ภาษี

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

12 มี.ค. 2025

PEAK Account

13 min

7 ประเภทค่าใช้จ่าย ที่ใช้ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล

ความรู้เรื่องภาษีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ เพราะนอกจากจะช่วยให้ธุรกิจดำเนินได้อย่างถูกต้องตามกำหนด ไม่เสียค่าปรับจากการจ่ายภาษีไม่ครบ ยังอาจช่วยลดจำนวนภาษีที่ต้องจ่ายในแต่ละครั้งได้อีกด้วย เพราะมีค่าใช้จ่ายมากมายที่สามารถนำไปใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้นั่นเอง โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ที่ภาครัฐได้ออกนโยบายลดหย่อนภาษี มาช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ช่วยพัฒนาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า อีกทั้งยังเป็นการเปิดเวทีการแข่งขันด้านธุรกิจ ให้เหล่าคนรุ่นใหม่สนใจในการก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการกันมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งในบทความนี้เราก็จะพาผู้ประกอบการทุกท่านไปดูกันว่า ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล สามารถทำได้อย่างไรบ้าง พร้อมแล้วมาดูกันเลย ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล คืออะไร? การลดหย่อนภาษีคือสิทธิ์ของผู้ประกอบการ รวมไปถึงประชาชนที่ทางรัฐบาลกำหนดว่าค่าใช้จ่ายประเภทใดที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายจำเป็นในชีวิตประจำวัน และในบางกรณีอาจเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับนโยบายที่ทางภาครัฐพยายามผลักดันด้วยเช่นกัน ทำไมผู้ประกอบการต้องรู้เรื่อง ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล การลดหย่อนภาษีนิติบุคคลทำได้หลายรูปแบบมาก มีค่าใช้จ่ายจำเป็นมากมายในการทำธุรกิจที่สามารถนำมาลดหย่อนกับรัฐบาล ช่วยให้สามารถปรับหยัดค่าเสียภาษี หรืออาจได้เงินภาษีคืนมากกว่าที่คิดไว้ เพื่อให้สามารถนำเงินไปใช้ในการต่อยอดธุรกิจในส่วนอื่น ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล เป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการที่ศึกษาอย่างละเอียด ตรวจสอบบัญชี ตรวจสอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ว่าสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้หรือใหม่ หรือเมื่อรัฐบาลมีนโยบายใหม่ ๆ ที่ออกมาเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำบางอย่างไปลดหย่อนภาษีได้ก็จะได้ตามทัน และรีบปรับตัวตามนั่นเอง  เช็กเงื่อนไขการเสียภาษีนิติบุคคล สำหรับธุรกิจ SMEs ที่ได้รับการจดทะเบียนนิติบุคคลเรียบร้อยแล้ว จะมีเงื่อนไขในการเสียภาษี คือมีทุนจดทะเบียนบริษัทไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการไม่เกิน 30 ล้านบาท โดยในกำไรสุทธิ 300,000 บาทแรกจะไม่ต้องเสียภาษีกำไรสุทธิตั้งแต่ 300,001 – 3 ล้านบาท มีอัตราภาษี 15% และหากกำไรมากกว่า 3 ล้านบาทขึ้นไป จะมีอัตราภาษี 20%หากธุรกิจที่ไม่เข้าข่ายเป็น SMEs ที่จดทะเบียนนิติบุคคล จะมีอัตราภาษี 20% ตั้งแต่กำไรบาทแรก สำหรับธุรกิจนำเข้า-ส่งออกสินค้า สามารถศึกษาภาษีที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้าได้ที่ : ธุรกิจนำเข้า-ส่งออกสินค้า ต้องรู้ภาษีอะไรบ้าง? เคล็ดลับลดหย่อนภาษีนิติบุคคลด้วยค่าใช้จ่าย 7 ประเภท สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีพนักงานไม่เกิน 200 คน และมีสินทรัพย์ไม่เกิน 200 ล้านบาท จะมีค่าใช้จ่ายที่นำไปใช้ลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำเนินธุรกิจ ที่ช่วยพัฒนาธุรกิจให้เติบโต ประกอบไปด้วย 6 ประเภทค่าใช้จ่ายดังนี้ 1. ค่าจัดตั้งบริษัท ทำบัญชี และการสอบบัญชีสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้ทำการจดทะเบียนบริษัทนิติบุคคลแล้ว โดยมีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการในรอบบัญชีไม่เกิน 30 ล้านบาท ก็สามารถนำรายละเอียดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับกับการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท การทำบัญชี ไปจนถึงการสอบบัญชี ในระยะเวลา 5 รอบปีบัญชีติดต่อกันมาใช้ในการลดหย่อนภาษีได้ถึง 2 เท่าเลยทีเดียว 2. ค่าเสื่อมสภาพของคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทุกวันนี้คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งของจำเป็นต้องมีในการดำเนินธุรกิจ ภาครัฐจึงออกนโยบายให้ผู้ประกอบการสามารถคิดค่าเสื่อมราคาในอัตรา 40% ของมูลค่าอุปกรณ์ โดยจะทำการทยอยหักภายใน 3 รอบบัญชีนับตั้งแต่วันที่ได้ทรัพย์สินมา นอกจากนี้ยังรวมไปถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง 3. ค่าเสื่อมอาคารผู้ประกอบการที่มีสถานประกอบการเป็นอาคาร หรือโรงงานสามารถนำค่าเสื่อมของอาคารมาคิดค่าเสื่อมได้ในอัตรา 25% ของต้นทุน โดยส่วนที่เหลือสามารถหักได้ในแต่ละรอบบัญชีไม่เกิน 5% ต่อปี 4. ค่าเสื่อมของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรโรงงานที่มีเครื่องจักรสามารถนำค่าเสื่อมของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องมาใช้ลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน โดยคิดค่าเสื่อมในอัตรา 40% ของมูลค่า ส่วนที่เหลือสามารถหักได้ในแต่ละรอบบัญชีไม่เกิน 20% ต่อปี 5. ค่าจ้างงานผู้สูงอายุอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้ถึง 2 เท่า แต่ผู้ประกอบการหลายคนยังไม่รู้ คือค่าจ้างผู้สูงอายุนั่นเอง เพราะรัฐบาลมีเป้าหมายในการสนับสนุน SMEs ในการจ้างผู้สูงอายุ เพื่อกระจายรายได้ จึงทำให้มีนโยบายนี้ออกมารองรับ โดยมีเงื่อนไขดังนี้ 6. เงินบริจาคเงินบริจาคเป็นอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่นำมาใช้ลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้เช่นกัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กรณีดังนี้6.1 บริจาคให้กับ สถาบันการศึกษารัฐ, เอกชน และสถาบันอุดมศึกษา ที่มีศักยภาพสูงผู้ประกอบการสามารถนำเงินบริจาคมาใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า แต่จะไม่เกิน 10% ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายการบริจาค 6.2 บริจาคให้กับกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการสามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีได้เท่ากับจำนวนเงินที่บริจาค แต่จะต้องไม่เกิน 2% ของกำไรสุทธิหลักหักค่าใช้จ่าย 6.3 เงินบริจาคให้กับกองทุนวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมรวมทั้ง 4 กองทุนสามารถนำเงินบริจาคหักรายจ่ายได้ 2 เท่า ทั้งนี้เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการศึกษา และรายจ่ายที่กำหนดต้องไม่เกิน 10% ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่าย 7. รายจ่ายในการฝึกอบรมสำหรับการฝึกอบรบให้พนักงานในบริษัทก็สามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้เช่นกัน ทั้งในกรณีที่ส่งลูกจ้างไปเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรม และการฝึกอบรบให้ลูกจ้างตนเอง โดยสามารถแบ่งรายละเอียดได้ดังนี้7.1  ส่งลูกจ้างไปเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรม 7.2 ฝึกอบรมลูกจ้างตนเอง รู้เรื่องภาษีให้รอบด้าน อาจช่วยลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้มากกว่าที่คิด การจัดการภาษีนิติบุคคลอย่างถูกต้องและครบถ้วนเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ SMEs เพราะสามารถช่วยลดภาระทางภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการนำค่าใช้จ่ายที่ถูกต้องมาหักลดหย่อน หรือการจัดการภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อย่างถูกวิธี นอกจากนี้ หากมีการเตรียมเอกสารทางบัญชีอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้การจัดทำรายงานภาษีเป็นเรื่องง่ายและแม่นยำมากขึ้น PEAK Tax เป็นฟังก์ชันหนึ่งในโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ที่ช่วยให้การจัดการภาษีของธุรกิจเป็นเรื่องง่ายและแม่นยำยิ่งขึ้น ด้วยระบบที่ครอบคลุมตั้งแต่การคำนวณและสร้างแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 30) และภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.1, ภ.ง.ด.3, ภ.ง.ด.53) ไปจนถึงการตรวจสอบความถูกต้องของแบบภาษีก่อนส่ง เพื่อป้องกันข้อผิดพลาด นอกจากนี้ PEAK Tax ยังช่วยสรุปและจัดทำรายงานภาษีได้อย่างเป็นระบบ รองรับการนำเข้าข้อมูลจากระบบขายออนไลน์ เช่น Shopee, Lazada และ TikTok Shop ช่วยลดงานซ้ำซ้อน ประหยัดเวลา และทำให้การจัดการภาษีเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น​ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

6 มี.ค. 2025

PEAK Account

14 min

เช็กด่วน! รายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดาตรงกับรายได้จริงไหม

เรียกได้ว่ามาถึงครึ่งทางแล้วสำหรับเทศกาลยื่นภาษีของบุคคลธรรมดาที่มีรายได้จากปี 2567 หรือที่เรียกกันว่า “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” ซึ่งถูกกำหนดให้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90/91 เพื่อเสียภาษีให้เสร็จภายใน 31 มีนาคม 68 แต่ถ้าใครยื่นผ่านอินเทอร์เน็ตเวลาสิ้นสุดจะขยายจนถึง 8 เมษายน 68 ขณะที่หลายคนยื่นแบบภาษีผ่านไปได้ราบรื่น ไม่มีปัญหา แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มที่พบปัญหาว่า รายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดา ของกรมสรรพากรนั้นไม่เท่ากับรายได้ที่ตนเองได้รับจริงหรือจดบันทึกไว้ เช่น ระบบแสดงรายได้มาก หรือต่ำกว่าความเป็นจริง แบบนี้คงจะเริ่มปวดหัว ต้องสาเหตุเกิดจากอะไร และต้องทำอย่างไรต่อ ซึ่งเราจะมาหาคำตอบกันในบทความนี้ ตรวจสอบรายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดา ผ่านระบบ D-MyTax (Digital MyTax) บางคนอาจยังไม่ทราบว่ากรมสรรพากรมีระบบที่สามารถดึงข้อมูลรายได้เราจากทุกๆ แหล่งที่เราเคยโดนหัก ณ ที่จ่ายไว้หรือมีคนนำส่งข้อมูลไว้ ซึ่งจะนำมาแสดงในระบบใหม่ของกรมสรรพากรที่ชื่อว่า ‘D-MyTax’ หรือ Digital MyTax เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพมากขึ้น ขอแสดงตัวอย่างการเข้าไปดูข้อมูลรายได้ในระบบดังกล่าว ซึ่งสามารถทำตามขั้นตอนได้ดังนี้ 1. เข้าสู่ระบบกรมสรรพากรเพื่อยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2. เลือกยื่นแบบ ภ.ง.ด.90/91 3. หลังจากนั้นระบบจะแสดงหน้าต่างขึ้นมาให้เลือกว่าการยื่นแบบจะ ‘ใช้ข้อมูลที่กรมสรรพากรได้รับ’ หรือจะ ‘กรอกข้อมูลด้วยตนเอง’ ให้เลือก ‘ใช้ข้อมูลที่กรมสรรพากรได้รับ’ เพื่อดูว่าระบบสรรพากรมีข้อมูลรายได้อะไรของเราบ้าง 4. สิ่งที่เราจะเจออันดับแรกยังไม่ใช่ข้อมูล ‘รายได้’ แต่เป็นข้อมูล ‘ค่าลดหย่อน’ ต่างๆ ที่สรรพากรได้รับข้อมูลมาเช่นกัน บางครั้งเราลืมว่ามีสิทธิ์ลดหย่อนส่วนนี้ เช่น ค่าเบี้ยประกันชีวิต หรือค่าใช้จ่ายในโครงการ Easy E-Receipt ที่จำไม่ได้ว่าต้นปีที่แล้วจ่ายอะไรไปบ้าง ระบบก็จะแสดงข้อมูลต่างๆออกมาให้ แม้ข้อมูล ‘ค่าลดหย่อน’ จะไม่ได้เกี่ยวกับบทความนี้ แต่ก็เป็นเรื่องดีๆ ที่ผู้อ่านควรรู้  5. เลื่อนลงมาเรื่อยๆ จะเจอไฮไลท์ของบทความนี้แล้วก็คือ ข้อมูล ‘รายได้’ ซึ่งจะแสดงเป็นส่วนๆ  เช่น รายได้เงินเดือน, รายได้จากทรัพย์สิน/การทำธุรกิจ/อาชีพอิสระ เป็นต้น ซึ่งการแสดงข้อมูลในส่วนนี้จะบอกรายละเอียดของรายได้ เช่น วิธีตรวจสอบรายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดาตรงกับรายได้จริงของเราไหม? ถึงตอนนี้แล้วคิดว่าทุกคนคงเห็นภาพมากขึ้นว่าระบบแสดงข้อมูลรายได้เราอย่างไรบ้าง สิ่งที่เราจะทำได้ต่อจากนี้ คือ การตรวจสอบว่ารายได้ที่แสดงในระบบครบถ้วน ถูกต้องหรือไม่ สามารถทำได้หลายวิธี เช่น เราสามารถตรวจสอบโดยใช้หลายวิธีรวมกันได้ ส่วนตัวของผู้เขียนจะทำบันทึกจดรายได้พร้อมบันทึกวันรับเงินและเก็บเอกสารหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่ายเพื่อเป็นหลักฐานการรับเงินในแต่ละครั้ง หลังจากตรวจสอบแล้ว ถ้าข้อมูลรายได้ที่เรามีและในระบบสรรพากรตรงกันเป๊ะ แบบนี้เรียกว่า ‘ราบรื่น’ ได้เลย แต่ถ้าข้อมูลไม่ตรงกันไม่ว่าจะมากกว่าหรือน้อยกว่า เราสามารถเตรียมรับมือได้ ดังนี้ กรณีข้อมูลรายได้จริง ‘มากกว่า’ รายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดา 1. รายได้ที่ผู้จ่ายเงินไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย เช่น รายได้จากการขายสินค้า หรือรายได้จากการให้บริการแก่บุคคล ซึ่งปกติจะไม่มีการหักภาษี ณ ที่ จ่ายระหว่างกัน ในระบบฯ จึงไม่แสดงข้อมูลนี้ แก้ไข: เก็บข้อมูลรายได้ทั้งหมด และยื่นรายได้ให้ครบถ้วน 2. รายได้ที่เราบันทึกไว้ แต่ยังไม่ได้รับเงินจริง เนื่องจากการเสียภาษีเงินได้ของบุคคลธรรมดาจะถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีเมื่อได้รับชำระเงินแล้ว เช่น ให้บริการแก่บริษัทจำกัดแต่ยังไม่ได้รับชำระเงิน แก้ไข: เก็บข้อมูลรายได้ที่ยื่นภาษี ต้องเป็นรายได้ที่ได้รับเงินแล้วในปี 2567 3. ผู้จ่ายเงินไม่ได้ยื่นแบบหรือส่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้สรรพากร เช่น ผู้จ่ายเงินหักภาษีไว้ แต่ลืมนำส่งภาษีให้สรรพากร หรือบางกรณีที่ไม่มีภาษีต้องหักแต่ต้องยื่นแบบ ซึ่งผู้จ่ายเงินไม่ได้ยื่นแบบ เป็นต้น แก้ไข: ติดต่อไปยังผู้จ่ายเงิน และแจ้งให้ทำการยื่นปรับปรุงภาษีให้ถูกต้อง กรณีผู้จ่ายเงินไม่ยอมปรับปรุง ควรแจ้งเรื่องต่อสรรพากรพื้นที่ 4. ผู้จ่ายเงินส่งข้อมูลรายได้น้อยกว่าที่จ่ายจริง กรณีเกิดจากความผิดพลาดของผู้จ่ายเงินที่ยื่นแบบแจ้งสรรพากรต่ำกว่าความเป็นจริง เช่น รายได้ 100,000 แต่ระบุเป็น 10,000 เป็นต้น แก้ไข: ติดต่อไปยังผู้จ่ายเงิน และแจ้งให้ทำการยื่นปรับปรุงภาษีให้ถูกต้อง กรณีผู้จ่ายเงินไม่ยอมปรับปรุง ควรแจ้งเรื่องต่อสรรพากรพื้นที่ 5. ข้อมูลยังไม่เข้าระบบของกรมสรรพากร เช่น บริษัทที่จ่ายเงินเดือนยังไม่ได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.1ก เนื่องจากยังไม่ถึงกำหนด ข้อมูลรายได้ส่วนนี้จึงยังไม่ปรากฏบนระบบ เป็นต้น แก้ไข: สอบถามไปยังผู้จ่ายว่ายื่นแบบไปแล้วหรือไม่ หรืออาจรอให้ผู้จ่ายเงินยื่นแบบก่อน เพื่อให้ข้อมูลขึ้นในระบบ แล้วค่อยยื่นภาษีบุคคลก็ได้เช่นกัน กรณีข้อมูลรายได้จริง ‘น้อยกว่า’ รายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดา 1. บันทึกรายได้ไม่ครบถ้วน อาจเกิดจากการที่เราบันทึกรายได้ตกหล่น หรือเก็บข้อมูลไม่เป็นระบบเอง แก้ไข: เก็บข้อมูลรายได้ทั้งหมดให้ครบถ้วน เก็บข้อมูลวันที่เกิดรายได้และวันที่ได้รับเงิน 2. รายรับบางอย่างไม่รู้ว่าเป็นรายได้ทางภาษี เช่น รายได้ที่ไม่ถูกหัก ณ ที่จ่ายอาจคิดว่าไม่ต้องยื่นภาษี หรือรายได้ที่ผู้จ่ายออกภาษีหัก ณ ที่จ่ายแทนแต่ไม่ส่งใบ 50 ทวิมาให้ แก้ไข: เก็บข้อมูลรายได้ทั้งหมดให้ครบถ้วน ไม่สนใจว่าจะถูกหัก ณ ที่จ่ายไว้แล้วหรือไม่ กรณีที่ผู้จ่ายเงินออกภาษีแทนต้องติดตามใบ 50 ทวิมาเก็บเป็นหลักฐานด้วย 3. ผู้จ่ายเงินส่งข้อมูลรายได้มากกว่าที่จ่ายจริง เกิดจากความผิดพลาดของผู้จ่ายเงินที่ยื่นแบบแจ้งสรรพากรสูงกว่าความเป็นจริง เช่น รายได้ 5,000 แต่ระบุเป็น 50,000 เป็นต้น แก้ไข: ติดต่อไปยังผู้จ่ายเงิน และแจ้งให้ทำการยื่นปรับปรุงภาษีให้ถูกต้อง กรณีผู้จ่ายเงินไม่ยอมปรับปรุง ควรแจ้งเรื่องต่อสรรพากรพื้นที่ 4. ผู้จ่ายเงินส่งข้อมูลรายได้ผิดบุคคล เช่น ผู้จ่ายเงินจ้างนาย A แต่ตอนแจ้งสรรพากรระบุว่าผู้รับเงิน คือ นาย B ซึ่งทำให้ข้อมูลรายได้ของนาย A และ นาย B จะไม่ตรงกัน แก้ไข: ติดต่อไปยังผู้จ่ายเงิน และแจ้งให้ทำการยื่นปรับปรุงภาษีให้ถูกต้อง กรณีผู้จ่ายเงินไม่ยอมปรับปรุง ควรแจ้งความการแอบอ้างชื่อไปใช้และนำใบแจ้งความไปแจ้งที่สรรพากรพื้นที่ต่อ ทั้งนี้ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราเคยให้คนรู้จักใช้บัตรประชาชนเราไปรับเงินแทนหรือไม่ กรณีที่อยู่ระหว่างรอการแก้ไขภาษีจากผู้จ่ายเงิน และจำเป็นต้องยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.90/91 สามารถยื่นแบบภาษีตามยอดรายได้ตามที่ถูกต้องแม้จะไม่ตรงกับยอดในระบบสรรพากร และให้ชี้แจงข้อเท็จจริงให้สรรพากรรับทราบอีกครั้ง สรุป การที่ระบบการยื่นภาษีของกรมสรรพากรสามารถเชื่อมโยงข้อมูลการมีรายได้ของผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดาได้ ทำให้ผู้เสียภาษีสามารถเช็กข้อมูลที่ตนเองเก็บบันทึกไว้กับข้อมูลในระบบสรรพากรได้เร็วและง่าย กรณีเจอข้อมูลที่แตกต่างกัน สามารถดูรายชื่อและเลขผู้เสียภาษีของผู้จ่ายรายได้เพื่อติดต่อไปสอบถามและแก้ไขปัญหาร่วมกันได้ทันที ขอย้ำอีกครั้งว่าอย่าเข้าระบบเพื่อยื่นภาษีอย่างเดียว แต่ควรตรวจสอบข้อมูลรายได้ให้ครบถ้วน ถูกต้องเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต  PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ มีฟังก์ชันรองรับการช่วยเก็บข้อมูลรายได้ ออกหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย(ใบ50ทวิ) และเอกสารบัญชีต่างๆ ได้อย่าง สะดวก รวดเร็ว ในไม่กี่ขั้นตอน สร้างเอกสารทางธุรกิจ ครบถ้วน ถูกต้อง แม่นยำ ป้องกันปัญหาอย่างมืออาชีพ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

28 ก.พ. 2025

PEAK Account

13 min

เช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ทำง่าย สะดวก รวดเร็ว

ในทุกปีเมื่อถึงช่วงเวลายื่นภาษี ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจ SME นิติบุคคล หรือผู้ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม คำถามยอดฮิตที่มักเกิดขึ้นเสมอก็คือ “เงินคืนภาษีของเราถึงไหนแล้ว?” แต่ในปัจจุบันภาครัฐได้อำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการด้วยการเปิดระบบต่าง ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น การยื่นภาษีออนไลน์ รวมไปถึง เช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ ที่ในบทความนี้เราจะมาแนะนำ วิธีเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ สำหรับผู้ประกอบการ จะทำอย่างไร สะดวกมากน้อยแค่ไหน มาร่วมหาคำตอบในบทความนี้ไปพร้อมกัน ทำไมต้องเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์? การเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ เพราะช่วยให้คุณรู้ความคืบหน้าว่าแบบภาษีที่ยื่นไปได้รับการตรวจสอบหรือยัง และมีปัญหาอะไรต้องแก้ไขหรือไม่ การติดตามสถานะอย่างใกล้ชิดช่วยให้สามารถจัดการเอกสารเพิ่มเติมได้ทันทีหากมีข้อผิดพลาด ลดความเสี่ยงในการถูกปฏิเสธการคืนภาษี และยังช่วยให้คุณวางแผนกระแสเงินสดได้อย่างแม่นยำ เพราะการได้รับเงินคืนเร็วขึ้น หมายถึงธุรกิจมีสภาพคล่องที่ดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ การใช้ช่องทางออนไลน์ในการเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ยังช่วยประหยัดเวลา ลดขั้นตอน และทำให้การติดต่อกับกรมสรรพากรสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าการโทรหรือเดินทางไปด้วยตัวเองอีกด้วย สิ่งที่เจ้าของธุรกิจควรรู้เกี่ยวกับ “การคืนภาษีออนไลน์” ก่อนเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ เงื่อนไขการขอคืนภาษีของนิติบุคคล ที่ควรรู้ ก่อนเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ สำหรับการขอคืนภาษีของนิติบุคคล ซึ่งทางกรมสรรพากรก็ได้ทำการออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อระบุว่ากิจการใดมีสิทธิ์ในการขอคืนภาษีได้ ซึ่งหลักเกณฑ์สามารถแบ่งออกได้ 3 กรณีตามประเภทภาษี 1. ขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย กรณีมาตรา 63 แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับมาตรา 63 แห่งประมวลรัษฎากร ได้มีการกำหนดเงื่อนไขของผู้มีสิทธิ์ขอคืนภาษีว่าต้องเป็นกิจการที่เป็นผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย และได้ทำการนำส่งภาษีเกินกว่าที่ควรต้องเสียภาษี กิจการของคุณเข้าข่ายสามารถขอคืนภาษีได้ตามมาตรา 63 ในส่วนของระยะเวลาในการยื่นขอคืนภาษี สามารถทำได้ภายในระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันสุดท้ายของกำหนดเวลายื่นภาษีตามที่กฎหมายกำหนด  ยกตัวอย่างเช่น  กิจการ A มีรอบบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 – 31 ธันวาคม 2567 ซึ่งในรอบปีนั้นมีการหักภาษีเกินที่กำหนดไป และกิจการ A มีหน้าที่ยื่นภาษีภายใน 150 วัน นับตั้งแต่สิ้นรอบบัญชี หมายความว่า กิจการ A สามารถยื่นขอคืนภาษีได้ภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2571 นั่นเอง 2. ขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย กรณีมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร  อีกหนึ่งรูปแบบการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งจะตรงกับกรณีของมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร โดยเงื่อนไขข้อนี้สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่ได้ทำกิจการเข้าข่ายมาตรา 63 แห่งประมวลรัษฎากร เช่น กลุ่มกิจการที่มีการหัก ณ ที่จ่ายมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร ยกตัวอย่างเช่น ค่านายหน้า ค่าฝึกอบรม ค่าซ่อมแซมเครื่องจักร ซึ่งรวมไปถึงบริษัทต่างประเทศที่เข้ามามีรายได้ในประเทศไทยอีกด้วย โดยเงื่อนไขในการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่ายประเภทนี้ต้องเป็นผู้ที่เมื่อจ่ายเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายแล้วเกินจากที่กำหนด และมีระยะเวลาในการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่ายเท่ากับ มาตรา 63 คือ 3 ปีหลังจากวันครบกำหนดยื่นภาษี 3. ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ในส่วนของการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT 7% ซึ่งเป็นเงินภาษีที่หักออกจากสินค้าหรือบริการเพื่อนำส่งให้กับทางกรมสรรพากร รวมไปถึงภาษีที่ผู้ประกอบการจ่ายเมื่อทำการซื้อสินค้าหรือบริการด้วย มีเงื่อนไขและรูปแบบการขอคืนภาษีดังนี้ การเปลี่ยนเป็นเครดิตภาษีในเดือนถัดไป กรณีที่มีภาษีมูลค่าเพิ่มที่ซื้อสินค้าหรือบริการไปเกินที่กำหนดไว้ จะเปลี่ยนเป็นเครดิตภาษี ซึ่งสามารถนำไปใช้จ่ายภาษีของเดือนถัดไปได้ ทั้งนี้ถ้าผู้ประกอบการมีเครดิตภาษีเหลือแล้วไม่ได้ทำการยื่นขอคืนภาษีภายในเดือนนั้น หมายความว่าประสงค์ที่จะยกไปใช้ชำระภาษีในเดือนถัดไป ทั้งนี้ถ้าเดือนถัดไปไม่ได้นำเครดิตตรงนี้มาชำระ จะไม่สามารถเก็บเครดิตเพื่อชำระในเดือนถัด ๆ ไปอีกได้ ภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายสินค้าหรือบริการ เมื่อผู้ประกอบการไม่ได้ทำการขอคืนภาษีด้วยการเครดิตภาษี ในกรณีนี้ผู้ประกอบการสามารถทำเรื่องยื่นคำร้องขอคืนภาษีได้ภายใน 3 ปี นับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดยื่นภาษีของเดือนภาษีนั้น ๆ โดยผู้ประกอบการสามารถทำเรื่องยื่นขอคืนภาษีด้วยแบบ ค. 10 ขอคืนภาษีสำหรับการนำเข้าสินค้า ในกรณีที่มีการนำเข้าสินค้ารูปแบบการขอคืนภาษีจะแตกต่างกันออกไป โดยผู้ประกอบการที่ได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว สามารถยื่นคำร้องขอคืนภาษีได้ที่อำเภอ แต่ถ้าไม่ได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องยื่นคำร้องคืนภาษีที่ด่านศุลกากรขาเข้า ทั้งนี้ยังมีเงื่อนไขพิเศษในกรณีที่ผู้นำเข้าสินค้า มีข้อโต้แย้งตามกฎหมาย หรือมีติดคดีในศาล สามารถยื่นขอคืนภาษีได้ภายใน 6 เดือนนับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือข้อโต้แย้งอากรขาเข้า 4. ภาษีธุรกิจเฉพาะ ในส่วนขอภาษีธุรกิจเฉพาะ คือธุรกิจที่มีรายได้จากดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากการให้กู้ยืม และมีการนำส่งภาษีแล้ว แต่จำนวนที่นำส่งเกินกว่ากำหนดที่ต้องเสียภาษี โดยสามารถทำเรื่องขอคืนภาษีได้ภายใน 3 ปีนับตั้งแต่วันที่ครบรอบยื่นแบบภาษี เช่นเดียวกับการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่มนั่นเอง ขั้นตอนการเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ สำหรับขั้นตอนการเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์สามารถทำได้ผ่าน Digtal My Tax ระบบใหม่ล่าสุดที่ทางกรมสรรพากรออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนโดยเฉพาะ ซึ่ง D-MyTax จะรวมทั้งภาษีบุคคลธรรมดา นิติบุคคล รวมไปถึงผู้ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล แบบ One Portal ที่เดียวจบทุกเรื่องภาษี สำหรับขั้นตอนเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ ทำได้ดังนี้ 2. เลือกไปที่เมนู “นิติบุคคล” 3. คลิกที่ปุ่ม [รวมบริการทางภาษี (One Portal)] 4. เลือกวิธีการเข้าสู่ระบบ 5. เมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว จะพบกับหน้าเว็บไซต์ที่แสดงสถานะของรายการที่เรายื่นไปแล้วนั่นเอง การเช็คสถานะคืนภาษีออนไลน์ผ่าน D-MyTax เป็นอีกหนึ่งทักษะสำคัญที่เจ้าของธุรกิจยุคใหม่ควรรู้ เพราะนอกจากจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าภาษีที่จ่ายเกินจะได้รับคืนแล้ว ยังช่วยให้คุณจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดเวลา และลดความผิดพลาดได้อย่างมาก เมื่อเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ แล้วพบว่าความล่าช้าควรทำอย่างไร เมื่อเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ แล้วพบว่าเกิดความล่าช้า แนะนำให้รีบติดต่อกรมสรรพากร เพื่อสอบถามถึงสาเหตุ ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาความล่าช้า แนะนำให้ผู้ประกอบการเตรียมจัดการบัญชี เอกสารต่าง ๆ ให้เรียบร้อย และตรวจสอบความถูกต้องให้ชัดเจน เพื่อให้ขั้นตอนการตรวจสอบของกรมสรรพากรง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เท่านี้ก็ช่วยลดปัญหาความล่าช้าลงไปได้แน่นอน อยากจัดการภาษีง่ายขึ้น ขอคืนภาษีได้รวดเร็ว? การขอคืนภาษีอาจดูเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับผู้ประกอบการ แต่หากมีการ วางแผนการทำบัญชีที่ดี ตั้งแต่ต้น ตรวจสอบเอกสารให้ครบถ้วน ใช้ระบบจัดการบัญชีที่มีประสิทธิภาพและคอยเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์อยู่เสมอ ก็สามารถช่วยให้การขอคืนภาษีเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว หนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้การบริหารภาษีง่ายขึ้นคือ PEAK Tax โปรแกรมการจัดการภาษีออนไลน์ ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการช่วยจัดการภาษีครบวงจร รองรับภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ทั้งแบบ ภ.พ.30 และ ภ.พ.36 รวมถึงภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax) เช่น ภ.ง.ด.1, ภ.ง.ด.2, ภ.ง.ด.3 และ ภ.ง.ด.53 โดยคำนวณและจัดทำแบบฟอร์มภาษีอัตโนมัติ รองรับ e-Tax Invoice และ e-Receipt พร้อมรองรับการยื่นแบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร ลดขั้นตอนการทำงานและช่วยให้ธุรกิจเห็นภาพรวมทางการเงินได้ง่ายขึ้น ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

14 ก.พ. 2025

PEAK Account

16 min

e-Tax Invoice ตัวช่วยจัดการเอกสาร ลดความยุ่งยากให้ธุรกิจ SMEs

ก้าวเข้าสู่ปี 2568 ในยุคที่เกือบทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนมาอยู่บนดิจิตอลแทบทั้งหมด ประเทศไทยก็พัฒนาตามยุคสมัยในหลายด้าน รวมไปถึงด้านเอกสารต่าง ๆ ที่หน่วยงานส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เกือบทั้งหมดแล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ที่กรมสรรพากรส่งเสริมให้ผู้ประกอบปัจจุบันการเปลี่ยนมาใช้ เพราะช่วยลดความยุ่งยากด้านงานเอกสาร และเป็นรูปแบบที่สอดคล้องกับกฎหมายในปัจจุบันอีกด้วย ในบทความนี้ PEAK ขอพาผู้อ่านทุกท่านไปทำความรู้จักกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ให้มากขึ้น จะเป็นอย่างไรบ้างมาติดตามกันได้เลย e-Tax Invoice คืออะไร? e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ คือ รูปแบบการออกใบกำกับภาษีอยู่ในรูปแบบออนไลน์เพื่อตอบสนองพฤติกรรมการซื้อขายของคนไทยที่นิยมซื้อผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น สามารถส่งเอกสารให้ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ รวมไปถึงสามารถส่งเอกสารออนไลน์ให้กรมสรรพากรได้ทันทีเช่นกัน ทำให้การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ช่วยให้ธุรกิจ SMEs สามารถจัดการกับเอกสารได้สะดวกมากยิ่งขึ้น  ข้อมูลจำเป็นที่ต้องทราบเกี่ยวกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากรูปแบบเอกสารเปลี่ยนมาอยู่บนโลกออนไลน์ ทำให้มีข้อมูลรายละเอียดจำเป็นเล็กน้อยที่เจ้าของกิจการควรรู้ เพื่อให้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ของเรานั้นถูกต้องทุกประการ เพื่อให้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เป็นเอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องมีการลงลายมือชื่อดิจิตอล (Digital Signature) หรือการปรับทับรับรองเวลา (Time Stamp) ด้วยเสมอ หลังจากลงลายมือชื่อหรือประทับแล้ว เอกสารฉบับดังกล่าวจะสามารถใช้เป็นหลักฐานในทางกฎหมายได้ ทำไมธุรกิจ SMEs ต้องใช้ e-Tax Invoice? หลังจากที่เรารู้จักใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้นแล้ว ในส่วนถัดมาเรามาดูข้อดีที่เจ้าของเจ้าของกิจการ SMEs จะได้รับหากเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์แทนที่ใบกำกับภาษีกระดาษรูปแบบเดิมกันดีกว่า ซึ่งข้อดีหลัก ๆ สามารถแบ่งได้ 4 ข้อดังนี้ ลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร หนึ่งในปัญหาที่เจ้าของกิจการ SMEs หลายท่านต้องประสบพบเจอคงหนีไม่พ้นเรื่องของเอกสารที่เยอะจนบางครั้งทำให้เกิดความยุ่งยาก ไม่สามารถโฟกัสกับธุรกิจได้เต็มที่เท่าที่ควร การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยลดปัญหาส่วนนี้ลงไปได้อย่างแน่นอน เพราะด้วยเอกสารที่อยู่บนออนไลน์ ไม่จำเป็นต้องหาที่จัดเก็บ หรือคอยหาเอกสารให้วุ่นวาย นอกจากนี้ยังลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร เพราะความสะดวกรวดเร็วในการส่งให้ผู้ซื้อและสรรพากรได้อย่างง่ายดาย หมดห่วงเรื่องเอกสารสูญหาย ต่อยอดจากข้อที่แล้ว นอกจากการลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร ยังเป็นการป้องกันข้อมูลสูญหายที่เป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ของการเก็บเอกสารแบบกระดาษ ซึ่งการเก็บเอกสารที่อยู่ในรูปแบบออนไลน์นั้น หากจัดให้เป็นระเบียบรับรองว่าข้อมูลไม่มีทางสูญหายแน่นอน อีกทั้งเวลาต้องการเรียกดูเอกสารก็ทำได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ช่วยลดต้นทุน หลายท่านอาจสงสัยว่าการเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ช่วยลดต้นทุนให้แก่ธุรกิจ SMEs ได้อย่างไร แต่ถ้าลองคำนวนดูแล้วการออกใบกำกับภาษีแบบกระดาษ 1 แผ่นนั้น มีต้นทุนที่แฝงมาด้วยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นค่ากระดาษ ค่าหมึกสำหรับพิมพ์เอกสารออกมา อาจรวมไปถึงค่าซองเอกสาร และค่าจัดส่งอีกด้วย หากเปลี่ยนมาใช้รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ก็บอกลาต้นทุนเหล่านี้ไปได้เลย ได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากภาครัฐ เพื่อกระตุ้นให้ธุรกิจเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้น รัฐบาลจึงได้ออกนโยบายต่าง ๆ ที่ช่วยส่งเสริมในส่วนนี้ ยกตัวอย่างเช่น Easy E-Receipt นโยบายที่ในปีพ.ศ. 2568 ก็กลับมาอีกครั้ง โดยเป็นนโยบายที่ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถนำใบกำกับภาษีออนไลน์จากสินค้าหรือบริการที่ซื้อในช่วงเวลาที่กำหนด มายื่นเพื่อขอลดหย่อนภาษีได้ นอกจากจะเป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ยังช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้น  “การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์นอกจากจะช่วยจัดการเอกสารแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนแฝง และช่วยเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายผ่านนโยบายของภาครัฐอีกด้วย” e-Tax Invoice มีกี่รูปแบบ แตกต่างกันอย่างไรบ้าง? e-Tax Invoice มีทั้งหมด 2 รูปแบบประกอบไปด้วย ซึ่งแต่ละรูปแบบแตกต่างกันอย่างไร แต่ละแบบเหมาะกับธุรกิจประเภทไหน และมีขั้นตอนการทำงานอย่างไรบ้าง มาดูกันต่อเลย 1. e-Tax Invoice & Receipt ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ประเภทแรกแบ่งได้เป็นสองส่วนคือ ส่วนที่เป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) และ ใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Recepit) ซึ่งเอกสารรูปแบบนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) แบบไม่จำกัดรายได้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ก่อนทำการส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ รวมไปถึงกรมสรรพากรจำเป็นต้องลงลายมือชื่อดิจิตอลให้เรียบร้อยเพื่อให้เอกสารนี้ถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้การส่ง e-Tax Invoice & Receipt ให้กรมสรรพากรจะต้องอยู่ในรูปแบบไฟล์ XML หรือ PDF/A3 เท่านั้น คุณสมบัติของผู้ยื่นขอจัดทำ e-Tax Invoice & e-Receipt ขั้นตอนการจัดทำและส่งมอบ e-Tax Invoice & Receipt  สำหรับขั้นตอนการใช้งานใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ประเภท e-Tax Invoice & Receipt มีขั้นตอนทั้งหมด 3 ส่วนที่สะดวก รวดเร็ว เข้าใจง่าย ไม่เป็นการเพิ่มงานแน่นอน 2. e-Tax Invoice by Time Stamp ในส่วนของ e-Tax Invoice by Time Stamp จะเป็นการทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์สำหรับธุรกิจ SMEs ขนาดเล็กที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 30 ล้านบาท และได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว เป็นรูปแบบที่ตอบโจทย์ธุรกิจที่มีการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์จำนวนที่ไม่มาก โดยการส่งเอกสาร e-Tax Invoice by Time Stamp จะเป็นการที่ธุรกิจออกร่างใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ หลังจากนั้นทำการส่งอีเมลให้ลูกค้า และ CC อีเมลไปที่ [email protected] เพื่อให้ระบบทำการ Time Stamp หรือประทับเวลาให้ หลังจากนั้นระบบจะส่งเอกสารที่ประทับเวลาแล้วให้ลูกค้าและธุรกิจอีกครั้ง คุณสมบัติของผู้ยื่นขอจัดทำ e-Tax Invoice by Time Stamp เจ้าของกิจการที่ต้องการยื่นขอการจัดทำ e-Tax Invoice by Time Stamp ต้องมีคุณสมบัติดังนี้  ขั้นตอนการจัดทำและส่งมอบ e-Tax Invoice by Time Stamp ขั้นตอนของใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์รูปแบบ e-Tax Invoice by Time Stamp อาจมีขั้นตอนมากกว่าเล็กน้อย แต่สะดวกไม่แพ้กัน อยากลดความยุ่งยากเรื่องเอกสารใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ คือคำตอบ ตอนนี้ทุกท่านรู้จักกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นแล้ว ทราบถึงข้อดีที่ทำให้การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์นั้นช่วยธุรกิจของคุณได้อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลดปัญหาความยุ่งยากในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเอกสารต่าง ๆ รวมไปถึงเป็นการลดต้นทุน และช่วยเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายให้แก่ธุรกิจผ่านนโยบายต่าง ๆ ที่รัฐบาลออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกด้วย  สำหรับเจ้าของกิจการ SMEs ท่านไหนที่กำลังมองหาเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยให้การจัดการใบกำกับภาษีเป็นเรื่องง่าย ที่ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่รองรับการทำ e-Tax Invoice ช่วยให้การจัดการบัญชีในธุรกิจของคุณสะดวก สามารถจัดการบัญชีได้อย่างเป็นระบบ เตรียมความพร้อมมุ่งสู่การเติบโตในอนาคต ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

24 ม.ค. 2025

PEAK Account

12 min

“ภาษี” บริหารได้อย่าหนี กับ 4 วิธีทำเรื่องภาษีให้ถูกต้องสำหรับธุรกิจ SMEs

“ภาษี” กับ “ความตาย” คือ สองสิ่งบนโลกที่มวลมนุษย์อย่างเราไม่อาจหนีได้ คือประโยคอันโด่งดังของเบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin) หนึ่งในรัฐบุรุษผู้สร้างชาติอเมริกา ที่สะท้อนให้เห็นความเป็นจริงของโลกใบนี้ เรื่อง “ความตาย” นี่ เราเห็นกัน 100% แล้วว่าเป็นสิ่งที่หนีไม่ได้จริงๆ แต่ทำไมเรายังเห็นหลายคนไม่จ่ายภาษีทั้งๆ ที่ต้องจ่าย งั้นแบบนี้ “ภาษี” ก็เป็นสิ่งที่หนีได้ใช่ไหม? คำตอบ คือ หนีได้ แต่ผิดกฎหมายนะ! และยังไม่พอ ยังเป็นการหนีได้ชั่วคราวอีกด้วย เพราะจากที่เราเห็นกันในโซเชียลหรือจากการทำบัญชีให้ผู้ประกอบการจะพบเรื่องที่สรรพากรมาตรวจย้อนหลังและโดนปรับแพงๆ จนหลายคนทำธุรกิจต่อไม่ไหวหรือหาเงินมาจ่ายคืนไม่ได้ สุดท้ายก็คือ หนีไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละครับ จะดีกว่าไหม ถ้าเราทำเรื่องภาษีให้ถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่แรก โดยไม่หนี แต่ใช้การบริหารภาษีแทน มาดูกันครับ ผมอยากให้ทุกคนทำภาษีให้ถูกต้อง ยังไม่พอยังทำให้ประหยัดภาษีได้อีกทีด้วย บทความนี้จะไม่ได้พูดเรื่องการวางแผนภาษีแบบละเอียด แต่เริ่มจากเรื่องพื้นฐานที่ผู้ประกอบการทุกคนควรจะรู้ว่าถูกต้องและประหยัดจะทำได้อย่างไรบ้าง เริ่ม! 4 วิธีทำเรื่องภาษีให้ถูกต้อง ก่อนจะประหยัด เราควรรู้ว่าการจัดการภาษีให้ถูกต้องให้กรมสรรพากรยอมรับต้องทำอย่างไร ดังนี้ 1. บันทึกค่าใช้จ่ายให้ครบถ้วน พื้นฐานที่สุด คือ ธุรกิจควรบันทึกค่าใช้จ่ายทุกประเภทอย่างละเอียดและครบถ้วน เพราะเมื่อค่าใช้จ่ายจริงเยอะ กำไรที่จะนำไปคำนวณภาษีจะลดลง ทำให้จ่ายภาษีประจำปีได้ประหยัดมากขึ้น 2. มีเอกสารประกอบค่าใช้จ่ายทุกใบ การมีเอกสารประกอบค่าใช้จ่าย เช่น ใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษี จะช่วยให้การบันทึกค่าใช้จ่ายมีความน่าเชื่อถือ และสามารถใช้เป็นหลักฐานในหักค่าใช้จ่ายได้ถูกต้อง อีกทั้งสามารถยืนยันค่าใช้จ่ายได้ในกรณีที่มีการตรวจสอบภาษีจากกรมสรรพากร  3. ไม่มีเอกสารประกอบ ก็เป็นค่าใช้จ่ายได้ ในบางกรณีที่จ่ายเงินแต่ไม่ได้รับเอกสาร เช่น ค่าแท็กซี่ เมื่อเราจ่ายเงิน คนขับรถคงไม่ออกใบเสร็จรับเงินให้เราได้แน่ แต่ไม่ต้องห่วงเพราะสรรพากรก็เข้าใจในสิ่งนี้เป็นอย่างดี จึงออกคู่มือประกอบการลงค่าใช้จ่ายที่ไม่มีเอกสารมาให้ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก! 4. ระบุผู้รับเงินให้ได้ ทุกการจ่ายเงินต้องบอกให้ได้ว่าผู้รับเงินเป็นใคร ไม่เช่นนั้นจะเกิดคำถามได้ว่าเป็นการสร้างรายจ่ายปลอมรึเปล่า? เพราะแม้จะมีการจ่ายเงินจริง แต่ไม่สามารถระบุผู้รับเงินได้ แบบนี้ก็คงไม่มีใครเชื่อ  วิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้ คือ พยายามจ่ายเงินผ่านการโอนเงิน เพราะในสลิปโอนเงินจะระบุผู้รับเงินได้ ส่วนกรณีที่จำเป็นต้องจ่ายเป็นเงินสดถ้ายอดเงินน้อยๆ หลักสิบ หลักร้อย เช่น ค่าแท็กซี่ การทำเอกสารใบรับรองแทนใบเสร็จตามคู่มือของสรรพากรก็เพียงพอ แต่ถ้าจ่ายเงินสดเป็นหลักหมื่น หลักแสนขึ้นไป ควรต้องขอสำเนาบัตรประชาชนและให้ผู้รับเซ็นรับเงินมาด้วยจะทำให้พิสูจน์ผู้รับได้ปลอดภัยขึ้น การทำเอกสารใบรับรองแทนใบเสร็จ สามารถช่วยยืนยันการจ่ายเงินสดได้ในกรณีที่ไม่สามารถออกใบเสร็จรับเงินอย่างเป็นทางการได้ โดยในระบบ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ สามารถออกเอกสารใบรับรองแทนใบเสร็จได้อย่างสะดวกและง่ายดาย พร้อมรูปแบบเอกสารที่ถูกต้องตามข้อกำหนดของกรมสรรพากร ทำให้การจัดการเอกสารเป็นระบบและช่วยลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบย้อนหลังจากสรรพากร 4 วิธีพื้นฐานประหยัดภาษี  เมื่อรู้วิธีจัดการภาษีที่ถูกต้องแล้ว เราจะขยับขึ้นมาอีกสเต็ปหนึ่ง คือ การวางแผนภาษีเบื้องต้นเพื่อประหยัดภาษีกัน ซึ่งผมยกตัวอย่างมาให้ ดังนี้ 1. จ่ายเงินตัวเองให้ถูกวิธี ผู้ประกอบการมักคิดว่าเงินบริษัทคือเงินของตัวเอง แต่ในทางกฎหมายถือว่าบริษัทกับผู้ประกอบการเป็นคนละคนกัน ดังนั้นผู้ประกอบไม่สามารถนำเงินบริษัทมาใช้ได้ตามอำเภอใจ เพราะจะทำให้ระบบบัญชีและภาษีมีปัญหา เช่น การเกิดบัญชีเงินให้กู้ยืมแก่กรรมการจำนวนมาก  วิธีที่ถูกต้องในการดึงเงินออกจากบริษัท เช่น การจ่ายเงินเดือนให้ตัวเองในฐานะกรรมการ หรือการจ่ายค่าเช่าออฟฟิศถ้ากรรมการใช้บ้านตัวเองในการทำงาน หรือถ้าบริษัทมีกำไรและอยากนำเงินมาใช้ก็สามารถนำเงินออกมาในรูปแบบของการจ่ายเงินปันผลได้ เป็นต้น 2. การซื้อประกันผู้บริหารคนสำคัญ (Keyman)  สำหรับบุคลากรที่สำคัญในองค์กร เช่น ผู้ประกอบการที่เป็นกรรมการ สามารถขออนุมัติผู้ถือหุ้นเพื่อให้สวัสดิการซื้อประกันชีวิตสำหรับผู้บริหาร หรือประกัน Keyman ได้ ข้อดี คือ ค่าเบี้ยประกันสามารถลงเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทได้  แต่ต้องจำไว้ว่า ค่าเบี้ยที่บริษัทจ่ายแทนกรรมการนั้น ถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีของกรรมการด้วย ดังนั้นอีกมุมที่ต้องพิจารณา คือ เมื่อนำรายได้ค่าเบี้ยประกันมารวมกับเงินได้ทั้งหมดของกรรมการแล้ว ทำให้ฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงเกินกว่าฐานภาษีนิติบุคคลไหม ถ้าฐานภาษีบุคคลยังต่ำกว่าฐานภาษีนิติบุคคลแบบนี้ประกันคีย์แมนจะช่วยประหยัดภาษีของกิจการได้ และกรรมการก็ได้สวัสดิการนี้ไปด้วย 3. ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ครบ ภาครัฐมีการออกกฎหมายหลายตัวที่เอื้อประโยชน์ให้ภาคธุรกิจใช้ลดหย่อนภาษีธุรกิจ เช่น การจ้างคนพิการหรือผู้สูงอายุ จะสามารถนำมาเป็นค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น หรือลดหย่อนภาษีสำหรับการลงทุนในอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ เป็นต้น ผู้ประกอบการควรติดตามกฎหมายที่มีผลในปัจจุบัน และที่จะออกในอนาคตเพื่อใช้สิทธิ์ที่ภาครัฐออกมาช่วยเหลือได้อย่างเต็มที่ เพราะจากที่ผ่านมาหลายคนเสียสิทธิเพราะไม่รู้ว่ามีสิทธิประโยชน์เหล่านี้ด้วย  4. จัดโครงสร้างกิจการ เช่น การทำธุรกิจที่ผ่านมาอาจทำในรูปแบบของบุคคลธรรมดาซึ่งเสียภาษีสูงสุดที่ 35% ซึ่งอาจพิจารณาเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจมาเป็นนิติบุคคลที่เสียภาษีสูงสุดที่ 20% อาจทำให้ช่วยประหยัดภาษีได้มหาศาล นอกจากนี้ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจหลายประเภท อาจปรึกษากับนักบัญชีเพื่อพิจารณาแยกบริษัทสำหรับธุรกิจบางประเภทที่จะช่วยให้ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้มากขึ้น เช่น แยกธุรกิจ VAT กับ Non VAT เพื่อหลีกเลี่ยงการเฉลี่ยภาษีซื้อ หรือการแยกบริษัทเมื่อรายได้รวมใกล้จะถึง 30 ล้านบาท เพราะจะทำให้อัตราภาษีสูงขึ้น หรือแม้แต่การจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งเพื่อถือหุ้นในบริษัทลูกก็ยังมีสิทธิประโยชน์ต่างๆ มากมาย ซึ่งไม่ได้กล่าวถึงในบทความ ภาษี คือ สิ่งที่ “หนีอย่างถาวร” ไม่ได้ เราจึงควรทำภาษีให้ถูกต้องและวางแผนภาษีให้ประหยัดตั้งแต่แรก เพื่อขจัดปัญหาทางด้านบัญชีและภาษีในภายหลัง การบริหารจัดการภาษีอย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงแค่ช่วยลดภาระภาษีแต่ยังช่วยเพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้กับธุรกิจ SMEs ดังนั้น ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญและทำการศึกษาแนวทางต่าง ๆ เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างสูงสุดในการดำเนินธุรกิจของตนเองครับ สำหรับตอนถัดไปเป็นบทสิ้นสุดการเดินทางของซีรีส์ 10 กฎพื้นฐานด้านการเงินสำหรับ SMEs กันแล้ว ผมจึงอยากจะพาทุกท่านไปค้นหาบุคคลผู้ที่จะมาเป็นเบื้องหลังจัดการปัญหาบัญชี ภาษีให้กิจการ และให้คำแนะนำว่านักบัญชีที่เก่งนั้นควรจะมีทักษะและความสามารถใดที่จะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จครับ โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

17 ม.ค. 2025

PEAK Account

6 min

ถอด VAT คืออะไร? ทำไมผู้ประกอบการต้องรู้วิธีคำนวณนี้

การถอด VAT เป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการต้องเจอในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเมื่อมีการขายสินค้าที่เราต้องออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้า หรือการถอด VAT จากสินค้าที่ซื้อมาเพื่อที่ช่วยให้เราทราบราคาต้นทุนที่แท้จริงของสิ่งนั้น นอกจากนี้ การถอด VAT ยังช่วยให้นักบัญชีของกิจการจัดการภาษีได้อย่างเป็นระบบอีกด้วย ซึ่งมีทั้งการถอด VAT 3% และ 7% ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้วิธีการ ถอด VAT เรามีวิธีคำนวณมาฝากกัน ก่อนถอด VAT ควรรู้จัก VAT คืออะไร  VAT หรือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax) คือ ภาษีประเภทหนึ่งที่จัดเก็บจากมูลค่าสินค้าหรือบริการที่เพิ่มขึ้น ตั้งแต่การผลิตจนถึงการจำหน่าย ไม่ว่าสินค้านั้นจะผลิตที่ประเทศไทยหรือต่างประเทศ โดยผู้ที่มีรายได้เกินกว่า 1.8 ล้านบาท ต่อปี จากการผลิตและขายสินค้านั้น จะต้องเป็นผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มนี้ และต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มต้องทำภายใน 30 วัน  วิธีถอด VAT คำนวณด้วยเครื่องคิดเลขง่าย ๆ ในไม่กี่ขั้นตอน การถอด VAT เป็นการถอดเพื่อให้เราทราบราคาที่แท้จริงของสินค้าก่อนคิด VAT ว่ามีราคาเท่าไหร่ และสามารถคำนวณภาษีที่ต้องนำส่งได้อย่างถูกต้อง โดยมีวิธีการคำนวณที่แตกต่างกันตามอัตราภาษี ดังนี้  วิธีถอด VAT 3% VAT 3% มักใช้กับธุรกิจที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น ธุรกิจขนาดเล็ก กิจการที่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี  การจ้างทำของ หรือทำงานต่าง ๆ โดยวิธีการคำนวณนั้นจะทำได้โดยการนำราคาสินค้าที่รวม VAT แล้ว มาหารด้วย 1.03 ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นราคาที่ไม่รวม VAT ส่วนต่างระหว่างราคารวมกับราคาที่ไม่รวม VAT คือจำนวนภาษีที่ต้องนำส่ง ตัวอย่างการคำนวณ : สมมติว่าเรามีสินค้าราคารวม VAT อยู่ที่ 10,300 บาท  วิธีถอด VAT 7% การถอด VAT 7% เป็นการคำนวณที่ใช้กับธุรกิจทั่วไปที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยการคำนวณคล้ายกับการถอด VAT 3% แต่ใช้ตัวหารเป็น 1.07 แทน การถอด VAT ที่ถูกต้อง จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจคำนวณต้นทุน กำไร และภาษีที่ต้องนำส่งได้อย่างแม่นยำ ตัวอย่างการคำนวณ สมมติว่าเรามีสินค้าราคารวม VAT อยู่ที่ 10,700 บาท การเสียภาษี VAT ถ้าธุรกิจของเราเป็นทั้งผู้ขายสินค้าและซื้อสินค้ามา เราต้องมีการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องจ่าย โดยนำภาษีขายที่เก็บจากลูกค้าตลอดเดือนภาษี มาลบด้วยภาษีซื้อที่จ่ายให้ซัพพลายเออร์ในเดือนเดียวกัน หากผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่าภาษีขายสูงกว่าภาษีซื้อ เจ้าของธุรกิจจ่ายส่วนต่างให้กรมสรรพากร แต่หากภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย เจ้าของธุรกิจสามารถเลือกได้ว่าจะรับภาษีส่วนเกินคืน หรือเก็บไว้เป็นเครดิตภาษีสำหรับการคำนวณในรอบเดือนถัดไปได้เลย  ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่ขายสินค้าหรือซื้อสินค้า การถอด VAT ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยให้เราทราบต้นทุนที่แท้จริง เพื่อนำไปสู่การลดต้นทุนและบริหารจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจช่วยเพิ่มเงินทุนให้สามารถนำไปต่อยอดธุรกิจได้อีก นอกจากการคำนวณ VAT ด้วยเครื่องคิดเลขแล้ว การใช้ PEAK Tax ยังช่วยให้การคำนวณภาษีและการออกเอกสารใบกำกับภาษีเป็นเรื่องง่าย พร้อมรองรับการจัดการภาษีและบัญชีอย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์ ช่วยให้ผู้ประกอบการบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเติบโตไปสู่ความสำเร็จอย่างมั่นคง ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

17 ม.ค. 2025

PEAK Account

9 min

เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ด้วย 6 กลยุทธ์การวางแผนภาษีธุรกิจ SMEs

การบริหารภาษีอย่างมีประสิทธิภาพเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเพิ่มกำไรและบริหารเงินสดได้อย่างเหมาะสม การวางแผนภาษีไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงในการเสียภาษีเกินความจำเป็น แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับธุรกิจอีกด้วย ในบทความนี้ เราจะมาเรียนรู้กลยุทธ์การวางแผนภาษีธุรกิจ SMEที่สามารถนำไปใช้ได้จริงกัน! 6 กลยุทธ์การวางแผนภาษีธุรกิจ SMEs ปี 2568 1. รู้จักประเภทของภาษีที่เกี่ยวข้อง การเริ่มต้นวางแผนภาษีสำหรับธุรกิจ SME นั้น ควรเริ่มจากการทำความเข้าใจประเภทของภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ ภาษีแต่ละประเภทจะมีวิธีการคำนวณและข้อกำหนดที่แตกต่างกัน ซึ่งการรู้จักประเภทของภาษีจะช่วยให้การวางแผนภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้น และป้องกันการเสียภาษีเกินกว่าที่ควรจะเป็น 1.1 ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีที่คิดจากกำไรสุทธิของธุรกิจ ซึ่งธุรกิจทุกประเภทที่มีการดำเนินการในรูปแบบของนิติบุคคลต้องเสียภาษีนี้ การคำนวณและยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลจำเป็นต้องใส่ใจรายละเอียดต่าง ๆ อย่างถูกต้องเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในการคำนวณภาษี 1.2 ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)  เป็นภาษีที่คิดจากการขายสินค้าหรือบริการในบางกรณี การเสียภาษีประเภทนี้ขึ้นอยู่กับการดำเนินการทางธุรกิจของคุณ หากคุณขายสินค้าหรือบริการที่ต้องเสีย VAT ก็จำเป็นต้องคำนวณและยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างถูกต้อง 1.3 ภาษีหัก ณ ที่จ่าย  ภาษีที่ถูกหักออกจากเงินได้บางประเภทที่ธุรกิจจ่ายให้กับผู้รับบริการ เช่น ค่าจ้าง ค่าบริการ หรือเงินได้บางประเภท การหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเพื่อให้การดำเนินงานของธุรกิจไม่เกิดปัญหาในอนาคต การรู้ว่าภาษีแต่ละประเภทมีการคำนวณและยื่นเอกสารอย่างไร จะช่วยให้ธุรกิจปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายและหลีกเลี่ยงค่าปรับที่ไม่จำเป็น 2. วางระบบบัญชีที่โปร่งใส การจัดการบัญชีที่เป็นระบบและโปร่งใสถือเป็นหัวใจสำคัญในการวางแผนภาษีธุรกิจ SME ที่มีประสิทธิภาพ การทำบัญชีให้ถูกต้องและมีระเบียบไม่เพียงแต่ช่วยในการจัดการภาษีให้เหมาะสม แต่ยังทำให้เจ้าของธุรกิจสามารถมองเห็นภาพรวมทางการเงินของธุรกิจได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยในการตัดสินใจในอนาคต โดยคุณสามารถทำได้ ดังนี้ 2.1 การใช้โปรแกรมบัญชี ช่วยจัดการงานบัญชี การใช้โปรแกรมบัญชี ที่สามารถบันทึกรายรับและรายจ่ายอย่างถูกต้อง และสามารถติดตามธุรกรรมต่าง ๆ ได้แบบเรียลไทม์ โปรแกรม PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถจัดการภาษีได้ง่ายขึ้น ด้วยฟังก์ชันที่รองรับ e-Tax Invoice ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ การแยกบัญชีธุรกิจออกจากบัญชีส่วนตัวจะช่วยลดความยุ่งยากในการคำนวณภาษีและการรายงานทางการเงิน 2.2 การเก็บเอกสารหลักฐาน  ไม่ว่าจะเป็นใบเสร็จ ใบกำกับภาษี และเอกสารทางการเงินต่าง ๆ จะช่วยให้การตรวจสอบการยื่นภาษีทำได้สะดวกและง่ายขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกตรวจสอบโดยสรรพากรได้ เช่น PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์แบบครบวงจรที่สามารถเก็บเอกสารออนไลน์ได้ 3. ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี อีกหนึ่งการวางแผนภาษีธุรกิจ SME ที่ดีคือการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อลดภาระภาษีได้ ดังนี้ 4. วางแผนรายรับและรายจ่าย การจัดการรายรับและรายจ่ายอย่างมีแบบแผนช่วยให้ธุรกิจสามารถลดภาระภาษีได้ ดังนี้ 4.1 เลื่อนรายรับ หากอยู่ในช่วงปลายปีและรายได้เกินเป้าหมาย อาจเลื่อนการรับเงินไปต้นปีถัดไปเพื่อกระจายรายได้ในหลายปี 4.2 เร่งรายจ่าย  ซื้อวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นหรือชำระค่าใช้จ่ายล่วงหน้าในช่วงปลายปี เพื่อเพิ่มค่าใช้จ่ายและลดกำไรสุทธิ 5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี ผู้ประกอบการควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหรือผู้ทำบัญชีที่มีความรู้ในด้านกฎหมายภาษีที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง 6. ติดตามข่าวสารภาษีอย่างต่อเนื่อง ภาษีเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงได้ตามกฎหมายและสถานการณ์เศรษฐกิจ การตรวจสอบและปรับปรุงแผนภาษีอย่างสม่ำเสมอช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสมและลดความเสี่ยงในการเสียค่าปรับ การวางแผนภาษีธุรกิจ SME ที่ดีไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถลดภาระภาษีและเพิ่มกำไรได้ แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินและเสริมสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาของคู่ค้าและนักลงทุนอีกด้วย เริ่มต้นวางแผนภาษีตั้งแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนของธุรกิจคุณ ด้วย PEAK Tax โปรแกรมการจัดการภาษีออนไลน์ ที่จะช่วยในการบริหารจัดการภาษีภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

14 ม.ค. 2025

PEAK Account

8 min

ผู้เสียภาษีต้องรู้ เลขประจำตัวผู้เสียภาษี คืออะไร แตกต่างจากเลขบัตรประชาชนไหม

คนไทยทุกคนที่มีรายได้ต้องเสียภาษีถ้ารายได้นั้นถึงเกณฑ์ตามกฎหมายกำหนด ซึ่งในการยื่นภาษีนั้นเลขประจำตัวผู้เสียภาษีเป็นหมายเลขสำคัญที่กรมสรรพากรออกให้ผู้ที่ต้องจ่ายเสียภาษี ทั้งบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล โดยเลขประจำตัวผู้เสียภาษีนี้คืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลใช้ตัวเลขเหมือนกันไหม เราไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับเลขประจำตัวผู้เสียภาษีกัน เลขประจำตัวผู้เสียภาษี คืออะไร เลขประจำตัวผู้เสียภาษีเป็นหมายเลขเฉพาะที่กรมสรรพากรกำหนดให้ผู้ที่ต้องภาษีแต่ละคน เพื่อให้กรมสรรพากรใช้ในการระบุตัวตนของผู้ยื่นภาษี และใช้ติดต่อหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเลขประจำตัวผู้เสียภาษีนี้จะมีเป็นเลข 13 หลักทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลแต่เลขจะมีความแตกต่างกัน ดังนี้ บุคคลธรรมดา  สำหรับบุคคลธรรมดาทั่วไปเลขประจำตัวผู้เสียภาษีจะเป็นเลขเดียวกันกับเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ซึ่งออกให้โดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ทำให้ผู้ยื่นภาษีไม่จำเป็นต้องขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีใหม่ สามารถใช้เลขประจำตัวประชาชนเป็นเลขประจำตัวผู้เสียภาษีได้เลย ส่วนผู้ที่ประกอบธุรกิจส่วนตัวที่มีสถานะเป็นบุคคลธรรมดาก็สามารถแจ้งเลขประจำตัวผู้เสียภาษีนี้ต่อกรมสรรพากรได้เลย ซึ่งการที่ใช้เลขเดียวกับบัตรประจำตัวแบบนี้จะช่วยลดความซ้ำซ้อน และทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้สะดวกมากขึ้น นิติบุคคล   สำหรับนิติบุคคลเลขประจำตัวผู้เสียภาษีจะเป็นเลขทะเบียนนิติบุคคล 13 หลักที่ออกให้โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อมีการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ห้างหุ้นส่วน หรือองค์กรธุรกิจอื่น ๆ โดยเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของนิติบุคคลนี้จะมีความสำคัญในการทำธุรกรรมทางการค้า การออกใบกำกับภาษี และการยื่นแบบแสดงรายการภาษีต่าง ๆ โดยเลขชุดนี้จะติดตัวนิติบุคคลไปตลอดอายุของกิจการ และใช้แสดงตัวตนทางธุรกิจกับคู่ค้าและหน่วยงานราชการได้ นอกจากนี้ เลขประจำตัวผู้เสียภาษียังเป็นหลักฐานสำคัญว่าธุรกิจทำตามกฎหมาย ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือได้อีกด้วย การขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษี สำหรับคนที่ทั่วไปหรือทำธุรกิจส่วนตัวที่มีรายได้ถึงเกณฑ์เสียภาษี และนิติบุคคลที่เริ่มต้นธุรกิจแล้วยังไม่มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี เราจำเป็นต้องขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษี  เพื่อให้การจัดการด้านภาษีเป็นไปอย่างถูกต้อง  โดยมีขั้นตอนการขอที่แตกต่างกันระหว่างบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ดังนี้ บุคคลธรรมดา สำหรับบุคคลธรรมดาการขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก เนื่องจากใช้เลขประจำตัวประชาชนเป็นเลขประจำตัวผู้เสียภาษีโดยอัตโนมัติ แต่สำหรับคนต่างด้าวและห้างหุ้นส่วนสามัญที่ยังไม่มีเลขประจำตัวประชาชนให้ขอภายใน 60 วัน เริ่มนับแต่วันที่มีรายได้ที่ต้องเสียภาษี โดยแนบเอกสารต่าง  ๆ พร้อมกับแบบ ล.ป.10.1 สำหรับบุคคลธรรมดา และ แบบ ล.ป.10.2 สำหรับคณะบุคคล นิติบุคคล นิติบุคคลจะได้รับเลขประจำตัวผู้เสียภาษีโดยอัตโนมัติหลังจากจดทะเบียนบริษัท โดยเลขนี้จะเป็นเลขเดียวกับเลขทะเบียนนิติบุคคล การจดทะเบียนนิติบุคคลและการได้รับเลขประจำตัวผู้เสียภาษีเป็นขั้นตอนที่ต้องดำเนินการให้เรียบร้อยก่อนเริ่มดำเนินธุรกิจ เพื่อให้สามารถออกใบกำกับภาษี ยื่นแบบแสดงรายการภาษี และทำธุรกรรมทางการค้าได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยให้ขอภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลไทย หรือวันที่นิติบุคคลต่างประเทศเริ่มทำธุรกิจในประเทศไทย โดยแนบเอกสารต่าง  ๆ พร้อมกับแบบ ล.ป.10.3  การค้นหาเลขทะเบียนบริษัทที่ระบุในหนังสือรับรอง การค้นหาเลขทะเบียนบริษัทที่ระบุในหนังสือรับรองสามารถทำได้โดยการตรวจสอบผ่านระบบออนไลน์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยเลขทะเบียนนี้จะเป็นเลขชุดเดียวกันกับเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของนิติบุคคล เราสามารถตรวจสอบข้อมูลในการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ เพื่อช่วยยืนยันตัวตนของคู่ค้า และการทำธุรกรรมทางการค้าได้อย่างมั่นใจ เลขประจำตัวผู้เสียภาษีเป็นหมายเลขสำคัญที่ใช้ในการระบุตัวตนทางภาษีและธุรกิจ โดยบุคคลธรรมดาจะใช้เลขประจำตัวประชาชนเป็นเลขประจำตัวผู้เสียภาษี ส่วนนิติบุคคลจะได้รับเลขประจำตัวผู้เสียภาษีเมื่อจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ซึ่งก่อนการยื่นภาษีหรือธุรกรรมต่าง ๆ ควรเลขประจำตัวผู้เสียภาษีให้พร้อมเพื่อความถูกต้องในการจัดการภาษีตามกฎหมาย โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

แจกขั้นตอนยื่นภาษีออนไลน์ ภ.ง.ด. 91 พร้อมลิสต์เอกสารที่ต้องใช้

ใกล้ถึงเวลายื่นภาษีประจำปีแล้ว หลายคนอาจกังวลเรื่องการเตรียมเอกสารและขั้นตอนการยื่นภาษี โดยเฉพาะการยื่น ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ ที่แม้จะสะดวกกว่าการเดินทางไปสรรพากร แต่ก็มีข้อมูลที่เราต้องรอบคอบก่อนทำการยื่นภาษีอยู่ด้วย ซึ่งก่อนที่เราจะทำการยื่นภาษีออนไลน์กันนั้น เราไปรายละเอียดของดูเอกสาร ขั้นตอน และข้อควรระวังต่าง ๆ กัน การยื่นภาษี ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ คืออะไร การยื่น ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ เป็นช่องทางที่กรมสรรพากรทำให้การยื่นภาษีสะดวกมากขึ้น โดยสามารถยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องเดินทางไปสำนักงานสรรพากร ระบบจะช่วยคำนวณภาษีให้อัตโนมัติ ไม่ต้องกังวลเรื่องความผิดพลาด และยังสามารถบันทึกข้อมูลไว้ใช้อ้างอิงในปีถัดไปได้ นอกจากนี้ ยังช่วยประหยัดทรัพยากรและลดการใช้กระดาษ ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผู้ที่ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.91 ผู้มีหน้าที่ยื่น ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ คือผู้ที่มีรายได้จากการจ้างแรงงานเพียงประเภทเดียว โดยแบ่งเป็นสองกรณี คือ กรณีโสดที่มีรายได้เกิน 120,000 บาทต่อปี และกรณีสมรสที่มีรายได้รวมกันเกิน 220,000 บาทต่อปี ทั้งนี้ รายได้ดังกล่าวต้องเป็นเงินเดือน ค่าจ้าง หรือค่าตอบแทนจากการทำงานให้นายจ้างเท่านั้น ไม่รวมรายได้จากแหล่งอื่น เอกสารที่ต้องใช้ในการยื่นภาษี ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ ก่อนเริ่มยื่น ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ เราควรเตรียมเอกสารให้พร้อม เพื่อความสะดวกในการกรอกข้อมูลและป้องกันความผิดพลาด โดยเอกสารจะแตกต่างกันระหว่างผู้ที่มีสถานะโสดและสมรส มาดูกันว่าแต่ละกลุ่มต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง คนโสด สำหรับผู้มีสถานะโสด เอกสารหลักที่ต้องเตรียมคือหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) จากนายจ้าง ซึ่งแสดงรายได้และภาษีที่ถูกหักไว้ตลอดปี ซึ่งหากเรามีตัวช่วยลดหย่อนภาษีในด้านต่าง ๆ ต้องเตรียมหลักฐานประกอบ เช่น ใบเสร็จค่าเบี้ยประกันชีวิตและสุขภาพ หนังสือรับรองการซื้อกองทุน RMF/SSF/SSFX หลักฐานการบริจาค และใบเสร็จจากโครงการช้อปดีมีคืน รวมถึงหนังสือรับรองดอกเบี้ยเงินกู้จากสถาบันการเงินกรณีผ่อนบ้าน ทั้งนี้ควรจัดเก็บเอกสารในรูปแบบไฟล์ดิจิทัลเพื่อความสะดวกในการอัพโหลด คนมีคู่ ผู้ที่สมรสแล้วต้องเตรียมเอกสารเพิ่มเติมนอกเหนือจากหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) คือ ทะเบียนสมรสและใบสูติบัตรบุตร(ถ้ามี) สำหรับการลดหย่อน ส่วนเอกสารการลดหย่อนอื่น ๆ เหมือนกับคนโสด ได้แก่ ใบเสร็จค่าเบี้ยประกัน หลักฐานการลงทุนในกองทุน หลักฐานการบริจาค ใบเสร็จช้อปดีมีคืน และหนังสือรับรองดอกเบี้ยเงินกู้ โดยสามารถนำค่าลดหย่อนของคู่สมรสมารวมในการคำนวณภาษีได้ ขั้นตอนการยื่นภาษีออนไลน์ ภ.ง.ด. 91 ยื่นภาษีไม่ทันหรือชำระภาษีไม่ทันทำอย่างไรดี กรณีที่ไม่สามารถยื่น ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ หรือชำระภาษีได้ทันตามกำหนด จะมีบทลงโทษตามกฎหมาย โดยหากมีภาษีที่ต้องชำระ จะต้องเสียเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือน นับจากวันที่เลยเวลาจ่าย และต้องเสียค่าปรับอีกหนึ่งเท่าของภาษีที่ต้องชำระ ส่วนกรณีที่ไม่มีภาษีต้องชำระแต่ยื่นแบบล่าช้า จะถูกปรับ 1,000 บาท ดังนั้นควรวางแผนยื่นภาษีล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับและเงินเพิ่ม การยื่นภ.ง.ด.91 ออนไลน์ทำให้การจัดการภาษีง่ายมากขึ้น เพียงเตรียมเอกสารให้พร้อมและทำความเข้าใจขั้นตอนการยื่นแบบผ่านระบบออนไลน์ ทั้งนี้ควรวางแผนยื่นล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับและเงินเพิ่ม โดยสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร หรือโทรสอบถามที่ 1161  PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ รองรับการทำ ภ.ง.ด. 91 (ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี) โดยช่วยคำนวณภาษีและจัดทำรายงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ระบบสามารถบันทึกและสรุปข้อมูลรายได้ ค่าใช้จ่าย และการหักภาษี ณ ที่จ่าย พร้อมทั้งสร้างแบบฟอร์มภ.ง.ด. 91 ที่สามารถยื่นผ่านระบบออนไลน์ได้ทันที ช่วยให้การยื่นภาษีเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว และถูกต้อง ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

เจ้าของธุรกิจทำสัญญาให้มีผลทางกฎหมาย ต้องจ่ายภาษีอากรแสตมป์

การทำธุรกิจย่อมต้องเกี่ยวข้องกับการทำสัญญาและเอกสารสำคัญต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นต้องติดอากรแสตมป์และจ่ายภาษีอากรแสตมป์ เพื่อให้ใช้ได้ตามกฎหมาย แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่าต้องติดอย่างไร เมื่อไหร่ และมีอัตราเท่าไร วันนี้เรามาทำความเข้าใจเรื่องอากรแสตมป์อย่างละเอียด เพื่อให้การทำสัญญาของเราถูกต้องและใช้ได้ตามกฎหมาย ภาษีอากรแสตมป์ คืออะไร ภาษีอากรแสตมป์เป็นภาษีรูปแบบหนึ่งที่รัฐจัดเก็บจากการทำนิติกรรมหรือสัญญาต่าง ๆ เพื่อรับรองความถูกต้องของเอกสารและสร้างรายได้ให้กับรัฐ โดยมีลักษณะเป็นแสตมป์ที่ต้องติดลงบนตราสารหรือเอกสารสำคัญภายใน 15 วันหลังจากการลงนาม เช่น สัญญาจ้างงาน สัญญาเช่า หนังสือมอบอำนาจ หรือใบมอบฉันทะ ทั้งนี้ อัตราค่าอากรแสตมป์จะแตกต่างกันไปตามประเภทของตราสาร ตามที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากร อากรแสตมป์สำคัญกับการทำสัญญาอย่างไร การติดอากรแสตมป์ไม่ใช่เพียงการปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อการทำธุรกิจในหลายด้าน มาดูกันว่าทำไมอากรแสตมป์จึงมีความสำคัญ ยืนยันความถูกต้องตามกฎหมาย การติดภาษีอากรแสตมป์ในเอกสารหรือสัญญาเป็นการรับรองว่าเอกสารนั้นได้ทำขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เปรียบเสมือนตราประทับรับรองจากภาครัฐ ทำให้เอกสารน่าเชื่อถือและใช้ได้ตามกฎหมายอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ ยังทำให้เห็นว่าผู้ทำสัญญามีความตั้งใจในการปฏิบัติตามข้อตกลงและเคารพกฎหมาย ป้องกันความขัดแย้ง การติดอากรแสตมป์ช่วยป้องกันข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น เพราะเป็นหลักฐานยืนยันว่าทั้งคู่ได้ตกลงทำสัญญานี้กันจริง และสัญญานั้นผ่านการรับรองตามกฎหมายแล้ว ในกรณีที่เกิดข้อโต้แย้ง สัญญาที่ติดอากรแสตมป์ครบถ้วนจะมีน้ำหนักในการพิจารณามากกว่าสัญญาที่ไม่ได้ติดอากรแสตมป์  ใช้ในกระบวนการยุติธรรมได้ สัญญาที่ติดภาษีอากรแสตมป์ครบถ้วนใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลได้ทันที ในขณะที่สัญญาที่ไม่ได้ติดอากรแสตมป์หรือติดไม่ครบถ้วน อาจถูกปฏิเสธการรับฟังเป็นพยานหลักฐานในชั้นศาล หรือต้องเสียค่าปรับเพิ่มเติมก่อนนำไปใช้ ดังนั้น การติดอากรแสตมป์จึงเป็นการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรม การชำระค่าอากรแสตมป์มีกี่วิธี การชำระค่าอากรแสตมป์สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความสะดวกและลักษณะของเอกสาร ดังนี้ ตัวอย่างอัตราอากรแสตมป์ที่ต้องจ่าย การชำระอากรแสตมป์ขึ้นอยู่กับประเภทเอกสารตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งมีอัตราที่แตกต่างกัน โดยตัวอย่างอัตราอากรแสตมป์ที่พบบ่อย ได้แก่ 1. สัญญาเช่าทรัพย์สินอากรแสตมป์สำหรับสัญญาเช่าทรัพย์สินมีอัตราอยู่ที่ 1 บาทต่อค่าเช่า 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาท ตัวอย่างเช่น หากค่าเช่าระบุไว้ที่ 10,500 บาท อากรแสตมป์ที่ต้องจ่ายคือ 11 บาท ซึ่งการคำนวณนี้ครอบคลุมถึงสัญญาเช่าประเภทต่าง ๆ เช่น เช่าที่ดิน อาคาร หรืออุปกรณ์ 2. ตั๋วเงิน (ตั๋วสัญญาใช้เงินหรือเช็ค)สำหรับเอกสารประเภทตั๋วเงิน เช่น ตั๋วสัญญาใช้เงินหรือเช็ค อากรแสตมป์จะคิดในอัตรา 3 บาทต่อยอดเงินทุก 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาท เช่น หากยอดเงินในตั๋วเงินระบุไว้ที่ 6,500 บาท ผู้ที่ออกตั๋วจะต้องชำระอากรแสตมป์จำนวน 12 บาท 3. หนังสือมอบอำนาจหนังสือมอบอำนาจซึ่งเป็นเอกสารที่มักใช้ในทางธุรกิจหรือการดำเนินการทางกฎหมาย จะต้องติดอากรแสตมป์ในอัตรา 10 บาทต่อฉบับ โดยไม่มีการคิดเพิ่มตามมูลค่าหรือรายละเอียดของเอกสาร 4. สัญญากู้ยืมเงินในกรณีของสัญญากู้ยืมเงิน อากรแสตมป์จะคิดในอัตรา 1 บาทต่อยอดเงินทุก 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาท โดยมีอัตราสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท ตัวอย่างเช่น หากมีการกู้เงินจำนวน 50,000 บาท อากรแสตมป์ที่ต้องชำระคือ 25 บาท 5. สัญญาจ้างแรงงานหรือจ้างทำของสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการจ้างแรงงานหรือจ้างทำของ เช่น งานก่อสร้าง หรืองานออกแบบ จะต้องติดอากรแสตมป์ในอัตรา 1 บาทต่อค่าแรง 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาท เช่น หากค่าแรงรวมทั้งหมดเป็น 15,000 บาท อากรแสตมป์ที่ต้องจ่ายคือ 15 บาท 6. สัญญาค้ำประกันสัญญาค้ำประกันที่ใช้ในการรับรองหรือค้ำประกันภาระผูกพันทางการเงิน จะต้องชำระอากรแสตมป์ในอัตรา 1 บาทต่อยอดเงินทุก 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาท โดยมีอัตราสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท 7. สัญญาซื้อขายหรือโอนลิขสิทธิ์สำหรับสัญญาซื้อขายหรือโอนลิขสิทธิ์ อากรแสตมป์จะคิดในอัตรา 0.1% ของมูลค่าที่ระบุไว้ในสัญญา เช่น หากมูลค่าการซื้อขายลิขสิทธิ์ระบุไว้ที่ 1,000,000 บาท อากรแสตมป์ที่ต้องชำระคือ 1,000 บาท การติดอากรแสตมป์และจ่ายภาษีอากรแสตมป์ เป็นขั้นตอนที่จะช่วยรับรองความถูกต้องของเอกสารและสัญญาต่าง ๆ เจ้าของธุรกิจจึงควรศึกษาและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เอกสารมีผลทางกฎหมายและหากเกิดความขัดแย้งสามารถใช้เป็นหลักฐานได้ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

ทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออกต้องรู้จัก ภาษีศุลกากรคืออะไร

ในโลกยุคดิจิทัลเราสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้มากขึ้น แค่เพียงคลิกเดียวก็ได้รับสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์จากทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ทันใจ ทำให้ผู้ผลิตต้องพากันแข่งขันกันการนำเสนอสินค้าใหม่ ๆ หลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และนั่นทำให้การค้าขายข้ามพรมแดนได้กลายมาเป็นโอกาสในการทำธุรกิจที่น่าสนใจ แต่ทั้งนี้ก่อนจะก้าวเข้าสู่สนามการค้าจำเป็นต้องทำความรู้จักกฎเกณฑ์สำคัญที่คอยกำกับการค้าขายระหว่างประเทศเสียก่อนนั่นคือ ภาษีศุลกากร นั่นเอง เราจะได้รู้จักกับภาษีศุลกากรว่าคืออะไร มีกี่ประเภท ผ่านบทความนี้ เพื่อให้เราสามารถทำธุรกิจได้สะดวกมากขึ้น ภาษีศุลกากร คืออะไร? ภาษีศุลกากร คือ การเรียกเก็บภาษีนำเข้าและส่งออกสินค้าข้ามพรมแดนโดยรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค วัตถุดิบ หรือสินค้าอื่น ๆ ก็ตาม ซึ่งภาษีนี้เป็นกลไกที่รัฐบาลใช้เพื่อควบคุมระบบเศรษฐกิจ การค้า และสร้างรายได้ให้กับประเทศ ซึ่งการทำความเข้าใจเรื่องภาษีศุลกากรไม่ใช่เพียงแค่เข้าใจเรื่องจำนวนเงินภาษีที่ต้องจ่ายเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงราคาสินค้าและการแข่งขันในตลาดอีกด้วย ภาษีศุลกากรมีกี่ประเภท ภาษีศุลกากรแม้จะมีการแบ่งประเภทออกมาเป็นหลายรูปแบบ แต่จุดประสงค์หลักก็คือการควบคุมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อสร้างรายได้และปกป้องผลประโยชน์ให้กับประเทศ ทั้งนี้อัตราภาษีและประเภทของภาษีที่เรียกเก็บจะแตกต่างกันไปตามชนิดของสินค้าและนโยบายของรัฐบาล ดังนี้ ภาษีนำเข้า ภาษีศุลกากรแม้จะมีการแบ่งประเภทออกมาเป็นหลายรูปแบบ แต่จุดประสงค์หลักก็คือการควบคุมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อสร้างรายได้และปกป้องผลประโยชน์ให้กับประเทศ ทั้งนี้อัตราภาษีและประเภทของภาษีที่เรียกเก็บจะแตกต่างกันไปตามชนิดของสินค้าและนโยบายของรัฐบาลดังนี้ ภาษีส่งออก ภาษีส่งออกจะถูกเก็บก็ต่อเมื่อสินค้านั้นมีการส่งออกไปสู่ประเทศต่าง ๆ ซึ่งการจัดเก็บภาษีประเภทนี้มักถูกนำมาใช้ในกรณีที่รัฐบาลต้องการควบคุมการส่งออกสินค้าที่มีมูลค่า หรือสินค้าที่เป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับการพัฒนาภายในประเทศ การนำเข้า-ส่งออกสินค้าต้องเสียภาษีอะไรบ้าง? การนำเข้าหรือส่งออกสินค้าจะมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับภาษีหลายประเภท ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับชนิดของสินค้า ประเทศต้นทางหรือปลายทางเป็นหลัก รวมถึงนโยบายทางการค้าของรัฐบาลในขณะนั้น สำหรับภาษีที่สัมพันธ์กับการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าจะมีดังนี้ ภาษีที่ต้องจ่ายเมื่อนำเข้าสินค้า การนำเข้าสินค้าเข้ามาในประเทศไทยนั้น จะต้องเสียภาษีหลายชนิด ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า ประเทศต้นทาง และมูลค่าของสินค้า โดยภาษีที่พบบ่อยในการนำเข้าสินค้า ได้แก่ ภาษีที่ต้องจ่ายเมื่อส่งออกสินค้า โดยทั่วไปแล้วการส่งออกสินค้าจากประเทศไทยนั้น ไม่ต้องเสียภาษีอากรขาออก แต่เนื่องจากนโยบายที่ส่งเสริมการส่งออกของรัฐบาลเพื่อเพิ่มจำนวนรายได้เข้าสู่ประเทศ จึงทำให้มีภาษีและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าและประเทศปลายทาง สำหรับภาษีและค่าธรรมเนียมที่มีความสัมพันธ์กับการส่งออกสินค้ามีดังนี้ การเข้าใจภาษีศุลกากรและกฎหมายที่เกี่ยวข้องเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การนำเข้าและส่งออกของเราดำเนินไปอย่างราบรื่น โดยเริ่มตั้งแต่การคำนวณภาษี การจัดการเอกสาร จนกระทั่งการชำระเงิน ซึ่งทุกขั้นตอนจำเป็นต้องวางแผนและตรวจสอบอย่างละเอียด รอบคอบ ดังนั้นการทำความเข้าใจภาษีศุลกากร ช่วยให้ผู้ประกอบกิจการลดค่าใช้จ่าย และยังช่วยเพิ่มความได้เปรียบในด้านการแข่งขันในตลาดโลกอีกด้วย  ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

โอนเงินเข้าออกบ่อยเป็นไรไหม เงินเข้าออกบัญชีห้ามเกินกี่ครั้ง

การโอนเงินผ่านช่องทางออนไลน์เป็นการทำธุรกรรมทางการเงินที่นอกจากเป็นเรื่องปกติในการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว ยังกลายเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้สำหรับคนส่วนใหญ่อีกด้วย หลายคนมักจะนิยมใช้เพื่อซื้อสินค้าออนไลน์ ไปจนถึงการโอนเงินให้เพื่อนหรือครอบครัวก็ตาม ซึ่งการโอนเงินผ่านระบบนั้น นับว่าช่วยทำให้ชีวิตได้รับสะดวกสบายมากขึ้น แต่ทั้งนี้หากมีการเงินเข้าออกบัญชีบ่อย หลายคนอาจจะเกิดคำถามว่าโอนเงินเข้าออกบ่อยเป็นไรไหม และมีผลกระทบอะไรกับเราบ้างไปดูกัน โอนเงินเข้าออกบ่อยเป็นไรไหม ตามจริงแล้วเงินเข้าออกบัญชีบ่อย ๆ ไม่ได้ผิดกฎหมาย แต่หากทำบ่อยเกินไปและมีมูลค่ารวมที่สูง ก็อาจถูกตรวจสอบภาษีได้ เนื่องจากกรมสรรพากรต้องการตรวจสอบว่าที่มาของเงินนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และตรวจสอบที่มาของเงินเพื่อป้องกันการฟอกเงินหรือการได้เงินมาแบบผิดกฎหมายนั่นเอง เงินเข้าออกบัญชีบ่อยห้ามเกินกี่ครั้ง ปัจจุบันมีกฎหมายที่ระบุว่าสามารถมีการโอนเงินเข้าออกบัญชีห้ามเกินกี่ครั้งต่อปีขึ้นมา ซึ่งถ้าหากมีการโอนเงินเข้าออกบัญชีจำนวนมาก และมีมูลค่าสูงเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ธนาคารจะต้องรายงานข้อมูลให้กรมสรรพากรทราบ และหากพฤติกรรมการทำธุรกรรมผิดปกติ เช่น การโอนเงินไปมาระหว่างบัญชีหลาย ๆ บัญชีบ่อยครั้ง กรมสรรพากรอาจจะสงสัยว่าเรามีการฟอกเงินหรือทำผิดกฎหมายได้ ซึ่งจำนวนหารโอนเงินที่กำหนดไว้มีดังนี้ ถูกสรรพากรเรียกตรวจสอบต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง? เมื่อถูกกรมสรรพากรเรียกตรวจสอบไม่ต้องตกใจไป ให้เราควรเตรียมเอกสารต่าง ๆเกี่ยวข้องให้ครบถ้วนเพื่ออำนวยความสะดวกกับเจ้าหน้าที่และเพื่อป้องกันเอกสารตกหล่นจนมีปัญหาตามมาได้ ซึ่งเอกสารที่ควรเตรียมโดยทั่วไปจะมีดังนี้ ต้องทำยังไงถึงจะไม่เสียภาษี เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาษีที่จะต้องเสียในแต่ละปีได้ เพราะนอกจากจะเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องเสียภาษีตามกฎหมายแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานและการบริการสาธารณะต่างๆ อย่างไรก็ตาม เราสามารถลดหย่อนภาษีที่ต้องจ่ายอย่างถูกกฎหมายด้วยวิธีการ ดังนี้ สิ่งที่ไม่ควรทำ การโอนเงินผ่านช่องทางออนไลน์ทุกวันเป็นเรื่องปกติของคนส่วนใหญ่ แต่ทั้งนี้เงินเข้าออกบัญชีบ่อย ๆ อาจนำมาซึ่งปัญหาที่คุณไม่คาดคิดขึ้นได้ ดังนั้น การโอนเงินอย่างมีระเบียบและวางแผนอย่างรอบคอบจะสามารถช่วยลดค่าธรรมเนียมที่ไม่จำเป็น และลดปัญหาด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะปัญหาด้านกฎหมายได้ นอกจากนี้ การรู้จักการจัดการธุรกรรมของตนเองจะช่วยให้คุณสามารถปกป้องทรัพย์สินของตัวเองให้ปลอดภัยได้อีกด้วย ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

12 มี.ค. 2025

PEAK Account

13 min

7 ประเภทค่าใช้จ่าย ที่ใช้ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล

ความรู้เรื่องภาษีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ เพราะนอกจากจะช่วยให้ธุรกิจดำเนินได้อย่างถูกต้องตามกำหนด ไม่เสียค่าปรับจากการจ่ายภาษีไม่ครบ ยังอาจช่วยลดจำนวนภาษีที่ต้องจ่ายในแต่ละครั้งได้อีกด้วย เพราะมีค่าใช้จ่ายมากมายที่สามารถนำไปใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้นั่นเอง โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ที่ภาครัฐได้ออกนโยบายลดหย่อนภาษี มาช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ช่วยพัฒนาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า อีกทั้งยังเป็นการเปิดเวทีการแข่งขันด้านธุรกิจ ให้เหล่าคนรุ่นใหม่สนใจในการก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการกันมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งในบทความนี้เราก็จะพาผู้ประกอบการทุกท่านไปดูกันว่า ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล สามารถทำได้อย่างไรบ้าง พร้อมแล้วมาดูกันเลย ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล คืออะไร? การลดหย่อนภาษีคือสิทธิ์ของผู้ประกอบการ รวมไปถึงประชาชนที่ทางรัฐบาลกำหนดว่าค่าใช้จ่ายประเภทใดที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายจำเป็นในชีวิตประจำวัน และในบางกรณีอาจเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับนโยบายที่ทางภาครัฐพยายามผลักดันด้วยเช่นกัน ทำไมผู้ประกอบการต้องรู้เรื่อง ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล การลดหย่อนภาษีนิติบุคคลทำได้หลายรูปแบบมาก มีค่าใช้จ่ายจำเป็นมากมายในการทำธุรกิจที่สามารถนำมาลดหย่อนกับรัฐบาล ช่วยให้สามารถปรับหยัดค่าเสียภาษี หรืออาจได้เงินภาษีคืนมากกว่าที่คิดไว้ เพื่อให้สามารถนำเงินไปใช้ในการต่อยอดธุรกิจในส่วนอื่น ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล เป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการที่ศึกษาอย่างละเอียด ตรวจสอบบัญชี ตรวจสอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ว่าสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้หรือใหม่ หรือเมื่อรัฐบาลมีนโยบายใหม่ ๆ ที่ออกมาเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำบางอย่างไปลดหย่อนภาษีได้ก็จะได้ตามทัน และรีบปรับตัวตามนั่นเอง  เช็กเงื่อนไขการเสียภาษีนิติบุคคล สำหรับธุรกิจ SMEs ที่ได้รับการจดทะเบียนนิติบุคคลเรียบร้อยแล้ว จะมีเงื่อนไขในการเสียภาษี คือมีทุนจดทะเบียนบริษัทไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการไม่เกิน 30 ล้านบาท โดยในกำไรสุทธิ 300,000 บาทแรกจะไม่ต้องเสียภาษีกำไรสุทธิตั้งแต่ 300,001 – 3 ล้านบาท มีอัตราภาษี 15% และหากกำไรมากกว่า 3 ล้านบาทขึ้นไป จะมีอัตราภาษี 20%หากธุรกิจที่ไม่เข้าข่ายเป็น SMEs ที่จดทะเบียนนิติบุคคล จะมีอัตราภาษี 20% ตั้งแต่กำไรบาทแรก สำหรับธุรกิจนำเข้า-ส่งออกสินค้า สามารถศึกษาภาษีที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้าได้ที่ : ธุรกิจนำเข้า-ส่งออกสินค้า ต้องรู้ภาษีอะไรบ้าง? เคล็ดลับลดหย่อนภาษีนิติบุคคลด้วยค่าใช้จ่าย 7 ประเภท สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีพนักงานไม่เกิน 200 คน และมีสินทรัพย์ไม่เกิน 200 ล้านบาท จะมีค่าใช้จ่ายที่นำไปใช้ลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำเนินธุรกิจ ที่ช่วยพัฒนาธุรกิจให้เติบโต ประกอบไปด้วย 6 ประเภทค่าใช้จ่ายดังนี้ 1. ค่าจัดตั้งบริษัท ทำบัญชี และการสอบบัญชีสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้ทำการจดทะเบียนบริษัทนิติบุคคลแล้ว โดยมีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการในรอบบัญชีไม่เกิน 30 ล้านบาท ก็สามารถนำรายละเอียดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับกับการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท การทำบัญชี ไปจนถึงการสอบบัญชี ในระยะเวลา 5 รอบปีบัญชีติดต่อกันมาใช้ในการลดหย่อนภาษีได้ถึง 2 เท่าเลยทีเดียว 2. ค่าเสื่อมสภาพของคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทุกวันนี้คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งของจำเป็นต้องมีในการดำเนินธุรกิจ ภาครัฐจึงออกนโยบายให้ผู้ประกอบการสามารถคิดค่าเสื่อมราคาในอัตรา 40% ของมูลค่าอุปกรณ์ โดยจะทำการทยอยหักภายใน 3 รอบบัญชีนับตั้งแต่วันที่ได้ทรัพย์สินมา นอกจากนี้ยังรวมไปถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง 3. ค่าเสื่อมอาคารผู้ประกอบการที่มีสถานประกอบการเป็นอาคาร หรือโรงงานสามารถนำค่าเสื่อมของอาคารมาคิดค่าเสื่อมได้ในอัตรา 25% ของต้นทุน โดยส่วนที่เหลือสามารถหักได้ในแต่ละรอบบัญชีไม่เกิน 5% ต่อปี 4. ค่าเสื่อมของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรโรงงานที่มีเครื่องจักรสามารถนำค่าเสื่อมของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องมาใช้ลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน โดยคิดค่าเสื่อมในอัตรา 40% ของมูลค่า ส่วนที่เหลือสามารถหักได้ในแต่ละรอบบัญชีไม่เกิน 20% ต่อปี 5. ค่าจ้างงานผู้สูงอายุอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้ถึง 2 เท่า แต่ผู้ประกอบการหลายคนยังไม่รู้ คือค่าจ้างผู้สูงอายุนั่นเอง เพราะรัฐบาลมีเป้าหมายในการสนับสนุน SMEs ในการจ้างผู้สูงอายุ เพื่อกระจายรายได้ จึงทำให้มีนโยบายนี้ออกมารองรับ โดยมีเงื่อนไขดังนี้ 6. เงินบริจาคเงินบริจาคเป็นอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่นำมาใช้ลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้เช่นกัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กรณีดังนี้6.1 บริจาคให้กับ สถาบันการศึกษารัฐ, เอกชน และสถาบันอุดมศึกษา ที่มีศักยภาพสูงผู้ประกอบการสามารถนำเงินบริจาคมาใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า แต่จะไม่เกิน 10% ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายการบริจาค 6.2 บริจาคให้กับกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการสามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีได้เท่ากับจำนวนเงินที่บริจาค แต่จะต้องไม่เกิน 2% ของกำไรสุทธิหลักหักค่าใช้จ่าย 6.3 เงินบริจาคให้กับกองทุนวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมรวมทั้ง 4 กองทุนสามารถนำเงินบริจาคหักรายจ่ายได้ 2 เท่า ทั้งนี้เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการศึกษา และรายจ่ายที่กำหนดต้องไม่เกิน 10% ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่าย 7. รายจ่ายในการฝึกอบรมสำหรับการฝึกอบรบให้พนักงานในบริษัทก็สามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้เช่นกัน ทั้งในกรณีที่ส่งลูกจ้างไปเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรม และการฝึกอบรบให้ลูกจ้างตนเอง โดยสามารถแบ่งรายละเอียดได้ดังนี้7.1  ส่งลูกจ้างไปเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรม 7.2 ฝึกอบรมลูกจ้างตนเอง รู้เรื่องภาษีให้รอบด้าน อาจช่วยลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้มากกว่าที่คิด การจัดการภาษีนิติบุคคลอย่างถูกต้องและครบถ้วนเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ SMEs เพราะสามารถช่วยลดภาระทางภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการนำค่าใช้จ่ายที่ถูกต้องมาหักลดหย่อน หรือการจัดการภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อย่างถูกวิธี นอกจากนี้ หากมีการเตรียมเอกสารทางบัญชีอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้การจัดทำรายงานภาษีเป็นเรื่องง่ายและแม่นยำมากขึ้น PEAK Tax เป็นฟังก์ชันหนึ่งในโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ที่ช่วยให้การจัดการภาษีของธุรกิจเป็นเรื่องง่ายและแม่นยำยิ่งขึ้น ด้วยระบบที่ครอบคลุมตั้งแต่การคำนวณและสร้างแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 30) และภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.1, ภ.ง.ด.3, ภ.ง.ด.53) ไปจนถึงการตรวจสอบความถูกต้องของแบบภาษีก่อนส่ง เพื่อป้องกันข้อผิดพลาด นอกจากนี้ PEAK Tax ยังช่วยสรุปและจัดทำรายงานภาษีได้อย่างเป็นระบบ รองรับการนำเข้าข้อมูลจากระบบขายออนไลน์ เช่น Shopee, Lazada และ TikTok Shop ช่วยลดงานซ้ำซ้อน ประหยัดเวลา และทำให้การจัดการภาษีเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น​ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

6 มี.ค. 2025

PEAK Account

14 min

เช็กด่วน! รายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดาตรงกับรายได้จริงไหม

เรียกได้ว่ามาถึงครึ่งทางแล้วสำหรับเทศกาลยื่นภาษีของบุคคลธรรมดาที่มีรายได้จากปี 2567 หรือที่เรียกกันว่า “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” ซึ่งถูกกำหนดให้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90/91 เพื่อเสียภาษีให้เสร็จภายใน 31 มีนาคม 68 แต่ถ้าใครยื่นผ่านอินเทอร์เน็ตเวลาสิ้นสุดจะขยายจนถึง 8 เมษายน 68 ขณะที่หลายคนยื่นแบบภาษีผ่านไปได้ราบรื่น ไม่มีปัญหา แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มที่พบปัญหาว่า รายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดา ของกรมสรรพากรนั้นไม่เท่ากับรายได้ที่ตนเองได้รับจริงหรือจดบันทึกไว้ เช่น ระบบแสดงรายได้มาก หรือต่ำกว่าความเป็นจริง แบบนี้คงจะเริ่มปวดหัว ต้องสาเหตุเกิดจากอะไร และต้องทำอย่างไรต่อ ซึ่งเราจะมาหาคำตอบกันในบทความนี้ ตรวจสอบรายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดา ผ่านระบบ D-MyTax (Digital MyTax) บางคนอาจยังไม่ทราบว่ากรมสรรพากรมีระบบที่สามารถดึงข้อมูลรายได้เราจากทุกๆ แหล่งที่เราเคยโดนหัก ณ ที่จ่ายไว้หรือมีคนนำส่งข้อมูลไว้ ซึ่งจะนำมาแสดงในระบบใหม่ของกรมสรรพากรที่ชื่อว่า ‘D-MyTax’ หรือ Digital MyTax เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพมากขึ้น ขอแสดงตัวอย่างการเข้าไปดูข้อมูลรายได้ในระบบดังกล่าว ซึ่งสามารถทำตามขั้นตอนได้ดังนี้ 1. เข้าสู่ระบบกรมสรรพากรเพื่อยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2. เลือกยื่นแบบ ภ.ง.ด.90/91 3. หลังจากนั้นระบบจะแสดงหน้าต่างขึ้นมาให้เลือกว่าการยื่นแบบจะ ‘ใช้ข้อมูลที่กรมสรรพากรได้รับ’ หรือจะ ‘กรอกข้อมูลด้วยตนเอง’ ให้เลือก ‘ใช้ข้อมูลที่กรมสรรพากรได้รับ’ เพื่อดูว่าระบบสรรพากรมีข้อมูลรายได้อะไรของเราบ้าง 4. สิ่งที่เราจะเจออันดับแรกยังไม่ใช่ข้อมูล ‘รายได้’ แต่เป็นข้อมูล ‘ค่าลดหย่อน’ ต่างๆ ที่สรรพากรได้รับข้อมูลมาเช่นกัน บางครั้งเราลืมว่ามีสิทธิ์ลดหย่อนส่วนนี้ เช่น ค่าเบี้ยประกันชีวิต หรือค่าใช้จ่ายในโครงการ Easy E-Receipt ที่จำไม่ได้ว่าต้นปีที่แล้วจ่ายอะไรไปบ้าง ระบบก็จะแสดงข้อมูลต่างๆออกมาให้ แม้ข้อมูล ‘ค่าลดหย่อน’ จะไม่ได้เกี่ยวกับบทความนี้ แต่ก็เป็นเรื่องดีๆ ที่ผู้อ่านควรรู้  5. เลื่อนลงมาเรื่อยๆ จะเจอไฮไลท์ของบทความนี้แล้วก็คือ ข้อมูล ‘รายได้’ ซึ่งจะแสดงเป็นส่วนๆ  เช่น รายได้เงินเดือน, รายได้จากทรัพย์สิน/การทำธุรกิจ/อาชีพอิสระ เป็นต้น ซึ่งการแสดงข้อมูลในส่วนนี้จะบอกรายละเอียดของรายได้ เช่น วิธีตรวจสอบรายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดาตรงกับรายได้จริงของเราไหม? ถึงตอนนี้แล้วคิดว่าทุกคนคงเห็นภาพมากขึ้นว่าระบบแสดงข้อมูลรายได้เราอย่างไรบ้าง สิ่งที่เราจะทำได้ต่อจากนี้ คือ การตรวจสอบว่ารายได้ที่แสดงในระบบครบถ้วน ถูกต้องหรือไม่ สามารถทำได้หลายวิธี เช่น เราสามารถตรวจสอบโดยใช้หลายวิธีรวมกันได้ ส่วนตัวของผู้เขียนจะทำบันทึกจดรายได้พร้อมบันทึกวันรับเงินและเก็บเอกสารหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่ายเพื่อเป็นหลักฐานการรับเงินในแต่ละครั้ง หลังจากตรวจสอบแล้ว ถ้าข้อมูลรายได้ที่เรามีและในระบบสรรพากรตรงกันเป๊ะ แบบนี้เรียกว่า ‘ราบรื่น’ ได้เลย แต่ถ้าข้อมูลไม่ตรงกันไม่ว่าจะมากกว่าหรือน้อยกว่า เราสามารถเตรียมรับมือได้ ดังนี้ กรณีข้อมูลรายได้จริง ‘มากกว่า’ รายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดา 1. รายได้ที่ผู้จ่ายเงินไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย เช่น รายได้จากการขายสินค้า หรือรายได้จากการให้บริการแก่บุคคล ซึ่งปกติจะไม่มีการหักภาษี ณ ที่ จ่ายระหว่างกัน ในระบบฯ จึงไม่แสดงข้อมูลนี้ แก้ไข: เก็บข้อมูลรายได้ทั้งหมด และยื่นรายได้ให้ครบถ้วน 2. รายได้ที่เราบันทึกไว้ แต่ยังไม่ได้รับเงินจริง เนื่องจากการเสียภาษีเงินได้ของบุคคลธรรมดาจะถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีเมื่อได้รับชำระเงินแล้ว เช่น ให้บริการแก่บริษัทจำกัดแต่ยังไม่ได้รับชำระเงิน แก้ไข: เก็บข้อมูลรายได้ที่ยื่นภาษี ต้องเป็นรายได้ที่ได้รับเงินแล้วในปี 2567 3. ผู้จ่ายเงินไม่ได้ยื่นแบบหรือส่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้สรรพากร เช่น ผู้จ่ายเงินหักภาษีไว้ แต่ลืมนำส่งภาษีให้สรรพากร หรือบางกรณีที่ไม่มีภาษีต้องหักแต่ต้องยื่นแบบ ซึ่งผู้จ่ายเงินไม่ได้ยื่นแบบ เป็นต้น แก้ไข: ติดต่อไปยังผู้จ่ายเงิน และแจ้งให้ทำการยื่นปรับปรุงภาษีให้ถูกต้อง กรณีผู้จ่ายเงินไม่ยอมปรับปรุง ควรแจ้งเรื่องต่อสรรพากรพื้นที่ 4. ผู้จ่ายเงินส่งข้อมูลรายได้น้อยกว่าที่จ่ายจริง กรณีเกิดจากความผิดพลาดของผู้จ่ายเงินที่ยื่นแบบแจ้งสรรพากรต่ำกว่าความเป็นจริง เช่น รายได้ 100,000 แต่ระบุเป็น 10,000 เป็นต้น แก้ไข: ติดต่อไปยังผู้จ่ายเงิน และแจ้งให้ทำการยื่นปรับปรุงภาษีให้ถูกต้อง กรณีผู้จ่ายเงินไม่ยอมปรับปรุง ควรแจ้งเรื่องต่อสรรพากรพื้นที่ 5. ข้อมูลยังไม่เข้าระบบของกรมสรรพากร เช่น บริษัทที่จ่ายเงินเดือนยังไม่ได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.1ก เนื่องจากยังไม่ถึงกำหนด ข้อมูลรายได้ส่วนนี้จึงยังไม่ปรากฏบนระบบ เป็นต้น แก้ไข: สอบถามไปยังผู้จ่ายว่ายื่นแบบไปแล้วหรือไม่ หรืออาจรอให้ผู้จ่ายเงินยื่นแบบก่อน เพื่อให้ข้อมูลขึ้นในระบบ แล้วค่อยยื่นภาษีบุคคลก็ได้เช่นกัน กรณีข้อมูลรายได้จริง ‘น้อยกว่า’ รายได้ในระบบยื่นภาษีบุคคลธรรมมดา 1. บันทึกรายได้ไม่ครบถ้วน อาจเกิดจากการที่เราบันทึกรายได้ตกหล่น หรือเก็บข้อมูลไม่เป็นระบบเอง แก้ไข: เก็บข้อมูลรายได้ทั้งหมดให้ครบถ้วน เก็บข้อมูลวันที่เกิดรายได้และวันที่ได้รับเงิน 2. รายรับบางอย่างไม่รู้ว่าเป็นรายได้ทางภาษี เช่น รายได้ที่ไม่ถูกหัก ณ ที่จ่ายอาจคิดว่าไม่ต้องยื่นภาษี หรือรายได้ที่ผู้จ่ายออกภาษีหัก ณ ที่จ่ายแทนแต่ไม่ส่งใบ 50 ทวิมาให้ แก้ไข: เก็บข้อมูลรายได้ทั้งหมดให้ครบถ้วน ไม่สนใจว่าจะถูกหัก ณ ที่จ่ายไว้แล้วหรือไม่ กรณีที่ผู้จ่ายเงินออกภาษีแทนต้องติดตามใบ 50 ทวิมาเก็บเป็นหลักฐานด้วย 3. ผู้จ่ายเงินส่งข้อมูลรายได้มากกว่าที่จ่ายจริง เกิดจากความผิดพลาดของผู้จ่ายเงินที่ยื่นแบบแจ้งสรรพากรสูงกว่าความเป็นจริง เช่น รายได้ 5,000 แต่ระบุเป็น 50,000 เป็นต้น แก้ไข: ติดต่อไปยังผู้จ่ายเงิน และแจ้งให้ทำการยื่นปรับปรุงภาษีให้ถูกต้อง กรณีผู้จ่ายเงินไม่ยอมปรับปรุง ควรแจ้งเรื่องต่อสรรพากรพื้นที่ 4. ผู้จ่ายเงินส่งข้อมูลรายได้ผิดบุคคล เช่น ผู้จ่ายเงินจ้างนาย A แต่ตอนแจ้งสรรพากรระบุว่าผู้รับเงิน คือ นาย B ซึ่งทำให้ข้อมูลรายได้ของนาย A และ นาย B จะไม่ตรงกัน แก้ไข: ติดต่อไปยังผู้จ่ายเงิน และแจ้งให้ทำการยื่นปรับปรุงภาษีให้ถูกต้อง กรณีผู้จ่ายเงินไม่ยอมปรับปรุง ควรแจ้งความการแอบอ้างชื่อไปใช้และนำใบแจ้งความไปแจ้งที่สรรพากรพื้นที่ต่อ ทั้งนี้ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราเคยให้คนรู้จักใช้บัตรประชาชนเราไปรับเงินแทนหรือไม่ กรณีที่อยู่ระหว่างรอการแก้ไขภาษีจากผู้จ่ายเงิน และจำเป็นต้องยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.90/91 สามารถยื่นแบบภาษีตามยอดรายได้ตามที่ถูกต้องแม้จะไม่ตรงกับยอดในระบบสรรพากร และให้ชี้แจงข้อเท็จจริงให้สรรพากรรับทราบอีกครั้ง สรุป การที่ระบบการยื่นภาษีของกรมสรรพากรสามารถเชื่อมโยงข้อมูลการมีรายได้ของผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดาได้ ทำให้ผู้เสียภาษีสามารถเช็กข้อมูลที่ตนเองเก็บบันทึกไว้กับข้อมูลในระบบสรรพากรได้เร็วและง่าย กรณีเจอข้อมูลที่แตกต่างกัน สามารถดูรายชื่อและเลขผู้เสียภาษีของผู้จ่ายรายได้เพื่อติดต่อไปสอบถามและแก้ไขปัญหาร่วมกันได้ทันที ขอย้ำอีกครั้งว่าอย่าเข้าระบบเพื่อยื่นภาษีอย่างเดียว แต่ควรตรวจสอบข้อมูลรายได้ให้ครบถ้วน ถูกต้องเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต  PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ มีฟังก์ชันรองรับการช่วยเก็บข้อมูลรายได้ ออกหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย(ใบ50ทวิ) และเอกสารบัญชีต่างๆ ได้อย่าง สะดวก รวดเร็ว ในไม่กี่ขั้นตอน สร้างเอกสารทางธุรกิจ ครบถ้วน ถูกต้อง แม่นยำ ป้องกันปัญหาอย่างมืออาชีพ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

28 ก.พ. 2025

PEAK Account

13 min

เช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ทำง่าย สะดวก รวดเร็ว

ในทุกปีเมื่อถึงช่วงเวลายื่นภาษี ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจ SME นิติบุคคล หรือผู้ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม คำถามยอดฮิตที่มักเกิดขึ้นเสมอก็คือ “เงินคืนภาษีของเราถึงไหนแล้ว?” แต่ในปัจจุบันภาครัฐได้อำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการด้วยการเปิดระบบต่าง ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น การยื่นภาษีออนไลน์ รวมไปถึง เช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ ที่ในบทความนี้เราจะมาแนะนำ วิธีเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ สำหรับผู้ประกอบการ จะทำอย่างไร สะดวกมากน้อยแค่ไหน มาร่วมหาคำตอบในบทความนี้ไปพร้อมกัน ทำไมต้องเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์? การเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ เพราะช่วยให้คุณรู้ความคืบหน้าว่าแบบภาษีที่ยื่นไปได้รับการตรวจสอบหรือยัง และมีปัญหาอะไรต้องแก้ไขหรือไม่ การติดตามสถานะอย่างใกล้ชิดช่วยให้สามารถจัดการเอกสารเพิ่มเติมได้ทันทีหากมีข้อผิดพลาด ลดความเสี่ยงในการถูกปฏิเสธการคืนภาษี และยังช่วยให้คุณวางแผนกระแสเงินสดได้อย่างแม่นยำ เพราะการได้รับเงินคืนเร็วขึ้น หมายถึงธุรกิจมีสภาพคล่องที่ดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ การใช้ช่องทางออนไลน์ในการเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ยังช่วยประหยัดเวลา ลดขั้นตอน และทำให้การติดต่อกับกรมสรรพากรสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าการโทรหรือเดินทางไปด้วยตัวเองอีกด้วย สิ่งที่เจ้าของธุรกิจควรรู้เกี่ยวกับ “การคืนภาษีออนไลน์” ก่อนเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ เงื่อนไขการขอคืนภาษีของนิติบุคคล ที่ควรรู้ ก่อนเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ สำหรับการขอคืนภาษีของนิติบุคคล ซึ่งทางกรมสรรพากรก็ได้ทำการออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อระบุว่ากิจการใดมีสิทธิ์ในการขอคืนภาษีได้ ซึ่งหลักเกณฑ์สามารถแบ่งออกได้ 3 กรณีตามประเภทภาษี 1. ขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย กรณีมาตรา 63 แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับมาตรา 63 แห่งประมวลรัษฎากร ได้มีการกำหนดเงื่อนไขของผู้มีสิทธิ์ขอคืนภาษีว่าต้องเป็นกิจการที่เป็นผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย และได้ทำการนำส่งภาษีเกินกว่าที่ควรต้องเสียภาษี กิจการของคุณเข้าข่ายสามารถขอคืนภาษีได้ตามมาตรา 63 ในส่วนของระยะเวลาในการยื่นขอคืนภาษี สามารถทำได้ภายในระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันสุดท้ายของกำหนดเวลายื่นภาษีตามที่กฎหมายกำหนด  ยกตัวอย่างเช่น  กิจการ A มีรอบบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 – 31 ธันวาคม 2567 ซึ่งในรอบปีนั้นมีการหักภาษีเกินที่กำหนดไป และกิจการ A มีหน้าที่ยื่นภาษีภายใน 150 วัน นับตั้งแต่สิ้นรอบบัญชี หมายความว่า กิจการ A สามารถยื่นขอคืนภาษีได้ภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2571 นั่นเอง 2. ขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย กรณีมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร  อีกหนึ่งรูปแบบการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งจะตรงกับกรณีของมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร โดยเงื่อนไขข้อนี้สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่ได้ทำกิจการเข้าข่ายมาตรา 63 แห่งประมวลรัษฎากร เช่น กลุ่มกิจการที่มีการหัก ณ ที่จ่ายมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร ยกตัวอย่างเช่น ค่านายหน้า ค่าฝึกอบรม ค่าซ่อมแซมเครื่องจักร ซึ่งรวมไปถึงบริษัทต่างประเทศที่เข้ามามีรายได้ในประเทศไทยอีกด้วย โดยเงื่อนไขในการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่ายประเภทนี้ต้องเป็นผู้ที่เมื่อจ่ายเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายแล้วเกินจากที่กำหนด และมีระยะเวลาในการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่ายเท่ากับ มาตรา 63 คือ 3 ปีหลังจากวันครบกำหนดยื่นภาษี 3. ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ในส่วนของการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT 7% ซึ่งเป็นเงินภาษีที่หักออกจากสินค้าหรือบริการเพื่อนำส่งให้กับทางกรมสรรพากร รวมไปถึงภาษีที่ผู้ประกอบการจ่ายเมื่อทำการซื้อสินค้าหรือบริการด้วย มีเงื่อนไขและรูปแบบการขอคืนภาษีดังนี้ การเปลี่ยนเป็นเครดิตภาษีในเดือนถัดไป กรณีที่มีภาษีมูลค่าเพิ่มที่ซื้อสินค้าหรือบริการไปเกินที่กำหนดไว้ จะเปลี่ยนเป็นเครดิตภาษี ซึ่งสามารถนำไปใช้จ่ายภาษีของเดือนถัดไปได้ ทั้งนี้ถ้าผู้ประกอบการมีเครดิตภาษีเหลือแล้วไม่ได้ทำการยื่นขอคืนภาษีภายในเดือนนั้น หมายความว่าประสงค์ที่จะยกไปใช้ชำระภาษีในเดือนถัดไป ทั้งนี้ถ้าเดือนถัดไปไม่ได้นำเครดิตตรงนี้มาชำระ จะไม่สามารถเก็บเครดิตเพื่อชำระในเดือนถัด ๆ ไปอีกได้ ภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายสินค้าหรือบริการ เมื่อผู้ประกอบการไม่ได้ทำการขอคืนภาษีด้วยการเครดิตภาษี ในกรณีนี้ผู้ประกอบการสามารถทำเรื่องยื่นคำร้องขอคืนภาษีได้ภายใน 3 ปี นับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดยื่นภาษีของเดือนภาษีนั้น ๆ โดยผู้ประกอบการสามารถทำเรื่องยื่นขอคืนภาษีด้วยแบบ ค. 10 ขอคืนภาษีสำหรับการนำเข้าสินค้า ในกรณีที่มีการนำเข้าสินค้ารูปแบบการขอคืนภาษีจะแตกต่างกันออกไป โดยผู้ประกอบการที่ได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว สามารถยื่นคำร้องขอคืนภาษีได้ที่อำเภอ แต่ถ้าไม่ได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องยื่นคำร้องคืนภาษีที่ด่านศุลกากรขาเข้า ทั้งนี้ยังมีเงื่อนไขพิเศษในกรณีที่ผู้นำเข้าสินค้า มีข้อโต้แย้งตามกฎหมาย หรือมีติดคดีในศาล สามารถยื่นขอคืนภาษีได้ภายใน 6 เดือนนับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือข้อโต้แย้งอากรขาเข้า 4. ภาษีธุรกิจเฉพาะ ในส่วนขอภาษีธุรกิจเฉพาะ คือธุรกิจที่มีรายได้จากดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากการให้กู้ยืม และมีการนำส่งภาษีแล้ว แต่จำนวนที่นำส่งเกินกว่ากำหนดที่ต้องเสียภาษี โดยสามารถทำเรื่องขอคืนภาษีได้ภายใน 3 ปีนับตั้งแต่วันที่ครบรอบยื่นแบบภาษี เช่นเดียวกับการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่มนั่นเอง ขั้นตอนการเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ สำหรับขั้นตอนการเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์สามารถทำได้ผ่าน Digtal My Tax ระบบใหม่ล่าสุดที่ทางกรมสรรพากรออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนโดยเฉพาะ ซึ่ง D-MyTax จะรวมทั้งภาษีบุคคลธรรมดา นิติบุคคล รวมไปถึงผู้ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล แบบ One Portal ที่เดียวจบทุกเรื่องภาษี สำหรับขั้นตอนเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ ทำได้ดังนี้ 2. เลือกไปที่เมนู “นิติบุคคล” 3. คลิกที่ปุ่ม [รวมบริการทางภาษี (One Portal)] 4. เลือกวิธีการเข้าสู่ระบบ 5. เมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว จะพบกับหน้าเว็บไซต์ที่แสดงสถานะของรายการที่เรายื่นไปแล้วนั่นเอง การเช็คสถานะคืนภาษีออนไลน์ผ่าน D-MyTax เป็นอีกหนึ่งทักษะสำคัญที่เจ้าของธุรกิจยุคใหม่ควรรู้ เพราะนอกจากจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าภาษีที่จ่ายเกินจะได้รับคืนแล้ว ยังช่วยให้คุณจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดเวลา และลดความผิดพลาดได้อย่างมาก เมื่อเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ แล้วพบว่าความล่าช้าควรทำอย่างไร เมื่อเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์ แล้วพบว่าเกิดความล่าช้า แนะนำให้รีบติดต่อกรมสรรพากร เพื่อสอบถามถึงสาเหตุ ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาความล่าช้า แนะนำให้ผู้ประกอบการเตรียมจัดการบัญชี เอกสารต่าง ๆ ให้เรียบร้อย และตรวจสอบความถูกต้องให้ชัดเจน เพื่อให้ขั้นตอนการตรวจสอบของกรมสรรพากรง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เท่านี้ก็ช่วยลดปัญหาความล่าช้าลงไปได้แน่นอน อยากจัดการภาษีง่ายขึ้น ขอคืนภาษีได้รวดเร็ว? การขอคืนภาษีอาจดูเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับผู้ประกอบการ แต่หากมีการ วางแผนการทำบัญชีที่ดี ตั้งแต่ต้น ตรวจสอบเอกสารให้ครบถ้วน ใช้ระบบจัดการบัญชีที่มีประสิทธิภาพและคอยเช็กสถานะคืนภาษีออนไลน์อยู่เสมอ ก็สามารถช่วยให้การขอคืนภาษีเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว หนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้การบริหารภาษีง่ายขึ้นคือ PEAK Tax โปรแกรมการจัดการภาษีออนไลน์ ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการช่วยจัดการภาษีครบวงจร รองรับภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ทั้งแบบ ภ.พ.30 และ ภ.พ.36 รวมถึงภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax) เช่น ภ.ง.ด.1, ภ.ง.ด.2, ภ.ง.ด.3 และ ภ.ง.ด.53 โดยคำนวณและจัดทำแบบฟอร์มภาษีอัตโนมัติ รองรับ e-Tax Invoice และ e-Receipt พร้อมรองรับการยื่นแบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร ลดขั้นตอนการทำงานและช่วยให้ธุรกิจเห็นภาพรวมทางการเงินได้ง่ายขึ้น ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

14 ก.พ. 2025

PEAK Account

16 min

e-Tax Invoice ตัวช่วยจัดการเอกสาร ลดความยุ่งยากให้ธุรกิจ SMEs

ก้าวเข้าสู่ปี 2568 ในยุคที่เกือบทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนมาอยู่บนดิจิตอลแทบทั้งหมด ประเทศไทยก็พัฒนาตามยุคสมัยในหลายด้าน รวมไปถึงด้านเอกสารต่าง ๆ ที่หน่วยงานส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เกือบทั้งหมดแล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ที่กรมสรรพากรส่งเสริมให้ผู้ประกอบปัจจุบันการเปลี่ยนมาใช้ เพราะช่วยลดความยุ่งยากด้านงานเอกสาร และเป็นรูปแบบที่สอดคล้องกับกฎหมายในปัจจุบันอีกด้วย ในบทความนี้ PEAK ขอพาผู้อ่านทุกท่านไปทำความรู้จักกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ให้มากขึ้น จะเป็นอย่างไรบ้างมาติดตามกันได้เลย e-Tax Invoice คืออะไร? e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ คือ รูปแบบการออกใบกำกับภาษีอยู่ในรูปแบบออนไลน์เพื่อตอบสนองพฤติกรรมการซื้อขายของคนไทยที่นิยมซื้อผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น สามารถส่งเอกสารให้ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ รวมไปถึงสามารถส่งเอกสารออนไลน์ให้กรมสรรพากรได้ทันทีเช่นกัน ทำให้การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ช่วยให้ธุรกิจ SMEs สามารถจัดการกับเอกสารได้สะดวกมากยิ่งขึ้น  ข้อมูลจำเป็นที่ต้องทราบเกี่ยวกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากรูปแบบเอกสารเปลี่ยนมาอยู่บนโลกออนไลน์ ทำให้มีข้อมูลรายละเอียดจำเป็นเล็กน้อยที่เจ้าของกิจการควรรู้ เพื่อให้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ของเรานั้นถูกต้องทุกประการ เพื่อให้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เป็นเอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องมีการลงลายมือชื่อดิจิตอล (Digital Signature) หรือการปรับทับรับรองเวลา (Time Stamp) ด้วยเสมอ หลังจากลงลายมือชื่อหรือประทับแล้ว เอกสารฉบับดังกล่าวจะสามารถใช้เป็นหลักฐานในทางกฎหมายได้ ทำไมธุรกิจ SMEs ต้องใช้ e-Tax Invoice? หลังจากที่เรารู้จักใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้นแล้ว ในส่วนถัดมาเรามาดูข้อดีที่เจ้าของเจ้าของกิจการ SMEs จะได้รับหากเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์แทนที่ใบกำกับภาษีกระดาษรูปแบบเดิมกันดีกว่า ซึ่งข้อดีหลัก ๆ สามารถแบ่งได้ 4 ข้อดังนี้ ลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร หนึ่งในปัญหาที่เจ้าของกิจการ SMEs หลายท่านต้องประสบพบเจอคงหนีไม่พ้นเรื่องของเอกสารที่เยอะจนบางครั้งทำให้เกิดความยุ่งยาก ไม่สามารถโฟกัสกับธุรกิจได้เต็มที่เท่าที่ควร การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยลดปัญหาส่วนนี้ลงไปได้อย่างแน่นอน เพราะด้วยเอกสารที่อยู่บนออนไลน์ ไม่จำเป็นต้องหาที่จัดเก็บ หรือคอยหาเอกสารให้วุ่นวาย นอกจากนี้ยังลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร เพราะความสะดวกรวดเร็วในการส่งให้ผู้ซื้อและสรรพากรได้อย่างง่ายดาย หมดห่วงเรื่องเอกสารสูญหาย ต่อยอดจากข้อที่แล้ว นอกจากการลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร ยังเป็นการป้องกันข้อมูลสูญหายที่เป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ของการเก็บเอกสารแบบกระดาษ ซึ่งการเก็บเอกสารที่อยู่ในรูปแบบออนไลน์นั้น หากจัดให้เป็นระเบียบรับรองว่าข้อมูลไม่มีทางสูญหายแน่นอน อีกทั้งเวลาต้องการเรียกดูเอกสารก็ทำได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ช่วยลดต้นทุน หลายท่านอาจสงสัยว่าการเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ช่วยลดต้นทุนให้แก่ธุรกิจ SMEs ได้อย่างไร แต่ถ้าลองคำนวนดูแล้วการออกใบกำกับภาษีแบบกระดาษ 1 แผ่นนั้น มีต้นทุนที่แฝงมาด้วยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นค่ากระดาษ ค่าหมึกสำหรับพิมพ์เอกสารออกมา อาจรวมไปถึงค่าซองเอกสาร และค่าจัดส่งอีกด้วย หากเปลี่ยนมาใช้รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ก็บอกลาต้นทุนเหล่านี้ไปได้เลย ได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากภาครัฐ เพื่อกระตุ้นให้ธุรกิจเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้น รัฐบาลจึงได้ออกนโยบายต่าง ๆ ที่ช่วยส่งเสริมในส่วนนี้ ยกตัวอย่างเช่น Easy E-Receipt นโยบายที่ในปีพ.ศ. 2568 ก็กลับมาอีกครั้ง โดยเป็นนโยบายที่ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถนำใบกำกับภาษีออนไลน์จากสินค้าหรือบริการที่ซื้อในช่วงเวลาที่กำหนด มายื่นเพื่อขอลดหย่อนภาษีได้ นอกจากจะเป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ยังช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้น  “การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์นอกจากจะช่วยจัดการเอกสารแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนแฝง และช่วยเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายผ่านนโยบายของภาครัฐอีกด้วย” e-Tax Invoice มีกี่รูปแบบ แตกต่างกันอย่างไรบ้าง? e-Tax Invoice มีทั้งหมด 2 รูปแบบประกอบไปด้วย ซึ่งแต่ละรูปแบบแตกต่างกันอย่างไร แต่ละแบบเหมาะกับธุรกิจประเภทไหน และมีขั้นตอนการทำงานอย่างไรบ้าง มาดูกันต่อเลย 1. e-Tax Invoice & Receipt ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ประเภทแรกแบ่งได้เป็นสองส่วนคือ ส่วนที่เป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) และ ใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Recepit) ซึ่งเอกสารรูปแบบนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) แบบไม่จำกัดรายได้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ก่อนทำการส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ รวมไปถึงกรมสรรพากรจำเป็นต้องลงลายมือชื่อดิจิตอลให้เรียบร้อยเพื่อให้เอกสารนี้ถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้การส่ง e-Tax Invoice & Receipt ให้กรมสรรพากรจะต้องอยู่ในรูปแบบไฟล์ XML หรือ PDF/A3 เท่านั้น คุณสมบัติของผู้ยื่นขอจัดทำ e-Tax Invoice & e-Receipt ขั้นตอนการจัดทำและส่งมอบ e-Tax Invoice & Receipt  สำหรับขั้นตอนการใช้งานใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ประเภท e-Tax Invoice & Receipt มีขั้นตอนทั้งหมด 3 ส่วนที่สะดวก รวดเร็ว เข้าใจง่าย ไม่เป็นการเพิ่มงานแน่นอน 2. e-Tax Invoice by Time Stamp ในส่วนของ e-Tax Invoice by Time Stamp จะเป็นการทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์สำหรับธุรกิจ SMEs ขนาดเล็กที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 30 ล้านบาท และได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว เป็นรูปแบบที่ตอบโจทย์ธุรกิจที่มีการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์จำนวนที่ไม่มาก โดยการส่งเอกสาร e-Tax Invoice by Time Stamp จะเป็นการที่ธุรกิจออกร่างใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ หลังจากนั้นทำการส่งอีเมลให้ลูกค้า และ CC อีเมลไปที่ [email protected] เพื่อให้ระบบทำการ Time Stamp หรือประทับเวลาให้ หลังจากนั้นระบบจะส่งเอกสารที่ประทับเวลาแล้วให้ลูกค้าและธุรกิจอีกครั้ง คุณสมบัติของผู้ยื่นขอจัดทำ e-Tax Invoice by Time Stamp เจ้าของกิจการที่ต้องการยื่นขอการจัดทำ e-Tax Invoice by Time Stamp ต้องมีคุณสมบัติดังนี้  ขั้นตอนการจัดทำและส่งมอบ e-Tax Invoice by Time Stamp ขั้นตอนของใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์รูปแบบ e-Tax Invoice by Time Stamp อาจมีขั้นตอนมากกว่าเล็กน้อย แต่สะดวกไม่แพ้กัน อยากลดความยุ่งยากเรื่องเอกสารใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ คือคำตอบ ตอนนี้ทุกท่านรู้จักกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นแล้ว ทราบถึงข้อดีที่ทำให้การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์นั้นช่วยธุรกิจของคุณได้อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลดปัญหาความยุ่งยากในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเอกสารต่าง ๆ รวมไปถึงเป็นการลดต้นทุน และช่วยเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายให้แก่ธุรกิจผ่านนโยบายต่าง ๆ ที่รัฐบาลออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกด้วย  สำหรับเจ้าของกิจการ SMEs ท่านไหนที่กำลังมองหาเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยให้การจัดการใบกำกับภาษีเป็นเรื่องง่าย ที่ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่รองรับการทำ e-Tax Invoice ช่วยให้การจัดการบัญชีในธุรกิจของคุณสะดวก สามารถจัดการบัญชีได้อย่างเป็นระบบ เตรียมความพร้อมมุ่งสู่การเติบโตในอนาคต ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

24 ม.ค. 2025

PEAK Account

12 min

“ภาษี” บริหารได้อย่าหนี กับ 4 วิธีทำเรื่องภาษีให้ถูกต้องสำหรับธุรกิจ SMEs

“ภาษี” กับ “ความตาย” คือ สองสิ่งบนโลกที่มวลมนุษย์อย่างเราไม่อาจหนีได้ คือประโยคอันโด่งดังของเบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin) หนึ่งในรัฐบุรุษผู้สร้างชาติอเมริกา ที่สะท้อนให้เห็นความเป็นจริงของโลกใบนี้ เรื่อง “ความตาย” นี่ เราเห็นกัน 100% แล้วว่าเป็นสิ่งที่หนีไม่ได้จริงๆ แต่ทำไมเรายังเห็นหลายคนไม่จ่ายภาษีทั้งๆ ที่ต้องจ่าย งั้นแบบนี้ “ภาษี” ก็เป็นสิ่งที่หนีได้ใช่ไหม? คำตอบ คือ หนีได้ แต่ผิดกฎหมายนะ! และยังไม่พอ ยังเป็นการหนีได้ชั่วคราวอีกด้วย เพราะจากที่เราเห็นกันในโซเชียลหรือจากการทำบัญชีให้ผู้ประกอบการจะพบเรื่องที่สรรพากรมาตรวจย้อนหลังและโดนปรับแพงๆ จนหลายคนทำธุรกิจต่อไม่ไหวหรือหาเงินมาจ่ายคืนไม่ได้ สุดท้ายก็คือ หนีไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละครับ จะดีกว่าไหม ถ้าเราทำเรื่องภาษีให้ถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่แรก โดยไม่หนี แต่ใช้การบริหารภาษีแทน มาดูกันครับ ผมอยากให้ทุกคนทำภาษีให้ถูกต้อง ยังไม่พอยังทำให้ประหยัดภาษีได้อีกทีด้วย บทความนี้จะไม่ได้พูดเรื่องการวางแผนภาษีแบบละเอียด แต่เริ่มจากเรื่องพื้นฐานที่ผู้ประกอบการทุกคนควรจะรู้ว่าถูกต้องและประหยัดจะทำได้อย่างไรบ้าง เริ่ม! 4 วิธีทำเรื่องภาษีให้ถูกต้อง ก่อนจะประหยัด เราควรรู้ว่าการจัดการภาษีให้ถูกต้องให้กรมสรรพากรยอมรับต้องทำอย่างไร ดังนี้ 1. บันทึกค่าใช้จ่ายให้ครบถ้วน พื้นฐานที่สุด คือ ธุรกิจควรบันทึกค่าใช้จ่ายทุกประเภทอย่างละเอียดและครบถ้วน เพราะเมื่อค่าใช้จ่ายจริงเยอะ กำไรที่จะนำไปคำนวณภาษีจะลดลง ทำให้จ่ายภาษีประจำปีได้ประหยัดมากขึ้น 2. มีเอกสารประกอบค่าใช้จ่ายทุกใบ การมีเอกสารประกอบค่าใช้จ่าย เช่น ใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษี จะช่วยให้การบันทึกค่าใช้จ่ายมีความน่าเชื่อถือ และสามารถใช้เป็นหลักฐานในหักค่าใช้จ่ายได้ถูกต้อง อีกทั้งสามารถยืนยันค่าใช้จ่ายได้ในกรณีที่มีการตรวจสอบภาษีจากกรมสรรพากร  3. ไม่มีเอกสารประกอบ ก็เป็นค่าใช้จ่ายได้ ในบางกรณีที่จ่ายเงินแต่ไม่ได้รับเอกสาร เช่น ค่าแท็กซี่ เมื่อเราจ่ายเงิน คนขับรถคงไม่ออกใบเสร็จรับเงินให้เราได้แน่ แต่ไม่ต้องห่วงเพราะสรรพากรก็เข้าใจในสิ่งนี้เป็นอย่างดี จึงออกคู่มือประกอบการลงค่าใช้จ่ายที่ไม่มีเอกสารมาให้ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก! 4. ระบุผู้รับเงินให้ได้ ทุกการจ่ายเงินต้องบอกให้ได้ว่าผู้รับเงินเป็นใคร ไม่เช่นนั้นจะเกิดคำถามได้ว่าเป็นการสร้างรายจ่ายปลอมรึเปล่า? เพราะแม้จะมีการจ่ายเงินจริง แต่ไม่สามารถระบุผู้รับเงินได้ แบบนี้ก็คงไม่มีใครเชื่อ  วิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้ คือ พยายามจ่ายเงินผ่านการโอนเงิน เพราะในสลิปโอนเงินจะระบุผู้รับเงินได้ ส่วนกรณีที่จำเป็นต้องจ่ายเป็นเงินสดถ้ายอดเงินน้อยๆ หลักสิบ หลักร้อย เช่น ค่าแท็กซี่ การทำเอกสารใบรับรองแทนใบเสร็จตามคู่มือของสรรพากรก็เพียงพอ แต่ถ้าจ่ายเงินสดเป็นหลักหมื่น หลักแสนขึ้นไป ควรต้องขอสำเนาบัตรประชาชนและให้ผู้รับเซ็นรับเงินมาด้วยจะทำให้พิสูจน์ผู้รับได้ปลอดภัยขึ้น การทำเอกสารใบรับรองแทนใบเสร็จ สามารถช่วยยืนยันการจ่ายเงินสดได้ในกรณีที่ไม่สามารถออกใบเสร็จรับเงินอย่างเป็นทางการได้ โดยในระบบ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ สามารถออกเอกสารใบรับรองแทนใบเสร็จได้อย่างสะดวกและง่ายดาย พร้อมรูปแบบเอกสารที่ถูกต้องตามข้อกำหนดของกรมสรรพากร ทำให้การจัดการเอกสารเป็นระบบและช่วยลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบย้อนหลังจากสรรพากร 4 วิธีพื้นฐานประหยัดภาษี  เมื่อรู้วิธีจัดการภาษีที่ถูกต้องแล้ว เราจะขยับขึ้นมาอีกสเต็ปหนึ่ง คือ การวางแผนภาษีเบื้องต้นเพื่อประหยัดภาษีกัน ซึ่งผมยกตัวอย่างมาให้ ดังนี้ 1. จ่ายเงินตัวเองให้ถูกวิธี ผู้ประกอบการมักคิดว่าเงินบริษัทคือเงินของตัวเอง แต่ในทางกฎหมายถือว่าบริษัทกับผู้ประกอบการเป็นคนละคนกัน ดังนั้นผู้ประกอบไม่สามารถนำเงินบริษัทมาใช้ได้ตามอำเภอใจ เพราะจะทำให้ระบบบัญชีและภาษีมีปัญหา เช่น การเกิดบัญชีเงินให้กู้ยืมแก่กรรมการจำนวนมาก  วิธีที่ถูกต้องในการดึงเงินออกจากบริษัท เช่น การจ่ายเงินเดือนให้ตัวเองในฐานะกรรมการ หรือการจ่ายค่าเช่าออฟฟิศถ้ากรรมการใช้บ้านตัวเองในการทำงาน หรือถ้าบริษัทมีกำไรและอยากนำเงินมาใช้ก็สามารถนำเงินออกมาในรูปแบบของการจ่ายเงินปันผลได้ เป็นต้น 2. การซื้อประกันผู้บริหารคนสำคัญ (Keyman)  สำหรับบุคลากรที่สำคัญในองค์กร เช่น ผู้ประกอบการที่เป็นกรรมการ สามารถขออนุมัติผู้ถือหุ้นเพื่อให้สวัสดิการซื้อประกันชีวิตสำหรับผู้บริหาร หรือประกัน Keyman ได้ ข้อดี คือ ค่าเบี้ยประกันสามารถลงเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทได้  แต่ต้องจำไว้ว่า ค่าเบี้ยที่บริษัทจ่ายแทนกรรมการนั้น ถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีของกรรมการด้วย ดังนั้นอีกมุมที่ต้องพิจารณา คือ เมื่อนำรายได้ค่าเบี้ยประกันมารวมกับเงินได้ทั้งหมดของกรรมการแล้ว ทำให้ฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงเกินกว่าฐานภาษีนิติบุคคลไหม ถ้าฐานภาษีบุคคลยังต่ำกว่าฐานภาษีนิติบุคคลแบบนี้ประกันคีย์แมนจะช่วยประหยัดภาษีของกิจการได้ และกรรมการก็ได้สวัสดิการนี้ไปด้วย 3. ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ครบ ภาครัฐมีการออกกฎหมายหลายตัวที่เอื้อประโยชน์ให้ภาคธุรกิจใช้ลดหย่อนภาษีธุรกิจ เช่น การจ้างคนพิการหรือผู้สูงอายุ จะสามารถนำมาเป็นค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น หรือลดหย่อนภาษีสำหรับการลงทุนในอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ เป็นต้น ผู้ประกอบการควรติดตามกฎหมายที่มีผลในปัจจุบัน และที่จะออกในอนาคตเพื่อใช้สิทธิ์ที่ภาครัฐออกมาช่วยเหลือได้อย่างเต็มที่ เพราะจากที่ผ่านมาหลายคนเสียสิทธิเพราะไม่รู้ว่ามีสิทธิประโยชน์เหล่านี้ด้วย  4. จัดโครงสร้างกิจการ เช่น การทำธุรกิจที่ผ่านมาอาจทำในรูปแบบของบุคคลธรรมดาซึ่งเสียภาษีสูงสุดที่ 35% ซึ่งอาจพิจารณาเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจมาเป็นนิติบุคคลที่เสียภาษีสูงสุดที่ 20% อาจทำให้ช่วยประหยัดภาษีได้มหาศาล นอกจากนี้ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจหลายประเภท อาจปรึกษากับนักบัญชีเพื่อพิจารณาแยกบริษัทสำหรับธุรกิจบางประเภทที่จะช่วยให้ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้มากขึ้น เช่น แยกธุรกิจ VAT กับ Non VAT เพื่อหลีกเลี่ยงการเฉลี่ยภาษีซื้อ หรือการแยกบริษัทเมื่อรายได้รวมใกล้จะถึง 30 ล้านบาท เพราะจะทำให้อัตราภาษีสูงขึ้น หรือแม้แต่การจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งเพื่อถือหุ้นในบริษัทลูกก็ยังมีสิทธิประโยชน์ต่างๆ มากมาย ซึ่งไม่ได้กล่าวถึงในบทความ ภาษี คือ สิ่งที่ “หนีอย่างถาวร” ไม่ได้ เราจึงควรทำภาษีให้ถูกต้องและวางแผนภาษีให้ประหยัดตั้งแต่แรก เพื่อขจัดปัญหาทางด้านบัญชีและภาษีในภายหลัง การบริหารจัดการภาษีอย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงแค่ช่วยลดภาระภาษีแต่ยังช่วยเพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้กับธุรกิจ SMEs ดังนั้น ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญและทำการศึกษาแนวทางต่าง ๆ เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างสูงสุดในการดำเนินธุรกิจของตนเองครับ สำหรับตอนถัดไปเป็นบทสิ้นสุดการเดินทางของซีรีส์ 10 กฎพื้นฐานด้านการเงินสำหรับ SMEs กันแล้ว ผมจึงอยากจะพาทุกท่านไปค้นหาบุคคลผู้ที่จะมาเป็นเบื้องหลังจัดการปัญหาบัญชี ภาษีให้กิจการ และให้คำแนะนำว่านักบัญชีที่เก่งนั้นควรจะมีทักษะและความสามารถใดที่จะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จครับ โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

17 ม.ค. 2025

PEAK Account

6 min

ถอด VAT คืออะไร? ทำไมผู้ประกอบการต้องรู้วิธีคำนวณนี้

การถอด VAT เป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการต้องเจอในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเมื่อมีการขายสินค้าที่เราต้องออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้า หรือการถอด VAT จากสินค้าที่ซื้อมาเพื่อที่ช่วยให้เราทราบราคาต้นทุนที่แท้จริงของสิ่งนั้น นอกจากนี้ การถอด VAT ยังช่วยให้นักบัญชีของกิจการจัดการภาษีได้อย่างเป็นระบบอีกด้วย ซึ่งมีทั้งการถอด VAT 3% และ 7% ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้วิธีการ ถอด VAT เรามีวิธีคำนวณมาฝากกัน ก่อนถอด VAT ควรรู้จัก VAT คืออะไร  VAT หรือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax) คือ ภาษีประเภทหนึ่งที่จัดเก็บจากมูลค่าสินค้าหรือบริการที่เพิ่มขึ้น ตั้งแต่การผลิตจนถึงการจำหน่าย ไม่ว่าสินค้านั้นจะผลิตที่ประเทศไทยหรือต่างประเทศ โดยผู้ที่มีรายได้เกินกว่า 1.8 ล้านบาท ต่อปี จากการผลิตและขายสินค้านั้น จะต้องเป็นผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มนี้ และต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มต้องทำภายใน 30 วัน  วิธีถอด VAT คำนวณด้วยเครื่องคิดเลขง่าย ๆ ในไม่กี่ขั้นตอน การถอด VAT เป็นการถอดเพื่อให้เราทราบราคาที่แท้จริงของสินค้าก่อนคิด VAT ว่ามีราคาเท่าไหร่ และสามารถคำนวณภาษีที่ต้องนำส่งได้อย่างถูกต้อง โดยมีวิธีการคำนวณที่แตกต่างกันตามอัตราภาษี ดังนี้  วิธีถอด VAT 3% VAT 3% มักใช้กับธุรกิจที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น ธุรกิจขนาดเล็ก กิจการที่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี  การจ้างทำของ หรือทำงานต่าง ๆ โดยวิธีการคำนวณนั้นจะทำได้โดยการนำราคาสินค้าที่รวม VAT แล้ว มาหารด้วย 1.03 ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นราคาที่ไม่รวม VAT ส่วนต่างระหว่างราคารวมกับราคาที่ไม่รวม VAT คือจำนวนภาษีที่ต้องนำส่ง ตัวอย่างการคำนวณ : สมมติว่าเรามีสินค้าราคารวม VAT อยู่ที่ 10,300 บาท  วิธีถอด VAT 7% การถอด VAT 7% เป็นการคำนวณที่ใช้กับธุรกิจทั่วไปที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยการคำนวณคล้ายกับการถอด VAT 3% แต่ใช้ตัวหารเป็น 1.07 แทน การถอด VAT ที่ถูกต้อง จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจคำนวณต้นทุน กำไร และภาษีที่ต้องนำส่งได้อย่างแม่นยำ ตัวอย่างการคำนวณ สมมติว่าเรามีสินค้าราคารวม VAT อยู่ที่ 10,700 บาท การเสียภาษี VAT ถ้าธุรกิจของเราเป็นทั้งผู้ขายสินค้าและซื้อสินค้ามา เราต้องมีการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องจ่าย โดยนำภาษีขายที่เก็บจากลูกค้าตลอดเดือนภาษี มาลบด้วยภาษีซื้อที่จ่ายให้ซัพพลายเออร์ในเดือนเดียวกัน หากผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่าภาษีขายสูงกว่าภาษีซื้อ เจ้าของธุรกิจจ่ายส่วนต่างให้กรมสรรพากร แต่หากภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย เจ้าของธุรกิจสามารถเลือกได้ว่าจะรับภาษีส่วนเกินคืน หรือเก็บไว้เป็นเครดิตภาษีสำหรับการคำนวณในรอบเดือนถัดไปได้เลย  ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่ขายสินค้าหรือซื้อสินค้า การถอด VAT ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยให้เราทราบต้นทุนที่แท้จริง เพื่อนำไปสู่การลดต้นทุนและบริหารจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจช่วยเพิ่มเงินทุนให้สามารถนำไปต่อยอดธุรกิจได้อีก นอกจากการคำนวณ VAT ด้วยเครื่องคิดเลขแล้ว การใช้ PEAK Tax ยังช่วยให้การคำนวณภาษีและการออกเอกสารใบกำกับภาษีเป็นเรื่องง่าย พร้อมรองรับการจัดการภาษีและบัญชีอย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์ ช่วยให้ผู้ประกอบการบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเติบโตไปสู่ความสำเร็จอย่างมั่นคง ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก