เรื่องสำคัญของ “ใบกำกับภาษี” ที่เจ้าของกิจการควรรู้ และใครออกได้บ้าง?
Table of Contents

ชวนทำความรู้จักกับใบกำกับภาษี หรือ Tax invoice คืออะไร? สำคัญแค่ไหน? ซึ่งต้องบอกเลยว่าใบกำกับภาษีเป็นเอกสารที่สำคัญมากในการช่วยแสดงมูลค่าของสินค้าหรือบริการของทุกกิจการที่อยู่ในระบบภาษี เราจึงขอพาทุกคนไปไขข้อสงสัยว่าTax invoice คืออะไร? ใครบ้างเป็นผู้มีหน้าที่ในการออกใบกำกับภาษีได้ตามที่กฎหมายกำหนดกัน

ใบกำกับภาษี หรือ Tax invoice คืออะไร

ใบกำกับภาษี หรือ Tax invoice คือ เอกสารหลักฐานสำคัญที่ผู้ขายสินค้าหรือให้บริการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจัดทำและออกใบกำกับภาษีให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการทุกครั้งที่มีการขายสินค้าหรือให้บริการ โดยใบกำกับภาษีจะแสดงมูลค่าสินค้าหรือบริการและจำนวนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนเรียกเก็บหรือพึงเรียกเก็บจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการในแต่ละครั้ง 

โดยภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT ย่อมาจาก Value added tax) เป็นการเก็บภาษีจากการขายสินค้าหรือให้บริการในแต่ละขั้นตอนการผลิต ทั้งที่ผลิตภายในประเทศหรือนำเข้าจากต่างประเทศ โดยปกติผู้ประกอบการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% จากผู้ซื้อหรือผู้รับบริการ แล้วนำส่งให้กรมสรรพากรโดยการยื่นแบบภ.พ.30 

Invoice หรือ อินวอย คืออะไร แตกต่างกับ Tax invoice อย่างไร

Invoice หรือ อินวอย คือ ใบแจ้งหนี้ เป็นเอกสารที่ผู้ขายออกให้ผู้ซื้อเพื่อแจ้งรายละเอียดในสิ่งที่ซื้อไป เช่น จำนวน ราคา และเงื่อนไขการชำระเงิน โดยถ้าผู้ขายไม่ได้อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็ไม่ต้องใส่ VAT ลงไป แตกต่างจาก Tax invoice ซึ่งเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับภาษีเพื่อใช้ในการยื่นหรือขอคืนภาษี โดยจะต้องแยกรายละเอียดภาษีมูลค่าเพิ่มในสิ่งที่ขายไป และระบุเลขประจำตัวผู้เสียภาษีทั้งสองฝ่าย

ใครเป็นผู้มีหน้าที่ออกใบกำกับภาษี

  • เมื่อกิจการมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีจากการประกอบกิจการ ผู้ประกอบการมีหน้าที่ยื่นคำขอ จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากรภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่กิจการมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท
  • ผู้มีหน้าที่ออก Tax invoice คือผู้ประกอบการจดทะเบียนที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยคำนวณจากภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ

การออกใบกำกับภาษีแต่ละประเภท

กรมสรรพากรได้แบ่งประเภทของใบกำกับภาษีออกเป็น 7 ประเภทดังนี้

  1. ใบกำกับภาษีอย่างเต็มรูป (Full Tax Invoice) ใบกำกับภาษีชนิดนี้มีรายละเอียดครบถ้วน เช่น ชื่อ-ที่อยู่ของผู้ซื้อและผู้ขาย เลขประจำตัวผู้เสียภาษี รายการสินค้า/บริการ ราคา ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และวันที่ออกใบกำกับภาษี มักใช้ในการทำธุรกรรมระหว่างบริษัทหรือองค์กรขนาดใหญ่
  2. ใบกำกับภาษีอย่างย่อ (Abbreviated Tax Invoice) ใบกำกับภาษีชนิดนี้ใช้ในธุรกรรมที่เป็นการขายปลีก เช่น ร้านสะดวกซื้อหรือห้างสรรพสินค้า โดยมีข้อมูลสำคัญ เช่น วันที่ ชื่อสินค้า จำนวนเงิน รวมภาษี แต่ไม่ต้องระบุชื่อ-ที่อยู่ของผู้ซื้อ
  3. ใบเพิ่มหนี้ (Debit Note) ใช้ในกรณีที่ต้องเพิ่มมูลค่าหรือจำนวนเงินในรายการสินค้าหรือบริการที่ออกใบกำกับภาษีไว้ก่อนหน้า เช่น การคิดค่าส่งเพิ่มเติม
  4. ใบลดหนี้ (Credit Note) ใช้ในกรณีที่ต้องลดมูลค่าหรือจำนวนเงินในรายการสินค้าหรือบริการ เช่น การคืนสินค้า การลดราคาภายหลัง หรือการคิดค่าส่งผิด
  5. ใบเสร็จรับเงินที่ส่วนราชการออกให้ในการขายทอดตลาดหรือโดยวิธีอื่น ใช้ในกรณีที่ส่วนราชการขายสินค้าหรือทรัพย์สินโดยการขายทอดตลาดหรือวิธีอื่น ใบเสร็จรับเงินนี้จะทำหน้าที่แทนใบกำกับภาษีตามที่กฎหมายกำหนด
  6. ใบเสร็จรับเงินของกรมสรรพากรสำหรับการชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม ใบเสร็จรับเงินที่กรมสรรพากรออกให้ใช้ในกรณีที่ผู้ประกอบการหรือบุคคลชำระภาษีมูลค่าเพิ่มโดยตรงกับกรมสรรพากร เช่น กรณีที่ไม่ได้ออกใบกำกับภาษีด้วยตนเอง
  7. ใบเสร็จรับเงินของกรมศุลกากรหรือกรมสรรพสามิตในการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มแทนกรมสรรพากร ใบเสร็จรับเงินชนิดนี้ออกโดยกรมศุลกากรหรือกรมสรรพสามิตในกรณีที่เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น การนำเข้าสินค้าหรือการชำระภาษีในกรณีที่เกี่ยวข้อง

ในที่นี้จะขอกล่าวถึงรายละเอียดของใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบเท่านั้น เนื่องจากเป็นประเภทใบกำกับภาษีที่กิจการส่วนใหญ่ใช้งาน

การออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป

ผู้ประกอบการจดทะเบียนโดยทั่วไปมีหน้าที่ต้องออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปให้แก่ผู้ซื้อสินค้า หรือบริการ (เว้นแต่ผู้ประกอบกิจการค้าปลีกซึ่งมีสิทธิ์ออกใบกำกับภาษีอย่างย่อ) โดยใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปต้องมีรายการดังต่อไปนี้

1. ตำแหน่งที่แสดงคำว่า “ใบกำกับภาษี”

คำว่า “ใบกำกับภาษี” จะต้องระบุไว้บริเวณส่วนหัวของเอกสารอย่างชัดเจน เพื่อให้ทราบว่าเอกสารดังกล่าวเป็นใบกำกับภาษีตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด ซึ่งถ้ามีใบกำกับภาษีหลายฉบับอยู่ในชุดเดียวกัน แต่ใช่เอกสารฉบับแรกให้ทำดังนี้

  • ใบกำกับภาษีและสำเนาใบกำกับภาษีของเอกสารชุดดังกล่าว ต้องมีข้อความว่า “เอกสารออกเป็นชุด” ไว้ด้วย
  • ในสำเนาของใบกำกับภาษี ต้องมีข้อความว่า “เอกสารออกเป็นชุด” และ “สำเนาใบกำกับภาษี” และจะต้องตีพิมพ์ขึ้นหรือจัดทำขึ้นด้วย ระบบคอมพิวเตอร์ ในกรณีที่จัดทำใบกำกับภาษีขึ้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทั้งฉบับ จะประทับด้วยตรายาง เขียนด้วยหมึก พิมพ์ดีด หรือกระทำให้ปรากฏขึ้นด้วย วิธีการอื่นในลักษณะทำนองเดียวกันไม่ได้

2. ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ประกอบการจดทะเบียน ที่ออกใบกำกับภาษี

2.1 ชื่อของผู้ออกใบกำกับภาษี หรือ Tax invoice คือ ชื่อผู้ประกอบการที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือชื่อสถานประกอบการตามที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ชื่อของผู้ออกใบกำกับภาษีจะใช้ชื่อย่อไม่ได้ แต่กรณีผู้ออกใบกำกับภาษีหรือผู้ได้รับใบกำกับภาษีที่เป็นนิติบุคคล สามารถใช้คำย่อสำหรับบอกสถานะได้ เช่น บริษัทจำกัด ใช้คำว่า บ. ……จก. หรือ บจ., ห้างหุ้นส่วนจำกัด ใช้คำว่า หจก. เป็นต้น

2.2 ที่อยู่ของผู้ออกใบกำกับภาษีหรือ Tax invoice คือ ที่ตั้งของสถานประกอบการตามที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20)

กรณีที่เป็นสำนักงานใหญ่ ให้ระบุคำว่า “สำนักงานใหญ่” หรือ “HO” หรือ “HQ” หรือ ระบุเป็น ตัวเลขศูนย์จำนวนห้าหลัก (00000) เพื่อแสดงรหัสของสำนักงานใหญ่ไว้ในใบกำกับภาษีดังกล่าวด้วย

กรณีที่เป็นสาขา ให้ระบุคำว่า “สาขาที่…”, “Branch No. …”, “br.no. …” หรือระบุเป็นตัวเลขจำนวนห้าหลักเพื่อแสดงว่าเป็นรหัสของ “สาขาที่…” ไว้ในใบกำกับภาษีดังกล่าวด้วย

ข้อสังเกต

  • การระบุว่าเป็นสำนักงานใหญ่จะพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ ประทับตรา เขียนด้วยมือ หรือใช้พิมพ์ดีดก็ได้
  • หากผู้ประกอบการมีหลายสาขาและสาขาที่ไม่ใช่สำนักงานใหญ่ การใช้ใบกำกับภาษีจากสำนักงานใหญ่ส่งมอบให้ผู้ซื้อหรือผู้รับบริการ ในใบกำกับภาษีต้องระบุข้อความว่า “สาขาที่ออกใบกำกับภาษี คือ…” ทุกครั้งที่มีการขายสินค้าหรือให้บริการ โดยข้อความนี้สามารถพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ ประทับตรา เขียนด้วยมือ ใช้พิมพ์ดีด หรือวิธีอื่นที่ให้ผลลัพธ์คล้ายกันได้
  • การระบุว่าเป็นสำนักงานใหญ่หรือสาขานั้นสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การใช้คอมพิวเตอร์พิมพ์ การประทับตรายาง หรือการเขียนด้วยหมึกพิมพ์ดีด
  • ในกรณีที่ผู้ประกอบการมีหลายสาขา และสาขาที่ไม่ใช่สำนักงานใหญ่ใช้ใบกำกับภาษีจากสำนักงานใหญ่ในการออกใบกำกับภาษีให้กับผู้ซื้อหรือผู้รับบริการ ทุกครั้งที่มีการขายหรือให้บริการ จะต้องระบุข้อความว่า “สาขาที่ออกใบกำกับภาษี คือ…” ในใบกำกับภาษี ซึ่งสามารถทำให้ข้อความนี้ปรากฏได้ด้วยการพิมพ์, การประทับตรา หรือวิธีการใด ๆ ที่เหมาะสม

2.3 เลขประจำตัวผู้เสียอากรของผู้ออกใบกำกับภาษี      

  • กรณีกิจการที่เป็นบุคคลธรรมดา ให้ใช้เลขประจำตัวบัตรประชาชน 13 หลัก
  • สำหรับผู้เสียภาษีที่ไม่ใช่บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลดังกล่าว ให้ใช้เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 13 หลัก ที่กรมสรรพากรออกให้
  • กรณีกิจการนิติบุคคลที่จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจ ให้ใช้เลขทะเบียนนิติบุคคล 13 หลัก

ข้อสังเกต

ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มต้องระบุเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ซื้อสินค้าหรือรับบริการไว้ในใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป เฉพาะกรณีผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ ที่เป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น แต่ถ้าผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการไม่ใช่ผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็ไม่จำเป็นต้องระบุเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรเมื่อออกใบกำกับภาษี

3. ชื่อ ที่อยู่ ของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ

3.1 ชื่อของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ หมายถึง ชื่อผู้ประกอบการ ชื่อสถานประกอบการ หรือชื่อการค้าของสถานประกอบการตามที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

3.2 ที่อยู่ของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ หมายถึง ที่ตั้งของสถานประกอบการตามที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

ข้อสังเกต

สามารถใส่ข้อมูลชื่อ-ที่อยู่ของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการจากการพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ ประทับตรายาง เขียนด้วยมือ หรือใช้พิมพ์ดีด รวมถึงวิธีอื่น ๆ ที่ให้ผลลัพธ์คล้ายกันก็ใช้ได้เช่นกัน

4. รายการ “หมายเลขลำดับของใบกำกับภาษี และหมายเลขของเล่ม  (ถ้ามี)”

ใบกำกับภาษีที่ไม่มีหมายเลขลำดับ จะไม่สามารถนำไปคำนวณภาษีซื้อได้

5. รายการ “ชื่อ ชนิด ประเภท ปริมาณ และมูลค่าของสินค้าหรือของบริการ”

ชื่อ ชนิด ประเภท ของสินค้าหรือของบริการ ให้ระบุเฉพาะชื่อ ชนิด ประเภทของสินค้าหรือบริการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในใบกำกับภาษี เว้นแต่ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องระบุชื่อ ชนิด ประเภทของสินค้าหรือของบริการที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในใบกำกับภาษีด้วย ให้กระทำได้โดยต้องจัดให้มีเครื่องหมายหรือแยกรายการแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเป็นสินค้า หรือบริการที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม

6. รายการ “จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่คำนวณจากมูลค่าของสินค้าหรือของบริการ โดยให้แยกออกจากมูลค่าของสินค้าหรือของบริการให้ชัดแจ้ง”

7. รายการ “วัน เดือน ปี ที่ออกใบกำกับภาษี”

วัน เดือน ปี ที่ออกใบกำกับภาษี เป็นรายการที่เป็นสาระสำคัญที่ประมวลรัษฎากรกำหนดให้ต้องมีในใบกำกับภาษี และเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงวันที่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น คือ เป็นวันที่ได้มีการส่งมอบสินค้า โอนกรรมสิทธิ์ในสินค้าให้กับผู้ซื้อได้มีการใช้บริการนั้นไม่ว่าโดยตนเองหรือบุคคลอื่น ได้รับชำระค่าสินค้าหรือบริการ หรือวันที่ออกใบกำกับภาษี โดยวัน เดือน ปี ที่ออกใบกำกับภาษี จะใช้ตัวเลขแทนการระบุชื่อเดือนก็ได้ และใช้พุทธศักราช (พ.ศ.) หรือคริสต์ศักราช (ค.ศ.) ก็ได้

ภาพตัวอย่างใบกำกับภาษี

ตัวอย่างใบกำกับภาษี

วิธีการจัดทำรายการของใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป

  1. ภาษาในใบกำกับภาษี ใบกำกับภาษีต้องจัดทำเป็นภาษาไทย แต่สามารถใช้ภาษาไทยและภาษาอังกฤษในฉบับเดียวกันได้ หากต้องการใช้ภาษาอื่น ต้องขออนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรก่อน
  2. หน่วยเงินในใบกำกับภาษี หน่วยเงินที่ใช้ต้องเป็นเงินไทย และสามารถใช้ตัวเลขไทยหรืออารบิกได้ หากต้องการใช้หน่วยเงินต่างประเทศ ต้องขออนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรเช่นกัน
  3. การรวมรายการสินค้าและบริการ ใบกำกับภาษีสามารถรวมการขายสินค้าและบริการหลายอย่างไว้ในใบเดียวกันได้
  4. ความครบถ้วนของรายการ ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปต้องมีข้อมูลครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด
  5. การห้ามแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลง รายการในใบกำกับภาษีต้องไม่มีการแก้ไข เช่น การขีดฆ่า ลบ หรือเติมข้อความ หากมีการเปลี่ยนแปลง จะถือว่าภาษีซื้อในใบกำกับภาษีนั้นเป็นภาษีซื้อต้องห้ามตามกฎหมาย

ออกใบกำกับภาษีได้เมื่อไร

หลักเกณฑ์การออกใบกำกับภาษีมีการกำหนดจุดรับรู้ภาษีซึ่งเป็นจุดที่ผู้ประกอบการถูกกำหนดว่ามีภาระภาษีเกิดขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดสิทธิ์และหน้าที่ในการเรียกเก็บ VATจากผู้ซื้อหรือผู้รับบริการรวมไปถึงการออกใบกำกับภาษีตามมา ซึ่งจุดรับรู้ภาษีแบ่งออกตามกิจกรรมในการดำเนินธุรกิจออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้

1. การขายสินค้า

ในการขายสินค้า โดยส่วนใหญ่มีด้วยกัน 2 กรณี ได้แก่

  • การส่งมอบสินค้าสำหรับการขายสินค้าทั่วไป
  • การรับชำระค่าสินค้าในรูปแบบเงินมัดจำก่อนส่งมอบสินค้า

หลักเกณฑ์การออกใบกำกับภาษีในการขายสินค้า แบ่งออกเป็น 3 กรณี ขึ้นอยู่กับจุดที่รับรู้ภาษี

1.1 การออกใบกำกับภาษีเมื่อมีการส่งมอบสินค้า

ในการขายสินค้าทั่วไป กิจการออกใบกำกับภาษีเมื่อมีการส่งมอบสินค้าซึ่งเป็นจุดที่รับรู้ภาษี ถึงแม้ว่าผู้ขายยังไม่ได้รับชำระค่าสินค้า กรณีนี้พบมากที่สุดในการขายสินค้า

1.2 การออกใบกำกับภาษีเมื่อมีการรับชำระราคาสินค้าก่อนส่งมอบสินค้า

เมื่อมีการรับชำระเงินสำหรับค่าสินค้าซึ่งเป็นจุดที่รับรู้ภาษี ถึงแม้ยังไม่ได้มีการส่งมอบสินค้าก็ตาม กิจการก็ต้องออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้า กรณีนี้เกิดจากการรับชำระค่าสินค้าใน รูปแบบเงินมัดจำก่อนส่งมอบสินค้า

1.3 การออกใบกำกับภาษีเมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้าให้แก่ลูกค้าก่อนส่งมอบสินค้า

เมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้าให้แก่ลูกค้าก่อนส่งมอบสินค้าซึ่งเป็นจุดที่รับรู้ภาษี ก็ต้องออกใบกำกับภาษีทันทีที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ถึงแม้ว่ายังไม่มีการส่งมอบสินค้า หรือยังไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าก็ตาม

จุดรับรู้ภาษีผู้ขาย

2. การให้บริการ

ในการให้บริการของกิจการ มีด้วยกัน 2 กรณี ได้แก่

  • การรับชำระค่าบริการก่อนการให้บริการ
  • การใช้บริการก่อนการรับชำระค่าบริการ

 หลักเกณฑ์การออกใบกำกับภาษีในการให้บริการ แบ่งออกเป็น 2 กรณี ขึ้นอยู่กับจุดที่รับรู้ภาษี

2.1 การออกใบกำกับภาษีเมื่อมีการรับชำระค่าบริการก่อนการให้บริการ  

เป็นการออกใบกำกับภาษีเมื่อมีการรับชำระค่าบริการซึ่งถือเป็นจุดที่รับรู้ภาษี ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้มีการให้บริการ

2.2 การออกใบกำกับภาษีเมื่อมีการใช้บริการก่อนการรับชำระค่าบริการ

เป็นการออกใบกำกับภาษีเมื่อมีการใช้บริการซึ่งถือเป็นจุดที่รับรู้ภาษี ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้มีการรับชำระเงินก็ตาม

ในทางปฏิบัติการออกใบกำกับภาษีในการให้บริการ กิจการมักจะออกใบกำกับภาษีเมื่อรับชำระค่าบริการ โดยไม่ได้คำนึงถึงว่าจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังการให้บริการก็ตาม ซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ในการออกใบกำกับภาษีในการให้บริการ กิจการควรออกใบกำกับภาษีถึงแม้ว่ากิจการจะยังไม่ได้รับชำระเงิน แต่มีการให้บริการก่อนรับชำระเงิน อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไป การให้บริการและการรับชำระเงินมักจะเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน ซึ่งโดยมากจะเป็นการรับชำระเงิน ก่อนการให้บริการ ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าในการให้บริการ การออกใบกำกับภาษี กิจการจะออกเมื่อมีการรับชำระเงิน

จุดรับรู้ภาษีผู้ให้บริการ

สิ่งที่สำคัญคือผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มต้องทำ ก็คือ การจัดทำทั้งต้นฉบับใบกำกับภาษีและสำเนาใบกำกับภาษี ตลอดจนเก็บรักษาเพื่อเป็นหลักฐานประกอบในการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) โดยเก็บไว้ที่สถานประกอบการหรือสถานที่อื่นที่อธิบดีกำหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี นับแต่วันที่ได้จัดทำใบกำกับภาษี

ออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปได้ง่ายๆ ด้วยระบบ PEAK

 

ใบกำกับภาษีมีผลกับเรื่องภาษีหรือไม่

ใบกำกับภาษีถือเป็นเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ผู้ประกอบการที่จดทะเบียน VAT มีหน้าที่ต้องออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้า และหากไม่ปฏิบัติตามจะมีผลกระทบและบทลงโทษ ดังนี้

  1. ไม่ออกหรือไม่ส่งมอบใบกำกับภาษี หากผู้ประกอบการไม่จัดทำหรือไม่ส่งมอบใบกำกับภาษี จะมีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ และต้องเสียเบี้ยปรับอีก 2 เท่าของภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกี่ยวข้อง
  2. ข้อมูลในใบกำกับภาษีไม่ครบถ้วน หากใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้ มีข้อมูลสำคัญไม่ครบถ้วน ผู้ประกอบการจะถูกปรับไม่เกิน 2,000 บาท
  3. เจตนาหลีกเลี่ยงภาษี การไม่ออกใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้โดยมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี จะมีโทษจำคุก 3 เดือนถึง 7 ปี และปรับ 2,000 ถึง 200,000 บาท พร้อมเสียเบี้ยปรับ 2 เท่าของภาษีที่หลีกเลี่ยง
  4. ออกเอกสารโดยไม่มีสิทธิ์ หากผู้ประกอบการออกใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้โดยไม่มีสิทธิ์ จะมีโทษจำคุก 3 เดือนถึง 7 ปี และปรับ 2,000 ถึง 200,000 บาท ต้องเสียเบี้ยปรับอีก 2 เท่าของภาษีที่ระบุในเอกสาร และเสียเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ค้างชำระ

ใช้ใบกำกับภาษีปลอมหรือไม่ถูกต้อง การนำใบกำกับภาษีปลอมหรือไม่ถูกต้องมาใช้เครดิตภาษี จะมีโทษจำคุก 3 เดือนถึง 7 ปี ปรับ 2,000 ถึง 200,000 บาท และเสียเบี้ยปรับ 2 เท่าของภาษี พร้อมเสียเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องชำระ

จุดที่ต้องระวังในการออกใบกำกับภาษี

ในการออกใบกำกับภาษีให้ถูกต้องตามมาตรฐานที่กรมสรรพากรกำหนดนั้นมีจุดที่ควรระวัง ดังต่อไปนี้

1. สิทธิ์ในการออกใบกำกับภาษี

สิ่งที่ต้องระวังเป็นอันดับแรกในการออกใบกำกับภาษี หรือ Tax invoice คือ สิทธิ์ในการออกใบกำกับภาษี กิจการใดที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม กิจการนั้นสามารถออกใบกำกับภาษีได้ แต่หากกิจการที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมีการออกใบกำกับภาษี จะถือว่ามีความผิดทางกฎหมาย

2. ระบุรายละเอียดในใบกำกับภาษีให้ครบถ้วน

ในการออกใบกำกับภาษีนั้น ผู้ประกอบการต้องตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ ให้ถูกต้อง ครบถ้วน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง ไม่ว่าจะเป็นชื่อที่อยู่ผู้ซื้อสินค้าและบริการ รายละเอียดราคาสินค้าและบริการ เป็นต้น

3. ออกใบกำกับภาษีให้ทันต่อสถานการณ์

ทุกครั้งเมื่อเกิดจุดความรับผิดในการเสียมูลค่าเพิ่ม (Tax Point) ในการขายสินค้าและบริการขึ้นมา ผู้ประกอบการจะต้องมีการออกใบกำกับภาษีเพื่อส่งมอบให้กับผู้ซื้อสินค้าและบริการนั้นทันที หากละเลย หรือฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

4. ไม่หลงลืมการเสียภาษี

เมื่อมีการออกใบกำกับภาษีจากการขายสินค้าและบริการขึ้นมาแล้วนั้น กิจการต้องไม่ลืมที่จะลงรายงานภาษีขาย และจ่ายภาษีให้ถูกต้องเป็นประจำ มิฉะนั้นจะถือว่ามีความผิดทางกฎหมายเช่นเดียวกัน

5. แสดงความรับผิดชอบต่อลูกค้

ในกรณีที่ใบกำกับภาษีเกิดมีความผิดพลาดใดๆ ที่ทำให้ต้องมีการแก้ไขข้อมูล หรือยกเลิกใบกำกับภาษีดังกล่าวนั้น กิจการต้องดำเนินการให้เรียบร้อยโดยไม่ขาดตกบกพร่อง

จุดที่ต้องระวังในการออกใบกำกับภาษี

การขายสินค้าและบริการที่ไม่ต้องออกใบกำกับภาษี

ตามปกติแล้วผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อมีการขายสินค้าและบริการ จะต้องมีการออกใบกำกับภาษีทุกครั้ง แต่ในบางกรณีกรมสรรพากรก็มีการยกเว้นเช่นกัน สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่มีการขายสินค้าหรือบริการครั้งละไม่เกิน 1,000 บาท โดยผู้ประกอบการที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องออกใบกำกับภาษีนั้นจะต้องเข้าเงื่อนไขดังต่อไปนี้

  1. กิจการที่ไม่เคยมีมูลค่าของฐานภาษีในเดือนใดถึง 300,000 บาท
  2. การขายสินค้าหรือให้บริการที่มีลักษณะเป็นรถเข็น แผงลอย
  3. การให้บริการงานแสดง การละเล่น การกีฬา การแข่งขัน การประกวดต่างๆ

สรุป

จากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าต้องออกใบกำกับภาษีกิจการก็จะมีความเข้าใจหลักเกณฑ์ในการออกใบกำกับภาษี จุดที่ต้องออกใบกำกับภาษี มีความเข้าใจว่าต้องออกใบกำกับภาษีเมื่อไร ซึ่งมีผลต่อการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มและการบันทึกบัญชีที่ถูกต้องตรงตามงวดเวลาในการขายสินค้าหรือให้บริการ

PEAK โปรแกรมบัญชีที่ช่วยกิจการเตรียมเอกสารทางบัญชีและสร้างเอกสารทางออนไลน์ซึ่งสามารถปรับแต่งได้ในแบบที่คุณต้องการได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นใบเสนอราคา ใบกำกับภาษี ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงิน ทั้งยังรองรับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์รวมถึงการรับชำระเงินผ่าน QR CODE เมื่อสร้างเอกสารแล้ว ระบบจะบันทึกรายการบัญชีให้โดยอัตโนมัติ ช่วยให้กิจการออกใบกำกับภาษี ได้อย่างถูกต้อง ตรงตามงวดเวลาและยื่นแบบได้ภายในกำหนดเวลา รวมทั้งบันทึกบัญชีได้อย่างครบถ้วนถูกต้อง

PEAK Call Center : 1485


อ้างอิง:
ประเภทของใบกำกับภาษี | กรมสรรพากร – The Revenue Department (rd.go.th)
หลักเกณฑ์การออกใบกำกับภาษี ต้องออกใบกำกับภาษีเมื่อไหร่? หลักเกณฑ์การออกใบกำกับภาษี ต้องออกใบกำกับภาษีเมื่อไหร่? (peakaccount.com),7 ตุลาคม 2564
taxinvoice.pdf (rd.go.th), คู่มือใบกำกับภาษี, กรมสรรพากร

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

ออกใบกำกับภาษีต้องจด VAT ด้วยหรือไม่ ?


กิจการจำเป็นต้องจดทะเบียน VAT จึงจะสามารถออกใบกำกับภาษีให้กับคู่ค้าได้

ใครมีบ้างที่ต้องจดทะเบียน VATคลิกอ่านเพิ่มที่นี่

วิธีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มทำอย่างไรคลิกอ่านที่นี่

ทำไมต้องออกใบกำกับภาษี ?


เอกสารใบกำกับภาษี เป็นหัวใจสำคัญในการขายสินค้า/บริการ ของกิจการที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)โดยแบ่งเป็น 2 วัตถุประสงค์ดังนี้

1. เป็นเอกสารที่แสดงที่ใช้ในการยืนยันถึงมูลค่าของสินค้าหรือบริการของทุกกิจการที่อยู่ในระบบภาษี ระหว่างฝั่งกิจการและคู่ค้าเองช่วยให้การทำธุรกิจมีความโปร่งและเชื่อถือใส่ในสายตาของคู่ค้า
2. รายการทางบัญชีของกิจการที่จดVAT ก็เกี่ยวข้องกับการออกใบกำกับภาษีทั้งสิ้น เพื่อใช้ในการบ่งบอกรายได้ในกิจการ

วิธีการสร้างใบกำกับภาษีแบบต่าง ๆ ด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK

เรื่องสำคัญของใบกำกับภาษี ที่เจ้าของกิจการควรรู้คลิกอ่านเพิ่มที่นี่

เอกสารใบกำกับภาษี เป็นหัวใจสำคัญในการขายสินค้า/บริการ ของกิจการที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)โดยแบ่งเป็น 2 วัตถุประสงค์ดังนี้

1. เป็นเอกสารที่แสดงที่ใช้ในการยืนยันถึงมูลค่าของสินค้าหรือบริการของทุกกิจการที่อยู่ในระบบภาษี ระหว่างฝั่งกิจการและคู่ค้าเองช่วยให้การทำธุรกิจมีความโปร่งและเชื่อถือใส่ในสายตาของคู่ค้า
2. รายการทางบัญชีของกิจการที่จดVAT ก็เกี่ยวข้องกับการออกใบกำกับภาษีทั้งสิ้น เพื่อใช้ในการบ่งบอกรายได้ในกิจการ

วิธีการสร้างใบกำกับภาษีแบบต่าง ๆ ด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK
- ใบแจ้งหนี้/ใบกำกับภาษี
- ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี
- ใบกำกับภาษีแบบอ้างอิงใบแจ้งหนี้หรือใบเสร็จรับเงิน

เรื่องสำคัญของใบกำกับภาษี ที่เจ้าของกิจการควรรู้คลิกอ่านเพิ่มที่นี่

ผู้ที่มีสิทธิออกใบกำกับภาษี ?


ผู้ที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) กับทางสรรพากร จะเป็นผู้ที่มีสิทธิออกใบกำกับภาษีให้แก่คู่ค้า

ใครมีบ้างที่ต้องจดทะเบียน VATคลิกอ่านเพิ่มที่นี่

ออกใบกำกับภาษีต้องทำอย่างไร ?