เจ้าของธุรกิจหลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า “ภาษีหัก ณ ที่จ่าย” กันมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร ต้องปฏิบัติอย่างไรให้ถูกต้อง มีวิธีการคำนวณในการหักภาษีเท่าไหร่ และถ้าเรายื่นภาษีล่าช้า ค่าปรับยื่นภาษีหัก ณ ที่จ่ายล่าช้าจะคิดเท่าไหร่ วันนี้เราจะพาไปหาคำตอบเพื่อให้เจ้าของธุรกิจเตรียมพร้อมและทำตามขั้นตอนอย่างถูกต้องโดยไม่ต้องเสียค่าปรับโดยไม่จำเป็น
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คืออะไร ค่าปรับยื่นภาษีหัก ณ ที่จ่ายล่าช้าหักยังไง
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นระบบที่ผู้จ่ายเงินจะหักภาษีส่วนหนึ่งไว้ก่อนจ่ายให้ผู้รับเงิน โดยนำเงินส่วนนี้หักไว้ให้กรมสรรพากรแทนผู้รับเงิน พร้อมออก “หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย” ให้ผู้รับเงินเก็บไว้เป็นหลักฐาน แต่ถ้าผู้จ่ายเงินไม่ชำระภาษีภายในกำหนดเวลา จะต้องเสียค่าปรับยื่นภาษีหัก ณ ที่จ่ายล่าช้า เพิ่มร้อยละ 1.5 ของจำนวนภาษีที่ต้องจ่ายนับแต่เลยเวลาการยื่นภาษีจนถึงวันชำระภาษี
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย มีไว้ทำไม?
ตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากรบอกไว้ว่า “ภาษีหัก ณ ที่จ่าย” คือตัวช่วยในการลดภาระผู้เสียภาษี ไม่ต้องเสียภาษีเยอะ ๆ ครั้งเดียวตอนปลายปีครับ แต่ว่าถ้ามองในอีกแง่ คือ เขากลัวเราเบี้ยวเงินภาษีเงินได้ปลายปีมากกว่า กลัวไม่มีเงินจ่าย ก็เลยทยอย ๆ รับเงินไว้เลย ตอนที่เราได้รับเงินนั้นเอง
ใครต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย แล้วนำส่งสรรพากร?
หลายคนอาจจะคิดว่าเฉพาะบริษัท หรือนิติบุคคลเท่านั้นที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย แต่จริง ๆ ไม่ใช่นะครับ การจะหักภาษี ณ ที่จ่ายนั้นขึ้นอยู่กับประเภทรายการที่คุณจ่ายครับ นั่นคือคุณจ่ายค่าอะไร เช่น ถ้าคุณจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง ดังนั้น แม้ว่าคุณจะเป็นบุคคลธรรมดา เช่น เปิดร้านแต่ไม่ได้เป็นนิติบุคคล มีพนักงาน จ้างคนมาเฝ้าร้าน คุณก็ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายค่าจ้างนั้น แล้วนำส่งสรรพากรด้วยนะครับ ถ้าเข้าเกณฑ์ที่ต้องหัก หรือขอสรุปง่าย ๆ คือ ผู้ที่จะต้องจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่าย คือ ผู้จ่ายเงินที่เป็นตาสีตาสา ผู้ประกอบการทั่วไป บริษัทห้างร้าน สมาคม จนถึงองค์กรของรัฐ ขึ้นอยู่กับจ่ายเป็นค่าอะไร และผู้ที่ถูกหัก นั้นต้องเสียภาษีหรือไม่
ใครต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย?
“ผู้ที่ต้องเสียภาษีทุกคนต้องถูกหัก” ครับ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ตาม อีกนัยหนึ่ง คือ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คือ ภาษีที่ถ้าคุณไม่เข้าข่ายที่จะต้องเสียภาษี ก็ไม่จำเป็นต้องถูกหักครับ หรือถ้าคุณถูกหักไว้แล้วก็ขอคืนได้ เช่น ประกอบธุรกิจที่ได้ BOI หรือมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี พวกนี้ไม่ต้องเสียภาษี ก็ไม่ต้องถูกหัก ณ ที่จ่ายครับ ดังนั้น ผู้ประกอบการอาจมีโอกาสเป็นทั้งคนที่ไปหักเขาหรือคนที่ถูกเขาหักทั้ง 2 กรณี
ภาษี ณ ที่จ่ายต้องหักเมื่อไหร่? และหักเท่าไหร่บ้าง
เมื่อจ่ายเงินที่เกิน 1,000 บาทในคราวเดียว หรือหลายคราวรวมกันก็แล้วแต่ เช่น ถ้าคุณแบ่งจ่ายบริการมูลค่า 1,200 บาท 2 ครั้ง ครั้งละ 600 บาท คุณต้องหักไว้ทั้ง 2 ครั้งด้วย แม้แต่ละครั้งจะไม่เกิน 1,000 บาท ส่วนเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายจะคิดตามสรรพากรที่ได้กำหนดไว้ ดังนี้
อัตราการจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่าย
อัตราการหักภาษี ณ ที่จ่าย เช่น ค่าจ้าง, ค่าบริการ, ดอกเบี้ย หรือค่าเช่า จะแตกต่างกันไปตามประเภทของรายได้ เราขอยกตัวอย่างประเภทรายได้ที่โดนหักภาษีกันบ่อย ๆ ดังนี้
1. เงินเดือน ค่าจ้าง (เงินได้ประเภทที่ 1) ต่ำสุด 0%
ถ้าคุณจ่ายเงินให้พนักงานหรือคนที่จ้างทำงานให้ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คือ สิ่งที่ต้องหักเอาไว้ด้วยนะครับ โดยต้องต้องคำนวณเงินได้ทั้งปี หักค่าลดหย่อนต่าง ๆ แล้วหักตามอัตราก้าวหน้า เหมือนกับคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครับ ซึ่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย ประเภทนี้คือประเภทที่เป็นไปได้ตั้งแต่ 0% คือไม่หักเลย หรือเป็นเท่าไหร่ก็แล้วแต่คำนวณครับ วิธีการคำนวณแนะนำให้ถามนักบัญชี หรือฝ่ายบุคคลดูนะครับ หรือถ้ามีเวลาจะเขียนการคำนวณในอีกบทความต่อไป
- แบบภาษีที่ต้องใช้นำส่ง ภ.ง.ด.1
- ผู้ที่ต้องหัก ผู้จ่ายทุกคน บุคคลธรรมดาก็ต้องหัก
2. จ้างทำงานให้ (เงินได้ประเภทที่ 2) ต่ำสุด 0%
การจ่ายงานและจ่ายเงินที่เป็นบุคคลธรรมดา เช่น เป็นนายหน้าขายของได้ส่วนแบ่งค่าคอม หรือการให้บริการอื่น ๆ เราต้องมีการภาษีหัก ณ ที่จ่ายและทำเอกสารออกมา โดยวิธีคิดคำนวณภาษีนั้นจะคิดตามอัตราการหักภาษี ซึ่งการจ้างทำงานให้จะเสียภาษี 0% หรือไม่เสียเลย นั่นเอง
- แบบภาษีที่ต้องใช้นำส่ง ภ.ง.ด.1
- ผู้ที่ต้องหัก ผู้จ่ายทุกคน บุคคลธรรมดาก็ต้องหัก
ซึ่งหลายคนอาจจะคิดในใจว่า รับจ้างทำงานให้ ไม่ใช่รับทำของแล้วหัก 3% หรอ? ตรงนี้แหละครับที่เริ่มจะต้องใช้การตีความและข้อเท็จจริงบางอย่างเพื่อแบ่งระหว่างจ้างทำของกับรับจ้างทำงานให้ โดยความแตกต่างระหว่าง “จ้างทำของ” กับ “รับทำงานให้” นั่นแยกได้ไม่ยากมากครับ นั่นคือ จ้างทำของผู้รับจ้างเป็นผู้จัดหาอุปกรณ์ หรือเครื่องมือที่สำคัญในการทำงานเอง ผู้จ่ายเงินไม่ได้หามาให้ อันนี้ถือเป็นการทำธุรกิจแบบหนึ่ง ในกรณีนี้หัก 3% ครับ แต่ว่าถ้าเป็นการขายของให้ หรือจ้างเป็นเซลล์ให้ส่วนแบ่งการขาย อันนี้ให้คำนวณเหมือนเขาเป็นพนักงานเลยครับ เพราะว่าไม่ได้เป็นการใช้อุปกรณ์อะไรเป็นการเฉพาะ
3. จ้างทำของ / จ้างรับเหมา (เงินได้ประเภทที่ 7/8) 3%
ถ้าคุณจ้างใครทำอะไรให้ แล้วเขาต้องใช้อุปกรณ์อะไรของเขาเอง เช่น จ้างเขียนโปรแกรม เขาต้องไปหาคอมพิวเตอร์และโปรแกรมที่ใช้เขียนเอง อันนี้ก็ถือเป็นการจ้างทำของ หรือถ้าคุณจ้างออกแบบให้ เขาต้องไปหาคอมพ์และโปรแกรมออกแบบเองอันนี้ก็ถือเป็นการจ้างทำของ แต่ถ้าคุณมีอุปกรณ์อะไรให้ครบครัน แล้วให้เขาออกแบบให้เฉย ๆ อันนี้ถือว่าเป็นการจ้างทำงานให้ (เงินได้ประเภทที่ 2) ฟังดูไม่ยากใช้มั้ยครับ? แบ่งง่าย ๆ ว่าใครให้ใช้อุปกรณ์ที่จำเป็นในการทำงานนั้น ๆ ให้สำเร็จ แล้วอย่าลืมว่าภาษีหัก ณ ที่จ่าย คือสิ่งที่ต้องหักเอาไว้ด้วยล่ะครับ โดยอัตราการจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่ายจะคิดเป็น 3%
- แบบภาษีที่ต้องใช้นำส่ง ภ.ง.ด.3
- ผู้ที่ต้องหัก บริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
4. จ้างบริการวิชาชีพอิสระ (เงินได้ประเภทที่ 6) 3%
คุณอาจจะต้องจ้างผู้สอบบัญชี หรือทนายความบ้างในการทำธุรกิจ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ประเภทนี้คือประเภทที่คุณห้ามลืมเลยล่ะ โดยอัตราการจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่ายจะคิดเป็น 3%
- แบบภาษีที่ต้องใช้นำส่ง ภ.ง.ด.3
- ผู้ที่ต้องหัก บริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
5. ค่าเช่า (เงินได้ประเภทที่ 5) 5%
ถ้าคุณเช่าออฟฟิศจากบุคคลธรรมดา ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คือสิ่งที่คุณห้ามลืมนะครับ โดยอัตราการจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่ายจะคิดเป็น 5%
- แบบภาษีที่ต้องใช้นำส่ง ภ.ง.ด.3
- ผู้ที่ต้องหัก บริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
คุณอาจจะเคยเจอว่าผู้ให้เช่าเขาจะรับเงินเต็ม ๆ ไม่ให้หัก ณ ที่จ่าย อันนี้เป็นเรื่องน่าลำบากใจมากครับ คุณมี 3 ตัวเลือกที่จะทำ
- คุณเป็นผู้ออกภาษีแทนให้ แล้วนำส่งแบบตามปกติต่อไป แต่ก็เหมือนกับค่าเช่าคุณแพงขึ้นไปอีกประมาณ 5% แต่ธุรกิจคุณจะปลอดภัยจากค่าปรับภาษี และไร้จุดอ่อนไม่ให้สรรพากรโจมตีได้
- หาที่เช่าใหม่ นี่มันไม่ถูกต้อง!! ชั้นไม่ออกภาษีให้หรอก!
- นิ่ง ๆ ไม่หักก็ไม่หัก เงียบ ๆ ไว้จะเลือกทางไหนก็แล้วแต่คุณแล้วกันครับเมื่อจ่ายให้นิติบุคคล
6. จ้างทำของ/จ้างรับเหมา/บริการต่างๆ (เงินได้ประเภทที่ 7/8) 3%
อันนี้เป็นกรณีเกิดขึ้นบ่อยสุดแล้วครับ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ประเภทนี้คือประเภทที่แตกต่างจากประเภทอื่นๆ ซึ่งสำหรับบริการธุรกิจต่างๆ หัก 3% ใช้กันจนจะลืมว่ามีอัตราอื่น ๆ กันแล้ว โดยอัตราการจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่ายจะคิดเป็น 3%
- แบบภาษีที่ต้องใช้นำส่ง ภ.ง.ด.53
- ผู้ที่ต้องหัก บริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
7. ค่าเช่า (เงินได้ประเภทที่ 5) 5%
ถ้าคุณเช่าออฟฟิศจากนิติบุคคล อันนี้ก็เหมือนๆ กับเช่าจากบุคคลธรรมดาแหละครับ ต่างกันแค่แบบ แล้วภาษีหัก ณ ที่จ่าย ประเภทนี้คือสิ่งที่คุณห้ามลืมเลยล่ะครับ โดยอัตราการจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่ายจะคิดเป็น 5%
- แบบภาษีที่ต้องใช้นำส่ง ภ.ง.ด.53
- ผู้ที่ต้องหัก บริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
8. ค่าโฆษณา (เงินได้ประเภทที่ 8) 2%
ถ้าคุณจ้างบริษัทโฆษณาต่างๆ ให้โฆษณาให้ คุณต้องหัก ณ ที่จ่ายดัวยนะครับ แต่อัตราอาจจะแปลกๆ กว่าอันอื่นๆ หน่อย ซึ่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย โดยอัตราการจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่ายจะคิดเป็น 2% เท่านั้น
- แบบภาษีที่ต้องใช้นำส่ง ภ.ง.ด.53
- ผู้ที่ต้องหัก บริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
9. ค่าขนส่ง (เงินได้ประเภทที่ 8) 1%
ถ้าคุณจ้างบริษัทขนส่ง “ไม่สาธารณะ” ที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการขนส่ง โดยอัตราการจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่ายจะคิดเป็นแค่ 1% นะครับ อย่าหัก 3% เดี๋ยวของคุณจะไปไม่ถึงปลายทาง
- แบบภาษีที่ต้องใช้นำส่ง ภ.ง.ด.53
- ผู้ที่ต้องหัก บริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
สำหรับอัตราการจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่ายทั้ง 9 ข้อนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่เราใช้กันบ่อย ๆ เท่านั้น นอกเหนือจากนี้สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ กรณีผู้รับเป็นบุคคลธรรมดา กรณีผู้รับเป็นนิติบุคคล
เรียบเรียง โดย ภีม เพชรเกตุ
ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารของโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK จากโครงการ True Incube ในกลุ่มทรู คอร์ปอเรชั่น, ชนะเลิศโครงการ Angel in the City 2014 ขององค์การส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ, Microsoft BizSpark Plus Partner, และได้รับทุนสนับสนุนการพัฒนาจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ช่วยให้ธุรกิจคุณไปได้ไวและไกลกว่า
ท่านสามารถทดลองใช้งานได้ที่ ทดลองใช้ฟรี