้าเรียบร้อยแล้ว สามารถบันทึกบัญชีแยกได้ดังนี้ ราคารวมที่ลูกค้าต้องจ่ายคือ 1,000 + 50 = 1,050 บาท ทั้งนี้ หากบริษัท A ทำการจด VAT เรียบร้อยแล้วต้องทำการออกใบกำกับภาษี และต้องทำการบันทึกเป็นภาษีขาย 73.50 บาทด้วย โดยคิดเป็นราคารวม 1,123.50 บาท ทำไมบิลเก็บเงินค่าขนส่งสินค้า จากแพลตฟอร์มไม่ได้รวม VAT แต่ร้านค้าต้องคิด VAT? อีกหนึ่งคำถามที่หลายท่านอาจสงสัยเกี่ยวกับการคำนวณ VAT ของค่าขนส่งสินค้าจากแพลตฟอร์มออนไลน์ เพราะถ้าเราดูตัวอย่างใบเสร็จจากหัวข้อก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่าไม่ได้มีการคิด VAT มาด้วย แต่ทำไมร้านค้าถึงต้องคิด VAT เข้าไปในค่าขนส่งสินค้า ซึ่งคำตอบแยกได้เป็นสองส่วนดังนี้ เกิดอะไรขึ้นหากไม่ได้บันทึกค่าขนส่งสินค้า ลงในบัญชีบริษัท หากผู้ประกอบการไม่ได้ทำการลงบันทึกค่าขนส่งสินค้าเป็นรายได้ของบริษัท อาจทำให้ตัวเลขในรายการธุรกรรมมีความคลาดเคลื่อน เช่นในใบเสนอราคามีการเรียกเก็บค่าขนส่งสินค้ารวมเป็นจำนวนเงินที่เรียกเก็บจากลูกค้า แต่ในบันทึกบัญชีกลับไม่ได้มีจำนวนเงินค่าขนส่งสินค้าในส่วนนี้ อาจเกิดปัญหาตอนกระทบยอดตรวจสอบบัญชี และอาจส่งผลต่อการจัดการเรื่องภาษีได้ด้วยเช่นเดียวกัน เคล็ดลับลดข้อผิดพลาดในการบันทึกบัญชีสำหรับผู้ประกอบการ ในส่วนถัดมาเรามีเคล็ดลับสำหรับผู้ประกอบการในการลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการบันทึกบัญชี ซึ่งนอกจากการทำตารางบัญชีให้เข้าใจง่าย และการบันทึกบัญชีตามลำดับ ไม่ข้ามไปมา ยังมีปัจจัยอื่นที่เป็นส่วนช่วยให้ทำได้ง่ายยิ่งขึ้น จะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกัน เก็บเอกสารให้เป็นระบบ การทำงานบัญชีมักมาพร้อมกับเอกสารมากมายที่ต้องเก็บและจัดระเบียบ ดังนั้นการออกแบบระบบการจัดเก็บเอกสารที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี เอกสารเหล่านี้ควรได้รับการจัดหมวดหมู่อย่างเป็นระบบ และอาจเก็บทั้งรูปแบบไฟล์ และรูปแบบเอกสารจริง ตรงส่วนนี้หากจำเป็นต้องมีการอ้างอิงถึงเอกสารที่เก็บ นักบัญชีอาจต้องมีการบันทึกในบัญชีตามหมวดหมู่และระบบที่จัดเก็บ เช่น รหัสของเอกสาร เพื่อให้สามารถหยิบเอกสารเหล่านั้นออกมาตรวจสอบได้รวดเร็วมากขึ้น ทำสรุปบัญชีเป็นประจำทุกเดือน การทำบัญชีจำเป็นต้องทำเป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้เห็นภาพรวมด้านการเงิน และบัญชีของธุรกิจ ตรงส่วนนี้จะเป็นตัวช่วยประกอบการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ เพราะผู้ประกอบการจะได้เห็นธุรกรรมทั้งหมดในแต่ละเดือน สามารถใช้คาดการณ์ วางแผน หรือปรับปรุงแนวทางการดำเนินธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ การทำบัญชีในปัจจุบันมีการใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์เข้ามาช่วย เพื่อให้สามารถทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้น ทั้งยังลดข้อผิดพลาดลงได้ เพราะโปรแกรมเหล่านี้มักมาพร้อมฟีเจอร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านการบันทึกค่าใช้จ่าย การออกเอกสารที่เกี่ยวข้องอย่างใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จ/ใบกำกับภาษี ทั้งยังสามารถจัดทำรายงานได้แบบเรียลไทม์ รวมไปถึงช่วยในเรื่องการจัดการเรื่องภาษีอีกด้วย ดังนั้นการปรับใช้โปรแกรมบัญชีในการทำงานก็เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้การบันทึกบัญชีง่ายขึ้น และลดข้อผิดพลาดลงไปได้ บันทึกบัญชีง่าย ๆ ด้วยโปรแกรม PEAK Account PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่พร้อมเป็นตัวช่วยในการบันทึกบัญชี ด้วยฟีเจอร์สมุดบัญชีรายวัน ให้การบันทึกบัญชีง่ายยิ่งขึ้น และลดข้อผิดพลาด นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ การจัดการด้านเอกสารทั้งรายรับ รายจ่าย จัดการด้านการเงินและบัญชี การจัดการภาษี รวมไปถึงสต๊อกสินค้า เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำบัญชี เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเตรียมความพร้อมสู่การเติบโตของธุรกิจ

10 ต.ค. 2025

PEAK Account

12 min

การเชื่อมต่อ API เคล็ดลับลดเวลางานบัญชี สำหรับธุรกิจขายออนไลน์

ทุกวันนี้การปรับใช้โปรแกรมในการทำงานเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเร่งการเติบโตของธุรกิจ เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถช่วยลดเวลาการทำงาน อำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจได้ไม่รู้จบ และหนึ่งในเทคโนโลยีที่ช่วยผู้ประกอบการให้ทำธุรกิจง่ายขึ้นคือ การเชื่อมต่อ API ที่จะทำให้หลายโปรแกรมทำงานด้วยกันได้อย่างราบรื่น ซึ่งผู้ประกอบการหลายท่านอาจสงสัยว่า API คืออะไร และมีประโยชน์อะไรบ้าง มาค้นหาคำตอบในบทความนี้กันได้เลย การเชื่อมต่อ API ในการบันทึกบัญชีคืออะไร? การเชื่อมต่อ API (Application Programming Interface) คือการเชื่อมต่อเพื่อให้ระหว่างสองโปรแกรมขึ้นไปสามารถสื่อสารกันได้ โดยการสื่อสารนี้รวมไปถึงการถ่าย โอน ย้าย แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือการใช้งานฟังก์ชันต่าง ๆ ของระหว่างโปรแกรม โดย API จะทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโปรแกรมให้สามารถทำงานร่วมกันได้ ยกตัวอย่างเช่น โปรแกรม A และโปรแกรม B ทั้งสองโปรแกรมสามารถเข้าสู่ระบบด้วย Gmail และเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูลโปรไฟล์ใหม่ หากต้องการสมัครสมาชิกของโปรแกรม B  ดังนั้นโปรแกรม B จึงสร้าง API ขึ้นมาเพื่อให้สามารถดึงข้อมูลโปรไฟล์จากโปรแกรม A ได้นั่นเอง ซึ่งการเชื่อมต่อ API นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เพราะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของโปรแกรม เพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้งาน หลายโปรแกรมที่ดีจึงมักมาพร้อมกับระบบ API ให้สามารถเชื่อมต่อกับหลาย ๆ โปรแกรมที่มักใช้งานควบคู่กัน ในมุมของผู้ประกอบการที่กำลังมองหาโปรแกรมสำหรับใช้ในกิจการ ก็ควรเลือกโปรแกรมที่สามารถเชื่อมต่อ API ได้หลากหลาย ครอบคลุมกับการใช้งานของเรา ถ้าเป็นในกรณีของโปรแกรมบัญชีก็แนะนำให้มองหาโปรแกรมที่สามารถเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ หรือธนาคารก็จะสะดวกต่อการใช้งานมากที่สุดนั่นเอง ทำไมร้านค้าออนไลน์ต้องใช้ระบบ การเชื่อมต่อ API เพื่อบันทึกบัญชีอัตโนมัติ สำหรับฟีเจอร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกได้อย่างมากเมื่อใช้โปรแกรมที่มีการเชื่อมต่อ API คือการบันทึกบัญชีอัตโนมัติจากจำนวนออเดอร์ที่เข้ามา เพราะในธุรกิจที่ขายออนไลน์เป็นหลัก มีจำนวนคำสั่งซื้อเข้ามาต่อวันนับไม่ถ้วน การต้องมาบันทึกบัญชีด้วยตัวเองทุกรายการก็ใช้เวลาและแรงกายแรงใจเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังอาจเกิดความผิดพลาดในการลงข้อมูล ช่วยประหยัดเวลาการทำงาน ให้ผู้ประกอบการสามารถโฟกัสในเรื่องของการเพิ่มยอดขายได้อย่างเต็มที่ ตรงส่วนนี้โปรแกรมบัญชีที่เชื่อมต่อ API ได้คือคำตอบ  ทุกเอกสารเชื่อมตรงเข้าสู่ระบบบัญชี PEAK ซึ่ง PEAK Account ก็เป็นโปรแกรมบัญชีที่มีการเชื่อมต่อ API ครบถ้วนทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์และธนาคาร ที่สามารถดึงข้อมูลมาจากแพลตฟอร์มที่ใช้งานได้โดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูลด้วยตัวเอง ข้อดีตรงนี้จะช่วยลดเวลาการทำงาน ลดข้อผิดพลาด ได้โฟกัสกับส่วนที่จำเป็นมากกว่า อีกหนึ่งข้อดีที่ทำให้ผู้ประกอบการควรหันมาใช้โปรแกรมบัญชีคือ การจัดเก็บไฟล์เอกสารต่าง ๆ ที่ล้วนอยู่ในโปรแกรมสามารถเรียกดูได้ง่าย หรือจะโหลดเก็บไว้ในเครื่องก็ได้เช่นกัน หากเน้นทำธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ระบบการจัดเก็บเหล่านี้จะช่วยลดภาระของผู้ประกอบการลงไปได้เยอะพอสมควรเลยทีเดียว ส่วนผู้ประกอบการท่านไหนที่มีปัญหาเรื่องการทำงบหรือยื่นภาษี ที่มองว่ายุ่งยากและใช้เวลา การใช้โปรแกรมบัญชีที่ทุกระบบเชื่อมต่อกันก็จะทำให้การจัดการภาษีกลายเป็นเรื่องง่ายมากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าเพียงแค่โปรแกรมเดียวก็ช่วยวางรากฐานของระบบบัญชีของธุรกิจให้แข็งแรงเตรียมความพร้อมสู่การเติบโตในอนาคต การเชื่อมต่อ API ของ PEAK กับแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์สามารถทำอะไรได้บ้าง หนึ่งในโปรแกรมที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเชื่อมต่อกับ PEAK คือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ที่สามารถทำได้ทั้งการออกเอกสาร และบันทึกบัญชีอัตโนมัติเมื่อทำการเชื่อมต่อกับแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งในปัจจุบันโปรแกรม PEAK สามารถทำการเชื่อมต่อ API กับแพลตฟอร์มสำหรับขายสินค้าออนไลน์ได้ถึง 4 โปรแกรม ซึ่งตารางด้านล่างจะเป็นรายละเอียดของแต่ละโปรแกรมว่าเมื่อเชื่อมต่อกับ PEAK และจะส่งข้อมูลอะไรมาที่ PEAK ได้บ้าง ด้านเอกสาร ด้านเอกสารนับเป็นส่วนที่ค่อนข้างมีรายละเอียด และยุ่งยากในการจัดการพอสมควร หากจำเป็นต้องทำด้วยตัวเอง ดังนั้นโปรแกรม PEAK ที่สามารถเชื่อมต่อ API กับแต่ละแพลตฟอร์มขายสินค้าได้ ก็จะเรียกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเอกสารต่าง ๆ สำหรับการนำมาเก็บไว้เพื่อใช้เป็นหลักฐาน รวมไปถึงในการบันทึกบัญชี ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มสามารถดึงข้อมูลได้แตกต่างกัน เอกสารที่สามารถส่งข้อมูลระหว่างแพลตฟอร์มได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโปรแกรมต้นทางว่าสามารถส่งข้อมูลอะไรมายัง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ได้บ้าง ตัวอย่างหากขายสินค้าผ่านหลายแพลตฟอร์ม PEAK สามารถรับข้อมูลทางบัญชีมาสร้างเอกสารสำคัญและเก็บไว้ครบถ้วน ไม่ต้องคีย์เองทีละออเดอร์ ด้านการบันทึกบัญชีรายได้ ระบบช่วยบันทึกยอดขายและจัดหมวดหมู่ให้อัตโนมัติ ชัดเจนและตรวจสอบง่าย ในส่วนของการบันทึกบัญชี แต่ละแพลตฟอร์มก็สามารถส่งข้อมูลตรงมายัง PEAK เพื่อทำการบันทึกบัญชีได้เช่นกัน ซึ่งทั้ง 4 แพลตฟอร์มสามารถส่งข้อมูลรายได้ทั้งหมด 3 ส่วนด้วยกัน ความน่าสนใจคือ รายได้ค่าขนส่งสินค้า ที่ผู้ประกอบการบางท่านอาจไม่ทราบว่าต้องทำการบันทึกบัญชีรายได้เป็นรายการแยกออกจากค่าสินค้าด้วย ซึ่งส่วนนี้โปรแกรม PEAK ที่เชื่อมต่อ API กับแพลตฟอร์มก็จะดึงข้อมูลและทำการบันทึกส่วนนี้ให้โดยอัตโนมัติ สะดวกและรวดเร็วกว่าการทำด้วยตัวเองอย่างแน่นอน ตัวอย่างสถานการณ์การใช้โปรแกรม PEAK ในธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ บริษัท A ขายเสื้อผ้าผ่านหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Shopee, Lazada, TikTok, หรือ Line Shopping และในปัจจุบันก็เป็นช่วงขาขึ้นขายสินค้าดีทุกช่องทาง มียอดขายเข้ามาไม่หยุดหย่อน โดยเฉลี่ยแล้ว 30 ออเดอร์ต่อแพลตฟอร์ม ซึ่งในการบันทึกบัญชีก็ต้องไปดูรายการแต่ละแพลตฟอร์มเพื่อทำการบันทึก ซึ่งอาจใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วโมงและมีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน แต่ถ้าบริษัท A เลือกใช้โปรแกรมบัญชีที่มีการเชื่อมต่อ API กับแพลตฟอร์มทั้ง 4 แพลตฟอร์มได้ ก็สามารถดึงข้อมูลออเดอร์ทั้ง 3 แพลตฟอร์มบันทึกบัญชีให้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาทำข้อมูลเอง เตรียมความพร้อมสู่การเติบโตด้วยโปรแกรมบัญชี PEAK Account ด้วยเหตุนี้ถ้าคุณกำลังทำธุรกิจขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เหล่านี้ การปรับใช้ PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่มีการเชื่อมต่อ API อีกทั้งยังมาพร้อมฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานบัญชีและภาษี ที่สามารถช่วยจัดการข้อมูลสินค้า จัดการรายรับ-รายจ่าย รวมไปถึงบริหารจัดการข้อมูลการเงินและบัญชีโปรแกรม PEAK จึงไม่ได้ช่วยเพียงแค่การบันทึกยอดขายอย่างเดียว แต่ยังช่วยจัดการเรื่องการเงินและบัญชีได้อย่างรอบด้าน ช่วยให้สามารถวางรากฐานระบบบัญชีของธุรกิจให้มั่นคง ลดระยะเวลาการทำงาน ให้ผู้ประกอบการสามารถโฟกัสกับส่วนที่จำเป็นต่อยอดขายหรือการเติบโตของกิจการได้อย่างเต็มที่ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

3 ต.ค. 2025

PEAK Account

17 min

หยุดความเสี่ยง! รู้จักบัญชีม้า กลโกงมิจฉาชีพ และวิธีป้องกันธุรกิจคุณ

ช่วงนี้หลายท่านอาจได้ยินคำว่าบัญชีม้ากันบ่อย ๆ แต่ไม่เคยเข้าใจว่ามันคืออะไร บางท่านอาจมีคนใกล้ตัวถูกหลอกให้เปิดบัญชีม้าจนถูกดำเนินคดี หรือผู้ประกอบการบางท่านอาจสงสัยว่ามีเงินโอนเข้าบ่อย ๆ จะถูกอายัดบัญชีหรือไม่ ในบทความนี้เรารวบรวมความรู้เกี่ยวกับ บัญชีม้า กลโกงของมิจฉาชีพ และวิธีป้องกันไว้ให้คุณ บัญชีม้า คืออะไร? บัญชีม้า คือ บัญชีเงินฝากที่เจ้าของชื่อบัญชีไม่ได้เปิดขึ้นมาเพื่อใช้งานบัญชีดังกล่าวด้วยตัวเอง แต่เปิดบัญชีเพื่อให้มิจฉาชีพใช้ในการโอนเงินผิดกฎหมาย หรือรับเงินที่ได้มาจากการหลอกลวง ไม่ว่าจะเป็นเงินจากการพนันผิดกฎหมาย แก๊งคอลเซนเตอร์ที่หลอกลวงเงินจากผู้อื่น หรือแม้กระทั่งการฟอกเงิน ก็มักใช้บัญชีม้าเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถติดตามไปจนถึงต้นตอผู้กระทำผิด เพราะไม่สามารถโยงเส้นทางการเงินไปหาตัวได้นั่นเอง นอกจากนี้ในบางครั้งผู้ที่เปิดบัญชีม้าก็ถูกหลอกจากมิจฉาชีพให้เปิดบัญชีม้ามาอีกที ทำให้หลายครั้งกระทำความผิดโดยไม่รู้ตัว แต่หากถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบก็นับว่ามีความผิดทางกฎหมายเช่นกัน ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันตนเองส่วนถัดไปของบทความนี้เราจะมาแนะนำวิธีป้องกันจากการถูกหลอก พร้อมแนวทางการจัดการเมื่อถูกหลอกเปิดบัญชีม้า หรือถูกอายัดบัญชีเนื่องจากเข้าข่ายเป็นต้องสงสัยกัน เหตุผลที่เรียกว่า บัญชีม้า แต่ก่อนอื่น หลายท่านน่าจะสงสัยว่า ทำไมเรียกบัญชีม้า ซึ่งเหตุผลก็เพราะว่า ม้า ในที่นี้เปรียบเสมือนยานพาหนะสำหรับการพาเงินที่ได้มาจากการโกงผู้อื่น หรือเงินผิดกฎหมายที่ได้จากผู้ถูกหลอกลวง ไปสู่บัญชีของตนเองนั่นเอง และเพื่อให้สามารถติดตามตรวจสอบได้ยาก จึงมีการใช้ ม้า หรือ บัญชีม้า มาเป็นตัวกลางนั่นเอง บัญชีม้า แต่ละสี/ประเภท ข้อบ่งชี้ระดับความเสี่ยงของบัญชี บัญชีม้านั้นมีหลายระดับ โดยสามารถแบ่งตามระดับความเสี่ยงของการเข้าข่ายเป็นบัญชีม้า โดยสามารถเรียงลำดับได้ดังนี้ บัญชีธุรกิจที่มีความเสี่ยงเป็นบัญชีต้องสงสัย เงื่อนไขการเข้าข่ายเป็นบัญชีม้านั้นมีหลายแบบ แต่ด้วยรูปแบบของการดำเนินธุรกิจบางครั้งอาจทำให้สุ่มเสี่ยงเป็นบัญชีม้ามากเป็นพิเศษ โดยสามารถแบ่งเงื่อนไขได้เป็นดังนี้ ดังนั้นผู้ประกอบการท่านไหนที่บัญชีของธุรกิจเข้าข่ายทั้ง 3 ข้อนี้ก็มีโอกาสโดนตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ ดังนั้นควรเตรียมเอกสารเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของเส้นทางการเงินให้ครบถ้วน เพราะหากถูกระงับบัญชีเพื่อตรวจสอบ ก็สามารถกู้คืนกลับมาได้เร็วยิ่งขึ้น โอนเงินเข้าออกหลายครั้ง เข้าข่ายเป็นบัญชีม้าหรือไม่? หากบัญชีของคุณมีการโอนเงินเข้าออกหลายครั้ง อาจจะยังไม่นับว่าเป็นบัญชีม้า แต่อาจถูกตรวจสอบโดยทางกฎหมายได้มีการกำหนดเงื่อนไขประเภทของบัญชีที่ต้องทำการชี้แจงที่มาของเงินดังนี้ หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่ต้องรับเงินเข้าบัญชีตัวเองหลายครั้งต่อปี แต่หากยังไม่ถึงกำหนดข้างต้นก็ไม่จำเป็นต้องกังวล แต่ทั้งนี้แนะนำให้เก็บเอกสารไว้ให้ครบถ้วนสำหรับการยื่นให้สรรพากรในกรณีที่มีการตรวจสอบ บทลงโทษของการเปิดบัญชีม้า หากชื่อบัญชีของคุณถูกนำไปใช้เป็นเส้นทางการเงินผิดกฎหมายหรือกลายเป็นบัญชีม้า ก็เข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมายที่มีบทลงโทษกำหนดไว้อย่างชัดเจน โดยผู้กระทำความผิดจะเป็นทั้งผู้ที่นำบัญชีม้าไปใช้ และชื่อของผู้เปิดบัญชีอีกด้วย ซึ่งข้อกฎหมายนี้อยู่ใน พระราชกำหนด มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ได้มีการระบุบทลงโทษไว้ว่าจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีและปรับไม่เกิน 300,000 บาท โดยผู้ที่เข้าข่ายจะรวมตั้งแต่การเปิดบัญชี หรือยินยอมให้ใช้บัญชีธนาคารในการรับเงินผิดกฎหมาย หรือชำระเงินเกี่ยวกับสิ่งที่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ข้อกฎหมายยังกำหนดครอบคลุมไปถึงบัญชีธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ บัตรเครดิต และบัตรเดบิต ในส่วนของผู้ที่จัดหาหรือโฆษณาเชิญชวนผู้อื่นให้เปิดบัญชีม้าก็มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2-5 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000 – 500,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับด้วยนั่นเอง เป็นอีกหนึ่งการกระทำความผิดที่มีบทลงโทษรุนแรง ผลกระทบจากการต้องสงสัยและถูกระงับบัญชี สำหรับผู้ประกอบการแล้ว หากบัญชีของธุรกิจถูกระงับเนื่องจากเข้าข่ายต้องสงสัยว่าเป็นบัญชีม้าต้องส่งผลกระทบร้ายแรงสำหรับการดำเนินกิจการในหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน ที่หากบัญชีถูกระงับหรืออยู่ในระหว่างการตรวจสอบ ห้ามทำธุรกรรม ก็อาจทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินเดือนพนักงาน ส่งผลต่อไปถึงความน่าเชื่อถือของบริษัท นอกจากนี้ในมุมที่เกี่ยวข้องกับคนนอกบริษัท หากบริษัทจำเป็นต้องชำระหนี้ทุกเดือน แต่ไม่สามารถโอนเงินออกจากบัญชีได้ก็ส่งผลกระทบในส่วนนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ ความไว้ใจในการทำธุรกิจระหว่างองค์กรด้วยเช่นเดียวกัน ในที่นี้ก็อาจรวมไปถึงการบริหารเงินภายในองค์กรเองด้วย ด้วยเหตุนี้นักบัญชีหรือผู้ประกอบการควรที่จะให้ความสำคัญ วางแผนล่วงหน้าหากธุรกิจของเราอาจถูกตรวจสอบ ด้วยการเตรียมเงินสดสำรอง รวมไปถึงการเตรียมเอกสารหลักฐานสำคัญที่ใช้ในการยืนยันความบริสุทธิ์ให้แก่เจ้าหน้าที่ เพื่อให้สามารถจัดการบัญชีให้กลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็วหากถูกตรวจสอบ วิธีป้องกันบัญชีบริษัทไม่ให้กลายเป็นบัญชีม้า ในส่วนนี้เราได้รวบรวมวิธีป้องกันเบื้องต้น ที่ช่วยให้บัญชีขององค์กรไม่ให้เข้าข่ายสุ่มเสี่ยงกลายเป็นบัญชีม้าโดยไม่รู้ตัว ซึ่งโดยหลักแล้วธุรกิจสามารถป้องกันได้ด้วยการจัดการระบบควบคุมภายใน (Internal Control) ขององค์กรให้ชัดเจน มีความเป็นระเบียบ แบ่งแยกหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง โดยสามารถทำได้ 3 ข้อดังนี้ 1. แบ่งแยกหน้าที่ระหว่างฝ่ายบัญชีและการเงินให้ชัดเจน (Segregation of Duties) เพราะการทำงานที่ทับซ้อนหรือไม่ชัดเจนอาจก่อให้เกิดความผิดพลาดในการจัดการระบบภายในองค์กรได้ หรือการแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจน และห้ามให้มีการผ่อนปรนอันเป็นโอกาสนำไปสู่ปัญหาได้ ซึ่ง Segregation of Duties หรือ SoD สามารถทำได้หลัก ๆ ดังนี้ ซึ่งการจัดการระบบภายในเหล่านี้จะช่วยให้ทำงานกันอย่างลื่นไหล เป็นระเบียบ ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด ซึ่งรวมไปถึงปิดช่องโหว่การฉ้อโกง เพิ่มความโปร่งใสในการทำงาน และลดโอกาสที่จะทำให้บัญชีเข้าข่ายต้องสงสัย หรือหากมีการตรวจสอบก็มีหลักฐานชัดเจน 2. ตรวจสอบรายการบัญชีเป็นประจำ เนื่องจากบัญชีม้ามีความเกี่ยวข้องกับการเดินบัญชี ดังนั้นการตรวจสอบรายการบัญชีของธุรกิจเป็นประจำอย่างต่อเนื่องสามารถช่วยป้องกันได้ระดับหนึ่ง หรืออาจดูจากจำนวนครั้งการโอน และยอดการโอนที่หากเข้าข่ายต้องได้รับการตรวจสอบจากกรมสรรพากร นักบัญชีอาจเตรียมเอกสารการชี้แจงต่าง ๆ ให้พร้อมเพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบเร็วยิ่งขึ้น 3. กำหนดผู้มีอำนาจในตรวจสอบอนุมัติ การทำธุรกรรมแต่ละครั้งควรมีผู้มีอำนาจไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการฝ่ายบัญชี หรือเจ้าของธุรกิจรับหน้าที่ตรวจสอบรายการธุรกรรมและเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีของบริษัท เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการโกงโดยพนักงาน หรือมีการโอนเงินที่ผิดปกติ 4. จัดเก็บเอกสารด้านบัญชีอย่างเป็นระบบ หากธุรกิจเข้าข่ายสุ่มเสี่ยงและถูกตรวจสอบจากผู้มีอำนาจ ผู้ประกอบการสามารถยืนยันความบริสุทธิ์ของเส้นทางการเงินบริษัทได้ด้วยการแสดงเอกสารต่าง ๆ เช่น ใบแจ้งหนี้ หรือใบเสร็จรับเงินที่สามารถใช้เป็นหลักฐานแสดงความบริสุทธิ์ได้ ดังนั้นนักบัญชีหรือผู้ประกอบการควรวางระบบภายในที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บเอกสาร เช่น การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ควบคู่กับการเก็บเอกสารฉบับจริง ก็สามารถช่วยให้จัดการเอกสารด้านบัญชีให้เป็นระเบียบ เรียกดูเอกสารแต่ละฉบับได้ง่ายมากขึ้นได้ Checklist เอกสารที่ต้องเตรียม เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเส้นทางการเงินบริษัท ในกรณีที่บริษัทถูกตรวจสอบจากผู้มีอำนาจ เนื่องจากเข้าข่ายเสี่ยงเป็นบัญชีม้า ผู้ประกอบการหรือนักบัญชีสามารถจัดเตรียมเอกสารให้เรียบร้อยสำหรับการยืนยันเส้นทางการเงิน เป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้องค์กร โดยมีเอกสารทั้งหมด 4 ส่วนดังนี้ ซึ่งเอกสารเหล่านี้สามารถใช้ในการยืนยันถึงเส้นทางการเงินของบริษัทได้ ดังนั้นผู้ประกอบการควรมีการวางระบบจัดการเอกสารให้ชัดเจน หากมีความจำเป็นต้องยื่นเอกสารเหล่านี้ประกอบก็สามารถทำได้รวดเร็วและถูกต้องมากยิ่งขึ้น โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ตัวช่วยจัดการเอกสารด้านบัญชีในองค์กร จากที่เราได้แนะนำก่อนหน้านี้ว่า การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ควบคู่ไปกับการจัดเก็บเอกสารฉบับจริง ก็ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการระบบเอกสารเหล่านี้ได้ดีมากยิ่งขึ้น สามารถเรียกดูได้ง่าย ลดโอกาสที่เอกสารจะสูญหาย รวมไปถึงสามารถดูข้อมูลได้อย่างชัดเจน ซึ่ง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ก็เป็นหนึ่งในโปรแกรมด้านบัญชีที่สามารถใช้ในการจัดการระบบบัญชีในองค์กร มาพร้อมฟีเจอร์ด้านบัญชีต่าง ๆ มากมาย ที่นอกจากช่วยการจัดการเอกสารในการยืนยันความบริสุทธิ์จากการเข้าข่ายเป็นบัญชีม้า ยังสามารถออกเอกสารบัญชี เรียกดูรายงาน เพื่อการวิเคราะห์ด้านการเงินของธุรกิจได้อย่างแม่นยำ! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

25 ก.ค. 2025

PEAK Account

15 min

เทคนิคออกเอกสาร หนังสือรับรองเงินเดือน ให้ถูกต้องและมืออาชีพ

ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจมาระดับหนึ่ง และมีพนักงานพอสมควร ต้องเคยมีพนักงานเข้ามาขอใบรับรองมากมาย ไม่ว่าจะเป็นใบรับรองการทำงาน หรือหนังสือรับรองเงินเดือน และในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ หนังสือรับรองเงินเดือน ให้มากขึ้น ว่าคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร รวมไปถึงข้อมูลที่ต้องมี เพื่อให้สามารถออกเอกสารให้พนักงานได้อย่างถูกต้อง จะมีเนื้อหาอะไรบ้าง เรามาเริ่มกันเลย! ทำความรู้จัก หนังสือรับรองเงินเดือน หนังสือรับรองเงินเดือน คือ เอกสารที่บริษัทออกให้แก่พนักงานเพื่อเป็นการยืนยันถึงเงินเดือนที่พนักงานได้รับในแต่ละเดือนจากบริษัทดังกล่าว และนอกจากการยืนยันจำนวนเงินเดือนแล้ว ยังเป็นเอกสารที่ช่วยยืนยันสถานะการทำงาน การเป็นพนักงานในองค์กรนั้น ๆ ได้อีกเช่นเดียวกัน ซึ่งหนังสือรับรองเงินเดือนนี้ก็จะประกอบไปด้วยข้อมูลสำคัญสำหรับใช้ในด้านการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับด้านการเงิน โดยผู้ประกอบการสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเต็ม ๆ เกี่ยวกับหนังสือรับรองเงินเดือนได้ที่บทความ “ใบรับรองเงินเดือนเอกสารสำคัญที่มนุษย์เงินเดือนห้ามพลาด” ซึ่งโดยปกติแล้วหนังสือรับรองเงินเดือนที่พนักงานขอมักนำไปใช้ในการติดต่อธุระ โดยหลักจะมี 2 วัตถุประสงค์ที่พนักงานมักขอประกอบไปด้วย เหตุผลที่จำเป็นต้องใช้เอกสารรับรองเงินเดือนในการติดต่อธุระเหล่านี้ เพื่อเป็นการยืนยันสถานภาพทางการเงินของผู้ยื่นว่ามีเงินเดือนและสามารถชำระหนี้ได้ตามที่กำหนด สิ่งที่ผู้ประกอบการควรรู้เกี่ยวกับการออก เอกสารรับรอง สำหรับผู้ประกอบการแล้ว ถึงแม้เราอาจไม่ได้ใช้หนังสือรับรองเงินเดือนโดยตรง แต่ก็มีหน้าที่ต้องออกเอกสารเหล่านี้ให้พนักงาน ในส่วนนี้เราจึงจะมาแนะนำในมุมของผู้ประกอบการโดยเฉพาะ ว่ามีเรื่องใดที่ควรทราบ 1. เตรียมเอกสารล่วงหน้า ลดความยุ่งยากในการทำงาน สำหรับเอกสารหนังสือรับรองเงินเดือน เป็นเอกสารที่ผู้ประกอบการสามารถเตรียมไว้ล่วงหน้าได้เป็นเทมเพลตเพื่อให้สามารถนำมาใช้งานได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องเพิ่มขั้นตอนให้มีความยุ่งยากซับซ้อน เมื่อมีพนักงานขอเอกสารสามารถเปลี่ยนข้อมูลเล็กน้อยและใช้ได้เลย 2. ผู้จัดการฝ่ายบุคคล หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจะสามารถลงนามรับรองเอกสารได้ การเซ็นรับรองหนังสือเงินเดือนให้พนักงาน โดยปกติจะเป็นอำนาจของผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่สามารถลงลายมือชื่อเพื่อรับรองเอกสารฉบับดังกล่าวได้ นอกจากนี้ผู้ที่รับมอบหมายให้มีอำนาจก็สามารถลงนามเพื่อยืนยันส่วนนี้ได้เช่นกัน 3. ต้องมีการประทับตราบริษัทเสมอ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับหนังสือรับรองเงินเดือน ในส่วนนี้บริษัทจำเป็นต้องลงประทับตราบริษัทลงไปในเอกสารเพื่อเป็นการยืนยัน และลดโอกาสในการปลอมแปลงเอกสารได้  4. การออกเอกสารรับรองสำหรับพนักงานที่รับเงินรายวัน ในบางบริษัทอาจมีพนักงานที่รับเงินรายวัน ไม่ใช่ในรูปแบบของเงินเดือน ในกรณีนี้สามารถออกหนังสือรับรองเงินเดือนได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามภายในเอกสารจำเป็นต้องมีการระบุให้ชัดเจนว่าพนักงานผู้ยื่นขอเอกสาร ได้รับเงินในรูปแบบรายวัน เพื่อแจ้งให้ธนาคารทราบประกอบการพิจารณานั้นเอง 5. หนังสือรับรองเงินเดือน ไม่ใช่ สลิปเงินเดือน หนังสือรับรองเงินเดือน แตกต่างจากสลิปเงินเดือนพอสมควร เพราะหนังสือรับรองเงินเดือนคือเอกสารที่ออกโดยบริษัทตามคำขอพนักงาน มีข้อมูล และการลงลายมือชื่อกำกับพร้อมตราประทับ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับข้อมูลได้มากกว่าสลิปเงินเดือน เพราะในขณะเดียวกัน สลิปเงินเดือน จะเป็นเอกสารที่พนักงานได้รับทุกเดือนอยู่แล้ว เพื่อยืนยันว่าทางบริษัทได้มีการจ่ายเงินเดือนให้พนักงานจริง พร้อมแจงรายละเอียดต่าง ๆ ของเงินที่ได้รับ นอกจากนี้ยังมีเอกสารรับรองการทำงานที่มีความคล้ายกันอีกด้วย 6. ภาษาของเอกสารขึ้นอยู่กับความต้องการของพนักงาน สำหรับหนังสือรับรองเงินเดือนสามารถออกเป็นทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้ ขึ้นอยู่กับหน่วยงานหรือเงื่อนไขที่พนักงานต้องการติดต่อยื่นเอกสาร ในส่วนนี้เราขอแนะนำให้ผู้ประกอบการหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจัดเตรียมเทมเพลตไว้ทั้ง 2 ภาษาเพื่อรองรับคำขอจากพนักงาน อีกทั้งยังช่วยลดการทำงานของพนักงานฝ่ายบุคคลหรือผู้ออกเอกสารไม่ต้องทำเอกสารใหม่ทุกครั้งเมื่อเปลี่ยนภาษาอีกด้วย 7. จัดวางระบบ ใช้โปรแกรมออนไลน์ ช่วยลดจำนวนเอกสารและขั้นตอนการทำงาน การออกเอกสารต่างๆ เช่น หนังสือรับรองเงินเดือน แม้จะไม่ใช่งานที่ยากซับซ้อน แต่กลับเป็นงานที่กินเวลาทำงานของพนักงานฝ่ายบุคคลเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในองค์กรที่มีจำนวนพนักงานเยอะ ซึ่งอาจทำให้ฝ่ายบุคคลไม่สามารถมุ่งเป้าหมายไปที่การพัฒนาบุคลากรในองค์กรได้อย่างเต็มที่ เพื่อแก้ปัญหานี้ ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการลดจำนวนงานที่ไม่จำเป็น โดยการนำ โปรแกรมเงินเดือนและบริหารงานบุคคลออนไลน์ เข้ามาช่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง PEAK Payroll ฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อลดขั้นตอนและลดจำนวนเอกสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยฟีเจอร์ PEAK Payroll ฝ่ายบุคคลและผู้ประกอบการจะสามารถ: การนำ PEAK Payroll เข้ามาใช้ จะช่วยให้งานเอกสารของฝ่ายบุคคลลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้มีเวลาและทรัพยากรมากขึ้นในการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตขององค์กรในระยะยาวค่ะ 8. เอกสารอื่น ๆ ที่พนักงานอาจขอ นอกจากหนังสือรับรองเงินเดือนแล้ว ยังมีเอกสารอื่นที่พนักงานอาจขอสำหรับการนำไปใช้ยื่นในธุระสำคัญต่าง ๆ ของแต่ละ โดยในส่วนนี้เราขอยกตัวอย่างเอกสารที่ใกล้เคียงกัน และเป็นหนึ่งในเอกสารที่มักมีการขอจากพนักงานบ่อยพอสมควร 8.1 สลิปเงินเดือน จากที่เราได้แนะนำไปในข้อก่อนหน้านี้ สลิปเงินเดือนก็เป็นอีกหนึ่งเอกสารที่พนักงานมักใช้ในการยื่น แต่โดยปกติแล้วสลิปเงินเดือนจะทำการส่งให้พนักงานในแต่ละเดือนเพื่อยืนยันว่าพนักงานได้รับเงินจริงแล้ว ทั้งนี้สำหรับบางองค์กรที่ยังยื่นเอกสารแบบแผ่นจริงให้พนักงาน อาจพบกับปัญหาด้านการจัดเก็บเอกสาร แนะนำให้เลือกใช้โปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ที่มีระบบส่งสลิปอัตโนมัติสะดวกมากยิ่งขึ้น 8.2 หนังสือรับรองการทำงาน อีกหนึ่งเอกสารที่มีความเป็นทางการมากยิ่งขึ้น แต่จะไม่มีการระบุถึงเงินเดือนของพนักงาน โดยจะเป็นเอกสารเพื่อยืนยันสถานภาพการเป็นพนักงานในองค์กรเท่านั้น โดยเอกสารนี้จะมีความใกล้เคียงกับหนังสือรับรองเงินเดือน ที่ต้องมีการลงชื่อโดยผู้รับรอง สามารถทำได้สองภาษา และสามารถทำเป็นเทมเพลตเตรียมให้พนักงานได้เช่นเดียวกัน  ข้อควรระวังในการออกหนังสือรับรองเงินเดือน ข้อควรระวังสำหรับผู้ประกอบการในการออกหนังสือรับรองเงินเดือน คือ ข้อมูลภายในเอกสารที่ควรตรวจสอบให้ถูกต้องชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นชื่อ จำนวนเงินเดือน หรือวันที่ เพื่อลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและอาจส่งผลเสียถึงองค์กรได้ รวมไปถึงตราประทับบริษัทก็เป็นเรื่องที่สำคัญเพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือของเอกสาร สรุปสิ่งสำคัญที่ควรรู้ก่อนออกเอกสารรับรอง จากข้อมูลข้างต้นน่าจะพอรู้จักกับ หนังสือรับรอง เงินเดือนกันมากขึ้นว่ามีความสำคัญอย่างไร มีข้อมูลอะไรบ้าง และผู้ประกอบการควรเตรียมตัวอย่างไรเมื่อมีพนักงานขอเอกสาร ซึ่งเอกสารฉบับนี้ก็ไม่ได้มีความซับซ้อน แต่หากเตรียมพร้อมให้ดีก็ช่วยลดขั้นตอนการทำงานของพนักงานลงได้ โดยเฉพาะในงานของฝ่ายบุคคลที่เอกสารหนังสือรับรองเงินเดือนเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีเอกสารอีกมากมายที่จำเป็นต้องใช้ และเป็นหน้าที่ขององค์กรในการออกเอกสารเหล่านั้นให้พนักงาน ทำให้การมีโปรแกรมที่เข้ามาช่วยลดขั้นตอนการทำงานในส่วนนี้อย่าง PEAK Payroll ที่พร้อมช่วยลดการทำงานของฝ่ายบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการออกสลิปเงินเดือน การทำเงินเดือนให้เป็นระบบ การยื่นประกันสังคม และการคำนวณภาษี ที่ล้วนเป็นงานซับซ้อนให้ง่ายมากยิ่งขึ้น ลดข้อผิดพลาด พร้อมโฟกัสกับการพัฒนาศักยภาพของพนักงานได้อย่างแท้จริง สามารถอ่านคู่มือการใช้งานเบื้องต้นของ PEAK Payroll ได้ที่นี่ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

18 ก.ค. 2025

PEAK Account

6 min

5 เคล็ดลับ สร้างเว็ปไซต์ ให้ขายดีแบบมือโปร!

เคยสงสัยกันมั้ยคะว่าทำไมเว็บขายของของเราถึงขายไม่ได้หรือขายได้น้อย ทั้ง ๆ ที่เว็บอื่น ๆ ก็ขายเหมือนกับเรา เขามีเทคนิคเรียกลูกค้ายังไงกันนะ? ปัญหานี้แก้ไม่ยาก เพียงแค่ลองกลับมาเช็คเว็บขายของของตัวเองดูก่อนว่าเว็บไซต์ของเราพร้อมเปิดขายให้ลูกค้าแล้วหรือยัง ส่วนประกอบของเว็บไซต์ที่สำคัญมีครบหรือไม่ โดยทำตาม 5 เทคนิคที่เราจะบอกในบทความนี้ หากอยากรู้เพิ่มเติมว่าเว็บไซต์ธุรกิจที่ดีควรมีอะไรบ้าง และวิธีสร้างเว็บไซต์ตั้งแต่เริ่มต้น อ่านต่อได้ในบทความ👉 ส่วนประกอบของเว็บไซต์ที่สำคัญ👉 6 ขั้นตอนสร้างเว็บไซต์ธุรกิจฉบับเจ้าของมือใหม่! 5 เทคนิค สร้างเว็บขายของให้ขายดี! 1. รูปภาพต้องคมชัดและมีหลายมุม เมื่อจะขายของ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ รูปภาพสินค้า ซึ่งจะต้องมีความคมชัด ภาพไม่แตกหรือเบลอ เพราะสินค้าบางประเภทอาจมีรายละเอียดที่ต้องโฟกัสและอาจเป็นจุดขายของสินค้านั้นเลยก็ได้ เช่น ลายสินค้า พื้นผิววัสดุ ลายของผ้า  เราแนะนำว่า รูปภาพสินค้าบนเว็บไซต์ควรมีความละเอียด 75 PPI และกว้าง 1000 Pixels ขึ้นไป สำหรับรูปภาพสินค้าที่ต้องมีหลายมุม ก็เพื่อเป็นการนำเสนอรูปลักษณ์ภายนอกของสินค้าทั้งหมด หรือบอกถึงฟังก์ชั่นการใช้งานของสินค้า เช่น ปุ่มกด ด้ามจับ วิธีเปิดใช้งาน ฯลฯ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าเข้าใจตัวสินค้ามากขึ้น และเป็นการเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้นเช่นกัน 2. ตั้งชื่อสินค้า ให้จำง่ายที่สุด หากเราใช้ชื่อสินค้าสุดยูนีคที่คิดขึ้นมาเอง อาจทำให้สินค้าของเราถูกเสิร์ชเจอได้ยากขึ้น ดังนั้น เราควรตั้งชื่อสินค้าด้วยชื่อมาตราฐาน และควรมีรายละเอียดสั้น ๆ ของสินค้า เพื่อบอกถึงคุณสมบัติคร่าว ๆ ของสินค้าได้ 3. ใส่ข้อมูลสินค้าบนเว็บให้ครบและเข้าใจง่าย ข้อมูลที่ครบถ้วนคือข้อมูลที่พร้อมขายได้ด้วยตัวเอง โดยที่ลูกค้าไม่ต้องโทรมาถามให้เสียเวลา เจ้าของเว็บไซต์จึงควรใส่ข้อมูลสำคัญของสินค้าไปให้ครบถ้วนมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น สี ขนาด คุณสมบัติ ราคา วิธีการใช้งาน และเงื่อนไขการรับประกันสินค้า  4. ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าได้ง่ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มช่องค้นหา (Search) หรือเปิดตัวกรองสินค้า (Product Filter) ไว้บนเว็บไซต์ เป็นสิ่งที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการได้รวดเร็วที่สุด ไม่ว่าจะกรองด้วยแบรนด์ ไซส์ สี หรือราคา เมื่อลูกค้าหาสินค้าที่ต้องการได้ไว เราก็ขายได้เร็วขึ้นด้วย   5. เว็บขายของต้องจ่ายง่ายและปลอดภัย การมีช่องทางการชำระเงินที่ครอบคลุมทุกการสะดวกจ่ายของลูกค้า มี QR Promtpay สแกนผ่านแอปธนาคารได้โดยง่าย ใครที่อยากสะสมพ้อยท์บัตรเครดิตก็เลือกจะจ่ายแบบตัดบัตรได้เลย หรือหากสะดวกเก็บเงินปลายทางก็มีให้ มากกว่านั้นหากเว็บขายของนั้นขายสินค้าราคาสูง ก็มีตัวเลือกให้ผ่อนชำระได้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้นแบบเท่าตัวเลยล่ะค่ะ สรุปท้ายบทความ : จัดการเว็บไซต์ได้แบบมืออาชีพกับ MakeWebEasy การออกแบบเว็บไซต์ขายของให้ดี อาจไม่ใช่แค่การออกแบบเว็บไซต์ให้สวยงามอย่างเดียว แต่ต้องทำให้เว็บไซต์ให้มีสิ่งที่ลูกค้าต้องการอย่างครบถ้วนและซื้อได้ง่ายที่สุด อยากให้เจ้าของร้านค้าลองนึกถึงประโยชน์และความสะดวกสบายของลูกค้ามาก่อนความสบายของเจ้าของร้านอย่างตัวเราเอง ไม่เพียงแค่จะทำให้ธุกิจของเราน่าเชื่อถือ แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ดีที่ช่วยให้ธุรกิจของเราไปต่อได้อย่างราบรื่นอีกด้วย  อยากทำเว็บไซต์ขายของให้ขายดี มาเริ่มเปิดเว็บไซต์ด้วยตัวเองง่าย ๆ ที่ MakeWebEasy.com ได้เลยค่ะ ติดต่อสอบถามทีมงาน MakeWebEasy โทร. 022177999 Facebook Page : www.facebook.com/makewebeasy   Add Line : 40xsm5339b