ธุรกิจทั่วไป

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

18 ต.ค. 2024

PEAK Account

9 min

ตัววัดความสำเร็จสำหรับผู้ประกอบการ SME EP.2

ในการบริหารธุรกิจ SME อย่างมีประสิทธิภาพ การวัดผลความสำเร็จด้วยตัวชี้วัด (KPI) ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถติดตามผลการดำเนินงานและพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จากบทความ 12 ตัววัดความสำเร็จสำหรับผู้ประกอบการ SME (EP.1) ที่ช่วยให้เห็นภาพชัดเจนถึงสถานะและการเติบโตของธุรกิจขึ้น ใน EP.2 นี้ จะมานำเสนอตัวชี้วัดเพิ่มเติมอีก 7 ตัว ที่มีความสำคัญในการประเมินทั้งด้านการเงิน ประสิทธิภาพการดำเนินงาน และการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า เพื่อให้คุณสามารถนำไปปรับใช้ในการพัฒนาธุรกิจได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ตัววัดความสำเร็จสำหรับผู้ประกอบการ SME ที่สำคัญ ดังนี้ 1. Churn Rate (อัตราการยกเลิกการใช้บริการ) อัตราการยกเลิกการใช้บริการ คือ เปอร์เซ็นต์ลูกค้าที่ยกเลิกการใช้บริการในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยตัวชี้วัดนี้ช่วยวัดความพึงพอใจของลูกค้าและความสามารถในการรักษาลูกค้า อัตราการยกเลิกการใช้บริการที่มีค่าน้อยหมายถึงว่าอัตราการยกเลิกการใช้บริการต่ำ แสดงว่าลูกค้าพึงพอใจและมีแนวโน้มที่จะใช้บริการของธุรกิจต่อ Churn Rate = ((จำนวนลูกค้าที่สูญเสีย + จำนวนลูกค้าที่กลับมา) ÷ จำนวนลูกค้าทั้งหมด) -1 หน่วย : % 2. Cash Burn (การใช้เงินทุน) การใช้เงินทุน หมายถึงจำนวนเงินสดที่ธุรกิจใช้จ่ายในช่วงเวลาหนึ่ง โดยทั่วไปจะใช้คำนี้เมื่อพูดถึงธุรกิจที่กำลังเติบโตหรือสตาร์ทอัพที่ยังไม่มีกำไรและจำเป็นต้องใช้เงินทุนที่ได้รับมาเพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน คำว่า “Burn” หรือ “เผาผลาญ” สื่อถึงการใช้เงินทุนเพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้จนกว่าจะถึงจุดที่สามารถทำกำไรได้ การใช้เงินทุนค่าน้อย แสดงว่า ธุรกิจใช้เงินน้อยหรือสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี การคำนวณ Cash Burn มักจะแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก Gross Burn = เงินสดคงเหลือในช่วงต้นเดือน − เงินสดคงเหลือในช่วงสิ้นเดือน ÷ จำนวนเดือน Net Burn = ค่าใช้จ่ายทั้งหมดต่อเดือน − รายรับทั้งหมดต่อเดือน หน่วย : บาท 3. Cash Out Date (วันหมดเงินสด) วันหมดเงินสด หมายถึง วันที่บริษัทคาดว่าจะใช้เงินสดทั้งหมดที่มีอยู่จนหมด โดยใช้การวิเคราะห์จากการใช้เงินทุนปัจจุบัน เป็นตัวชี้วัดสำคัญในการจัดการกระแสเงินสดและการ วันหมดเงินสด ยิ่งมากยิ่งดี แสดงว่า ธุรกิจสามารถดำเนินการต่อได้โดยไม่ต้องการเงินทุนเพิ่มเติมในทันทีพยากรณ์ทางการเงินสำหรับธุรกิจเริ่มต้น จำนวนวันที่เหลือก่อนหมดเงินสด = เงินสดคงเหลือ ÷ ค่าใช้จ่ายสุทธิต่อเดือน หน่วย : บาท 4. Runway (ระยะเวลาที่สามารถดำเนินธุรกิจได้) Runway หมายถึง ระยะเวลาที่ธุรกิจสามารถดำเนินการได้จนกว่าเงินสดจะหมด ซึ่งคำนวณจากจำนวนเงินสดคงเหลือที่ธุรกิจมีและอัตราการใช้เงินสดต่อเดือน (Burn Rate) เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการจัดการกระแสเงินสดของธุรกิจ โดยเฉพาะสำหรับสตาร์ทอัพหรือธุรกิจที่ยังไม่มีกำไร Runway ยิ่งมากยิ่งดี แสดงว่า ธุรกิจสามารถดำเนินการได้เป็นระยะเวลานานจนกว่าเงินสดจะหมด Runway = เงินสดคงเหลือ ÷ อัตราการใช้เงินสดต่อเดือน หน่วย : เดือน 5. Operating Expenses (ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน) Operating Expenses (ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน) คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจในแต่ละวัน ซึ่งจำเป็นสำหรับการทำงานของธุรกิจ เช่น ค่าเช่าสำนักงาน เงินเดือนพนักงาน ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค (ค่าน้ำ ค่าไฟ) โดยค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับต้นทุนในการผลิตสินค้าหรือบริการโดยตรง แต่เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานทั้งหมดของธุรกิจ 6. Budget Attainment (การบรรลุเป้าหมายงบประมาณ) การบรรลุเป้าหมายงบประมาณหมายถึงเปอร์เซ็นต์ที่บริษัทสามารถทำรายได้ได้ตามที่ตั้งเป้าหมายในงบประมาณที่วางไว้ การบรรลุเป้าหมายงบประมาณ ยิ่งมากยิ่งดี แสดงว่า สามารถสร้างรายได้ตามหรือเกินกว่างบประมาณที่กำหนดไว้ การบรรลุเป้าหมายงบประมาณ = รายได้จริง ×100 รายได้ที่ตั้งไว้ หน่วย : % 7. Sales Attainment (การบรรลุเป้าหมายการขาย) การบรรลุเป้าหมายการขาย คือเปอร์เซ็นต์ที่ทีมขายสามารถทำรายได้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในช่วงเวลาหนึ่ง การบรรลุเป้าหมายการขายยิ่งมากยิ่งดี แสดงว่า ทีมขายสามารถทำยอดขายได้ตามหรือเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ การบรรลุเป้าหมายการขาย = ยอดขายจริง÷ เป้าหมายยอดขาย​ ×100 หน่วย : % แหล่งที่มา : อย่างไรก็ตามการจะนำข้อมูลต่างๆ ในธุรกิจมาวิเคราะห์หรือหาค่าจากตัวชี้วัดได้นั้น ควรต้องมีระบบข้อมูลที่แข็งแรง อย่าง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยให้ผู้ประกอบการ SME จัดการงานบัญชีที่ซับซ้อนให้เป็นระบบอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การติดตามรายงานทางการเงิน เช่น ต้นทุนขายและกำไร-ขาดทุน เป็นเรื่องง่ายและชัดเจน การใช้งาน PEAK ยังช่วยให้คุณเห็นรายงานสำคัญ เช่น งบกำไรขาดทุนและงบฐานะการเงินแบบ Real-Time ซึ่งสอดคล้องกับตัวชี้วัดสำคัญที่กล่าวถึงในบทความด้านบน ไม่ว่าจะเป็น การบริหารจัดการต้นทุน และ การวัดกำไรขาดทุน ที่มีบทบาทสำคัญในการประเมินความสำเร็จของธุรกิจ SME ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @systemseedwebs-comสอบถามเพิ่มเติม คลิก

11 ต.ค. 2024

PEAK Account

12 min

9 เคล็ดลับการเทรนพนักงานในองค์กรให้เป็นพนักงานมืออาชีพ

การฝึกพนักงานให้กลายเป็นมืออาชีพเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สามารถเสริมสร้างความสำเร็จและความยั่งยืนให้กับธุรกิจ การฝึกฝนไม่ได้เน้นเพียงแค่ทักษะในการทำงาน แต่ยังครอบคลุมถึงการพัฒนาทัศนคติและคุณสมบัติอื่น ๆ ที่ส่งเสริมประสิทธิภาพและความเป็นผู้นำในระยะยาว ต่อไปนี้คือ 9 เคล็ดลับสำคัญที่ผู้ประกอบการสามารถนำไปใช้ในการเทรนพนักงาน 1. ฝึกนิสัยทำงานให้สำเร็จ ก่อนจะเริ่มต้นฝึกฝนพนักงาน เราต้องเข้าใจก่อนว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้พนักงานทำงานไม่เสร็จตามเป้าหมาย อาจเป็นเพราะขาดทักษะในการจัดการเวลา, ขาดแรงจูงใจ, หรือมีอุปสรรคในการทำงานที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เมื่อทราบสาเหตุแล้วจึงจะสามารถวางแผนการฝึกอบรมที่ตรงจุดได้ การฝึกให้พนักงานมีนิสัยในการทำงานให้เสร็จสมบูรณ์ตามเป้าหมายที่กำหนดเป็นสิ่งสำคัญมาก การสอนให้พนักงานรู้จักตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและมีความรับผิดชอบต่อผลงานของตนเองช่วยเสริมสร้างความสามารถในการจัดการเวลาและงานอย่างมีประสิทธิภาพ การส่งเสริมให้พนักงานทำงานด้วยความมุ่งมั่นจนงานสำเร็จจะช่วยสร้างแรงผลักดันให้พนักงานมีความภาคภูมิใจในผลงานที่ทำได้ และทำให้องค์กรได้งานที่มีคุณภาพ เนื่องจากมีการวางแผนและติดตามอย่างเป็นระบบ 2. พัฒนาการตระหนักรู้ในตนเอง การตระหนักรู้ในตนเองหรือ Self-awareness เป็นทักษะที่ช่วยให้พนักงานเข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อน และรู้ว่าตนเองต้องพัฒนาหรือปรับปรุงอะไร การมีความตระหนักรู้ในตนเองสูงทำให้พนักงานสามารถปรับตัวได้ดีต่อสถานการณ์ต่าง ๆ พร้อมทั้งรับฟังคำแนะนำหรือคำวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ การสอนพนักงานให้ตระหนักรู้ในตนเองจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การให้ Feedback อย่างตรงไปตรงมา ช่วยให้พนักงานทราบถึงจุดแข็ง จุดอ่อน และสิ่งที่ควรปรับปรุงของตนเอง ส่งผลให้พนักงานสามารถพัฒนาและปรับปรุงข้อบกพร่องได้อย่างตรงจุด ทำให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น 3. สร้างความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น การมีความเห็นอกเห็นใจหรือ Empathy เป็นทักษะที่ช่วยให้พนักงานเข้าใจและเห็นคุณค่าของเพื่อนร่วมงานและลูกค้า การส่งเสริมให้พนักงานมีทัศนคติที่ดีต่อการทำงานร่วมกับผู้อื่นและแสดงความเข้าใจต่อความรู้สึกหรือปัญหาของคนรอบข้างจะทำให้เกิดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การทำงานร่วมกันในทีมที่มีความเข้าใจกันเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการทำงาน เจ้าของธุรกิจที่สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน การฟังความคิดเห็นของผู้อื่นอย่างตั้งใจ เพื่อให้พนักงานเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น จะทำให้เกิดความร่วมมือในองค์กรและสภาพแวดล้อมการทำงานมีความเป็นมิตรมากขึ้น 4. พัฒนาทักษะการสื่อสาร การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญในทุกองค์กร พนักงานควรได้รับการฝึกฝนในการสื่อสารให้ชัดเจนและเข้าใจง่าย ทั้งการพูด การเขียน และการฟัง เช่น การใช้ภาษาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย การใช้คำถามเพื่อสร้างความเข้าใจ เป็นต้น ซึ่งช่วยลดความเข้าใจผิดและส่งเสริมการทำงานเป็นทีมที่ดี  จัดกิจกรรมนำเสนองานต่างๆ เพื่อให้พนักงานได้ฝึกพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น จะทำให้เกิดดการสื่อสารในองค์กรที่ดีขึ้น และการสื่อสารที่ดียังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ส่งผลให้เกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ 5. สอนวิธีการนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายขึ้น การนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนควรทำให้เข้าใจง่าย โดยการสอนเทคนิคต่างๆ เช่น การใช้กราฟ การสรุปเนื้อหาให้กระชับ และการใช้ตัวอย่างที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยให้ผู้ฟังสามารถเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น สามารถเริ่มจากการสอนให้เข้าใจระดับความรู้ของผู้ฟัง เพื่อเลือกใช้ภาษาและเนื้อหาที่เหมาะสมในการนำเสนอ โดยเฉพาะเมื่อพูดคุยกับฝ่ายงานอื่น การพัฒนาทักษะนี้ช่วยให้พนักงานสามารถถ่ายทอดความรู้และข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพพนักงานเข้าใจตรงกันและนำข้อมูลไปใช้ได้อย่างถูกต้อง ทำให้ลดความผิดพลาดในการทำงาน ส่งผลให้การทำงานราบรื่นขึ้น 6. ฝึกการจัดการอารมณ์ การจัดการอารมณ์เป็นทักษะที่สำคัญในที่ทำงาน พนักงานควรได้รับการสอนให้รู้จักการระบุและจัดการกับอารมณ์ของตนเอง เช่น การหาวิธีผ่อนคลาย การตั้งเป้าหมายเพื่อจัดการกับความเครียด ซึ่งเมื่อพนักงานจัดการกับความเครียดและความกดดันได้ดีขึ้น ส่งผลให้มีบรรยากาศในการทำงานที่ดี ทั้งยังช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีสมาธิและลดความขัดแย้งในทีม 7. ฝึกให้กล้าแสดงความคิดเห็น การส่งเสริมให้พนักงานกล้าแสดงความคิดเห็นช่วยสร้างบรรยากาศที่เปิดกว้างและส่งเสริมการเรียนรู้ การเปิดช่องทางให้แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ เช่น มีกล่องสำหรับรับข้อเสนอแนะให้พนักงานเขียนความคิดเห็น แล้วนำความคิดเห็นที่ดีไปปรับใช้ เพื่อให้พนักงานเข้าใจว่าความคิดเห็นของพวกเขามีค่าต่อองค์กร  เพราะความคิดเห็นจากคนทำงานจะช่วยให้องค์กรปรับปรุงกระบวนการทำงานได้ตรงจุด หรืออาจได้ไอเดียใหม่ๆจากพนักงาน ที่นำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการ 8. พัฒนาทักษะบริหารเวลา ทักษะการบริหารเวลาเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน พนักงานควรได้รับการสอนวิธีการวางแผนและจัดการเวลาให้มีประสิทธิภาพ การสอนให้จัดลำดับความสำคัญของงานและวางกำหนดการที่ชัดเจนการตั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว การใช้เครื่องมือช่วยในการบริหารเวลา อย่างเช่นปฏิทินหรือแอปพลิเคชันที่ช่วยติดตามงาน จะทำให้พนักงานรู้ว่างานไหนควรทำก่อน ทำให้สามารถส่งมอบงานได้ตรงเวลา 9. ฝึกให้ยอมรับความผิดพลาดได้ การยอมรับความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ พนักงานควรได้รับการฝึกฝนให้เห็นคุณค่าของการเรียนรู้จากความผิดพลาด และเข้าใจว่ามันเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเอง แทนที่จะมองว่าความผิดพลาดเป็นความล้มเหลว การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดใจรับฟังและให้ความสำคัญกับการเรียนรู้จากความผิดพลาดจะทำให้พนักงานรู้สึกปลอดภัยที่จะยอมรับความผิดพลาด ช่วยให้พนักงานมีความมั่นใจมากขึ้นในการทำงาน พร้อมหาทางแก้ไขปัญหาและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีก แหล่งที่มา : การพัฒนาเหล่านี้จะช่วยสร้างพนักงานที่มีคุณภาพ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่ความสำเร็จขององค์กรในระยะยาวได้ นอกจากนี้ การใช้โปรแกรมบัญชี PEAK ในการจัดการข้อมูลทางการเงินและบัญชี ก็สามารถช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน ด้วยระบบที่ใช้งานง่ายและครอบคลุมทุกขั้นตอนทางการเงินและบัญชี ช่วยลดข้อผิดพลาดในการทำงาน เพิ่มความแม่นยำในการ และทำให้สามารถมุ่งเน้นไปที่การวางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้าได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังรองรับการทำงานแบบออนไลน์ ทำให้การทำงานร่วมกันภายในทีมเป็นไปอย่างราบรื่น  ทั้งนี้ การใช้งานโปรแกรมบัญชีที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการทำงาน แต่ยังเป็นการส่งเสริมให้พนักงานสามารถใช้ทักษะและความรู้ในด้านต่างๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กรได้อย่างต่อเนื่อง ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @systemseedwebs-comสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

13 ก.ย. 2024

PEAK Account

9 min

สูตร(ไม่)ลับ ตรวจวัดสถานะทางการเงินของธุรกิจ

การเข้าใจสถานะทางการเงินของธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องในเรื่องการลงทุน การขยายกิจการ หรือแม้กระทั่งการวางแผนการเงินในระยะยาว ในบทความนี้ เราจะมาเปิดเผย “สูตร(ไม่)ลับ” ที่จะช่วยให้คุณสามารถตรวจวัดสถานะทางการเงินของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ 8 สูตรอัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratios) ที่ผู้ประกอบการควรรู้ อัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratios) คือ ตัวชี้วัดที่ใช้ในการวิเคราะห์สถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของธุรกิจ โดยอัตราส่วนเหล่านี้จะถูกคำนวณจากข้อมูลทางการเงินที่ปรากฏในงบการเงินของบริษัท เช่น งบกำไรขาดทุน งบแสดงฐานะทางการเงิน (งบดุล) และงบกระแสเงินสด อัตราส่วนทางการเงินเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการ เพราะสามารถช่วยให้เข้าใจถึงความสามารถของธุรกิจในการสร้างรายได้, การบริหารสินทรัพย์, และการจัดการหนี้สินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถคำนวณได้การสูตรดังต่อไปนี้ การวัดความสามารถในการจัดการหนี้สินของบริษัท 1. หนี้สินรวมต่อส่วนผู้ถือหุ้น (Total Debt to Equity Ratio) หนี้สินรวมต่อส่วนผู้ถือหุ้น = หนี้สินรวม/ส่วนผู้ถือหุ้น หนี้สินรวมต่อส่วนผู้ถือหุ้น เป็นอัตราส่วนที่ใช้วัดระดับความมั่นคงทางการเงินของบริษัทโดยการเปรียบเทียบระหว่างหนี้สินทั้งหมดของบริษัทกับส่วนของผู้ถือหุ้น อัตราส่วนนี้จะแสดงให้เห็นว่าบริษัทใช้หนี้สินเท่าไหร่ในการระดมทุนเมื่อเทียบกับการใช้ทุนจากผู้ถือหุ้น 2. อัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio) อัตราส่วนสภาพคล่อง = สินทรัพย์หมุนเวียน/หนี้สินหมุนเวียน อัตราส่วนสภาพคล่อง เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงความสามารถของบริษัทในการจ่ายหนี้ระยะสั้นโดยใช้สินทรัพย์หมุนเวียน อัตราส่วนนี้ใช้ในการวัดความสามารถของบริษัทในการจัดการกับหนี้สินที่มีการชำระภายในระยะเวลา 1 ปี เป็นการดูว่าบริษัทมีเงินหรือสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้เร็วพอที่จะจ่ายหนี้ระยะสั้นหรือไม่ช่วยให้เรารู้ว่าบริษัทมีความสามารถในการจ่ายหนี้ระยะสั้น (เช่น หนี้ที่ต้องจ่ายภายใน 1 ปี) มากน้อยแค่ไหน ถ้าอัตราส่วนนี้สูง แปลว่าบริษัทมีเงินพอจ่ายหนี้ แต่ถ้าต่ำ แปลว่าบริษัทอาจเจอปัญหาในการจ่ายหนี้ได้ การวัดประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์และทุนของบริษัท 3. ROE (Return on Equity) หรือ อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ROE (%) = กำไรสุทธิ/ส่วนผู้ถือหุ้น ROE ใช้วัดว่าบริษัทสามารถทำกำไรได้เท่าไหร่จากเงินที่เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นลงทุนไว้ บ่งบอกถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัท โดยทั่วไป ถ้า ROE สูง หมายความว่าบริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น 4. ROA (Return on Assets) หรือ อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวม ROA (%) = กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี/สินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ย ROA ใช้วัดว่าบริษัทสามารถทำกำไรได้เท่าไหร่จากสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี ช่วยให้เห็นว่าบริษัทใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีอย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหน ถ้า ROA สูง แปลว่าบริษัทใช้สินทรัพย์ได้ดีในการสร้างกำไร 5. อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์รวม (Total Asset Turnover Ratio) อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์รวม = รายได้/สินทรัพย์รวม อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์รวม ใช้วัดว่าบริษัทใช้สินทรัพย์ทั้งหมดที่มีในการสร้างรายได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าอัตรานี้สูง แสดงว่าบริษัทสามารถใช้สินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพในการสร้างรายได้ แต่ถ้าต่ำ อาจแปลว่าบริษัทใช้สินทรัพย์ไม่เต็มประสิทธิภาพ การวัดและวิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไรของบริษัท 6. อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อัตรากำไรขั้นต้น (%) = กำไรขั้นต้น/รายได้จากการขาย อัตรากำไรขั้นต้น ใช้วัดว่าบริษัททำกำไรได้เท่าไหร่หลังจากหักต้นทุนขาย (เช่น ค่าวัตถุดิบและค่าแรงในการผลิต) ออกแล้ว ช่วยให้เราเห็นว่าบริษัทมีประสิทธิภาพในการผลิตและขายสินค้า/บริการเพียงใด ถ้าอัตรานี้สูง แปลว่าบริษัทควบคุมต้นทุนการผลิตได้ดี และยังคงทำกำไรได้มากเมื่อเทียบกับรายได้ 7. อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit Margin) อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (%) = กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี/รายได้รวม อัตรากำไรจากการดำเนินงาน วัดว่าบริษัททำกำไรได้เท่าไหร่จากการดำเนินงานหลักของธุรกิจหลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน (ยกเว้นดอกเบี้ยและภาษี) บอกให้รู้ถึงความสามารถในการจัดการค่าใช้จ่ายของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจหลัก ถ้าอัตรานี้สูง แปลว่าบริษัทมีการจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ 8. อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อัตรากำไรสุทธิ (%) = กำไรสุทธิ/รายได้รวม อัตรากำไรสุทธิ  วัดว่าบริษัททำกำไรได้เท่าไหร่หลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมถึงดอกเบี้ยและภาษีออกจากรายได้ทั้งหมด แสดงถึงความสามารถในการทำกำไรสุทธิของบริษัท อัตรานี้บอกให้เรารู้ว่าในทุก 100 บาทของรายได้ บริษัทมีกำไรสุทธิเหลืออยู่เท่าไหร่ ถ้าอัตรานี้สูง แปลว่าบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่ดี โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

26 มิ.ย. 2024

PEAK Account

14 min

เจ้าของกิจการอยากเปลี่ยนสำนักงานบัญชี ต้องเตรียมตัวอย่างไร

ในยุคที่ธุรกิจแข่งขันสูง การบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นหัวใจสำคัญหนึ่งในนั้นคือ การมีระบบบัญชีที่รัดกุมและถูกต้อง ซึ่งสำนักงานบัญชีมีบทบาทสำคัญในการดูแลงานบัญชีให้กับธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลหลายประการ บางครั้งธุรกิจอาจมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนสำนักงานบัญชีใหม่ การเปลี่ยนสำนักงานบัญชี เปรียบเสมือนการเริ่มต้นใหม่กับพันธมิตรทางธุรกิจคนสำคัญ เจ้าของกิจการจึงควรเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อให้กระบวนการเปลี่ยนผ่านราบรื่นและส่งผลกระทบต่อธุรกิจน้อยที่สุด ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนสำนักงานบัญชี สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจคือ เมื่อไหร่ที่ควรเปลี่ยนสำนักงานบัญชี การตัดสินใจเปลี่ยนสำนักงานบัญชีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำงานกับบริษัทเดียวกันมาเป็นเวลานาน แต่หากคุณประสบปัญหาเหล่านี้ แสดงว่าถึงเวลาแล้วที่ควรพิจารณาหาสำนักงานบัญชีใหม่ 1. สำนักงานบัญชีเดิมมีขนาดเล็กเกินไป เมื่อธุรกิจของคุณเติบโตขึ้น ความต้องการด้านบัญชีก็ย่อมซับซ้อนมากขึ้น สำนักงานบัญชีขนาดเล็กอาจมักมีพนักงานจำนวนน้อย กำลังคนไม่พอหรือบริการที่ไม่ครอบคลุม ทำให้ไม่สามารถรองรับการขยับขยายของกิจการเราได้   2. ปัญหาการสื่อสารและการทำงานร่วมกัน การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับสำนักงานบัญชี หากคุณมีปัญหาในการสื่อสารกับสำนักงานบัญชีของคุณ อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและปัญหาอื่นๆ คุณควรได้รับคำตอบจากสำนักงานบัญชีของคุณอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ หากคุณต้องรอเป็นเวลานานเพื่อรับคำตอบ แสดงว่าพวกเขาอาจไม่ให้ความสำคัญกับธุรกิจของคุณ บางทีบริษัทหรือกิจการก็มีระบบการออกเอกสาร หรือระบบการทำงานเป็นของตัวเอง ถ้าสำนักงานบัญชีไม่สามารถใช้โปรแกรมร่วมกับเจ้าของกิจการได้ เช่น ถ้ากิจการทำงานแบบออนไลน์ทั้งหมด แต่ว่าสำนักงานบัญชียังทำงานแบบออฟไลน์ เจ้าของกิจการเข้าถึงข้อมูลยากก็อาจเป็นเหตุผลให้เจ้าของกิจการหันไปหาทางเลือกใหม่ๆ ที่ทำงานด้วยกันง่ายขึ้น 3. ต้องการลดค่าใช้จ่าย สำนักงานบัญชีมีราคาแตกต่างกันไป บางสำนักงานบัญชีคิดค่าธรรมเนียมแบบเหมาจ่าย ในขณะที่บางแห่งคิดค่าธรรมเนียมตามเวลา หากคิดว่าราคาที่จ่ายให้สำนักงานบัญชีต่อเดือนแพงเกินไป  เจ้าของกิจการอาจต้องตัดสินใจเปลี่ยนสำนักงานบัญชีเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย  4. ไม่ได้รับคำปรึกษาและคำแนะนำที่เพียงพอ สำนักงานบัญชีที่ดีจะช่วยคุณวางแผนภาษีเพื่อลดภาระภาษีของกิจการ พร้อมให้คำปรึกษาและคำแนะนำที่มีประโยชน์ให้แก่กิจการ ในทางกลับกันหากสำนักงานบัญชีไม่สามารถช่วยเหลือ หรือให้คำปรึกษาต่างๆ ทางบัญชีและภาษีได้ เจ้าของกิจการก็อาจมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปใช้บริการจากสำนักงานบัญชีใหม่ หลังจากตัดสินใจที่จะเปลี่ยนสำนักงานบัญชีแล้ว หลายๆคนอาจเกิดคำถามว่า ควรเปลี่ยนสำนักงานบัญชีช่วงไหนดี สามารถเปลี่ยนทันทีเลยได้ไหม หากมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนสำนักงานบัญชีทันที สามารถทำได้แต่อาจจะต้องจ่ายค่าทำบัญชีซ้ำซ้อน เพราะสำนักงานบัญชีใหม่จะต้องเริ่มต้นทำใหม่ตั้งแต่ต้นปีจนถึงข้อมูลที่กิจการมีล่าสุด อีกทั้งการเปลี่ยนสำนักงานบัญชีทันที ในบางกรณีอาจต้องเสียค่าปรับการยกเลิกสัญญากับสำนักงานบัญชีที่เดิม การรอจนจบรอบบัญชีก่อนค่อยเปลี่ยนสำนักงานบัญชีอาจดูเป็นทางเลือกที่สะดวกกว่า เพื่อความต่อเนื่องของงานบัญชี แต่ก็ยังมีสิ่งที่น่ากังวลคือ  ในกรณีที่สำนักงานบัญชีเดิมไม่รับผิดชอบงาน ซึ่งทำให้กิจการได้ข้อมูลจากการบันทึกบัญชีที่ไม่ถูกต้อง หรืออาจเกิดภาระค่าปรับภาษีหรือค่าปรับอื่นๆตามมาได้ ดังนั้นเจ้าของกิจการจะต้องคำนึงว่าหากยังใช้สำนักงานบัญชีเดิมอยู่ไปจนจบรอบบัญชี จะทำให้ก่อความเสียหายมากกว่าหรือไม่ เจ้าของกิจการอยากเปลี่ยนสำนักงานบัญชี ต้องเตรียมตัวอย่างไร 1.ติดต่อสำนักงานบัญชีใหม่ การเปลี่ยนสำนักงานบัญชีนั้น เจ้าของกิจการควรเริ่มต้นด้วยการสรรหาและติดต่อสำนักงานบัญชีที่สนใจไว้ล่วงหน้า ไม่ควรรอจนถึงนาทีสุดท้าย เพราะอาจทำให้ไม่มีเวลาเปรียบเทียบข้อเสนอ หรือเลือกสำนักงานบัญชีที่ไม่ตรงกับความต้องการ การติดต่อล่วงหน้าจะทำให้เจ้าของกิจการมีเวลาคุยกับสำนักงานบัญชี อธิบายความต้องการของธุรกิจ และ สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับบริการต่างๆ การมีสำนักงานบัญชีใหม่รองรับไว้แล้ว จะช่วยให้ช่วงเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น โดยไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีคนดูแลเรื่องบัญชี 2.แจ้งสำนักงานบัญชีเก่า เมื่อได้ตัดสินใจเลือกสำนักงานบัญชีใหม่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การแจ้งสำนักงานบัญชีเก่า เจ้าของกิจการควรแจ้งล่วงหน้าตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้สำนักงานบัญชีเก่ามีเวลาเตรียมตัวส่งมอบเอกสารและข้อมูลต่างๆ และการแจ้งลาออกจากสำนักงานบัญชีนั้น ควรทำอย่างสุภาพ ตรงไปตรงมา และแสดงถึงความเป็นมืออาชีพ โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในอนาคต 3.ขอเอกสารประกอบการบันทึกบัญชีคืน การโบกมือลาสำนักงานบัญชีเดิมนั้นไม่ใช่จุดจบของภารกิจการเปลี่ยนสำนักงานบัญชี ยังมีอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญที่หลายคนมักมองข้าม นั่นคือ การแจ้งข้อมูลและเอกสาร ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีให้ครบถ้วนแก่สำนักงานบัญชีใหม่ ปัญหาที่พบเจอได้บ่อยครั้งคือ เจ้าของกิจการไม่ทราบแน่ชัดว่ามีข้อมูลอะไรบ้างที่ส่งให้สำนักงานบัญชีเก่าเก็บไว้ ส่งผลต่อความมั่นใจว่าข้อมูลบัญชีที่ส่งต่อนั้นครบถ้วนหรือไม่ เพื่อความมั่นใจและความราบรื่นในการเปลี่ยนผ่าน โดยทั่วไปแล้ว สำนักงานบัญชีควรจะมีข้อมูลกิจการตามนี้ สำหรับเจ้าของกิจการที่ต้องการขอเอกสารหลังจากจากปิดงบเสร็จแล้ว สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : ปิดงบการเงินเสร็จแล้ว…ต้องขอเอกสารอะไรบ้างจากสำนักงานบัญชี? 4.ขอรหัสผ่านที่ใช้ติดต่อทำธุรกรรม เมื่อต้องการเปลี่ยนสำนักงานบัญชี สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือต้องขอ Username และ Password ที่ใช้ติดต่อทำธุรกรรมต่างๆ จากสำนักงานบัญชีเดิม รหัสผ่านเหล่านี้จำเป็นสำหรับการเข้าถึงระบบและดำเนินการทางการเงินต่างๆ เช่น ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน ระบบ DBD e-Filing ของกรมพัฒนาธุรกิจ, ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน ระบบจ่ายภาษีออนไลน์ ของกรมสรรพากร, ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน ระบบทำธุรกรรมของสำนักงานประกันสังคม 5.กำหนดเวลาการโยกย้ายให้ชัดเจน เจ้าของกิจการควร กำหนดเวลาในการส่งคืนเอกสารและงบการเงินให้แน่นอน กับสำนักงานบัญชีเก่า เพื่อป้องกันปัญหาความล่าช้า และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น โดยเจ้าของกิจการสามารถกำหนดระยะเวลาคร่าวๆได้ ยกตัวอย่างเช่น : กิจการที่กำลังมองหาโปรแกรมบัญชีออนไลน์ มาช่วยจัดการเอกสาร ออกใบเสร็จหรือใบแจ้งหนี้ ทาง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยจัดการเอกสารบัญชีของคุณให้เป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @systemseedwebs-comสอบถามเพิ่มเติม คลิก

7 มิ.ย. 2024

PEAK Account

9 min

เทคโนโลยีห้องประชุมสำหรับ SMEs เพื่อการประชุมที่มีประสิทธิภาพ

การประชุมที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ เนื่องจากการประชุมเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนความรู้ วางแผนกลยุทธ์ และตัดสินใจที่สำคัญ การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในห้องประชุมจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพ บทความนี้ PEAK ร่วมกับ OfficeMate จะมาแนะนำเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับห้องประชุม เหมาะสมสำหรับ SMEs เพื่อการประชุมที่มีประสิทธิผลมากขึ้น 1. ควรมีอุปกรณ์เพื่อการประชุมและนำเสนอ การมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครันในห้องประชุม เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การประชุมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อุปกรณ์ที่จำเป็นประกอบด้วย อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบถ้วน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และความสะดวกสบายในการจัดการประชุม นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงถึงความพร้อม และความเป็นมืออาชีพขององค์กร 2. ควรมีระบบการจองห้องประชุม ระบบการจองห้องประชุมเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับองค์กรที่มีการประชุมบ่อยครั้ง ระบบการจองห้องประชุมจะช่วยให้การจัดการการใช้ห้องประชุมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นระเบียบ ประโยชน์ของระบบนี้มีดังนี้ ลดความซับซ้อนในการจัดการ ระบบการจองห้องประชุมช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการห้องประชุม ผู้ใช้สามารถดูตารางการใช้ห้องประชุม และจองเวลาได้อย่างง่ายดายผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งช่วยลดปัญหาการจองซ้ำซ้อน หรือความผิดพลาดในการจัดการ เพิ่มความสะดวกสบาย  ระบบการจองที่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าจะช่วยเตือนผู้ใช้งานถึงการประชุมที่กำลังจะมาถึง นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนผ่านอีเมล หรือแอปพลิเคชันเพื่อให้ผู้ใช้ไม่พลาดการประชุม การจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ  ระบบการจองห้องประชุมสามารถช่วยให้ผู้จัดการทรัพยากรเห็นภาพรวมการใช้ห้องประชุม และสามารถปรับเปลี่ยนการใช้ทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานห้องประชุมเพื่อนำไปปรับปรุง และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรได้ การใช้ระบบการจองห้องประชุมที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้องค์กรสามารถจัดการการประชุมได้อย่างมีประสิทธิผล ลดปัญหาความขัดแย้งในการจองห้อง และเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน 3. ควรมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่การประชุมออนไลน์กลายเป็นสิ่งจำเป็น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจะช่วยให้การสื่อสาร และการแลกเปลี่ยนข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วอย่างไม่มีสะดุด  ข้อดีของการใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงช่วยให้การประชุมออนไลน์เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีปัญหาการเชื่อมต่อขัดข้องหรือสัญญาณหลุด การสื่อสารผ่านวิดีโอคอลจะมีคุณภาพเสียง และภาพที่ชัดเจน ทำให้การประชุมเหมือนกับการประชุมในสถานที่เดียวกัน การทำงานร่วมกันในเวลาจริง อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงช่วยให้การแชร์ไฟล์ และการทำงานร่วมกันในเวลาจริงเป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการแชร์เอกสาร ภาพ หรือวิดีโอ การทำงานร่วมกันจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่เสียเวลา การเข้าถึงข้อมูลและแหล่งข้อมูลออนไลน์ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงช่วยให้ผู้เข้าร่วมการประชุมสามารถเข้าถึงข้อมูล และแหล่งข้อมูลออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นประโยชน์ในการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือนำเสนอข้อมูลในที่ประชุม การมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในห้องประชุมจะช่วยให้การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ เพิ่มความสะดวกสบายในการทำงานและการสื่อสาร เทคโนโลยีห้องประชุมที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ และ SMEs ที่ต้องการให้การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่น และมีประสิทธิผล การมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบ ระบบการจองห้องประชุมที่มีประสิทธิภาพ และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการประชุม ลดปัญหา และความขัดข้องในการจัดการการประชุม และเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน ดังนั้น การลงทุนในเทคโนโลยีห้องประชุมจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และสำคัญสำหรับการเติบโต รวมถึงความสำเร็จขององค์กร เช็กด่วน! ห้องประชุมของคุณ ยังขาดอุปกรณ์คุณภาพสำหรับห้องประชุมอยู่หรือไม่? OfficeMate มีอุปกรณ์สำนักงาน หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน พร้อมมอบประสบการณ์ทำงานที่ดีแบบที่คุณอาจไม่เคยพบมาก่อน สามารถเข้ามาเลือกดูได้ที่ ?

5 มิ.ย. 2024

PEAK Account

9 min

Happy Workplace สูตรลับสู่ความสำเร็จของ SMEs

ในยุคที่ธุรกิจมีการแข่งขันสูง การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี และมีความสุข (Happy Workplace) ไม่เพียงแต่จะช่วยให้พนักงานมีความสุข และประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น แต่ยังเป็นสูตรลับที่ช่วยให้ SMEs ประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน  บทความนี้ PEAK ร่วมกับ OfficeMate จะพาคุณไปรู้จักกับแนวทางในการสร้าง Happy Workplace ที่เน้นเรื่องการสร้างสุขภาพดี สังคมดี มีความรู้ และการทำงานที่ผ่อนคลายให้แก่พนักงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของธุรกิจ สร้างเสริมสุขภาพที่ดีแก่พนักงาน สุขภาพของพนักงานเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน หากพนักงานมีสุขภาพดี จะทำให้มีพลังงาน และความสามารถในการทำงานมากขึ้น การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ส่งเสริมสุขภาพสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การจัดเตรียมพื้นที่ออกกำลังกาย หรือการจัดกิจกรรมเพื่อสุขภาพ นอกจากนี้การสนับสนุนการมีพฤติกรรมการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยการจัดหาของว่างที่มีประโยชน์ และการให้ข้อมูลเกี่ยวกับโภชนาการที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับพนักงานได้ หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมสุขภาพของพนักงาน คือการเลือกใช้เก้าอี้ที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ (ergonomic chair) หรือ เก้าอี้เพื่อสุขภาพ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อลดความเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บจากการทำงาน และอาการปวดต่าง ๆ เช่น อาการปวดหลัง ปวดคอ และปวดไหล่ ซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยในพนักงานออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน เก้าอี้ ergonomic มีการออกแบบที่สามารถปรับระดับได้หลายส่วน เช่น ความสูงของเก้าอี้ พนักพิง และที่วางแขน เพื่อให้สามารถปรับให้เข้ากับสรีระของผู้ใช้งานได้อย่างเหมาะสม การปรับระดับเหล่านี้จะช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น ทำให้พนักงานสามารถนั่งทำงานได้ในท่าที่ถูกต้อง และสบายมากขึ้น นอกจากนี้การใช้เก้าอี้ ergonomic ยังช่วยส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตที่ดี ลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการบวมที่ขา และเท้า ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้ที่ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานในระยะยาว สร้างสังคมที่ดีในที่ทำงาน การสร้างสังคมที่ดีในที่ทำงาน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยให้พนักงานรู้สึกมีความสุข มุ่งมั่นในการทำงาน ซึ่งการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้าง และส่งเสริมการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งที่สำคัญ การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมความร่วมมือ หรือสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพนักงาน เช่น การจัดงานเลี้ยงหรือกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์ จะช่วยให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม และมีความมุ่งมั่นในการทำงานมากขึ้น การส่งเสริมการทำงานเป็นทีมและการช่วยเหลือกันในการทำงาน ยังเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างสังคมที่ดีในองค์กรได้ การเปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และการแสดงความคิดเห็นเป็นการแสดงถึงการยอมรับ และความสำคัญของพนักงาน ทำให้พนักงานรู้สึกมีคุณค่า มีความมุ่งมั่นในการทำงานมากขึ้น พัฒนาความรู้แก่พนักงาน การพัฒนาความรู้ และทักษะของพนักงานเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเติบโตของธุรกิจ การส่งเสริมให้พนักงานมีโอกาสในการเรียนรู้ และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง จะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงาน และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ การจัดอบรม หรือการเข้าร่วมสัมมนาต่าง ๆ จึงเป็นวิธีที่ดีในการเสริมสร้างความรู้ และทักษะให้กับพนักงาน นอกจากนี้ การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ในองค์กรโดยการสนับสนุนให้พนักงานมีการแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์ระหว่างกันเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับทีมงาน การให้โอกาสในการพัฒนาทางอาชีพและการสนับสนุนในการศึกษาต่อจะช่วยให้พนักงานรู้สึกมีอนาคตที่มั่นคง และมุ่งมั่นในการทำงานมากขึ้น สร้างบรรยากาศการทำงานที่ผ่อนคลาย การผ่อนคลายเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กับการทำงาน การให้พนักงานมีเวลาผ่อนคลาย และพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยลดความเครียด และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การจัดพื้นที่สำหรับการพักผ่อนในที่ทำงาน เช่น ห้องนั่งเล่น หรือสวนหย่อม เป็นวิธีที่ดีในการให้พนักงานได้ผ่อนคลาย และสร้างสมดุลในการทำงาน การจัดกิจกรรมที่สนุกสนาน และการสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายในการทำงาน เช่น การจัดกิจกรรมสันทนาการ หรือการส่งเสริมการทำงานในบรรยากาศที่เป็นกันเอง จะช่วยให้พนักงานรู้สึกผ่อนคลาย และมีความสุขในการทำงานมากขึ้น การสร้าง Happy Workplace ที่ดี และมีความสุขเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับ SMEs เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยให้พนักงานมีความสุข และมุ่งมั่นในการทำงาน แต่ยังเป็นการสร้างฐานที่แข็งแกร่งในการเติบโต และความสำเร็จของธุรกิจในระยะยาว การส่งเสริมสุขภาพที่ดี การสร้างสังคมที่ดี การหาความรู้ และการผ่อนคลาย เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ SMEs สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน อย่ารอช้า! มาสร้างพื้นที่ทำงานที่มีความสุขกับ OfficeMate มีอุปกรณ์สำนักงาน เฟอร์นิเจอร์ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้พนักงาน พร้อมมอบประสบการณ์ทำงานที่ดีแบบที่คุณอาจไม่เคยพบมาก่อน สามารถเข้ามาเลือกดูได้ที่

4 มิ.ย. 2024

PEAK Account

8 min

3 วิธีสร้างบรรยากาศการทำงานที่มีประสิทธิภาพด้วยอากาศบริสุทธิ์

ในฐานะผู้ประกอบการ คุณทราบดีว่าสภาพแวดล้อมการทำงานส่งผลต่อประสิทธิภาพของพนักงานอย่างไร บรรยากาศที่อึดอัด เต็มไปด้วยมลพิษทางอากาศ ย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน PEAK ร่วมกับ OfficeMate สนับสนุนการสร้างบรรยากาศการทำงานที่มีประสิทธิภาพ พร้อมแชร์วิธีง่าย ๆ เริ่มต้นด้วยอากาศบริสุทธิ์ภายในพื้นที่ทำงาน หรือมุมทำงานในออฟฟิศ เพราะอากาศบริสุทธิ์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง ส่งผลดีต่อสุขภาพจิต และลดความเครียด พนักงานจะรู้สึกมีพลัง มีสมาธิ และพร้อมที่จะทำงานได้อย่างเต็มที่ 3 วิธีง่าย ๆ ในการสร้างบรรยากาศการทำงานด้วยอากาศบริสุทธิ์ 1. เปิดหน้าต่าง การเปิดหน้าต่างเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้อากาศบริสุทธิ์ไหลเวียนเข้ามาในออฟฟิศ ควรเปิดหน้าต่างทุกเช้า และปิดเมื่ออากาศร้อนจัดหรือมีมลพิษทางอากาศสูง อย่างไรก็ตาม แต่วิธีนี้อาจไม่เหมาะสมกับออฟฟิศที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่มีมลพิษทางอากาศสูง อีกทั้ง เสียงรบกวนจากภายนอก เช่น เสียงรถยนต์ เสียงคน อาจส่งผลต่อการทำงาน 2. ปลูกต้นไม้ ต้นไม้ช่วยดูดซับสารพิษในอากาศ และปล่อยออกซิเจน ควรวางต้นไม้ไว้ในบริเวณออฟฟิศ ต้นไม้ที่เหมาะกับการปลูกในร่ม เช่น เศรษฐีเรือนใน ลิ้นมังกร และโป๊ยเซียน อย่างไรก็ตาม การปลูกต้นไม้ อาจไม่เพียงพอที่จะขจัดมลพิษทางอากาศทั้งหมด อีกทั้ง การดูแลรักษาต้นไม้ เช่น การรดน้ำ การใส่ปุ๋ย อาจต้องใช้เวลา และความใส่ใจ 3. ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ เครื่องฟอกอากาศจะช่วยขจัดมลพิษทางอากาศ เช่น ฝุ่นละออง ควันบุหรี่ และสารเคมี ควรเลือกเครื่องฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง และเหมาะกับขนาดพื้นที่ของออฟฟิศ เครื่องฟอกอากาศ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการขจัดมลพิษทางอากาศ อีกทั้ง เครื่องฟอกอากาศรุ่นใหม่ ๆ ยังมีฟังก์ชันการทำงานเพิ่มเติม เช่น การฆ่าเชื้อโรค การควบคุมความชื้น และการฟอกอากาศด้วยไอออนประจุลบ ตัวอย่างเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะกับการใช้งานในออฟฟิศ กับเครื่องฟอกอากาศอัจฉริยะ “Xiaomi Smart Air Purifier 4 Pro” เพราะสุขภาพดีเริ่มต้นที่อากาศบริสุทธิ์ เครื่องฟอกอากาศอัจฉริยะ Xiaomi 4 Pro มี CADR ที่ไร้อนุภาคอยู่ที่ 500 ตร.ม./ชม. และปล่อยลมสะอาดออกมาได้มากสูงสุดถึง 8,330 ลิตร/นาที ให้อากาศบริสุทธิ์แพร่เข้าถึงทุกซอกมุมในบ้าน หรืออาคารสำนักงาน เพื่อให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตในบรรยากาศที่ดีต่อสุขภาพตลอดเวลา หน้าจอแสดงผลแบบ OLED ตั้งค่าง่าย อ่านค่าได้ชัดเจน Xiaomi Smart Air Purifier 4 Pro มีจอแสดงผล และอินเทอร์เฟซที่ควบคุมง่าย แสดงข้อมูลคุณภาพอากาศในอาคารอย่างชัดเจนในรูปแบบไฟเส้นแบบโค้ดสี และยังแสดงข้อมูล PM2.5/PM10 แบบเรียลไทม์ สามารถปรับการตั้งค่าการฟอกอากาศของคุณด้วยปุ่มควบคุมระบบสัมผัสได้อย่างสะดวก เพียงแตะเบา ๆ แค่ครั้งเดียว เป็นเครื่องฟอกอากาศที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบ Smart Life ได้อย่างแท้จริง ระบบการกรองแบบทรีอินวันสำหรับการฟอกอากาศคุณภาพสูง เครื่องฟอกอากาศอัจฉริยะ Xiaomi 4 Pro มาพร้อมไส้กรองแบบทรีอินวัน ซึ่งประกอบไปด้วยไส้กรองหลัก ไส้กรองประสิทธิภาพสูงของ Xiaomi และไส้กรองถ่านกัมมันต์คุณภาพสูง โดยไส้กรองทั้งสามจะทำงานร่วมกันเพื่อฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ และดูแลคุณให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ สามารถกรองสสารได้หลายรูปแบบ เช่น ฝุ่นผง ควัน ขนสัตว์ ละอองเกสร หรือเส้นใยจากเสื้อผ้า เป็นต้น นอกจากนั้น ถ่านกัมมันต์คุณภาพดี มีอัตราการดูดซับสูง ช่วยกำจัดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ เพื่อดูแลอากาศให้สดชื่นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอาหาร กลิ่นสัตว์เลี้ยง หรือฟอร์มาลดีไฮด์ โทลูอีน Xiaomi Smart 4 Pro ก็จัดการได้อยู่หมัด การควบคุมเครื่องฟอกอากาศอัจฉริยะได้ทุกที่ ทุกเวลา ควบคุมการทำงานของเครื่องฟอกอากาศ เสียวหมี่ 4 Pro ได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านแอพพลิเคชัน Mi Home/Xiaomi Home ที่เป็นเหมือนรีโมทคอนโทรล ควบคุมการทำงานระยะไกลในขณะที่คุณอยู่นอกบ้าน สามารถปรับการตั้งค่าต่าง ๆ ได้สะดวก มีฟังก์ชันตั้งเวลาเปิด-ปิดเครื่อง และแจ้งเตือนการเปลี่ยนไส้กรองตามระยะเวลาที่แนะนำ เพื่อมอบประสิทธิภาพสูงสุดในการกรอง นอกจากนั้น ยังสามารถตั้งค่าล็อกการทำงาน หากคุณอยู่ภายในบ้าน หรือสำนักงาน แต่ไม่อยากเสียเวลาหาอุปกรณ์การควบคุม เครื่องฟอกอากาศ Xiaomi 4 Pro นี้ยังรองรับการสั่งการด้วยเสียง โดยใช้งานร่วมกับ Google Assistant หรือ Alexa ได้อย่างสะดวกสบาย การสร้างบรรยากาศการทำงานที่มีประสิทธิภาพ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจของคุณ การลงทุนในเครื่องฟอกอากาศ จึงเป็นวิธีง่าย ๆ ในการสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีต่อสุขภาพ ส่งผลดีต่อสุขภาพ และประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานในระยะยาว อย่ารอช้า! นอกจากเครื่องฟอกอากาศแล้ว OfficeMate ยังมีอุปกรณ์สำนักงาน หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้พนักงาน พร้อมมอบประสบการณ์ทำงานที่ดีแบบที่คุณอาจไม่เคยพบมาก่อน สามารถเข้ามาเลือกดูได้ที่

27 มี.ค. 2024

PEAK Account

12 min

เฟอร์นิเจอร์สำคัญ เปลี่ยนพื้นที่ทำงานให้มีประสิทธิภาพได้

ประเด็นสำคัญ เฟอร์นิเจอร์สำคัญ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การจัดพื้นที่ทำงานให้เหมาะสมเปรียบเสมือนการวางรากฐานการทำงานที่ดี มีประสิทธิภาพ โดยเฟอร์นิเจอร์ 3 ชิ้นหลักที่มีความสำคัญต่อการทำงาน ได้แก่ โต๊ะทำงาน เก้าอี้ทำงาน และลิ้นชักใส่ของ เปรียบเสมือนอาวุธคู่กายที่จะช่วยให้การทำงานของคุณราบรื่น สะดวกสบายมากขึ้น 1. โต๊ะทำงาน การเลือกใช้โต๊ะทำงานควรให้ความสำคัญกับขนาดที่เหมาะสม หากมีพื้นที่ทำงานขนาดใหญ่ กว้างขวาง ไม่ควรเลือกโต๊ะที่แคบจนเกินไป อาจทำให้รู้สึกอึดอัด เคลื่อนไหวลำบาก ให้เลือกโต๊ะทำงานขนาด 160 x 80 ซม. ก็เพียงพอแล้ว เช่นเดียวกับห้องที่มีพื้นที่ทำงานจำกัด หากเลือกโต๊ะที่เล็กเกินไป อาจทำให้วางของได้ไม่เพียงพอ ทางที่ดีควรเลือกโต๊ะทำงานขนาด 120 x 60 ซม. ถึงจะเพียงพอต่อการใช้งาน นอกจากขนาดโต๊ะแล้ว ความสูงของโต๊ะก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ควรเลือกโต๊ะทำงานที่สามารถปรับระดับได้ เพื่อให้เหมาะกับสรีระของผู้ใช้งาน ช่วยให้นั่งทำงานได้อย่างสบาย โดยไม่ต้องก้มหรือโน้มตัวมากเกินไป ทั้งนี้ โต๊ะทำงานที่วัสดุทนทาน ทำความสะอาด และดูแลรักษาง่าย จะช่วยยืดอายุการใช้งาน ให้คุณนั่งทำงานกับโต๊ะตัวโปรดได้นานยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องเปลี่ยนโต๊ะบ่อยๆ ให้สิ้นเปลือง OfficeMate แนะนำโต๊ะที่เหมาะสมสำหรับทำงาน โต๊ะทำงานที่ดีจะส่งผลดีต่อทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต ประสิทธิภาพในการทำงาน และบรรยากาศการทำงาน แนะนำโต๊ะทำงานเฟอร์ราเดค รุ่น ST120DA-P จาก OFM ช่วยปรับให้ท่านั่งให้ถูกต้อง ลดอาการปวดเมื่อย คุ้มค่าเกินราคา โต๊ะทำงานที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณ  ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก: nbsp; 2. เก้าอี้ทำงาน เก้าอี้ทำงานที่เหมาะกับการนั่งทำงานตลอดวัน ควรมีพนักพิงที่รองรับส่วนโค้งตามธรรมชาติของหลังส่วนล่าง รองรับช่วงเอวให้กระดูกสันหลังของผู้นั่งอยู่ในแนวตรง และควรปรับระดับความสูง พนักพิง หรือที่วางแขนได้ เพื่อรองรับสรีระของผู้ใช้งาน ช่วยให้นั่งทำงานได้อย่างสบาย ลดอาการปวดหลัง คอ และลดความเมื่อยล้า นอกจากนี้ วัสดุของเก้าอี้ควรเป็นวัสดุที่ระบายอากาศได้ดี และทำความสะอาดง่าย เช่น ผ้าตาข่าย ช่วยให้นั่งทำงานได้นานโดยไม่รู้สึกอึดอัด หรือเลือกเก้าอี้ที่มีฟังก์ชันโยกเอน ช่วยให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการเมื่อยล้าจากการนั่งทำงานเป็นเวลานานได้ OfficeMate แนะนำเก้าอี้สุขภาพที่เหมาะสมสำหรับทำงาน การนั่งทำงานในท่าที่ถูกต้อง ช่วยให้มีสมาธิ และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เก้าอี้ Haru ช่วยให้คุณนั่งทำงานได้อย่างสบายโดยไม่ต้องกังวลเรื่องอาการปวดเมื่อย ส่งผลให้คุณมีสมาธิจดจ่อกับงานมากขึ้น เก้าอี้ทำงานเพื่อสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงานของคุณ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก: nbsp; 3. ชั้นวางของ โต๊ะทำงานที่รก ไม่เป็นระเบียบ อาจสะท้อนถึงความคิด และการทำงานที่ยุ่งเหยิง การจัดระเบียบพื้นที่ทำงานด้วยลิ้นชักเก็บของที่เหมาะสม จึงเป็นกุญแจสำคัญสู่งานที่มีประสิทธิภาพ และความคิดสร้างสรรค์ ฉะนั้น การมีลิ้นชักวางของดีๆ จะช่วยเก็บของให้เป็นระเบียบ หาง่าย และช่วยให้โต๊ะทำงานดูเรียบร้อยขึ้น เริ่มจากการเลือกลิ้นชักให้เหมาะสมกับพื้นที่ทำงาน โต๊ะทำงานขนาดเล็กควรเลือกตู้ลิ้นชักแบบกะทัดรัด สูงไม่เกินระดับสายตา ช่วยให้หยิบจับของสะดวก เช่น ตู้ลิ้นชัก 2-3 ลิ้นชัก วางซ้อนกัน หรือตู้ลิ้นชักแบบติดใต้โต๊ะ ส่วนโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ ให้เลือกตู้ลิ้นชักที่มีหลายลิ้นชัก เก็บของได้มากขึ้น เช่น ตู้ที่มี 4-5 ลิ้นชัก หรือตู้ลิ้นชักแบบตั้งพื้นความสูงเหนือโต๊ะ เป็นการเพิ่มพื้นที่ในการเก็บของไปในตัวด้วย ควรเลี่ยงลิ้นชักที่ใหญ่เทอะทะ กีดขวางการทำงาน และมีน้ำหนักมากจนเกินไป ทำให้ไม่สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย รวมถึงไม่ควรเลือกลิ้นชักที่แคบ ความจุไม่เพียงพอต่อการเก็บของ เพราะหากวางของจนแน่นเกินไป อาจทำให้ลิ้นชักพังเสียหาย หรือหยิบจับสิ่งของได้ไม่สะดวก OfficeMate แนะนำลิ้นชักใส่ของที่เหมาะสมสำหรับห้องทำงาน ลิ้นชักเปรียบเสมือนผู้ช่วยตัวจิ๋วสำหรับโต๊ะทำงาน ช่วยเก็บของให้เป็นระเบียบ หยิบจับสะดวก เพิ่มพื้นที่ทำงานให้กว้างขวางขึ้น การเลือกลิ้นชักที่เหมาะสม จะช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และราบรื่น OFM แนะนำตู้ลิ้นชักเหล็กล้อเลื่อน 3 ชั้น สีขาว เฟอร์ราเดค ตอบโจทย์คุณ! หมดปัญหาของรก หาของไม่เจอ พร้อมเพิ่มพื้นที่ทำงานได้อีกเยอะ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก: nbsp; สรุป นอกจากเฟอร์นิเจอร์ 3 ชิ้นหลักแล้ว ยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงาน เช่น แสงสว่าง การระบายอากาศ และการตกแต่งพื้นที่ทำงาน ช่วยเพิ่มประสบการณ์การทำงานที่ดีขึ้น หากไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง อาจลองเอาคำแนะนำที่ OfficeMate นำมาฝากไปปรับใช้กับพื้นที่ทำงานของคุณได้  หากต้องการเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ ที่ช่วยให้พื้นที่ทำงานของคุณดูเป็นระเบียบ สะดวก สบาย ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เข้ามาเลือกดูได้ที่ OfficeMate เมื่อกิจการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่จะช่วยสร้างพื้นที่การทำงานที่มีประสิทธิภาพเรียบร้อยแล้ว ต้องการบันทึกค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้เป็นรายจ่ายของบริษัทอย่างครบถ้วน ถูกต้อง แม่นยำแล้ว PEAK โปรแกรมบีญชีออนไลน์ คือ คำตอบของการทำงานบัญชีที่มีประสิทธิภาพ

27 มี.ค. 2024

PEAK Account

7 min

ตู้เอกสาร จัดเก็บให้เป็นระเบียบได้อย่างไร

ประเด็นสำคัญ  5 เคล็ดลับจัดเก็บตู้เอกสารอย่างมืออาชีพ 1. คัดแยกเอกสาร การจัดระเบียบตู้เอกสารควรเริ่มต้นด้วยการคัดแยกเอกสาร แยกประเภทให้ชัดเจนว่าเอกสารไหนสำคัญ ควรเก็บไว้ เอกสารไหนไม่จำเป็น เช่น ใบปลิว โฆษณา เอกสารเก่าที่หมดอายุ ควรทิ้ง หรือนำไปรีไซเคิล รวมถึงควรแยกเอกสารตามวันที่ โดยเรียงลำดับจากเก่าไปใหม่ ไม่ควรเก็บไว้รวมกัน สำหรับเอกสารสำคัญ ก็ควรแยกประเภทให้ชัดเจนด้วยเช่นกัน เช่น ใบเสร็จรับเงิน แยกเป็นปี 2567, 2566 หรือหากเป็นเอกสารสัญญา ใบทะเบียน ประกัน ให้แยกเป็นหมวดหมู่ให้ชัดเจน 2. ตั้งระบบการจัดเก็บให้หาง่าย สะดวก รวดเร็ว เลือกวิธีจัดเก็บเอกสารที่เหมาะสมกับการใช้งานของตนเอง และควรเลือกให้เหมาะกับชนิดของเอกสารที่จัดเก็บด้วย เช่น  เหมาะสำหรับเอกสารไม่หนามาก รวมถึงเอกสารที่หยิบเข้า-ออกบ่อยครั้ง เพื่อให้หาง่าย และสามารถหยิบออกมาใช้งานได้อย่างสะดวก เหมาะสำหรับเอกสารจำนวนมาก ไม่ควรใส่ซองบางๆ เนื่องจากเอกสารมีความหนา จึงต้องการความแข็งแรงของแฟ้มมารองรับปริมาณเอกสาร เหมาะสำหรับเอกสารเก่า ไม่ค่อยได้ใช้งาน หรือเอกสารที่ต้องกำจัด ที่สำคัญ อย่าลืมติดชื่อเอกสารไว้หน้ากล่อง เพื่อความสะดวกต่อการทำลาย หรือนำไปรีไซเคิล ทั้งนี้ ควรตั้งชื่อหมวดหมู่ให้ชัดเจน สื่อความหมายที่เข้าใจง่าย จัดเรียงเอกสารตามลำดับ เช่น ลำดับตัวอักษร และลำดับวันที่ 3. เก็บเอกสารในตู้ที่เหมาะสม ตู้เอกสารที่เหมาะสมควรจะปลอดภัย ให้เลือกตู้เอกสารที่มีขนาดพอเหมาะกับจำนวนเอกสาร ไม่เล็กจนแน่นเกินไป หรือใหญ่จนเหลือพื้นที่ว่างมากเกินไป และควรเลือกตู้ที่มีชั้นวาง มีพื้นที่แบ่งเป็นช่องสำหรับเก็บเอกสารแต่ละหมวดหมู่ 4. ทำความสะอาดตู้เอกสารเป็นประจำ สุขอนามัยดีของตู้เก็บเอกสาร ส่งผลต่อสุขภาพที่ดีของผู้ใช้งานด้วยเช่นกัน ดังนั้น ควรรักษาความสะอาดของตู้ รวมถึงบริเวณโดยรอบตู้เอกสารด้วยเป็นอย่างดี เช่น เช็ดฝุ่นทั้งด้านใน และด้านนอกตู้เอกสารอย่างน้อยเดือนละครั้ง จัดเก็บเอกสารให้เรียบร้อย ไม่วางซ้อนกันจนยุ่งเหยิง หมั่นกำจัดเอกสารที่ไม่จำเป็น และไม่ควรนำสิ่งของที่ไม่จำเป็นเข้าไปรวมกับเอกสาร เพื่อไม่ให้ตู้ล้น จนไม่มีพื้นที่จัดเก็บเอกสารจำเป็น 5. ใช้เทคโนโลยีช่วยจัดเก็บเอกสาร ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และชาญฉลาด ช่วยเก็บเอกสาร พร้อมอำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน แถมยังมีให้เลือกหลากหลาย และใช้ฟรีอีกด้วย OfficeMate แนะนำให้เก็บเอกสารด้วยวิธีที่ง่าย และรวดเร็ว ด้วยการสแกนเอกสารสำคัญเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ หรือ Cloud Storage เช่น Google Drive, Dropbox ตั้งชื่อไฟล์ให้ชัดเจน ค้นหาได้ง่าย ที่สำคัญควรสำรองข้อมูลไว้เป็นประจำ เพื่อป้องกันเอกสารเสียหาย หรือสูญหาย สรุป การจัดตู้เอกสารให้เป็นระเบียบ จะช่วยให้สามารถค้นหาเอกสารที่ใช้ในการทำงานได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ดังนั้น เราจึงควรจัดระบบการจัดเก็บเอกสารอย่างเป็นระบบ และเลือกวิธีการจัดเก็บเอกสารที่เหมาะสมกับการใช้งาน อย่ารอช้า! มาเริ่มจัดการตู้เอกสารของคุณให้เป็นระเบียบ เริ่มต้นด้วย 5 ขั้นตอนง่ายๆ จาก OfficeMate ได้เลย หรือใครยังหาตัวช่วยจัดเก็บเอกสารเพิ่มเติม OfficeMate ยังมีอุปกรณ์สำนักงาน หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับคุณ พร้อมมอบประสบการณ์ในการจัดเก็บเอกสารที่คุณอาจไม่เคยพบมาก่อน สามารถเข้ามาเลือกดูได้ที่ OfficeMate นอกจากการจัดเก็บเอกสารอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว การสร้างเอกสารสำคัญทางธุรกิจก็เป็นสิ่งสำคัญ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ออกบิลเงินสด, ใบเสร็จรับเงิน และเอกสารบัญชีต่างๆ ได้อย่าง สะดวก รวดเร็ว ในไม่กี่ขั้นตอน สร้างเอกสารทางธุรกิจ ครบถ้วน ถูกต้อง แม่นยำ ป้องกันปัญหาอย่างมืออาชีพ

24 ม.ค. 2024

PEAK Account

12 min

เช็กลิสต์มาตรการรัฐ สร้างการเติบโตของธุรกิจในยุคดิจิทัล

เมื่อโลกเปลี่ยน เทคโนโลยีเปลี่ยน การดำเนินธุรกิจในปัจจุบันก็ต้องมีการปรับตัวให้รองรับกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เช่น เรื่องช่องทางการขาย การชำระเงิน การจัดการบัญชี ภาษีต่างๆ ก็มีการนำเครื่องมือต่างๆ เข้ามาช่วยสร้างการทำงานในรูปแบบดิจิทัลมากขึ้น โดยรัฐบาลเองมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาทางเศรษฐกิจด้านดิจิทัลอย่างเป็นระบบ ดังตัวอย่างของมาตรการภาครัฐต่อไปนี้ที่จะช่วยส่งเสริมการดำเนินธุรกิจในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ e-Payment ชำระเงิน สะดวก รวดเร็ว ทุกที่ ทุกเวลา ทุกธุรกิจ    ระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์มาตรการภาครัฐที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้มีระบบรองรับการชำระเงินทางออนไลน์ที่ได้มาตรฐาน สอดคล้องกับการใช้งานเทคโนโลยีที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยลดความซับซ้อนในกระบวนการการเงินและทำให้เกิดประสิทธิภาพในการทำธุรกรรม โดยเฉพาะในส่วนของผู้ประกอบการที่นำระบบ e-Payment มาใช้ในธุรกิจ นอกจากจะเป็นการเพิ่มความสะดวกสบายแก่ลูกค้าแล้ว ยังเสริมสร้างประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการเงินของธุรกิจได้เป็นอย่างดีอีกด้วย  สำหรับเงื่อนไขของกฎหมายภาษี  e-Payment เป็นสิ่งที่เจ้าของกิจการ ร้านค้าต่างๆ ควรศึกษารายละเอียดอย่างแม่นยำ เพื่อการปฏิบัติทางกฎหมายที่ถูกต้อง ได้แก่ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 48) พ.ศ. 2562 ที่มีสาระสำคัญคือการกำหนดให้สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการทางการเงินอิเล็กทรอนิกส์ e-wallet ต้องรายงานข้อมูลผู้มีบัญชีธุรกรรมเฉพาะให้กรมสรรพากร ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา นิติบุคคล โดยมีเงื่อนไขดังนี้       e-Tax Invoice ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ตอบโจทย์ธุรกิจในยุคดิจิทัล e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เป็นมาตรการภาครัฐในการออกใบกํากับภาษีในรูปแบบใหม่ที่กรมสรรพากรได้พัฒนาขึ้นมาใช้แทนการออกใบกำกับภาษีแบบกระดาษ โดยจะปรับเปลี่ยนข้อมูลทั้งหมดเป็นในรูปแบบของอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางระบบออนไลน์ ซึ่งจะช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถส่งข้อมูลใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ถึงกรมสรรพากรได้อย่างสะดวกรวดเร็วผ่านช่องทางอีเมล หรือเว็บไซต์กรมสรรพากรได้ในทันท่วงที ไม่ต้องจัดเตรียม และรวบรวมใบกํากับภาษีแบบกระดาษอีกต่อไป นอกจากนั้นการจัดทำใบกำกับภาษีอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ยังมีประโยชน์ต่อเจ้าของธุรกิจอีกหลายประการ ได้แก่ การลดต้นทุนแฝงอย่างเช่น ค่ากระดาษ ค่าหมึกพิมพ์ ค่าจัดส่ง ค่าจัดเก็บใบกำกับภาษี การป้องกันเอกสารสูญหายหรือได้รับความเสียหาย นอกจากนั้น e-Tax Invoice ยังรองรับสิทธิประโยชน์จากทางภาครัฐ อย่างโครงการ การช้อปดีมีคืนในปี 2566 และล่าสุดกับโครงการ Easy E-Receipt เป็นต้น โดย e-Tax Invoice นั้นแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ 1. e-Tax Invoice by Time Stamp เป็นระบบการจัดทำใบกำกับภาษีโดยการประทับรับรองเวลา (Time Stamp) เกิดขึ้นจากความร่วมมือของกรมสรรพากรกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สรอ.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่มีรายได้ ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี หรือมีการออกใบกำกับภาษีจำนวนไม่มาก ได้ตระหนักถึงความสะดวกของการออกและใช้งานใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนสำหรับผู้ประกอบการที่จะพัฒนาไปสู่ระบบการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์อย่างสมบูรณ์แบบในอนาคต  2. e-Tax Invoice & e-Receipt เป็นระบบที่กรมสรรพากรพัฒนาขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ให้ผู้ประกอบการจัดทำใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ ใบลดหนี้ และใบเสร็จรับเงินในรููปแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการลงลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) ส่งมอบให้ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการด้วยช่องทางทางอิเล็กทรอนิกส์ตามที่ตกลงกัน รวมถึงการนำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรผ่านช่องทางที่กรมสรรพากรกำหนดด้วย Easy E-Receipt  โอกาสสำหรับผู้ประกอบการในยุคดิจิทัล Easy E-Receipt คือ โครงการลดหย่อนภาษีประจำปี 2567 ที่กรมสรรพากรกำหนดให้ผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถนำใบกำกับภาษีในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือที่เรียกกันว่า e-Tax Invoice และ e-Receipt ที่ได้รับจากการซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าที่จดทะเบียนในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อใช้ลดหย่อนภาษีในปีภาษี 2567 โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2567 โดยมีเงื่อนไขการใช้จ่ายดังต่อไปนี้ 1. ต้องเป็นผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2. ซื้อสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการจดทะเบียน VAT ที่ออกใบกำกับภาษีเต็มรูปในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) ผ่านระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt ของกรมสรรพากรเท่านั้น 3. ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามจริง จำนวนไม่เกิน 50,000 บาท นับเป็นโอกาสดีอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการจดทะเบียนในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มที่สามารถออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ที่จะสร้างการขายสินค้าและบริการตามที่โครงการกำหนด 2 มาตรการภาษี  โอกาสดีๆ สำหรับผู้ประกอบการ เป็นการขยายเวลาต่อเนื่องสำหรับมาตรการภาครัฐที่กำหนดขึ้นเพื่อส่งเสริมการลงทุนในระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์และส่งเสริมการใช้ระบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถหักรายจ่ายการลงทุนในระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt และระบบ e-Withholding Tax รวมถึงหักรายจ่ายค่าบริการระบบดังกล่าวได้ 2 เท่าของรายจ่ายที่จ่ายจริง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 – 31 ธันวาคม 2568  มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการใช้ระบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ (e-Withholding Tax) สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินผ่านระบบ e-Withholding Tax ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 -31 ธันวาคม 2568” จะมีการลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เหลืออัตราร้อยละ 1 ทั้ง 2 มาตรการดังกล่าวจะเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการในการลดต้นทุนในการจัดทำและการจัดเก็บเอกสาร รวมทั้งยังช่วยให้ผู้ประกอบการมีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นในช่วงระยะเวลาดำเนินมาตรการลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายได้อีกด้วย PromptBiz  ตอบโจทย์ธุรกิจดิจิทัล สร้างระบบการทำงานแบบมืออาชีพ PromptBiz คือ โครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินกลางสำหรับภาคธุรกิจ ทำให้เกิดการทำธุรกิจแบบดิจิทัลที่สามารถข้ามธนาคารได้อย่างครบวงจร โดยจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลการค้าและการชำระเงิน ตั้งแต่ข้อมูลใบแจ้งหนี้ การวางบิล การชำระเงิน จนถึงการออกใบเสร็จ โดย PromptBiz จะมีบริการ 2 ด้านสำคัญ ได้แก่ บริการด้านการค้าและการชำระเงิน และบริการด้านสินเชื่อ PromptBiz จะเปลี่ยนเอกสารทางการค้าจากรูปแบบกระดาษมาเป็นเอกสารดิจิทัลในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวางบิล รับวางบิล ตรวจสอบความถูกต้อง และชำระเงินผ่านแพลตฟอร์ม พร้อมจัดทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ ครอบคลุมไปถึงการทำรายการหักและนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายอัตโนมัติ  ขณะเดียวกันระบบ PromptBiz จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ พัฒนากระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  ช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs ได้เป็นอย่างดี

29 ก.ย. 2023

PEAK Account

8 min

5 สัญญาณธุรกิจเจ๊ง! ขาดสภาพคล่องต้องทำอย่างไร

ธุรกิจอาจต้องเจอการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เหมือนการเดินไปในทิศทางที่ไม่มีแบบแผนที่แน่นอน บนโลกที่เทคโนโลยีก้าวกระโดด และพัฒนาไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ธุรกิจจำเป็นต้องมีความคล่องตัว และสามารถปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ผู้ประกอบการจึงต้องตระหนักถึงความเสี่ยงขาดสภาพคล่องของธุรกิจ ซึ่งอาจทำให้ธุรกิจสะดุด และอาจไปต่อไม่ไหว OfficeMate มี 5 สัญญาณเตือน ที่บ่งบอกได้ว่าธุรกิจของคุณกำลังเผชิญกับภาวะ “ขาดสภาพคล่อง” พร้อมแนะนำแนวทางปรับปรุง สร้างความยืดหยุ่น และประคับประคองให้กับธุรกิจของคุณยังดำเนินต่อไปได้ในระยะยาว 5 สัญญาณ ที่บอกว่าธุรกิจกำลังขาดสภาพคล่อง 1. ธุรกิจขาดแคลนกระแสเงินสด หากคุณพบว่าธุรกิจของคุณขาดแคลนกระแสเงินสดที่น้อยมากหรือมีปัญหาในการเก็บเงินจากคุณ นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังมีปัญหาทางการเงินและควรดำเนินการเพิ่มกระแสเงินสดให้มากขึ้น แนวทางการรับมือ 2. บัญชีหละหลวม การจัดการบัญชีที่ไม่เรียบร้อยและไม่มีความชัดเจนสามารถเป็นสัญญาณว่าคุณไม่รู้สึกตื่นเต้นในการติดตามสถานะการเงินของธุรกิจของคุณ นี่อาจส่งผลให้คุณพลาดข้อผิดพลาดทางการเงินที่สำคัญ แนวทางการรับมือ 3. ไม่จัดการเงินให้เป็นสัดส่วน การไม่จัดการเงินให้เป็นสัดส่วนอาจทำให้คุณไม่มีความสามารถในการวางแผนการเงินและการลงทุนที่ดี เช่น การลงทุนเงินสดมากเกินไปหรือการกู้ยืมที่มีดอกเบี้ยสูง ทั้งนี้ ยังรวมถึงนำเงินส่วนตัวมาใช้ปะปนกับเงินที่ต้องดำเนินธุรกิจด้วยเช่นกัน แนวทางการรับมือ 4. เงินทุนหมุนเวียนน้อยกว่าต้นทุนคงที่ ถ้าธุรกิจของคุณมีเงินทุนหมุนเวียนน้อยกว่าต้นทุนคงที่ คุณอาจพบว่าการดำเนินธุรกิจไม่ราบรื่นและยากที่จะเติบโต แนวทางการรับมือ 5. ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตรงเวลา การไม่สามารถชำระหนี้ตรงเวลาอาจทำให้คุณต้องเผชิญกับความรุนแรงของหนี้สินและส่งผลให้ธุรกิจขาดสภาพคล่อง แนวทางการรับมือ “เครดิตเทอม” ทางออกให้ธุรกิจคุณ Cashflow กว่าที่เคย การให้เครดิตเทิร์มช่วยธุรกิจขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว คุณสามารถซื้อสินค้า หรือบริการได้โดยไม่ต้องมีเงินสดล่วงหน้า นี่อาจเป็นสิ่งที่เพิ่มยอดขายและสร้างโอกาสใหม่ในการเติบโตทางธุรกิจได้ ในกรณีที่ธุรกิจมีปัญหาการเงินชั่วคราว เครดิตเทิร์มอาจช่วยลดความเครียด และช่วยให้คุณมีเวลาในการชำระหนี้ให้คงที่ก่อนได้ การใช้เครดิตเทิร์มที่มีเงื่อนไขชำระเงินชัดเจน จะช่วยให้ธุรกิจควบคุมการเงินได้ดีขึ้น และมีความสามารถในการวิเคราะห์ และคาดการณ์การชำระหนี้ในอนาคตได้ ขอเครดิตเทอมกับ OfficeMate ง่ายๆ เพียง 4 ขั้นตอน สำหรับผู้ประกอบการที่อยากขอเครดิตเทอมกับ OfficeMate แบบอ๊อฟ ทำได้ง่ายๆ ใน 4 ขั้นตอน!  เมื่ออนุมัติผ่านแล้ว สามารถเข้ามาช้อปสินค้าผ่าน แล้วเลือกชำระเงินแบบเครดิตเทอมได้เลย! ขอเครดิตเทอมกับ OfficeMate ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจได้แบบไม่ต้องกู้ อยากได้คำแนะนำหรือสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครดิตเทอม คลิกเลยที่ Online Credit term หรือ โทร. 1281 PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ตอบโจทย์การบริหารการเงินแบบเรียลไทม์ ด้วยระบบ Dashboard สามารถรู้ผลกำไรคาดการณ์สถานะทางการเงินของบริษัท จัดการความเสี่ยงทางการเงินได้ทันท่วงที ช่วยลดปัญหาการขาดสภาพคล่องที่อาจเกิดขึ้นได้ สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

15 ก.ย. 2023

PEAK Account

11 min

ใบรับรองเงินเดือนเอกสารสำคัญที่มนุษย์เงินเดือนห้ามพลาด

สงสัยกันหรือไม่ว่าใบรับรองเงินเดือนมีความสำคัญอย่างไร ออกใบรับรองเงินเดือนเองได้ไหม วันนี้เราจะพามารู้จักกับใบรับรองเงินเดือนและหาคำตอบไปพร้อมๆ กัน ใบรับรองเงินเดือนสำคัญอย่างไรต่อพนักงาน ใบรับรองเงินเดือน (Salary Certificate) เป็นเอกสารสำหรับพนักงานที่ใช้เป็นหลักฐานยืนยันเงินเดือนของบุคคลหรือพนักงานจากที่ทำงานในองค์กรหรือบริษัท ซึ่งในใบรับรองเงินเดือนจะระบุอัตราเงินเดือนที่ได้รับจากบริษัทนั้นๆ โดยที่ยังไม่รวมค่าตอบแทนอื่นๆ และไม่ผ่านการหักภาษีหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ  โดยทั่วไปแล้ว บริษัทสามารถออกใบรับรองเงินเดือนให้กับพนักงานในขณะที่ยังไม่สิ้นสุดสัญญาจ้าง เพื่อสิทธิประโยชน์ของพนักงานในเรื่องของการทำธุรกรรมต่างๆได้ เช่น การยื่นเอกสารเพื่อขอวีซ่า การขอสินเชื่อกับทางธนาคาร สมัครงาน และการขอประกันสุขภาพหรือประกันชีวิต (เพื่อประเมินความเสี่ยงทางการเงินของผู้เอาประกัน) เป็นต้น  ข้อมูลในใบรับรองเงินเดือนควรมีอะไรบ้าง? การจัดทำใบรับรองเงินเดือนของแต่ละองค์กรนั้นมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป แต่จำเป็นที่จะต้องมีข้อมูลที่สำคัญซึ่งประกอบไปด้วยรายละเอียดดังต่อไปนี้ หมายเหตุ หากจำเป็นต้องระบุวัตถุประสงค์ในการออกเอกสาร ควรใส่ข้อมูลลงไปด้วย เช่น ใช้สำหรับการขอสินเชื่อ เป็นต้น หนังสือรับรองเงินเดือน สลิปเงินเดือน หนังสือรับรองการทำงาน ต่างกันอย่างไร? หนังสือรับรองเงินเดือน (Salary Certificate) สลิปเงินเดือน (Pay Slip) และหนังสือรับรองการทำงาน (Employment Certificate) เป็นเอกสารที่มีความแตกต่างกันเนื่องจากมีวัตถุประสงค์และส่วนประกอบที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้ หนังสือรับรองเงินเดือนหรือใบรับรองเงินเดือน หนังสือรับรองเงินเดือนหรือใบรับรองเงินเดือน มีวัตถุประสงค์เพื่อรับรองเงินเดือนของพนักงานขณะปฏิบัติงานอยู่ ณ บริษัทนั้นๆ อีกทั้งใบรับรองเงินเดือนสามารถแสดงความน่าเชื่อถือของบุคคลๆ นั้นที่ได้มีการทำงานที่บริษัทแห่งนี้ได้ โดยจะเหมาะสำหรับในการนำไปทำธุรกรรมการเงินต่างๆ นอกจากนี้หากได้มีการไปสมัครงานบริษัทใหม่บางบริษัทอาจต้องการรู้ฐานเงินเดือนเก่าก็สามารถให้เจ้าหน้าที่ HR ออกใบนี้ได้เช่นเดียวกัน สลิปเงินเดือน สำหรับสลิปเงินเดือน คือ สลิปที่มีการออกเป็นประจำทุกเดือน มีวัตถุประสงค์เพื่อที่แสดงให้เห็นว่าทางบริษัทได้มีการจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานในแต่ละเดือนจริง โดยข้อมูลก็จะเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ที่จะมีการจำแนกแจกแจงรายละเอียดต่างๆ เช่น เงินเดือนเท่านี้จะถูกหักออกไปเป็นประกันสังคมเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ ต้องเสียภาษีเท่าไหร่ หรือถ้าหากมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก็จะมีการแจ้งรายละเอียดเสร็จสรรพ หนังสือรับรองการทำงาน    สำหรับหนังสือรับรองการทำงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อยืนยันสถานะการทำงานของพนักงานในองค์กรหรือบริษัท รับรองว่าพนักงานได้ทำงานอยู่ในบริษัทนั้นจริง ซึ่งสามารถใช้ในการสมัครงานในองค์กรอื่นหรือสำหรับเป็นหลักฐานในกระบวนการต่าง ๆ โดยหนังสือรับรองการทำงานจะออกด้วยเหตุผลอยู่ 2 อย่าง คือ ได้ทำงานผ่านโปรตามที่บริษัทได้มีการระบุไว้ หรือออกเมื่อสัญญาการว่าจ้างงานนั้นสิ้นสุดลงหรือได้มีการลาออก พนักงานสามารถออกใบรับรองเงินเดือนเองได้หรือไม่   พนักงานไม่สามารถออกใบรับรองเงินเดือนเองได้ หากพนักงานทำการออกเอกสารด้วยตนเองจะถือว่าเป็นการปลอมแปลงเอกสาร และจงใจทุจริต ซึ่งกรณีที่พนักงานออกเอกสารด้วยตนเองอาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือต่อตัวเองบุคคลเอง และอาจเสียเครดิตในการทำธุรกรรมต่างๆ ทั้งนี้ การออกใบรับรองเงินเดือนควรให้ฝ่าย HR (Human Resources) หรือผู้มีอำนาจทำการออกเอกสารและลงนามรับรองเอกสารฉบับดังกล่าว แม้แต่ในกรณีของ HR เองที่ต้องการใบรับรองเงินเดือนก็ไม่สามารถเซ็นรับรองบนใบรับรองการทำงานด้วยตนเองได้ จะต้องให้ผู้มีอำนาจสูงกว่าหรือเจ้าของกิจการเป็นผู้เซ็นรับรองบนเอกสารฉบับนั้น สรุปความสำคัญของใบรับรองเงินเดือน การออกใบรับรองเงินเดือนจะต้องเป็นไปตามนโยบายและข้อกำหนดขององค์กรหรือบริษัท ซึ่งต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้องและสอดคล้องกับความเป็นจริงของรายได้และเงื่อนไขการทำงานของพนักงาน นอกจากนี้ยังต้องเป็นเอกสารที่มีลายเซ็นจากผู้มีอำนาจในการออกหนังสือเพื่อเสริมความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพของเอกสารนั้นๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการในกรณีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ใบรองเงินเดือน โปรแกรมบริหารงานบุคคล แพลตฟอร์มที่ช่วยให้การบริหารจัดการงานฝ่ายบุคคลเป็นเรื่องง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบการลงเวลาการงาน เอกสารและการอนุมัติ การคำนวณเงินเดือน สลิปเงินเดือน ตลอดจนรายงานต่างๆ มีการเชื่อมต่อการใช้งานร่วมกับ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ หลังจากที่ผู้ประกอบการมีการผูกผังบัญชีกับ PEAK เมื่อมีการทำจ่ายเงินที่ HumanSoft ระบบจะส่งข้อมูลมาที่ PEAK โดย PEAK จะบันทึกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับเงินเดือนนั้นได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ   หากสนใจอ่านบทความเกี่ยวกับใบรับรองเงินเดือนหรือเรื่องเกี่ยวกับการบริหารงาน HR อื่นๆ เพิ่มเติมสามารถเข้ามาอ่านได้ที่ รวมเรื่องบริหารงานบุคคล หรือหากต้องการออกใบรับรองการทำงานให้กับพนักงานง่าย ๆ สามารถทดลองใช้งานฟรี 30 วันได้ที่ HumanSoft โปรโมชั่น สุด wow! สำหรับลูกค้าปัจจุบันที่ใช้งาน โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK สมัครใช้งาน โปรแกรมคิดเงินเดือน HumanSoft วันนี้ เฉพาะผู้ที่สมัครแพ็กเกจ Professional แบบรายปี มูลค่ามากกว่า 49,000 บาท ( รายละเอียดแพ็กเกจ เพิ่มเติม ) คุ้ม 3 ต่อ ต่อที่ 1 รับเครื่องสแกนลายนิ้วมือและใบหน้า รุ่นใหม่ล่าสุด มูลค่า 11,900 บาท ทันที ต่อที่ 2 ทดลองใช้งาน โปรแกรม HumanSoft ฟรี 30 วัน ครบทุกฟังก์ชัน ต่อที่ 3 แถมฟรี ฟังก์ชั่น E-learning & E-library จำนวน 5 บทเรียน เงื่อนไขการรับสิทธิ์ 1. สิทธิพิเศษนี้ สำหรับลูกค้าปัจจุบัน ของโปรแกรม Peak เท่านั้น 2. ลูกค้า 1 ท่าน สามารถใช้สิทธิ์ได้ 1 ครั้งเท่านั้น 3. ไม่สามารถใช้ร่วมกับส่วนลดอื่นๆ ได้ 4. ส่วนลดไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ 5. บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนด และเงื่อนไขโดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ธันวาคม 2566 นี้เท่านั้น หรือจนกว่าสินค้าจะหมด

18 ต.ค. 2024

PEAK Account

9 min

ตัววัดความสำเร็จสำหรับผู้ประกอบการ SME EP.2

ในการบริหารธุรกิจ SME อย่างมีประสิทธิภาพ การวัดผลความสำเร็จด้วยตัวชี้วัด (KPI) ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถติดตามผลการดำเนินงานและพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จากบทความ 12 ตัววัดความสำเร็จสำหรับผู้ประกอบการ SME (EP.1) ที่ช่วยให้เห็นภาพชัดเจนถึงสถานะและการเติบโตของธุรกิจขึ้น ใน EP.2 นี้ จะมานำเสนอตัวชี้วัดเพิ่มเติมอีก 7 ตัว ที่มีความสำคัญในการประเมินทั้งด้านการเงิน ประสิทธิภาพการดำเนินงาน และการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า เพื่อให้คุณสามารถนำไปปรับใช้ในการพัฒนาธุรกิจได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ตัววัดความสำเร็จสำหรับผู้ประกอบการ SME ที่สำคัญ ดังนี้ 1. Churn Rate (อัตราการยกเลิกการใช้บริการ) อัตราการยกเลิกการใช้บริการ คือ เปอร์เซ็นต์ลูกค้าที่ยกเลิกการใช้บริการในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยตัวชี้วัดนี้ช่วยวัดความพึงพอใจของลูกค้าและความสามารถในการรักษาลูกค้า อัตราการยกเลิกการใช้บริการที่มีค่าน้อยหมายถึงว่าอัตราการยกเลิกการใช้บริการต่ำ แสดงว่าลูกค้าพึงพอใจและมีแนวโน้มที่จะใช้บริการของธุรกิจต่อ Churn Rate = ((จำนวนลูกค้าที่สูญเสีย + จำนวนลูกค้าที่กลับมา) ÷ จำนวนลูกค้าทั้งหมด) -1 หน่วย : % 2. Cash Burn (การใช้เงินทุน) การใช้เงินทุน หมายถึงจำนวนเงินสดที่ธุรกิจใช้จ่ายในช่วงเวลาหนึ่ง โดยทั่วไปจะใช้คำนี้เมื่อพูดถึงธุรกิจที่กำลังเติบโตหรือสตาร์ทอัพที่ยังไม่มีกำไรและจำเป็นต้องใช้เงินทุนที่ได้รับมาเพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน คำว่า “Burn” หรือ “เผาผลาญ” สื่อถึงการใช้เงินทุนเพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้จนกว่าจะถึงจุดที่สามารถทำกำไรได้ การใช้เงินทุนค่าน้อย แสดงว่า ธุรกิจใช้เงินน้อยหรือสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี การคำนวณ Cash Burn มักจะแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก Gross Burn = เงินสดคงเหลือในช่วงต้นเดือน − เงินสดคงเหลือในช่วงสิ้นเดือน ÷ จำนวนเดือน Net Burn = ค่าใช้จ่ายทั้งหมดต่อเดือน − รายรับทั้งหมดต่อเดือน หน่วย : บาท 3. Cash Out Date (วันหมดเงินสด) วันหมดเงินสด หมายถึง วันที่บริษัทคาดว่าจะใช้เงินสดทั้งหมดที่มีอยู่จนหมด โดยใช้การวิเคราะห์จากการใช้เงินทุนปัจจุบัน เป็นตัวชี้วัดสำคัญในการจัดการกระแสเงินสดและการ วันหมดเงินสด ยิ่งมากยิ่งดี แสดงว่า ธุรกิจสามารถดำเนินการต่อได้โดยไม่ต้องการเงินทุนเพิ่มเติมในทันทีพยากรณ์ทางการเงินสำหรับธุรกิจเริ่มต้น จำนวนวันที่เหลือก่อนหมดเงินสด = เงินสดคงเหลือ ÷ ค่าใช้จ่ายสุทธิต่อเดือน หน่วย : บาท 4. Runway (ระยะเวลาที่สามารถดำเนินธุรกิจได้) Runway หมายถึง ระยะเวลาที่ธุรกิจสามารถดำเนินการได้จนกว่าเงินสดจะหมด ซึ่งคำนวณจากจำนวนเงินสดคงเหลือที่ธุรกิจมีและอัตราการใช้เงินสดต่อเดือน (Burn Rate) เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการจัดการกระแสเงินสดของธุรกิจ โดยเฉพาะสำหรับสตาร์ทอัพหรือธุรกิจที่ยังไม่มีกำไร Runway ยิ่งมากยิ่งดี แสดงว่า ธุรกิจสามารถดำเนินการได้เป็นระยะเวลานานจนกว่าเงินสดจะหมด Runway = เงินสดคงเหลือ ÷ อัตราการใช้เงินสดต่อเดือน หน่วย : เดือน 5. Operating Expenses (ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน) Operating Expenses (ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน) คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจในแต่ละวัน ซึ่งจำเป็นสำหรับการทำงานของธุรกิจ เช่น ค่าเช่าสำนักงาน เงินเดือนพนักงาน ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค (ค่าน้ำ ค่าไฟ) โดยค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับต้นทุนในการผลิตสินค้าหรือบริการโดยตรง แต่เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานทั้งหมดของธุรกิจ 6. Budget Attainment (การบรรลุเป้าหมายงบประมาณ) การบรรลุเป้าหมายงบประมาณหมายถึงเปอร์เซ็นต์ที่บริษัทสามารถทำรายได้ได้ตามที่ตั้งเป้าหมายในงบประมาณที่วางไว้ การบรรลุเป้าหมายงบประมาณ ยิ่งมากยิ่งดี แสดงว่า สามารถสร้างรายได้ตามหรือเกินกว่างบประมาณที่กำหนดไว้ การบรรลุเป้าหมายงบประมาณ = รายได้จริง ×100 รายได้ที่ตั้งไว้ หน่วย : % 7. Sales Attainment (การบรรลุเป้าหมายการขาย) การบรรลุเป้าหมายการขาย คือเปอร์เซ็นต์ที่ทีมขายสามารถทำรายได้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในช่วงเวลาหนึ่ง การบรรลุเป้าหมายการขายยิ่งมากยิ่งดี แสดงว่า ทีมขายสามารถทำยอดขายได้ตามหรือเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ การบรรลุเป้าหมายการขาย = ยอดขายจริง÷ เป้าหมายยอดขาย​ ×100 หน่วย : % แหล่งที่มา : อย่างไรก็ตามการจะนำข้อมูลต่างๆ ในธุรกิจมาวิเคราะห์หรือหาค่าจากตัวชี้วัดได้นั้น ควรต้องมีระบบข้อมูลที่แข็งแรง อย่าง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยให้ผู้ประกอบการ SME จัดการงานบัญชีที่ซับซ้อนให้เป็นระบบอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การติดตามรายงานทางการเงิน เช่น ต้นทุนขายและกำไร-ขาดทุน เป็นเรื่องง่ายและชัดเจน การใช้งาน PEAK ยังช่วยให้คุณเห็นรายงานสำคัญ เช่น งบกำไรขาดทุนและงบฐานะการเงินแบบ Real-Time ซึ่งสอดคล้องกับตัวชี้วัดสำคัญที่กล่าวถึงในบทความด้านบน ไม่ว่าจะเป็น การบริหารจัดการต้นทุน และ การวัดกำไรขาดทุน ที่มีบทบาทสำคัญในการประเมินความสำเร็จของธุรกิจ SME ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @systemseedwebs-comสอบถามเพิ่มเติม คลิก

11 ต.ค. 2024

PEAK Account

12 min

9 เคล็ดลับการเทรนพนักงานในองค์กรให้เป็นพนักงานมืออาชีพ

การฝึกพนักงานให้กลายเป็นมืออาชีพเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สามารถเสริมสร้างความสำเร็จและความยั่งยืนให้กับธุรกิจ การฝึกฝนไม่ได้เน้นเพียงแค่ทักษะในการทำงาน แต่ยังครอบคลุมถึงการพัฒนาทัศนคติและคุณสมบัติอื่น ๆ ที่ส่งเสริมประสิทธิภาพและความเป็นผู้นำในระยะยาว ต่อไปนี้คือ 9 เคล็ดลับสำคัญที่ผู้ประกอบการสามารถนำไปใช้ในการเทรนพนักงาน 1. ฝึกนิสัยทำงานให้สำเร็จ ก่อนจะเริ่มต้นฝึกฝนพนักงาน เราต้องเข้าใจก่อนว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้พนักงานทำงานไม่เสร็จตามเป้าหมาย อาจเป็นเพราะขาดทักษะในการจัดการเวลา, ขาดแรงจูงใจ, หรือมีอุปสรรคในการทำงานที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เมื่อทราบสาเหตุแล้วจึงจะสามารถวางแผนการฝึกอบรมที่ตรงจุดได้ การฝึกให้พนักงานมีนิสัยในการทำงานให้เสร็จสมบูรณ์ตามเป้าหมายที่กำหนดเป็นสิ่งสำคัญมาก การสอนให้พนักงานรู้จักตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและมีความรับผิดชอบต่อผลงานของตนเองช่วยเสริมสร้างความสามารถในการจัดการเวลาและงานอย่างมีประสิทธิภาพ การส่งเสริมให้พนักงานทำงานด้วยความมุ่งมั่นจนงานสำเร็จจะช่วยสร้างแรงผลักดันให้พนักงานมีความภาคภูมิใจในผลงานที่ทำได้ และทำให้องค์กรได้งานที่มีคุณภาพ เนื่องจากมีการวางแผนและติดตามอย่างเป็นระบบ 2. พัฒนาการตระหนักรู้ในตนเอง การตระหนักรู้ในตนเองหรือ Self-awareness เป็นทักษะที่ช่วยให้พนักงานเข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อน และรู้ว่าตนเองต้องพัฒนาหรือปรับปรุงอะไร การมีความตระหนักรู้ในตนเองสูงทำให้พนักงานสามารถปรับตัวได้ดีต่อสถานการณ์ต่าง ๆ พร้อมทั้งรับฟังคำแนะนำหรือคำวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ การสอนพนักงานให้ตระหนักรู้ในตนเองจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การให้ Feedback อย่างตรงไปตรงมา ช่วยให้พนักงานทราบถึงจุดแข็ง จุดอ่อน และสิ่งที่ควรปรับปรุงของตนเอง ส่งผลให้พนักงานสามารถพัฒนาและปรับปรุงข้อบกพร่องได้อย่างตรงจุด ทำให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น 3. สร้างความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น การมีความเห็นอกเห็นใจหรือ Empathy เป็นทักษะที่ช่วยให้พนักงานเข้าใจและเห็นคุณค่าของเพื่อนร่วมงานและลูกค้า การส่งเสริมให้พนักงานมีทัศนคติที่ดีต่อการทำงานร่วมกับผู้อื่นและแสดงความเข้าใจต่อความรู้สึกหรือปัญหาของคนรอบข้างจะทำให้เกิดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การทำงานร่วมกันในทีมที่มีความเข้าใจกันเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการทำงาน เจ้าของธุรกิจที่สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน การฟังความคิดเห็นของผู้อื่นอย่างตั้งใจ เพื่อให้พนักงานเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น จะทำให้เกิดความร่วมมือในองค์กรและสภาพแวดล้อมการทำงานมีความเป็นมิตรมากขึ้น 4. พัฒนาทักษะการสื่อสาร การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญในทุกองค์กร พนักงานควรได้รับการฝึกฝนในการสื่อสารให้ชัดเจนและเข้าใจง่าย ทั้งการพูด การเขียน และการฟัง เช่น การใช้ภาษาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย การใช้คำถามเพื่อสร้างความเข้าใจ เป็นต้น ซึ่งช่วยลดความเข้าใจผิดและส่งเสริมการทำงานเป็นทีมที่ดี  จัดกิจกรรมนำเสนองานต่างๆ เพื่อให้พนักงานได้ฝึกพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น จะทำให้เกิดดการสื่อสารในองค์กรที่ดีขึ้น และการสื่อสารที่ดียังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ส่งผลให้เกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ 5. สอนวิธีการนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายขึ้น การนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนควรทำให้เข้าใจง่าย โดยการสอนเทคนิคต่างๆ เช่น การใช้กราฟ การสรุปเนื้อหาให้กระชับ และการใช้ตัวอย่างที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยให้ผู้ฟังสามารถเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น สามารถเริ่มจากการสอนให้เข้าใจระดับความรู้ของผู้ฟัง เพื่อเลือกใช้ภาษาและเนื้อหาที่เหมาะสมในการนำเสนอ โดยเฉพาะเมื่อพูดคุยกับฝ่ายงานอื่น การพัฒนาทักษะนี้ช่วยให้พนักงานสามารถถ่ายทอดความรู้และข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพพนักงานเข้าใจตรงกันและนำข้อมูลไปใช้ได้อย่างถูกต้อง ทำให้ลดความผิดพลาดในการทำงาน ส่งผลให้การทำงานราบรื่นขึ้น 6. ฝึกการจัดการอารมณ์ การจัดการอารมณ์เป็นทักษะที่สำคัญในที่ทำงาน พนักงานควรได้รับการสอนให้รู้จักการระบุและจัดการกับอารมณ์ของตนเอง เช่น การหาวิธีผ่อนคลาย การตั้งเป้าหมายเพื่อจัดการกับความเครียด ซึ่งเมื่อพนักงานจัดการกับความเครียดและความกดดันได้ดีขึ้น ส่งผลให้มีบรรยากาศในการทำงานที่ดี ทั้งยังช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีสมาธิและลดความขัดแย้งในทีม 7. ฝึกให้กล้าแสดงความคิดเห็น การส่งเสริมให้พนักงานกล้าแสดงความคิดเห็นช่วยสร้างบรรยากาศที่เปิดกว้างและส่งเสริมการเรียนรู้ การเปิดช่องทางให้แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ เช่น มีกล่องสำหรับรับข้อเสนอแนะให้พนักงานเขียนความคิดเห็น แล้วนำความคิดเห็นที่ดีไปปรับใช้ เพื่อให้พนักงานเข้าใจว่าความคิดเห็นของพวกเขามีค่าต่อองค์กร  เพราะความคิดเห็นจากคนทำงานจะช่วยให้องค์กรปรับปรุงกระบวนการทำงานได้ตรงจุด หรืออาจได้ไอเดียใหม่ๆจากพนักงาน ที่นำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการ 8. พัฒนาทักษะบริหารเวลา ทักษะการบริหารเวลาเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน พนักงานควรได้รับการสอนวิธีการวางแผนและจัดการเวลาให้มีประสิทธิภาพ การสอนให้จัดลำดับความสำคัญของงานและวางกำหนดการที่ชัดเจนการตั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว การใช้เครื่องมือช่วยในการบริหารเวลา อย่างเช่นปฏิทินหรือแอปพลิเคชันที่ช่วยติดตามงาน จะทำให้พนักงานรู้ว่างานไหนควรทำก่อน ทำให้สามารถส่งมอบงานได้ตรงเวลา 9. ฝึกให้ยอมรับความผิดพลาดได้ การยอมรับความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ พนักงานควรได้รับการฝึกฝนให้เห็นคุณค่าของการเรียนรู้จากความผิดพลาด และเข้าใจว่ามันเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเอง แทนที่จะมองว่าความผิดพลาดเป็นความล้มเหลว การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดใจรับฟังและให้ความสำคัญกับการเรียนรู้จากความผิดพลาดจะทำให้พนักงานรู้สึกปลอดภัยที่จะยอมรับความผิดพลาด ช่วยให้พนักงานมีความมั่นใจมากขึ้นในการทำงาน พร้อมหาทางแก้ไขปัญหาและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีก แหล่งที่มา : การพัฒนาเหล่านี้จะช่วยสร้างพนักงานที่มีคุณภาพ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่ความสำเร็จขององค์กรในระยะยาวได้ นอกจากนี้ การใช้โปรแกรมบัญชี PEAK ในการจัดการข้อมูลทางการเงินและบัญชี ก็สามารถช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน ด้วยระบบที่ใช้งานง่ายและครอบคลุมทุกขั้นตอนทางการเงินและบัญชี ช่วยลดข้อผิดพลาดในการทำงาน เพิ่มความแม่นยำในการ และทำให้สามารถมุ่งเน้นไปที่การวางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้าได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังรองรับการทำงานแบบออนไลน์ ทำให้การทำงานร่วมกันภายในทีมเป็นไปอย่างราบรื่น  ทั้งนี้ การใช้งานโปรแกรมบัญชีที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการทำงาน แต่ยังเป็นการส่งเสริมให้พนักงานสามารถใช้ทักษะและความรู้ในด้านต่างๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กรได้อย่างต่อเนื่อง ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @systemseedwebs-comสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

13 ก.ย. 2024

PEAK Account

9 min

สูตร(ไม่)ลับ ตรวจวัดสถานะทางการเงินของธุรกิจ

การเข้าใจสถานะทางการเงินของธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องในเรื่องการลงทุน การขยายกิจการ หรือแม้กระทั่งการวางแผนการเงินในระยะยาว ในบทความนี้ เราจะมาเปิดเผย “สูตร(ไม่)ลับ” ที่จะช่วยให้คุณสามารถตรวจวัดสถานะทางการเงินของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ 8 สูตรอัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratios) ที่ผู้ประกอบการควรรู้ อัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratios) คือ ตัวชี้วัดที่ใช้ในการวิเคราะห์สถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของธุรกิจ โดยอัตราส่วนเหล่านี้จะถูกคำนวณจากข้อมูลทางการเงินที่ปรากฏในงบการเงินของบริษัท เช่น งบกำไรขาดทุน งบแสดงฐานะทางการเงิน (งบดุล) และงบกระแสเงินสด อัตราส่วนทางการเงินเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการ เพราะสามารถช่วยให้เข้าใจถึงความสามารถของธุรกิจในการสร้างรายได้, การบริหารสินทรัพย์, และการจัดการหนี้สินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถคำนวณได้การสูตรดังต่อไปนี้ การวัดความสามารถในการจัดการหนี้สินของบริษัท 1. หนี้สินรวมต่อส่วนผู้ถือหุ้น (Total Debt to Equity Ratio) หนี้สินรวมต่อส่วนผู้ถือหุ้น = หนี้สินรวม/ส่วนผู้ถือหุ้น หนี้สินรวมต่อส่วนผู้ถือหุ้น เป็นอัตราส่วนที่ใช้วัดระดับความมั่นคงทางการเงินของบริษัทโดยการเปรียบเทียบระหว่างหนี้สินทั้งหมดของบริษัทกับส่วนของผู้ถือหุ้น อัตราส่วนนี้จะแสดงให้เห็นว่าบริษัทใช้หนี้สินเท่าไหร่ในการระดมทุนเมื่อเทียบกับการใช้ทุนจากผู้ถือหุ้น 2. อัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio) อัตราส่วนสภาพคล่อง = สินทรัพย์หมุนเวียน/หนี้สินหมุนเวียน อัตราส่วนสภาพคล่อง เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงความสามารถของบริษัทในการจ่ายหนี้ระยะสั้นโดยใช้สินทรัพย์หมุนเวียน อัตราส่วนนี้ใช้ในการวัดความสามารถของบริษัทในการจัดการกับหนี้สินที่มีการชำระภายในระยะเวลา 1 ปี เป็นการดูว่าบริษัทมีเงินหรือสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้เร็วพอที่จะจ่ายหนี้ระยะสั้นหรือไม่ช่วยให้เรารู้ว่าบริษัทมีความสามารถในการจ่ายหนี้ระยะสั้น (เช่น หนี้ที่ต้องจ่ายภายใน 1 ปี) มากน้อยแค่ไหน ถ้าอัตราส่วนนี้สูง แปลว่าบริษัทมีเงินพอจ่ายหนี้ แต่ถ้าต่ำ แปลว่าบริษัทอาจเจอปัญหาในการจ่ายหนี้ได้ การวัดประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์และทุนของบริษัท 3. ROE (Return on Equity) หรือ อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ROE (%) = กำไรสุทธิ/ส่วนผู้ถือหุ้น ROE ใช้วัดว่าบริษัทสามารถทำกำไรได้เท่าไหร่จากเงินที่เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นลงทุนไว้ บ่งบอกถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัท โดยทั่วไป ถ้า ROE สูง หมายความว่าบริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น 4. ROA (Return on Assets) หรือ อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวม ROA (%) = กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี/สินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ย ROA ใช้วัดว่าบริษัทสามารถทำกำไรได้เท่าไหร่จากสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี ช่วยให้เห็นว่าบริษัทใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีอย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหน ถ้า ROA สูง แปลว่าบริษัทใช้สินทรัพย์ได้ดีในการสร้างกำไร 5. อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์รวม (Total Asset Turnover Ratio) อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์รวม = รายได้/สินทรัพย์รวม อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์รวม ใช้วัดว่าบริษัทใช้สินทรัพย์ทั้งหมดที่มีในการสร้างรายได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าอัตรานี้สูง แสดงว่าบริษัทสามารถใช้สินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพในการสร้างรายได้ แต่ถ้าต่ำ อาจแปลว่าบริษัทใช้สินทรัพย์ไม่เต็มประสิทธิภาพ การวัดและวิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไรของบริษัท 6. อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อัตรากำไรขั้นต้น (%) = กำไรขั้นต้น/รายได้จากการขาย อัตรากำไรขั้นต้น ใช้วัดว่าบริษัททำกำไรได้เท่าไหร่หลังจากหักต้นทุนขาย (เช่น ค่าวัตถุดิบและค่าแรงในการผลิต) ออกแล้ว ช่วยให้เราเห็นว่าบริษัทมีประสิทธิภาพในการผลิตและขายสินค้า/บริการเพียงใด ถ้าอัตรานี้สูง แปลว่าบริษัทควบคุมต้นทุนการผลิตได้ดี และยังคงทำกำไรได้มากเมื่อเทียบกับรายได้ 7. อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit Margin) อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (%) = กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี/รายได้รวม อัตรากำไรจากการดำเนินงาน วัดว่าบริษัททำกำไรได้เท่าไหร่จากการดำเนินงานหลักของธุรกิจหลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน (ยกเว้นดอกเบี้ยและภาษี) บอกให้รู้ถึงความสามารถในการจัดการค่าใช้จ่ายของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจหลัก ถ้าอัตรานี้สูง แปลว่าบริษัทมีการจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ 8. อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อัตรากำไรสุทธิ (%) = กำไรสุทธิ/รายได้รวม อัตรากำไรสุทธิ  วัดว่าบริษัททำกำไรได้เท่าไหร่หลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมถึงดอกเบี้ยและภาษีออกจากรายได้ทั้งหมด แสดงถึงความสามารถในการทำกำไรสุทธิของบริษัท อัตรานี้บอกให้เรารู้ว่าในทุก 100 บาทของรายได้ บริษัทมีกำไรสุทธิเหลืออยู่เท่าไหร่ ถ้าอัตรานี้สูง แปลว่าบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่ดี โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

26 มิ.ย. 2024

PEAK Account

14 min

เจ้าของกิจการอยากเปลี่ยนสำนักงานบัญชี ต้องเตรียมตัวอย่างไร

ในยุคที่ธุรกิจแข่งขันสูง การบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นหัวใจสำคัญหนึ่งในนั้นคือ การมีระบบบัญชีที่รัดกุมและถูกต้อง ซึ่งสำนักงานบัญชีมีบทบาทสำคัญในการดูแลงานบัญชีให้กับธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลหลายประการ บางครั้งธุรกิจอาจมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนสำนักงานบัญชีใหม่ การเปลี่ยนสำนักงานบัญชี เปรียบเสมือนการเริ่มต้นใหม่กับพันธมิตรทางธุรกิจคนสำคัญ เจ้าของกิจการจึงควรเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อให้กระบวนการเปลี่ยนผ่านราบรื่นและส่งผลกระทบต่อธุรกิจน้อยที่สุด ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนสำนักงานบัญชี สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจคือ เมื่อไหร่ที่ควรเปลี่ยนสำนักงานบัญชี การตัดสินใจเปลี่ยนสำนักงานบัญชีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำงานกับบริษัทเดียวกันมาเป็นเวลานาน แต่หากคุณประสบปัญหาเหล่านี้ แสดงว่าถึงเวลาแล้วที่ควรพิจารณาหาสำนักงานบัญชีใหม่ 1. สำนักงานบัญชีเดิมมีขนาดเล็กเกินไป เมื่อธุรกิจของคุณเติบโตขึ้น ความต้องการด้านบัญชีก็ย่อมซับซ้อนมากขึ้น สำนักงานบัญชีขนาดเล็กอาจมักมีพนักงานจำนวนน้อย กำลังคนไม่พอหรือบริการที่ไม่ครอบคลุม ทำให้ไม่สามารถรองรับการขยับขยายของกิจการเราได้   2. ปัญหาการสื่อสารและการทำงานร่วมกัน การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับสำนักงานบัญชี หากคุณมีปัญหาในการสื่อสารกับสำนักงานบัญชีของคุณ อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและปัญหาอื่นๆ คุณควรได้รับคำตอบจากสำนักงานบัญชีของคุณอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ หากคุณต้องรอเป็นเวลานานเพื่อรับคำตอบ แสดงว่าพวกเขาอาจไม่ให้ความสำคัญกับธุรกิจของคุณ บางทีบริษัทหรือกิจการก็มีระบบการออกเอกสาร หรือระบบการทำงานเป็นของตัวเอง ถ้าสำนักงานบัญชีไม่สามารถใช้โปรแกรมร่วมกับเจ้าของกิจการได้ เช่น ถ้ากิจการทำงานแบบออนไลน์ทั้งหมด แต่ว่าสำนักงานบัญชียังทำงานแบบออฟไลน์ เจ้าของกิจการเข้าถึงข้อมูลยากก็อาจเป็นเหตุผลให้เจ้าของกิจการหันไปหาทางเลือกใหม่ๆ ที่ทำงานด้วยกันง่ายขึ้น 3. ต้องการลดค่าใช้จ่าย สำนักงานบัญชีมีราคาแตกต่างกันไป บางสำนักงานบัญชีคิดค่าธรรมเนียมแบบเหมาจ่าย ในขณะที่บางแห่งคิดค่าธรรมเนียมตามเวลา หากคิดว่าราคาที่จ่ายให้สำนักงานบัญชีต่อเดือนแพงเกินไป  เจ้าของกิจการอาจต้องตัดสินใจเปลี่ยนสำนักงานบัญชีเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย  4. ไม่ได้รับคำปรึกษาและคำแนะนำที่เพียงพอ สำนักงานบัญชีที่ดีจะช่วยคุณวางแผนภาษีเพื่อลดภาระภาษีของกิจการ พร้อมให้คำปรึกษาและคำแนะนำที่มีประโยชน์ให้แก่กิจการ ในทางกลับกันหากสำนักงานบัญชีไม่สามารถช่วยเหลือ หรือให้คำปรึกษาต่างๆ ทางบัญชีและภาษีได้ เจ้าของกิจการก็อาจมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปใช้บริการจากสำนักงานบัญชีใหม่ หลังจากตัดสินใจที่จะเปลี่ยนสำนักงานบัญชีแล้ว หลายๆคนอาจเกิดคำถามว่า ควรเปลี่ยนสำนักงานบัญชีช่วงไหนดี สามารถเปลี่ยนทันทีเลยได้ไหม หากมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนสำนักงานบัญชีทันที สามารถทำได้แต่อาจจะต้องจ่ายค่าทำบัญชีซ้ำซ้อน เพราะสำนักงานบัญชีใหม่จะต้องเริ่มต้นทำใหม่ตั้งแต่ต้นปีจนถึงข้อมูลที่กิจการมีล่าสุด อีกทั้งการเปลี่ยนสำนักงานบัญชีทันที ในบางกรณีอาจต้องเสียค่าปรับการยกเลิกสัญญากับสำนักงานบัญชีที่เดิม การรอจนจบรอบบัญชีก่อนค่อยเปลี่ยนสำนักงานบัญชีอาจดูเป็นทางเลือกที่สะดวกกว่า เพื่อความต่อเนื่องของงานบัญชี แต่ก็ยังมีสิ่งที่น่ากังวลคือ  ในกรณีที่สำนักงานบัญชีเดิมไม่รับผิดชอบงาน ซึ่งทำให้กิจการได้ข้อมูลจากการบันทึกบัญชีที่ไม่ถูกต้อง หรืออาจเกิดภาระค่าปรับภาษีหรือค่าปรับอื่นๆตามมาได้ ดังนั้นเจ้าของกิจการจะต้องคำนึงว่าหากยังใช้สำนักงานบัญชีเดิมอยู่ไปจนจบรอบบัญชี จะทำให้ก่อความเสียหายมากกว่าหรือไม่ เจ้าของกิจการอยากเปลี่ยนสำนักงานบัญชี ต้องเตรียมตัวอย่างไร 1.ติดต่อสำนักงานบัญชีใหม่ การเปลี่ยนสำนักงานบัญชีนั้น เจ้าของกิจการควรเริ่มต้นด้วยการสรรหาและติดต่อสำนักงานบัญชีที่สนใจไว้ล่วงหน้า ไม่ควรรอจนถึงนาทีสุดท้าย เพราะอาจทำให้ไม่มีเวลาเปรียบเทียบข้อเสนอ หรือเลือกสำนักงานบัญชีที่ไม่ตรงกับความต้องการ การติดต่อล่วงหน้าจะทำให้เจ้าของกิจการมีเวลาคุยกับสำนักงานบัญชี อธิบายความต้องการของธุรกิจ และ สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับบริการต่างๆ การมีสำนักงานบัญชีใหม่รองรับไว้แล้ว จะช่วยให้ช่วงเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น โดยไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีคนดูแลเรื่องบัญชี 2.แจ้งสำนักงานบัญชีเก่า เมื่อได้ตัดสินใจเลือกสำนักงานบัญชีใหม่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การแจ้งสำนักงานบัญชีเก่า เจ้าของกิจการควรแจ้งล่วงหน้าตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้สำนักงานบัญชีเก่ามีเวลาเตรียมตัวส่งมอบเอกสารและข้อมูลต่างๆ และการแจ้งลาออกจากสำนักงานบัญชีนั้น ควรทำอย่างสุภาพ ตรงไปตรงมา และแสดงถึงความเป็นมืออาชีพ โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในอนาคต 3.ขอเอกสารประกอบการบันทึกบัญชีคืน การโบกมือลาสำนักงานบัญชีเดิมนั้นไม่ใช่จุดจบของภารกิจการเปลี่ยนสำนักงานบัญชี ยังมีอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญที่หลายคนมักมองข้าม นั่นคือ การแจ้งข้อมูลและเอกสาร ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีให้ครบถ้วนแก่สำนักงานบัญชีใหม่ ปัญหาที่พบเจอได้บ่อยครั้งคือ เจ้าของกิจการไม่ทราบแน่ชัดว่ามีข้อมูลอะไรบ้างที่ส่งให้สำนักงานบัญชีเก่าเก็บไว้ ส่งผลต่อความมั่นใจว่าข้อมูลบัญชีที่ส่งต่อนั้นครบถ้วนหรือไม่ เพื่อความมั่นใจและความราบรื่นในการเปลี่ยนผ่าน โดยทั่วไปแล้ว สำนักงานบัญชีควรจะมีข้อมูลกิจการตามนี้ สำหรับเจ้าของกิจการที่ต้องการขอเอกสารหลังจากจากปิดงบเสร็จแล้ว สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : ปิดงบการเงินเสร็จแล้ว…ต้องขอเอกสารอะไรบ้างจากสำนักงานบัญชี? 4.ขอรหัสผ่านที่ใช้ติดต่อทำธุรกรรม เมื่อต้องการเปลี่ยนสำนักงานบัญชี สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือต้องขอ Username และ Password ที่ใช้ติดต่อทำธุรกรรมต่างๆ จากสำนักงานบัญชีเดิม รหัสผ่านเหล่านี้จำเป็นสำหรับการเข้าถึงระบบและดำเนินการทางการเงินต่างๆ เช่น ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน ระบบ DBD e-Filing ของกรมพัฒนาธุรกิจ, ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน ระบบจ่ายภาษีออนไลน์ ของกรมสรรพากร, ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน ระบบทำธุรกรรมของสำนักงานประกันสังคม 5.กำหนดเวลาการโยกย้ายให้ชัดเจน เจ้าของกิจการควร กำหนดเวลาในการส่งคืนเอกสารและงบการเงินให้แน่นอน กับสำนักงานบัญชีเก่า เพื่อป้องกันปัญหาความล่าช้า และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น โดยเจ้าของกิจการสามารถกำหนดระยะเวลาคร่าวๆได้ ยกตัวอย่างเช่น : กิจการที่กำลังมองหาโปรแกรมบัญชีออนไลน์ มาช่วยจัดการเอกสาร ออกใบเสร็จหรือใบแจ้งหนี้ ทาง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยจัดการเอกสารบัญชีของคุณให้เป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @systemseedwebs-comสอบถามเพิ่มเติม คลิก

7 มิ.ย. 2024

PEAK Account

9 min

เทคโนโลยีห้องประชุมสำหรับ SMEs เพื่อการประชุมที่มีประสิทธิภาพ

การประชุมที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ เนื่องจากการประชุมเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนความรู้ วางแผนกลยุทธ์ และตัดสินใจที่สำคัญ การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในห้องประชุมจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพ บทความนี้ PEAK ร่วมกับ OfficeMate จะมาแนะนำเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับห้องประชุม เหมาะสมสำหรับ SMEs เพื่อการประชุมที่มีประสิทธิผลมากขึ้น 1. ควรมีอุปกรณ์เพื่อการประชุมและนำเสนอ การมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครันในห้องประชุม เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การประชุมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อุปกรณ์ที่จำเป็นประกอบด้วย อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบถ้วน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และความสะดวกสบายในการจัดการประชุม นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงถึงความพร้อม และความเป็นมืออาชีพขององค์กร 2. ควรมีระบบการจองห้องประชุม ระบบการจองห้องประชุมเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับองค์กรที่มีการประชุมบ่อยครั้ง ระบบการจองห้องประชุมจะช่วยให้การจัดการการใช้ห้องประชุมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นระเบียบ ประโยชน์ของระบบนี้มีดังนี้ ลดความซับซ้อนในการจัดการ ระบบการจองห้องประชุมช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการห้องประชุม ผู้ใช้สามารถดูตารางการใช้ห้องประชุม และจองเวลาได้อย่างง่ายดายผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งช่วยลดปัญหาการจองซ้ำซ้อน หรือความผิดพลาดในการจัดการ เพิ่มความสะดวกสบาย  ระบบการจองที่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าจะช่วยเตือนผู้ใช้งานถึงการประชุมที่กำลังจะมาถึง นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนผ่านอีเมล หรือแอปพลิเคชันเพื่อให้ผู้ใช้ไม่พลาดการประชุม การจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ  ระบบการจองห้องประชุมสามารถช่วยให้ผู้จัดการทรัพยากรเห็นภาพรวมการใช้ห้องประชุม และสามารถปรับเปลี่ยนการใช้ทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานห้องประชุมเพื่อนำไปปรับปรุง และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรได้ การใช้ระบบการจองห้องประชุมที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้องค์กรสามารถจัดการการประชุมได้อย่างมีประสิทธิผล ลดปัญหาความขัดแย้งในการจองห้อง และเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน 3. ควรมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่การประชุมออนไลน์กลายเป็นสิ่งจำเป็น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจะช่วยให้การสื่อสาร และการแลกเปลี่ยนข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วอย่างไม่มีสะดุด  ข้อดีของการใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงช่วยให้การประชุมออนไลน์เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีปัญหาการเชื่อมต่อขัดข้องหรือสัญญาณหลุด การสื่อสารผ่านวิดีโอคอลจะมีคุณภาพเสียง และภาพที่ชัดเจน ทำให้การประชุมเหมือนกับการประชุมในสถานที่เดียวกัน การทำงานร่วมกันในเวลาจริง อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงช่วยให้การแชร์ไฟล์ และการทำงานร่วมกันในเวลาจริงเป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการแชร์เอกสาร ภาพ หรือวิดีโอ การทำงานร่วมกันจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่เสียเวลา การเข้าถึงข้อมูลและแหล่งข้อมูลออนไลน์ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงช่วยให้ผู้เข้าร่วมการประชุมสามารถเข้าถึงข้อมูล และแหล่งข้อมูลออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นประโยชน์ในการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือนำเสนอข้อมูลในที่ประชุม การมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในห้องประชุมจะช่วยให้การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ เพิ่มความสะดวกสบายในการทำงานและการสื่อสาร เทคโนโลยีห้องประชุมที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ และ SMEs ที่ต้องการให้การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่น และมีประสิทธิผล การมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบ ระบบการจองห้องประชุมที่มีประสิทธิภาพ และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการประชุม ลดปัญหา และความขัดข้องในการจัดการการประชุม และเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน ดังนั้น การลงทุนในเทคโนโลยีห้องประชุมจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และสำคัญสำหรับการเติบโต รวมถึงความสำเร็จขององค์กร เช็กด่วน! ห้องประชุมของคุณ ยังขาดอุปกรณ์คุณภาพสำหรับห้องประชุมอยู่หรือไม่? OfficeMate มีอุปกรณ์สำนักงาน หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน พร้อมมอบประสบการณ์ทำงานที่ดีแบบที่คุณอาจไม่เคยพบมาก่อน สามารถเข้ามาเลือกดูได้ที่ ?

5 มิ.ย. 2024

PEAK Account

9 min

Happy Workplace สูตรลับสู่ความสำเร็จของ SMEs

ในยุคที่ธุรกิจมีการแข่งขันสูง การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี และมีความสุข (Happy Workplace) ไม่เพียงแต่จะช่วยให้พนักงานมีความสุข และประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น แต่ยังเป็นสูตรลับที่ช่วยให้ SMEs ประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน  บทความนี้ PEAK ร่วมกับ OfficeMate จะพาคุณไปรู้จักกับแนวทางในการสร้าง Happy Workplace ที่เน้นเรื่องการสร้างสุขภาพดี สังคมดี มีความรู้ และการทำงานที่ผ่อนคลายให้แก่พนักงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของธุรกิจ สร้างเสริมสุขภาพที่ดีแก่พนักงาน สุขภาพของพนักงานเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน หากพนักงานมีสุขภาพดี จะทำให้มีพลังงาน และความสามารถในการทำงานมากขึ้น การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ส่งเสริมสุขภาพสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การจัดเตรียมพื้นที่ออกกำลังกาย หรือการจัดกิจกรรมเพื่อสุขภาพ นอกจากนี้การสนับสนุนการมีพฤติกรรมการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยการจัดหาของว่างที่มีประโยชน์ และการให้ข้อมูลเกี่ยวกับโภชนาการที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับพนักงานได้ หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมสุขภาพของพนักงาน คือการเลือกใช้เก้าอี้ที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ (ergonomic chair) หรือ เก้าอี้เพื่อสุขภาพ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อลดความเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บจากการทำงาน และอาการปวดต่าง ๆ เช่น อาการปวดหลัง ปวดคอ และปวดไหล่ ซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยในพนักงานออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน เก้าอี้ ergonomic มีการออกแบบที่สามารถปรับระดับได้หลายส่วน เช่น ความสูงของเก้าอี้ พนักพิง และที่วางแขน เพื่อให้สามารถปรับให้เข้ากับสรีระของผู้ใช้งานได้อย่างเหมาะสม การปรับระดับเหล่านี้จะช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น ทำให้พนักงานสามารถนั่งทำงานได้ในท่าที่ถูกต้อง และสบายมากขึ้น นอกจากนี้การใช้เก้าอี้ ergonomic ยังช่วยส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตที่ดี ลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการบวมที่ขา และเท้า ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้ที่ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานในระยะยาว สร้างสังคมที่ดีในที่ทำงาน การสร้างสังคมที่ดีในที่ทำงาน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยให้พนักงานรู้สึกมีความสุข มุ่งมั่นในการทำงาน ซึ่งการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้าง และส่งเสริมการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งที่สำคัญ การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมความร่วมมือ หรือสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพนักงาน เช่น การจัดงานเลี้ยงหรือกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์ จะช่วยให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม และมีความมุ่งมั่นในการทำงานมากขึ้น การส่งเสริมการทำงานเป็นทีมและการช่วยเหลือกันในการทำงาน ยังเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างสังคมที่ดีในองค์กรได้ การเปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และการแสดงความคิดเห็นเป็นการแสดงถึงการยอมรับ และความสำคัญของพนักงาน ทำให้พนักงานรู้สึกมีคุณค่า มีความมุ่งมั่นในการทำงานมากขึ้น พัฒนาความรู้แก่พนักงาน การพัฒนาความรู้ และทักษะของพนักงานเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเติบโตของธุรกิจ การส่งเสริมให้พนักงานมีโอกาสในการเรียนรู้ และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง จะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงาน และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ การจัดอบรม หรือการเข้าร่วมสัมมนาต่าง ๆ จึงเป็นวิธีที่ดีในการเสริมสร้างความรู้ และทักษะให้กับพนักงาน นอกจากนี้ การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ในองค์กรโดยการสนับสนุนให้พนักงานมีการแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์ระหว่างกันเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับทีมงาน การให้โอกาสในการพัฒนาทางอาชีพและการสนับสนุนในการศึกษาต่อจะช่วยให้พนักงานรู้สึกมีอนาคตที่มั่นคง และมุ่งมั่นในการทำงานมากขึ้น สร้างบรรยากาศการทำงานที่ผ่อนคลาย การผ่อนคลายเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กับการทำงาน การให้พนักงานมีเวลาผ่อนคลาย และพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยลดความเครียด และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การจัดพื้นที่สำหรับการพักผ่อนในที่ทำงาน เช่น ห้องนั่งเล่น หรือสวนหย่อม เป็นวิธีที่ดีในการให้พนักงานได้ผ่อนคลาย และสร้างสมดุลในการทำงาน การจัดกิจกรรมที่สนุกสนาน และการสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายในการทำงาน เช่น การจัดกิจกรรมสันทนาการ หรือการส่งเสริมการทำงานในบรรยากาศที่เป็นกันเอง จะช่วยให้พนักงานรู้สึกผ่อนคลาย และมีความสุขในการทำงานมากขึ้น การสร้าง Happy Workplace ที่ดี และมีความสุขเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับ SMEs เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยให้พนักงานมีความสุข และมุ่งมั่นในการทำงาน แต่ยังเป็นการสร้างฐานที่แข็งแกร่งในการเติบโต และความสำเร็จของธุรกิจในระยะยาว การส่งเสริมสุขภาพที่ดี การสร้างสังคมที่ดี การหาความรู้ และการผ่อนคลาย เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ SMEs สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน อย่ารอช้า! มาสร้างพื้นที่ทำงานที่มีความสุขกับ OfficeMate มีอุปกรณ์สำนักงาน เฟอร์นิเจอร์ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้พนักงาน พร้อมมอบประสบการณ์ทำงานที่ดีแบบที่คุณอาจไม่เคยพบมาก่อน สามารถเข้ามาเลือกดูได้ที่