ธุรกิจ

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

7 มี.ค. 2025

PEAK Account

13 min

ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ง่ายขึ้น 2 เท่า แค่เชื่อม ZORT กับ PEAK

สำหรับเจ้าของธุรกิจ E-commerce อย่างร้านค้าออนไลน์ที่ขายบน Shopee, Lazada หรือ Facebook การทำบัญชีอาจเป็นงานที่ใช้เวลานานและมีความยุ่งยาก โดยเฉพาะการบันทึกข้อมูลการขาย การซื้อ และการคืนสินค้า แต่ตอนนี้การทำบัญชีไม่ต้องยุ่งยากอีกต่อไป ด้วยการเชื่อมต่อระหว่าง PEAK x ZORT จะช่วยให้ ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ง่ายขึ้น 2 เท่า ในบทความนี้จะพาทุกคนมาดูว่าทำไมต้องใช้ PEAK x ZORT พร้อมรีวิวจากผู้ใช้งานจริง PEAK x ZORT คืออะไร ช่วยทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ได้อย่างไร? PEAK x ZORT คือการเชื่อมต่อระหว่าง PEAK (โปรแกรมบัญชีออนไลน์) และ ZORT (ระบบจัดการออเดอร์และสต๊อกสินค้า) เพื่อช่วยให้ธุรกิจ E-commerce ทำงานได้อย่างอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีบทบาทหลักดังนี้ เมื่อเชื่อมต่อ ZORT กับ PEAK ข้อมูลจากคำสั่งซื้อและการขายจะถูกส่งไปยังระบบบัญชีอัตโนมัติ ลดความซ้ำซ้อนของการบันทึกข้อมูล และช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามรายรับ รายจ่าย และกำไร-ขาดทุนได้แบบเรียลไทม์​ ทำไมร้านค้าออนไลน์ ต้องใช้ PEAK x ZORT ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ได้ครบวงจรในที่เดียว ธุรกิจ E-commerce หรือร้านค้าออนไลน์ มีหลายกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับบัญชี ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้า การรับชำระเงิน ค่าใช้จ่ายต่างๆ และการคำนวณภาษี หากต้องทำทุกอย่างเอง เจ้าของร้านค้าจะต้องเสียเวลาในการบันทึกข้อมูล คีย์เอกสาร และตรวจสอบยอดขายที่อาจเกิดข้อผิดพลาดได้ PEAK x ZORT ช่วยให้คุณสามารถรวมทุกกระบวนการบัญชีไว้ในที่เดียว สรุป: ระบบช่วยให้คุณทำบัญชีครบทุกขั้นตอนแบบอัตโนมัติ ไม่ต้องแยกจัดการหลายระบบให้ยุ่งยาก ลดขั้นตอนทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ให้แม่นยำและอัตโนมัติ ไม่ต้องบันทึกข้อมูลซ้ำซ้อน การทำบัญชีด้วยมืออาจต้องคีย์ข้อมูลซ้ำหลายรอบ เช่น จากระบบขายไปยังระบบบัญชี หรือจากใบสั่งซื้อไปเป็นรายจ่าย ระบบ PEAK x ZORT ช่วยให้ข้อมูลเชื่อมต่อกันโดยอัตโนมัติ ลดโอกาสผิดพลาดจากการกรอกข้อมูลเอง อัปเดตบัญชีอัตโนมัติ เมื่อมีการขายสินค้า ระบบจะสร้างเอกสาร เช่น ใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษีทันที โดยไม่ต้องทำเอง ลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ (Human Error) การคีย์ข้อมูลด้วยตนเองมีโอกาสผิดพลาดสูง ไม่ว่าจะเป็นการใส่ตัวเลขผิด การคำนวณภาษีไม่ถูกต้อง หรือการบันทึกเอกสารผิด ระบบช่วยให้มั่นใจว่าข้อมูลมีความแม่นยำ ลดภาระงานบัญชีที่ใช้เวลา ระบบช่วยให้คุณทำบัญชีได้เร็วขึ้นกว่าเดิม เจ้าของร้านสามารถโฟกัสที่การขายและขยายธุรกิจได้เต็มที่ อัปเดตข้อมูลทำบัญชีร้านค้าออนไลน์แบบเรียลไทม์ รู้สต๊อกสินค้าแบบเรียลไทม์ เชื่อมต่อ ZORT กับ PEAK ทำให้ข้อมูลสต๊อกอัปเดตอัตโนมัติเมื่อมีการขายหรือคืนสินค้า เจ้าของร้านสามารถตรวจสอบว่าสินค้าคงเหลือเท่าไหร่ ควรสั่งเพิ่มเมื่อใด และหลีกเลี่ยงปัญหาสินค้าหมดสต๊อกโดยไม่รู้ตัว ติดตามยอดขายได้ทุกช่องทาง PEAK และ ZORT รองรับการขายจากหลายแพลตฟอร์ม เช่น Shopee, Lazada, Facebook, LINE SHOPPING และอื่นๆ ทำให้เห็นยอดขายจากทุกช่องทางในที่เดียว สถานะการเงินอัปเดตทันที PEAK แสดงข้อมูลรายรับ รายจ่าย และกำไรแบบเรียลไทม์ เจ้าของร้านสามารถวิเคราะห์ผลประกอบการและตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างแม่นยำ รายงานธุรกิจที่แม่นยำและเข้าใจง่าย ไม่ต้องรอสิ้นเดือนเพื่อดูรายงาน เพราะระบบสามารถดึงข้อมูลได้ตลอดเวลา ทั้งรายงานสรุปยอดขาย รายจ่าย และผลกำไร สรุป: PEAK x ZORT ช่วยให้ข้อมูลทางธุรกิจของคุณอัปเดตแบบเรียลไทม์ ลดความผิดพลาดและช่วยให้คุณบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ร่วมกับนักบัญชีได้ง่ายขึ้น ระบบออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานร่วมกับนักบัญชี PEAK มีฟีเจอร์ที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจและนักบัญชีสามารถเข้าถึงข้อมูลเดียวกันได้ โดยไม่ต้องส่งเอกสารไปมา เช่น นักบัญชีทำงานได้ง่ายขึ้น นักบัญชีสามารถดึงข้อมูลจาก PEAK เพื่อยื่นภาษี จัดทำงบการเงิน และวิเคราะห์ข้อมูลทางบัญชีให้เจ้าของธุรกิจได้โดยไม่ต้องขอเอกสารเพิ่มเติม รองรับการทำงานออนไลน์ เจ้าของร้านและนักบัญชีสามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากทุกที่ ไม่ต้องเดินทางไปพบกัน ลดเวลาการทำงานร่วมกัน สรุป: PEAK x ZORT ช่วยให้เจ้าของธุรกิจและนักบัญชีทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น ประหยัดเวลา และลดปัญหาความผิดพลาดจากการส่งข้อมูลผิดพลาด PEAK x ZORT ช่วยทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ได้อย่างไรบ้าง? เมื่อเชื่อมต่อ ZORT กับ PEAK ข้อมูลสำคัญจะส่งตรงถึงกันอัตโนมัติ ไม่ต้องคีย์ซ้ำ ไม่ต้องสลับระบบไปมา ลดเวลาและลดความผิดพลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมถึง: 1. รายการขาย: บันทึกอัตโนมัติ ลดเวลาทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ทุกครั้งที่มีคำสั่งซื้อจาก ZORT ระบบจะสร้างเอกสารทางบัญชีใน PEAK ทันที 2. รายการซื้อ: ควบคุมต้นทุน และดูบัญชีร้านค้าออนไลน์แบบเรียลไทม์ เมื่อลงบันทึก ใบสั่งซื้อ หรือค่าใช้จ่ายใน ZORT ข้อมูลจะถูกส่งไปยัง PEAK โดยอัตโนมัติ 3. รายการรับคืนสินค้า: อัปเดตการทำบัญชีร้านค้าออนไลน์และสต๊อกสินค้าอัตโนมัติ หากลูกค้าทำการคืนสินค้า ZORT จะส่งข้อมูลไปยัง PEAK เพื่ออัปเดตรายการบัญชี 4. รายการคืนสินค้า (กรณีซื้อ) : ตรวจสอบต้นทุนสินค้าได้ง่ายขึ้น หากร้านค้าคืนสินค้าที่ซื้อมา ZORT จะส่งข้อมูลไปยัง PEAK ให้โดยอัตโนมัติ รีวิวจากผู้ที่เชื่อม ZORT ร่วมกับ PEAK ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ “ZORT ช่วยจัดการตัดสต๊อก และดึงเข้า Peak ระบบบัญชีได้ทันที ทำให้เราจัดการสต๊อกและบัญชีได้อย่าง Seamless” นพรัตน์ อาฒยะพันธ์, Northland Tea, บริษัท ชาดีออร์แกนิค จำกัด อยากทำบัญชีร้านค้าออนไลน์และจัดการออเดอร์ได้ง่ายขึ้น? ถ้าคุณเป็นเจ้าของร้านค้าออนไลน์ที่ต้องวุ่นกับการบันทึกบัญชีและจัดการออเดอร์ทุกวัน PEAK x ZORT ช่วยให้ทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย! แค่เชื่อมต่อระบบ ข้อมูลการขาย รายการซื้อ และการคืนสินค้าจะอัปเดตอัตโนมัติ ไม่ต้องคีย์เอง ไม่ต้องสลับไปมาระหว่างระบบ ลดงานซ้ำซ้อนและข้อผิดพลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทุกคำสั่งซื้อจาก ZORT จะถูกบันทึกเข้า PEAK ทันที พร้อมออกใบเสร็จและใบกำกับภาษีให้อัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาจัดการเอกสารเอง นอกจากนี้ ระบบยังช่วยอัปเดตสต๊อกสินค้า คำนวณต้นทุน และดูรายงานทางการเงินได้แบบเรียลไทม์ ทำให้คุณบริหารธุรกิจได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าคุณจะขายของผ่าน Shopee, Lazada, Facebook หรือช่องทางไหน PEAK x ZORT ก็ช่วยให้คุณเห็นภาพรวมธุรกิจได้ชัดเจน วางแผนการเงินได้อย่างมั่นใจ ลองเชื่อมต่อ PEAK x ZORT วันนี้ แล้วคุณจะรู้ว่า “การทำบัญชีร้านค้าออนไลน์” ไม่ได้ยากอย่างที่คิด! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

5 มี.ค. 2025

PEAK Account

22 min

รวม 5 กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงานให้สำนักงานบัญชี ของคุณ!

สำนักงานบัญชีถือเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจ SME ให้ดำเนินงานได้อย่างราบรื่น แต่ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว ความคาดหวังของลูกค้าสูงขึ้น และกฎระเบียบด้านบัญชีภาษีมีความซับซ้อนมากขึ้น การทำงานในสำนักงานบัญชีแบบเดิมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสำนักงานบัญชี จึงเป็นเรื่องที่ทุกสำนักงานบัญชีควรให้ความสำคัญ ไม่เพียงช่วยลดความผิดพลาด แต่ยังเพิ่มคุณภาพบริการและสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าอีกด้วย ในบทความนี้ เราจะมาแนะนำ รวม 5 กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงานให้สำนักงานบัญชี ที่สามารถนำไปใช้เพื่อพัฒนาองค์กรของคุณให้ทำงานได้เร็วขึ้น มีระบบมากขึ้น และช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้ลูกค้าจะมีอะไรบ้างนั้นมาติดตามกันได้เลย ทำไมต้องให้ความสำคัญ กับ กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงานของสำนักงานบัญชี ในยุคที่ธุรกิจแข่งขันกันสูงขึ้นทุกวัน สำนักงานบัญชีก็หนีไม่พ้นแรงกดดันนี้เช่นกัน หากคุณเป็นเจ้าของสำนักงานบัญชี แล้วเลือกที่จะทำงานแบบเดิมๆ โดยไม่มองหาแนวทางปรับปรุงประสิทธิภาพ อาจทำให้สำนักงานของคุณเสียเปรียบและตามคู่แข่งไม่ทัน แล้วผลลัพธ์คืออะไร?ลูกค้าอาจเลือกใช้บริการจากสำนักงานที่ตอบโจทย์ได้รวดเร็วกว่า ให้บริการที่ครบถ้วนกว่า หรือมีการใช้เทคโนโลยีช่วยทำงานจนประหยัดเวลาลูกค้าได้มากกว่า นี่อาจส่งผลให้จำนวนผู้จ้างลดลง และที่สำคัญไปกว่านั้น ประสิทธิภาพการทำงานที่ต่ำลงอาจกระทบคุณภาพงานและความพึงพอใจของลูกค้าเดิมด้วย ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพให้สำนักงานบัญชี ให้ประโยชน์อย่างไร การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในสำนักงานบัญชี ไม่ใช่แค่การทำให้ทุกอย่างเร็วขึ้น แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพงาน ลดข้อผิดพลาด และสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าในระยะยาว มาดูกันว่า หากสำนักงานบัญชีของคุณปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จะได้ประโยชน์อะไรบ้าง 1. ลดงานซ้ำซ้อน ประหยัดเวลามากขึ้น เคยสังเกตไหมว่า เวลาส่วนใหญ่ในสำนักงานบัญชีหมดไปกับงานเดิมๆ เช่น การกรอกข้อมูลซ้ำในเอกสารหลายชุด ออกใบกำกับภาษี บันทึกบัญชี ไปจนถึงการจัดทำรายงานภาษีทุกเดือน งานเหล่านี้ใช้เวลามาก และมักเป็นจุดที่เกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย ✅ ถ้าสำนักงานของคุณมีระบบที่ช่วยดึงข้อมูลเข้ามาอัตโนมัติ หรือสร้างเอกสารต่างๆ ได้จากข้อมูลที่มีอยู่แล้ว คุณจะลดเวลาทำงานซ้ำซ้อนลงอย่างมหาศาล ทีมงานก็จะมีเวลาไปโฟกัสกับงานที่สำคัญกว่า เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำเสนออินไซต์ให้กับลูกค้า หรือให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์แทนการทำงานเอกสารล้วนๆ 2. ลดความผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์ (Human Error) ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ อย่างตัวเลขผิด หรือการพิมพ์ข้อมูลซ้ำไม่ตรงกัน อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่สร้างความเสียหายให้กับสำนักงานบัญชีได้ ไม่ว่าจะเป็นการยื่นภาษีผิด ส่งงบการเงินไม่ครบ หรือทำให้ลูกค้าสูญเสียความเชื่อมั่น ✅ เมื่อใช้ระบบดิจิทัลหรือโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่สามารถเชื่อมข้อมูลและตรวจสอบความถูกต้องได้อัตโนมัติ โอกาสเกิดข้อผิดพลาดจะลดลงทันที และคุณยังสามารถตั้งระบบแจ้งเตือนเมื่อข้อมูลผิดปกติได้อีกด้วย 3. ยกระดับการให้บริการลูกค้า สร้างความประทับใจ ทุกวันนี้ ลูกค้าคาดหวังมากกว่าการได้รับงบการเงินหรือเอกสารภาษีตรงเวลา แต่พวกเขาต้องการข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจทางธุรกิจ ต้องการคำแนะนำที่แม่นยำจากสำนักงานบัญชีที่เข้าใจธุรกิจของพวกเขาจริงๆ ✅ หากสำนักงานบัญชีของคุณทำงานรวดเร็ว ส่งข้อมูลได้ครบถ้วนและตรงเวลา รวมถึงสามารถให้คำแนะนำเชิงวิเคราะห์จากข้อมูลที่แม่นยำได้ คุณจะกลายเป็น “ที่ปรึกษาทางธุรกิจ” ที่ลูกค้าไว้วางใจ ไม่ใช่แค่ “ผู้ทำบัญชี” ธรรมดา และนั่นจะทำให้ลูกค้าพร้อมแนะนำต่อให้กับเพื่อนเจ้าของธุรกิจรายอื่นๆ ด้วย ทั้งหมดนี้คือเหตุผลว่าทำไมการเพิ่มประสิทธิภาพสำนักงานบัญชี ไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” แต่คือสิ่งจำเป็นในการอยู่รอดและเติบโตในยุคนี้ รวม 5 กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงานให้สำนักงานบัญชี กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงาน ข้อที่ 1 จัดการระบบการทำงาน แบ่งหน้าที่ให้ชัดเจน ปัญหาหลักของสำนักงานบัญชีหลายแห่งมักเกิดจากการทำงานซ้ำซ้อนและขาดการแบ่งหน้าที่ที่ชัดเจน ทำให้พนักงานทำงานหนักเกินไปและอาจเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย โดยเฉพาะในสำนักงานบัญชีที่มีการทำงานหลายขั้นตอนที่ต้องการความแม่นยำและรวดเร็ว การจัดการระบบงานให้มีความชัดเจนและมีขั้นตอนที่เป็นระเบียบจะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดภาระการทำงานที่ไม่จำเป็นและสามารถหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ หนึ่งในวิธีที่สามารถช่วยจัดระเบียบงานให้มีประสิทธิภาพคือการแบ่งหน้าที่ตามความเชี่ยวชาญของแต่ละคน โดยการมอบหมายงานให้กับบุคคลที่มีความชำนาญในแต่ละด้าน เช่น การทำบัญชี การตรวจสอบภาษี หรือการจัดการเอกสาร ซึ่งจะทำให้แต่ละคนสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่ต้องทำงานซ้ำซ้อนกัน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความรับผิดชอบและการติดตามผลได้อย่างชัดเจน การใช้เครื่องมือที่ช่วยในการจัดการงานก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี เช่นการใช้ Workflow หรือ Project Management Tool ที่ช่วยในการติดตามงานได้อย่างเป็นระบบและโปร่งใสมากขึ้น เครื่องมือเหล่านี้ เช่น Trello หรือ Notion จะช่วยให้ทุกคนสามารถเห็นภาพรวมของโครงการได้ทันที พร้อมกับกำหนดเป้าหมายและขั้นตอนการทำงานอย่างชัดเจน สามารถติดตามความคืบหน้าของงานแต่ละชิ้นได้โดยไม่ต้องพึ่งพาความจำหรือการคุยกันในแต่ละครั้ง ซึ่งช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดเวลาในการติดต่อสื่อสารและทำให้ทีมสามารถทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น การจัดระเบียบงานอย่างมีระบบนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของสำนักงานบัญชีและลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงานที่ไม่เป็นระเบียบ กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงาน ข้อที่ 2 ทำการตลาดอย่างสม่ำเสมอ สำนักงานบัญชีหลายแห่งมักมองข้ามกลยุทธ์ทางการตลาด ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำให้รายได้ไม่เติบโตตามที่คาดหวัง การเริ่มให้ความสำคัญกับการตลาดและการโฆษณาเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ และสร้างโอกาสในการขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ ให้กับสำนักงานบัญชี การทำการตลาดสำหรับสำนักงานบัญชีสามารถเริ่มต้นได้จากการสร้างแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์และแสดงถึงความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เช่น การให้คำปรึกษาด้านภาษี การจัดทำบัญชี และบริการทางการเงินสำหรับธุรกิจต่าง ๆ การสร้างตัวตนของแบรนด์ให้ชัดเจนและมีความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจในการใช้บริการ ซึ่งสามารถทำได้โดยการสร้างเว็บไซต์ที่เป็นหน้าสำนักงานออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับบริการที่สำนักงานบัญชีมีและสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ง่ายดาย นอกจากเว็บไซต์แล้ว การใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการโปรโมทสำนักงานบัญชีก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญ เช่น การเปิดบัญชี Facebook, Instagram หรือ LinkedIn ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและตรงกลุ่ม รวมถึงการสร้างเนื้อหาผ่านช่องทาง TikTok ที่เป็นที่นิยมในยุคดิจิทัล โดยการนำเสนอคอนเทนต์สั้น ๆ ที่ให้ข้อมูลสาระสำคัญเกี่ยวกับการบัญชีหรือภาษี ซึ่งช่วยสร้างการรับรู้เกี่ยวกับบริการและแสดงถึงความเชี่ยวชาญของสำนักงานบัญชี การทำการตลาดออนไลน์เหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ยังเปิดโอกาสให้สำนักงานบัญชีสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ที่มีความสนใจในบริการด้านการเงินและบัญชีได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้ช่องทางออนไลน์ที่เหมาะสมจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มรายได้ในระยะยาว กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงาน ข้อที่ 3 ให้ความสำคัญในเรื่องการให้บริการ การหาลูกค้าใหม่เป็นสิ่งที่สำคัญ แต่การทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำๆ เป็นสิ่งที่ยากกว่า และสามารถสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจในระยะยาวได้มากกว่า ลูกค้าที่เคยใช้บริการกับเราหากได้รับการดูแลอย่างดีและมีความประทับใจในการบริการ พวกเขาจะมีแนวโน้มที่จะกลับมาใช้บริการอีกครั้ง การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและการให้บริการที่มีประสิทธิภาพจะช่วยสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน การให้บริการที่ดีเริ่มต้นจากการติดตามลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ หากลูกค้ามีข้อสงสัยหรือคำถาม ควรตอบกลับอย่างรวดเร็วและให้ข้อมูลที่ชัดเจนและครบถ้วน เพื่อไม่ให้ลูกค้ารู้สึกว่าต้องรอนานหรือไม่สามารถติดต่อได้ สิ่งนี้จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าพวกเขามีความสำคัญ และสร้างความไว้วางใจในบริการของเรา นอกจากนี้ การทำงานให้มีประสิทธิภาพและตรงตามเป้าหมายของลูกค้าก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ลูกค้าเห็นถึงความสามารถและความใส่ใจในการทำงานของเรา การทำงานที่ตรงตามเวลาหรือผลลัพธ์ที่ลูกค้าต้องการ โดยไม่มีข้อผิดพลาด จะช่วยเสริมสร้างความประทับใจและเพิ่มโอกาสในการกลับมาใช้บริการซ้ำ อีกทั้ง การพัฒนาการบริการอย่างต่อเนื่อง เช่น การขอข้อเสนอแนะจากลูกค้า หรือการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการปรับปรุงกระบวนการทำงาน สามารถทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีและรู้สึกว่าเรามีการพัฒนาอยู่เสมอ ทำให้การให้บริการไม่เพียงแค่เป็นการตอบสนองความต้องการในขณะนั้น แต่ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาวที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจและพร้อมกลับมาใช้บริการอีกครั้ง กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงาน ข้อที่ 4 ขอ Feedback จากลูกค้าเสมอ การขอ Feedback จากลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับธุรกิจทุกประเภท โดยเฉพาะสำนักงานบัญชีที่ต้องการพัฒนาและปรับปรุงการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ฟีดแบคจากลูกค้าช่วยให้เราทราบถึงจุดที่เราทำได้ดีและจุดที่สามารถปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการได้ดียิ่งขึ้น เป้าหมายหลักของการขอฟีดแบคคือการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวและช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาใช้บริการ วิธีการขอฟีดแบคอาจทำได้หลายวิธี เช่น การนัดพูดคุยสั้น ๆ กับลูกค้าเป็นประจำทุกเดือน เพื่อสรุปผลการทำงานและประเมินผลการให้บริการในช่วงเวลานั้น ๆ ซึ่งจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะได้โดยตรง นอกจากนี้ยังสามารถใช้แบบฟอร์มสำหรับให้ลูกค้ากรอกความคิดเห็น หรือคำแนะนำหลังจากการให้บริการเสร็จสิ้น ซึ่งแบบฟอร์มเหล่านี้สามารถใช้ในการประเมินความพึงพอใจของลูกค้าและระบุจุดที่ต้องการปรับปรุงหรือพัฒนาเพิ่มเติม การขอฟีดแบคควรทำอย่างสม่ำเสมอและในลักษณะที่ไม่รู้สึกว่าเป็นการรบกวนลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าเรามีความตั้งใจที่จะปรับปรุงบริการให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ การนำฟีดแบคมาใช้ปรับปรุงการทำงานหรือบริการที่ไม่ดี จะทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความใส่ใจและสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้มากขึ้น ฟีดแบคที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถพัฒนาได้ แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในระยะยาว กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงาน ข้อที่ 5 ปรับใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ในการทำงาน การปรับใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ในการทำงานถือเป็นหนึ่งในวิธีที่มีความสำคัญมากในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในสำนักงานบัญชีที่ต้องจัดการข้อมูลจำนวนมาก การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยการลดจำนวนเอกสารและกระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อน เช่น การออกใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน หรือเอกสารต่าง ๆ ที่โปรแกรมบัญชีสามารถช่วยจัดการได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ โปรแกรมบัญชีออนไลน์มีฟังก์ชันที่สามารถเก็บข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล ไม่ต้องใช้พื้นที่เก็บเอกสารจำนวนมาก ช่วยลดปัญหาเรื่องการจัดเก็บเอกสารที่ซับซ้อน และยังสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายทุกที่ทุกเวลา ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งานและลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดจากการทำงานด้วยมือ นอกจากนี้ การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้สำนักงานบัญชีดูทันสมัยและก้าวทันเทคโนโลยี ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการธุรกิจในปัจจุบันให้ความสำคัญมาก การปรับใช้เทคโนโลยีในสำนักงานบัญชีไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ว่าสำนักงานของเรามีความพร้อมในการใช้เครื่องมือที่ทันสมัยและมีระบบการจัดการที่ดี ด้วยเหตุนี้ การเลือกใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและมีประโยชน์ในระยะยาวทั้งสำหรับสำนักงานบัญชีและลูกค้า การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามในการพัฒนาธุรกิจในยุคดิจิทัลนี้ 👉 ลองใช้ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่ช่วยให้สำนักงานบัญชีทำงานได้ง่ายขึ้น ลดเวลาทำงานซ้ำซ้อน พร้อมเครื่องมือช่วยจัดการภาษีและเอกสารแบบครบวงจรคลิกเลยเพื่อเริ่มต้นใช้ฟรี! พร้อม สร้างประสิทธิภาพการทำงานให้สำนักงานบัญชี ด้วยโปรแกรมบัญชี PEAK หรือยัง? PEAK เป็นโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจและสำนักงานบัญชีทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยระบบที่ครอบคลุมทุกฟังก์ชันทางบัญชี ตั้งแต่การออกใบกำกับภาษี การบันทึกบัญชี การจัดการภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีหัก ณ ที่จ่าย ไปจนถึงการสร้างรายงานทางการเงินแบบเรียลไทม์ PEAK ช่วยลดงานเอกสารที่ยุ่งยาก ลดความผิดพลาดในการทำบัญชี และช่วยให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา รองรับการทำงานร่วมกับระบบ E-Tax Invoice และ E-Receipt ตามมาตรฐานกรมสรรพากร อีกทั้งยังมีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย และรองรับการทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ทำให้การบริหารจัดการบัญชีของธุรกิจเป็นเรื่องสะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

6 ก.พ. 2025

PEAK Account

7 min

สำนักงานบัญชี ประหยัดเวลาการทำบัญชีด้วยการใช้ AI

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ การใช้ AI ได้กลายเป็นตัวช่วยสำคัญในการยกระดับการทำงานของสำนักงานบัญชี ทำให้กระบวนการต่างๆ รวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับข้อดีของการใช้ AI ในการทำบัญชีและวิธีการนำมาใช้เพื่อช่วยประหยัดเวลาในงานของคุณ ทำไมการทำบัญชีด้วยการใช้ AI ถึงสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชี? นำ AI มาปรับใช้ในงานของสำนักงานบัญชีได้อย่างไร 1. การบันทึกบัญชีด้วยระบบ AI ระบบบัญชีที่มี AI ช่วยแนะนำ รายการบันทึกบัญชีที่ใช้บ่อย จะช่วยให้นักบัญชีทำงานได้รวดเร็วและสะดวกขึ้น เพราะ AI จะเรียนรู้พฤติกรรมการบันทึกข้อมูลของผู้ใช้งาน และเสนอรายการบัญชีที่เกี่ยวข้องแบบอัตโนมัติ ลดเวลาการค้นหารายการบัญชีที่ซับซ้อนหรือใช้บ่อย ตัวอย่างเช่น ข้อดี 2. การวิเคราะห์งบการเงินและคาดการณ์แนวโน้มธุรกิจ PEAK ใช้ AI วิเคราะห์งบกำไรขาดทุน ช่วยให้นักบัญชีและเจ้าของธุรกิจเห็นภาพรวมผลประกอบการได้ชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมทั้งคาดการณ์แนวโน้มทางการเงินในอนาคต AI จะดึงข้อมูลในระบบมาคำนวณและสรุปเป็นกราฟหรือรายงานแบบเข้าใจง่าย เช่น ข้อดี 3. การตรวจสอบความผิดพลาดในการทำบัญชี AI สามารถ ตรวจสอบความถูกต้องของงบทดลอง (Trial Balance) ได้อัตโนมัติ หากพบข้อผิดพลาดหรือยอดไม่ตรง ระบบจะแสดง สัญลักษณ์ธงสี (Flag) เพื่อแจ้งเตือนผู้ใช้งานทันที เช่น ข้อดี ข้อดีของการทำบัญชีด้วยการใช้ AI ลดต้นทุนการดำเนินงาน ลดเวลาและทรัพยากรที่ใช้ในกระบวนการบัญชี ทำให้สำนักงานบัญชีสามารถลดต้นทุนได้ เพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้า เวลาที่ประหยัดได้จากการใช้ AI สามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์และให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์แก่ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น รองรับการขยายตัวของธุรกิจ สำนักงานบัญชีสามารถรองรับลูกค้าใหม่ได้มากขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มทีมงานหรือทรัพยากรเพิ่มเติม PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยสำนักงานบัญชีและธุรกิจประหยัดเวลาและเพิ่มความแม่นยำด้วยระบบ AI ที่สามารถแนะนำรายการบันทึกบัญชีที่ใช้บ่อยๆได้ เพราะ PEAK ตระหนักเห็นถึงความสำคัญในการนำ AI มาปรับใช้ในสำนักงานบัญชีไม่เพียงช่วยประหยัดเวลา แต่ยังช่วยเพิ่มคุณภาพและความแม่นยำในการทำงาน ช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

9 min

บอจ.5 คืออะไร ธุรกิจประเภทไหนต้องยื่นบ้าง ยื่นได้ตอนไหน

บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น หรือ บอจ.5 คือ เอกสารสำคัญที่บริษัทจำกัดต้องจัดทำและนำส่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าทุกปี เพื่อแสดงโครงสร้างการถือหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงของบริษัท โดยการยื่น บอจ.5 นั้นจะช่วยแสดงว่าธุรกิจเรามีความโปร่งใสและทำตามกฎหมาย จึงเป็นเอกสารที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญมาก ๆ  บอจ.5 คือ อะไร สำคัญอย่างไร บอจ.5 เป็นแบบฟอร์มทางกฎหมายที่ใช้บันทึกและรายงานข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นของบริษัทจำกัด โดยจะแสดงรายละเอียดของผู้ถือหุ้นทั้งหมด จำนวนหุ้นที่ถือ และมูลค่าหุ้น  การยื่น บอจ.5 มีความสำคัญในหลายด้าน ทั้งแสดงว่าธุรกิจเรามีความโปร่งใส ทำตามกฎหมาย และมีความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ บอจ.5 ยังเป็นเอกสารสำคัญที่ใช้อ้างอิงในการทำธุรกรรมต่าง ๆ เช่น การเข้าร่วมประมูลงาน การขอสินเชื่อ หรือการทำสัญญาทางธุรกิจอีกด้วย เอกสาร บอจ.5 จะประกอบด้วยข้อมูลสำคัญโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัท ได้แก่ ชื่อ-นามสกุล สัญชาติ และที่อยู่ของผู้ถือหุ้นแต่ละราย จำนวนหุ้นที่ถือครอง เลขที่ใบหุ้น มูลค่าหุ้นที่ชำระแล้ว วันที่จดทะเบียนเป็นผู้ถือหุ้น และการเปลี่ยนแปลงการถือหุ้นในรอบปี นอกจากนี้ บอจ.5 ยังต้องระบุรายละเอียดของบริษัท เช่น ชื่อบริษัท เลขทะเบียนนิติบุคคล ทุนจดทะเบียน และจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทด้วย ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นในรอบปี เช่น การโอนหุ้น การเพิ่มทุน หรือลดทุน บริษัทจะต้องระบุข้อมูลเหล่านี้ลงใน บอจ.5 ด้วย เพื่อให้ข้อมูลผู้ถือหุ้นมีความถูกต้องและครบถ้วนที่สุด นอกจากข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถือหุ้น บอจ.5 ยังต้องระบุรายละเอียดของบริษัทเองด้วย เช่น ชื่อบริษัท เลขทะเบียนนิติบุคคล ทุนจดทะเบียนทั้งหมดของบริษัท และจำนวนหุ้นทั้งหมดที่บริษัทออกจำหน่าย โดยข้อมูลใน บอจ.5 นี้ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่หน่วยงานต่างๆ รวมถึงสถาบันการเงินและคู่ค้าทางธุรกิจใช้ประกอบการตรวจสอบความน่าเชื่อถือและโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท บอจ.5 ใครต้องยื่นบ้าง การยื่น บอจ.5 เป็นหน้าที่ตามกฎหมายของบริษัทจำกัดทุกแห่ง โดยมีกำหนดเวลาและผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน เพื่อให้การรายงานข้อมูลผู้ถือหุ้นถูกต้องและทันเวลา  การยื่นแบบ บอจ.5 เป็นหน้าที่สำคัญของนิติบุคคล โดยตามกฎหมาย กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทจะต้องเป็นผู้ลงนามรับรองความถูกต้องของข้อมูลที่กรอกในแบบ บอจ.5 และเป็นผู้ยื่นแบบนี้ต่อเจ้าหน้าที่โดยตรง อย่างไรก็ตาม หากกรรมการผู้มีอำนาจไม่สะดวกเดินทางไปยื่นเอง ก็สามารถมอบอำนาจให้บุคคลอื่นยื่นแทนได้ โดยต้องแนบหนังสือมอบอำนาจลงนามโดยกรรมการ พร้อมสำเนาบัตรประชาชนของทั้งกรรมการผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ เพื่อยืนยันความถูกต้องในการดำเนินการ ทั้งนี้ผู้ยื่นจะต้องเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนตามที่กำหนด เช่น การยื่นแบบ บอจ.5 สามารถทำได้ 2 ช่องทาง คือ การยื่นแบบ บอจ.5 มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการอัปเดตข้อมูลผู้ถือหุ้นและกรรมการให้เป็นปัจจุบัน หากไม่ยื่นภายในเวลาที่กำหนด อาจมีโทษปรับตามที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้ ข้อมูลในแบบ บอจ.5 ยังเป็นหลักฐานสำคัญที่หน่วยงานต่างๆ ใช้ตรวจสอบ เช่น การขอสินเชื่อจากธนาคาร การตรวจสอบสิทธิ์ในการลงนามในสัญญาทางธุรกิจ หรือการยืนยันโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท ต้องยื่นเมื่อไหร่ หากไม่นำส่งจะมีค่าปรับอะไรบ้าง การยื่นแบบ บอจ.5 เป็นหน้าที่สำคัญของบริษัทจำกัดที่จดทะเบียนในประเทศไทย โดยกฎหมายกำหนดให้บริษัทต้องยื่น บอจ.5 ภายใน 14 วัน นับจากวันที่จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี หรือไม่เกินเดือนมกราคมของทุกปี ขึ้นอยู่กับว่ากรณีใดจะถึงก่อน กำหนดนี้มีขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นปัจจุบันและโปร่งใสอยู่เสมอ หากบริษัทไม่นำส่ง บอจ.5 ตามกำหนด จะมีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท และปรับเพิ่มวันละไม่เกิน 500 บาท จนกว่าจะดำเนินการให้ถูกต้อง นอกจากโทษทางกฎหมายแล้ว การยื่นล่าช้าหรือไม่ยื่นเลย อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของบริษัทด้วย เพราะ บอจ.5 เป็นหนึ่งในเอกสารสำคัญที่คู่ค้า สถาบันการเงิน และหน่วยงานภาครัฐใช้พิจารณาในการอนุมัติสินเชื่อหรือการเข้าร่วมประมูลงาน ดังนั้น ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการเตรียมข้อมูลให้ครบถ้วนและยื่นแบบ บอจ.5 ให้ตรงเวลา เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือ และหลีกเลี่ยงการเสียค่าปรับโดยไม่จำเป็น การจัดทำและยื่น บอจ.5 อย่างถูกต้องและตรงเวลา ไม่เพียงแต่เพื่อให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย แต่ยังสะท้อนถึงการบริหารจัดการที่โปร่งใสและความเป็นมืออาชีพในการทำธุรกิจอีกด้วย ผู้ประกอบการจึงควรเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นให้ครบถ้วนและตรวจสอบความถูกต้องก่อนยื่นเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาค่าปรับและลดความเสี่ยงด้านความน่าเชื่อถือในอนาคตโดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ พร้อมเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับธุรกิจในการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

14 min

“โปรแกรมบัญชี” ที่ใช่! ตัวช่วยสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชี

การเลือก “โปรแกรมบัญชี” ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชีที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดข้อผิดพลาด และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ในบทความนี้จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจว่าโปรแกรมบัญชีที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไร และจะช่วยพัฒนาธุรกิจของสำนักงานบัญชีได้อย่างไรบ้าง คุณสมบัติที่สำคัญของ โปรแกรมบัญชี สำหรับสำนักงานบัญชี การเลือกโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสมช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถทำงานได้อย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ และลดเวลาในการทำงานประจำ คุณสมบัติเด่นที่ควรพิจารณา ได้แก่ ข้อที่ 1 โปรแกรมบัญชี ที่ทำงานแบบ Cloud-Based โปรแกรมบัญชีแบบ Cloud-Based ช่วยให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา รองรับการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ ลดภาระด้านการจัดการเซิร์ฟเวอร์และต้นทุนฮาร์ดแวร์ อีกทั้งยังมีระบบสำรองข้อมูลอัตโนมัติ ทำให้ข้อมูลมีความปลอดภัยสูง ลดความเสี่ยงจากการสูญหายของข้อมูล ข้อที่ 2 การรองรับการจัดทำภาษี โปรแกรมควรมีฟังก์ชันที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดทำเอกสารภาษี เนื่องจากสำนักงานบัญชีต้องดำเนินการเกี่ยวกับภาษีอย่างต่อเนื่อง โปรแกรมที่ดีควรมีระบบช่วยคำนวณและจัดทำเอกสารภาษี เช่น ภ.ง.ด.1, ภ.ง.ด.3, ภ.ง.ด.53 และ ภ.พ.30 พร้อมทั้งรองรับการยื่นภาษีออนไลน์ผ่านระบบของกรมสรรพากร เพื่อความสะดวกและลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการกรอกข้อมูลเอง​ ข้อที่ 3 โปรแกรมบัญชีที่ดี ต้องมีระบบ AI ช่วยแนะนำการบันทึกรายการบัญชีที่บันทึกบ่อย ระบบ AI ที่สามารถจดจำรายการบัญชีที่ใช้บ่อย และแนะนำการบันทึกบัญชีแบบอัตโนมัติ ช่วยลดเวลาในการทำงาน ลดความผิดพลาด และทำให้กระบวนการบัญชีเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น​จะช่วยลดเวลาในการทำงานและลดข้อผิดพลาดในการป้อนข้อมูล ข้อที่ 4 เชื่อมต่อข้อมูลจากภายนอกได้ง่ายด้วย API โปรแกรมควรรองรับการเชื่อมต่อ API กับแหล่งข้อมูลภายนอก เช่น ระบบธนาคาร ระบบ ERP หรือแพลตฟอร์ม E-Commerce อย่าง Shopee, Lazada, TikTok Shop ได้ จะช่วยให้การบันทึกบัญชีเป็นไปโดยอัตโนมัติ ลดภาระงานของนักบัญชี และช่วยให้ข้อมูลมีความถูกต้องมากขึ้น​ ข้อที่ 5 อัปโหลด/ดาวน์โหลดไฟล์ได้ง่าย โปรแกรมควรรองรับการอัปโหลดและดาวน์โหลดข้อมูล เช่น ไฟล์ Excel, CSV หรือ PDF เพื่อให้สำนักงานบัญชีสามารถอัปโหลดข้อมูลจากระบบอื่นเข้ามาประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังควรมีฟังก์ชันในการส่งออกเอกสารบัญชี เช่น งบการเงิน รายงานภาษี และรายงานกระแสเงินสด เพื่อการใช้งานที่สะดวกและครบถ้วน​ ประโยชน์ของ “โปรแกรมบัญชี” สำหรับสำนักงานบัญชี 1. ประหยัดเวลาและลดข้อผิดพลาด ช่วยลดระยะเวลาการทำงานและความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงานด้วยมือ ระบบอัตโนมัติในโปรแกรมบัญชีช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การออกใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ และใบเสร็จรับเงินอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ยังสามารถคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีหัก ณ ที่จ่ายได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ รวมถึงการกระทบยอดทางการเงินโดยอัตโนมัติ ช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากการคำนวณหรือการบันทึกข้อมูลผิดพลาด 2. เพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า เมื่อสำนักงานบัญชีสามารถดำเนินงานได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า นอกจากนี้ โปรแกรมบัญชียังช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถส่งมอบเอกสารและรายงานทางบัญชีได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือในการให้บริการ ลูกค้าจะได้รับบริการที่มีคุณภาพและสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักงานบัญชีกับลูกค้ามีความราบรื่นและมีประสิทธิภาพ 3. ช่วยในการวางแผนและตัดสินใจ โปรแกรมบัญชีที่มีประสิทธิภาพช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถจัดทำรายงานทางการเงินและภาษีได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน ข้อมูลที่ได้จากโปรแกรมบัญชีช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถวิเคราะห์สถานะทางการเงินและให้คำแนะนำที่มีประสิทธิภาพแก่ลูกค้าได้อย่างแม่นยำ การมีรายงานทางการเงินที่ชัดเจนช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถวางแผนการดำเนินงานและการจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม วิธีเลือก โปรแกรมบัญชี ที่เหมาะสมสำหรับสำนักงานบัญชี การเลือกโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสมสำหรับสำนักงานบัญชีมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากโปรแกรมบัญชีที่ดีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดข้อผิดพลาด และช่วยให้การจัดการบัญชีเป็นระบบมากขึ้น บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีเลือกโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสม ดังนี้ 1. วิเคราะห์ความต้องการของสำนักงานบัญช ก่อนตัดสินใจเลือกโปรแกรมบัญชี คุณควรวิเคราะห์ความต้องการของสำนักงานบัญชีอย่างละเอียด ตัวอย่างคำถามที่ควรถามตัวเอง ได้แก่✅ ณมีลูกค้าจำนวนมากหรือมีหลายสาขาหรือไม่?ควรเลือกโปรแกรมที่รองรับการทำงานแบบหลายผู้ใช้พร้อมกันได้✅ สำนักงานของคุณต้องจัดการเอกสารจำนวนมากหรือไม่ เช่น ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงิน หรือเอกสารภาษีควรเลือกโปรแกรมที่มีฟังก์ชันสร้างและจัดการเอกสารได้ครบถ้วน✅ สำนักงานของคุณมีหลายแผนกที่ต้องทำงานร่วมกันหรือไม่ควรเลือกโปรแกรมที่รองรับการใช้งานบนระบบ Cloud หรือสามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากหลายอุปกรณ์ ตัวอย่าง:หากสำนักงานของคุณต้องรองรับลูกค้าหลายราย การเลือกโปรแกรมที่สามารถสร้างเอกสารจำนวนมากในเวลาอันสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น โปรแกรมบัญชี PEAK ที่รองรับการออกเอกสารทางบัญชีอย่างครบถ้วน ทั้งใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ และใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ จะช่วยให้คุณทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น​ 2. ทดลองใช้งานก่อนตัดสินใจ การทดลองใช้งานก่อนตัดสินใจซื้อเป็นวิธีที่ดีในการประเมินว่าโปรแกรมบัญชีสามารถตอบโจทย์ความต้องการของสำนักงานบัญชีได้หรือไม่ หลายโปรแกรมมีบริการทดลองใช้งานฟรี 7 – 30 วัน ซึ่งคุณสามารถใช้เพื่อทดสอบคุณสมบัติต่างๆ เช่น:✅สร้างและบันทึกเอกสาร – ใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ และใบเสร็จรับเงิน✅การเชื่อมต่อกับระบบภายนอก – เช่น การนำเข้าข้อมูลจาก Shopee หรือ Lazada✅สนับสนุนด้านภาษี – เช่น การสรุปแบบภาษี ภ.พ. 30 หรือภ.ง.ด. 3, 53 อย่างเป็นระบบ ตัวอย่าง:โปรแกรม PEAK มีระบบทดลองใช้งานฟรีที่ช่วยให้คุณทดสอบการใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ได้ก่อนตัดสินใจสมัครใช้งานจริง อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบขายของออนไลน์ ทั้ง Shopee และ Lazada เพื่อช่วยให้การจัดการเอกสารเป็นระบบมากขึ้น​ 3. ตรวจสอบบริการหลังการขา บริการหลังการขายเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การใช้งานโปรแกรมบัญชีราบรื่น หากโปรแกรมมีทีมสนับสนุนที่ให้บริการอย่างมืออาชีพ จะช่วยลดปัญหาการใช้งานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้มากขึ้น ควรตรวจสอบว่าโปรแกรมมีบริการดังนี้:✅มีทีมงานให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาทางเทคนิคและการใช้งาน✅อบรมการใช้งาน มีหลักสูตรฝึกอบรมหรือคลิปวิดีโอสอนการใช้งาน✅บริการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน มีช่องทางติดต่อที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว เช่น Live Chat, โทรศัพท์ หรือ Email ตัวอย่าง:โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK มีทีมสนับสนุนลูกค้าที่พร้อมให้บริการผ่านช่องทางต่างๆ เช่น โทรศัพท์, แชท และ Email อีกทั้งยังมีคลังความรู้และคู่มือการใช้งานที่ช่วยให้คุณแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเองอย่างง่ายดาย​ แนะนำ โปรแกรมบัญชี PEAK ตัวช่วยที่สำนักงานบัญชีควรเลือกใช้ โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK รองรับทั้ง 5 คุณสมบัติที่กล่าวมาเบื้องต้น เพื่อตอบโจทย์สำนักงานบัญชีโดยเฉพาะ ด้วยระบบที่ช่วยให้ทำงานสะดวกขึ้น ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพการทำบัญชี ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อข้อมูลอัตโนมัติ ระบบคลาวด์ที่ปลอดภัย รายงานที่อ่านง่าย AI ช่วยบันทึกบัญชี และเครื่องมือจัดการไฟล์ที่ยืดหยุ่น ทุกฟังก์ชันถูกพัฒนาเพื่อช่วยให้นักบัญชีทำงานได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น การเลือกโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสมเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จของสำนักงานบัญชี โปรแกรมที่ดีไม่เพียงช่วยลดความซับซ้อนในการทำงาน แต่ยังช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับบริการที่สำนักงานบัญชีมอบให้กับลูกค้า เลือกโปรแกรมที่มีคุณสมบัติตรงกับความต้องการ เช่น โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK และเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นตั้งแต่วันนี้ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

30 ม.ค. 2025

PEAK Account

21 min

5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ

การทำบัญชีอาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของธุรกิจให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก แต่ความจริงแล้ว ความผิดพลาดทางบัญชีสามารถสร้างปัญหาใหญ่กว่าที่คุณคิด ตั้งแต่กระแสเงินสดที่ไม่สมดุล ไปจนถึงปัญหาภาษีและความน่าเชื่อถือของธุรกิจ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จัก “5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ” เพื่อให้คุณสามารถบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงทางการเงิน และสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน 5 ความผิดพลาดทางบัญชี ที่ ธุรกิจ SMEs มักมองข้าม! ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 1 : การไม่แยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว การบริหารการเงินที่ดีเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในธุรกิจ หนึ่งในหลักการพื้นฐานที่เจ้าของธุรกิจต้องให้ความสำคัญคือ การแยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว อย่างชัดเจน การใช้บัญชีเดียวกันอาจทำให้เกิดความสับสน เสียเวลา และส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจทางการเงินของธุรกิจ ดังนั้นในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจว่าทำไมการแยกบัญชีจึงเป็นเรื่องสำคัญ พร้อมแนวทางปฏิบัติที่คุณสามารถนำไปใช้ได้จริง ทำไมต้องแยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว? 1.1 ช่วยให้บริหารการเงินได้ง่ายขึ้น ลองนึกภาพว่าคุณต้องนั่งไล่ดูรายการเดินบัญชีเพื่อแยกว่าเงินไหนเป็นรายรับธุรกิจ เงินไหนเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว หากคุณใช้บัญชีเดียวกัน คุณอาจต้องเสียเวลานั่งไล่ดูทีละรายการ ซึ่งไม่คุ้มค่าเลย การแยกบัญชีช่วยให้คุณสามารถติดตามรายรับและรายจ่ายของธุรกิจได้อย่างแม่นยำ ลดความยุ่งยากในการทำบัญชี และช่วยให้การทำงบการเงินเป็นไปอย่างถูกต้อง 1.2 ป้องกันความผิดพลาดทางภาษี ช่วงยื่นภาษีทีไรต้องปวดหัว เพราะมีรายการใช้จ่ายที่ปะปนกันจนไม่รู้ว่าอันไหนใช้กับธุรกิจ อันไหนเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าคุณเผลอเอาค่าใช้จ่ายส่วนตัวมาคิดเป็นค่าใช้จ่ายธุรกิจโดยไม่ได้ตั้งใจ อาจทำให้มีปัญหากับกรมสรรพากรได้ หรือในทางตรงกันข้าม หลายครั้งที่นักบัญชีปิดงบปลายปีให้ผู้ประกอบการ และเมื่อเจอรายการเงินออกที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมอะไรของธุรกิจ กลายเป็นว่าค่าใช้จ่ายนั้นก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้าม หรือค่าใช้จ่ายบวกกลับทางภาษีของกิจการไป ทำให้ต้องเสียเงินภาษีเยอะขึ้นโดยไม่จำเป็น แต่ถ้าแยกบัญชีชัดเจน การคำนวณภาษีจะง่ายขึ้นและมีความถูกต้องมากขึ้น 1.3 สร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือให้ธุรกิจ ลองนึกถึงกรณีที่คุณต้องการขอสินเชื่อจากธนาคารหรือดึงดูดนักลงทุน หากบัญชีธุรกิจของคุณปะปนกับบัญชีส่วนตัว ธนาคารอาจมองว่าธุรกิจของคุณไม่มีระบบที่ดีพอ ทำให้โอกาสได้รับอนุมัติน้อยลง การมีบัญชีธุรกิจแยกจากบัญชีส่วนตัวช่วยให้ลูกค้า คู่ค้า และธนาคารมองว่าธุรกิจของคุณเป็นองค์กรที่มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ช่วยเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อ หรือเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น 1.4 ควบคุมกระแสเงินสดได้ดีขึ้น ถ้าใช้บัญชีเดียวกัน บางครั้งคุณอาจเผลอใช้เงินธุรกิจไปกับเรื่องส่วนตัวโดยไม่รู้ตัว เมื่อถึงเวลาต้องจ่ายค่าซัพพลายเออร์หรือพนักงาน อาจเจอปัญหาเงินสดขาดมือ การแยกบัญชีช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของกระแสเงินสดธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น และบริหารเงินได้ดีกว่าเดิม ช่วยทำให้คุณมองเห็น และเข้าใจเงินทุนหมุนเวียนของกิจการได้ดีขึ้น แนวทางปฏิบัติในการแยกบัญชีธุรกิจและบัญชีส่วนตัว 1.1 เปิดบัญชีธุรกิจแยกต่างหาก เริ่มต้นด้วยการเปิดบัญชีธุรกิจโดยเฉพาะ เลือกธนาคารที่ให้บริการด้านบัญชีธุรกิจที่เหมาะสมกับคุณ เช่น มีระบบจ่ายเงินออนไลน์ หรือค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม หรืออย่างน้อยที่สุด คุณสามารถใช้บัญชีธนาคารเพื่อกิจการก็ได้ในชื่อของคุณ เป็นบัญชีบุคคลธรรมดา แต่ที่สำคัญคือคุณต้องแยกบัญชีกัน 1.2 กำหนดเงินเดือนให้ตัวเอง อย่าคิดว่าเงินธุรกิจเป็นของตัวเอง! กำหนดเงินเดือนให้ตัวเองและใช้จ่ายในส่วนที่ได้รับเท่านั้น วิธีนี้ช่วยให้คุณควบคุมการใช้จ่ายส่วนตัวได้ดีขึ้น และป้องกันการนำเงินธุรกิจไปใช้เกินความจำเป็น และเงินเดือนของคุณ ก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทด้วย สามารถช่วยลดภาระภาษีของบริษัทไปได้ แน่นอนว่ามันจะกลายเป็นรายได้บุคคลธรรมดาของคุณ แต่ถ้าคุณจัดการภาษีบุคคลได้ดี คุณจะสามารถนำเงินเดือนเป็นเครื่องนึงในการประหยัดภาษีได้ (หากคุณต้องการจัดการเงินเดือน เราก็มีโปรแกรมที่ช่วยจัดการเงินเดือนให้คุณได้) 1.3 ใช้บัตรเครดิตธุรกิจและบัตรเครดิตส่วนตัวแยกจากกัน เช่นเดียวกับการเปิดบัญชีธนาคารแยก คุณสามารถมีบัตรเครดิตบุคคลในชื่อคุณได้ แต่ใช้เพื่อบริษัทเพียงอย่างเดียว อย่าใช้บัตรใบนั้นไปรูดซื้อของใช้ส่วนตัว เพราะจะทำให้การติดตามค่าใช้จ่ายยุ่งยาก หรือบริษัทของคุณมีความน่าเชื่อถือที่มากพอ คุณสามารถขอเปิดบัตรเครดิตในนามนิติบุคคลได้ โดยติดต่อธนาคารต่างๆ อย่างไรก็ตาม เดี๋ยวนี้ผู้ให้บริการชำระเงินหลายแห่งมีบริการ virtual card เพื่อให้คุณสามารถใช้บัตรเครดิตในบริษัทได้หลากหลายใบ โดยที่สามารถจัดการจากระบบหลังบ้านได้ 1.4 บันทึกและตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินเป็นประจำ อย่าปล่อยให้รายการเดินบัญชีสะสมเป็นเดือนๆ แล้วค่อยมาเช็ก ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะทำงบประมาณ หรือ budget ควรตรวจสอบธุรกรรมเป็นประจำทุกสัปดาห์เพื่อให้แน่ใจว่าเงินเข้า-ออกตรงตามแผน และไม่มีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น 1.5 หลีกเลี่ยงการโอนเงินระหว่างบัญชีโดยไม่จำเป็น หากต้องโอนเงินระหว่างบัญชี ควรมีบันทึกที่ชัดเจน เช่น หากคุณนำเงินส่วนตัวมาใช้ในธุรกิจ ควรลงบัญชีว่าเป็น “เงินกู้” หรือ “จ่ายเพื่ออะไร” เพื่อให้สามารถติดตามได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเดี๋ยวนี้คุณสามารถเพิ่มบันทึกสาเหตุรายการเหล่านั้นเข้าไปได้ในมือถือตอนที่ทำการจ่ายโอนเลย มันง่ายมากๆแล้ว ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 2 : การไม่จัดทำบัญชีอย่างสม่ำเสมอ การทำบัญชีเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะเล็กหรือใหญ่ การบันทึกบัญชีอย่างสม่ำเสมอช่วยให้คุณติดตามสถานะทางการเงินของธุรกิจได้อย่างถูกต้อง แต่หลายคนมักเลื่อนการบันทึกบัญชีออกไปเพราะคิดว่าไม่มีเวลาหรือไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน จนกลายเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบใหญ่กว่าที่คิด! ทำไมการไม่บันทึกบัญชีเป็นประจำถึงเป็นปัญหา? 2.1 ข้อมูลการเงินไม่ถูกต้อง ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด ลองนึกภาพว่าคุณต้องการขยายธุรกิจ แต่เมื่อดูตัวเลขทางบัญชีแล้วกลับพบว่ามีข้อมูลขาดหาย หรือไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าธุรกิจมีกำไรจริงหรือไม่ สิ่งนี้ทำให้คุณตัดสินใจทางการเงินผิดพลาด เช่น ลงทุนเกินตัว หรือคิดว่ามีเงินสดมากพอแต่กลับมีหนี้ที่ไม่ได้บันทึก ในตอนที่ผมทำบัญชีให้กับลูกค้า มีเคสนึงน่าสนใจ ร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่บันทึกบัญชีทุกวัน แต่จดยอดขายเฉพาะวันที่พนักงานมีเวลาว่าง ส่งผลให้เจ้าของเข้าใจผิดว่าธุรกิจมีกำไรดี เพราะไม่ได้บันทึกต้นทุนวัตถุดิบที่ซื้อมา และไม่ได้ตัดเครื่องปรุงเครื่องใช้ออกเลย เจ้าของตัดสินใจขยายพื้นที่ร้านเพิ่ม และสั่งของมาเพิ่มอีก แต่เมื่อถึงเวลาตรวจสอบจริง พบว่ามีค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้ถูกบันทึก มีวัตถุดิบที่หมดอายุเพราะสั่งมาเกิน มีเครื่องปรุงที่หมดไปแล้วมีไม่พอทำให้เสียโอกาสในการขาย ทำให้เงินสดขาดมือและต้องกู้เงินเพิ่มโดยไม่จำเป็น ปัญหาเหล่านี้ เกิดขึ้นจากการที่เจ้าของขาดข้อมูลที่แท้จริงในการตัดสินใจ 2.2 ปัญหาด้านภาษีและค่าปรับที่ไม่คาดคิด หากไม่มีการบันทึกบัญชีอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้คุณพลาดการยื่นภาษีที่ถูกต้อง และอาจต้องเสียค่าปรับจากกรมสรรพากรโดยไม่จำเป็น การไม่มีข้อมูลบัญชีที่ชัดเจนยังทำให้คุณไม่สามารถใช้สิทธิหักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้เต็มที่ 2.3 เสียเวลาและเพิ่มภาระงานตอนท้ายปี การสะสมงานบัญชีไว้จนถึงสิ้นเดือนหรือสิ้นปี ทำให้ต้องเสียเวลามากในการตามหาข้อมูลย้อนหลัง หากคุณปล่อยให้บัญชีไม่อัปเดตเป็นเวลานาน คุณอาจต้องใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ในการจัดการข้อมูลแทนที่จะใช้เวลานั้นในการพัฒนาธุรกิจ ซึ่งเหตุการณ์นี้ผมคิดว่าหลายกิจการก็น่าจะเจอเหมือนกัน ตอนที่ผมทำบัญชีผมเจอบริษัทหลายแห่งเลยที่ไม่ได้บันทึกค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน พอถึงสิ้นปีต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือนๆในการไล่หาบิลและเอกสารบัญชี ทำให้การปิดงบล่าช้าและส่งผลกระทบต่อการยื่นภาษีและโดยค่าปรับยื่นแบบล่าช้าอีก แนวทางปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการบันทึกบัญชีล่าช้า 2.1 กำหนดเวลาในการบันทึกบัญชีเป็นประจำ ตั้งเวลาให้แน่นอน เช่น บันทึกบัญชีทุกวันหรืออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้องและอัปเดตอยู่เสมอ 2.2 ใช้ซอฟต์แวร์บัญชีช่วยจัดการ เลือกใช้ซอฟต์แวร์บัญชีที่ช่วยให้คุณสามารถบันทึกข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและอัตโนมัติ เช่น บันทึกยอดขาย ค่าใช้จ่าย และเงินสดเข้าออกโดยไม่ต้องทำมือทั้งหมด แน่นอนว่าตัวที่เราแนะนำก็คือโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK นี่เอง คุณสามารถทดลองใช้งานได้ฟรี 2.3 มอบหมายหน้าที่ให้พนักงานหรือนักบัญชี หากคุณไม่มีเวลาทำเอง อาจมอบหมายให้พนักงานที่มีความสามารถรับผิดชอบ หรือจ้างนักบัญชีภายนอกเพื่อช่วยดูแลการเงินของธุรกิจ ซึ่งที่ PEAK เองก็มีบริการแนะนำนักบัญชีที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการใช้โปรแกรม PEAK มาช่วยดูแลบัญชีให้คุณ ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 3 : ขาดการวางแผนภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ การวางแผนภาษีเป็นเรื่องที่เจ้าของธุรกิจหลายคนมักมองข้าม หรือเลื่อนออกไปจนถึงช่วงสิ้นปี ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดพลาด เสียโอกาสในการลดภาระภาษี และส่งผลต่อกระแสเงินสดของธุรกิจ การวางแผนภาษีที่ดีควรเริ่มตั้งแต่ต้นปีเพื่อให้สามารถบริหารจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง วิธีหลีกเลี่ยง การศึกษากฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม การเตรียมตัวสำหรับการชำระภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ และการจัดสรรเงินสำรองสำหรับการชำระภาษีจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการชำระภาษีล่าช้าและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น และควรเริ่มเลยตั้งแต่กลางๆปี ไม่ควรรอไปถึงสิ้นปีแล้วค่อยคิด เพราะว่าการดำเนินการต่างๆอาจจะไม่ทันปีภาษีได้ ผมอยากแนะนำให้ลองดูบทความนี้ครับ 6 กลยุทธ์การวางแผนภาษีธุรกิจ SMEs ปี 2568 ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 4 : การไม่ใช้เทคโนโลยีช่วยในงานบัญชี ในยุคดิจิทัล การทำบัญชีด้วยวิธีดั้งเดิม เช่น การใช้สมุดจดหรือ Excel อาจไม่เพียงพอสำหรับการบริหารธุรกิจที่เติบโตขึ้น โปรแกรมบัญชี สามารถช่วยให้เจ้าของธุรกิจบริหารการเงินได้ง่ายขึ้น แม่นยำขึ้น และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำบัญชีด้วยตนเอง ข้อดีของการใช้โปรแกรมบัญชี ✅ ลดข้อผิดพลาดในการคำนวณ – ระบบช่วยให้การบันทึกบัญชีและคำนวณภาษีถูกต้องอัตโนมัติ✅ ประหยัดเวลา – ไม่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงทำบัญชีเอง สามารถโฟกัสกับการบริหารธุรกิจได้เต็มที่ ด้วยเทคโนโลยี API ที่เชื่อมต่อกับระบบต่างๆ ทำให้ข้อมูลไหลไปเป็นอัตโนมัติ✅ ช่วยบริหารกระแสเงินสด – ติดตามรายรับ-รายจ่ายได้แบบเรียลไทม์ ทำให้เห็นภาพรวมการเงินของธุรกิจ✅ พร้อมสำหรับการตรวจสอบภาษี – ข้อมูลบัญชีครบถ้วน ลดความเสี่ยงจากปัญหาภาษีและค่าปรับที่ไม่จำเป็น✅ ใช้งานง่าย – ซอฟต์แวร์บัญชีในปัจจุบันสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ผ่านระบบคลาวด์ ช่วยให้การจัดการบัญชีสะดวกขึ้น ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 5 : การไม่เก็บเอกสารทางการเงินอย่างเป็นระบบ การเก็บรักษาเอกสารทางการเงิน เช่น ใบเสร็จและใบแจ้งหนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น และยังช่วยให้การทำบัญชีและการยื่นภาษีเป็นไปอย่างถูกต้องและง่ายขึ้น ลองทำตามคำแนะนำเหล่านี้เพื่อจัดการเอกสารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ เก็บเอกสารให้เป็นระบบ – แยกประเภทเอกสารเป็นหมวดหมู่ เช่น รายรับ ค่าใช้จ่าย เงินเดือน และภาษี ใช้แฟ้ม หรือโฟลเดอร์ดิจิทัลเพื่อให้ค้นหาได้ง่าย และต้องจัดเก็บไว้ให้ได้ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดด้วย ✅ ใช้ซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันช่วยจัดการ – บันทึกและสแกนใบเสร็จ/ใบแจ้งหนี้เก็บไว้ในระบบออนไลน์ เพื่อลดความเสี่ยงจากเอกสารสูญหาย และสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ โดยที่ PEAK เองเรามีระบบคลังเอกสาร ที่คุณสามารถถ่ายรูปจากมือถือ แล้วเก็บเอกสารเข้าไปในระบบได้เลย ✅ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางบัญชี – หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับการจัดเก็บเอกสารหรือข้อกำหนดทางภาษี ให้ปรึกษานักบัญชีเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง เราสามารถช่วยแนะนำคุณได้ ผมหวังว่าบทความ “5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ” นี้จะช่วยเป็นแนวทางให้เพื่อนๆ ผู้ประกอบการ หลีกเลี่ยงความผิดพลาดได้ และสามารถดำเนินธุรกิจโดยมีพื้นฐานด้านบัญชีที่แข็งแรง เพื่อรองรับการเติบโตของคุณได้ในอนาคตครับ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ คือ ทางเลือกที่จะช่วยให้คุณบริหารธุรกิจได้อย่างมีระบบ ด้วยการใช้งานที่ง่ายและฟีเจอร์ที่ครบครัน โปรแกรมนี้ช่วยให้คุณเห็นกำไร-ขาดทุนแบบ Real-Time และจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่ารอช้าที่จะนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาธุรกิจของคุณให้เติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

10 ม.ค. 2025

PEAK Account

7 min

ร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt เตรียมความพร้อมอย่างไรดี

ในยุคดิจิทัลที่ธุรกิจต้องปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีและความต้องการของลูกค้า โครงการ Easy E-Receipt 2.0 หรือที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อ ช้อปดีมีคืน ที่จัดขึ้นโดยกรมสรรพากร เป็นโอกาสสำคัญที่ร้านค้าไม่ควรพลาด โดยเฉพาะร้านค้าที่ต้องการเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับรายละเอียดโครงการและการเตรียมความพร้อมสำหรับร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt 2.0 คืออะไร? โครงการ Easy E-Receipt 2.0 เป็นโครงการที่กรมสรรพากรจัดขึ้นเพื่อสนับสนุนให้ร้านค้าหันมาใช้ระบบ e-Tax Invoice และ e-Receipt แทนการออกใบกำกับภาษีและใบเสร็จรับเงินในรูปแบบกระดาษ ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงวันที่ 16 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ นอกจากนี้ การเข้าร่วมโครงการยังช่วยให้ร้านค้าสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มองหาธุรกิจที่มีความโปร่งใส เช็กความพร้อมร้านค้า ก่อนเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ร้านค้าแบบใดที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้? อย่างไรก็ตามยังมีร้านที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : สินค้าและบริการที่ไม่เข้าร่วม “Easy E-Receipt 2.0 PEAK ตัวช่วยออกเอกสาร e-Tax Invoice & e-Receipt ของคุณ PEAK เป็นโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่รองรับการออก e-Tax Invoice & e-Receipt อย่างเต็มรูปแบบ โดยได้รับการรับรองจากกรมสรรพากร จุดเด่นของ PEAK คือการช่วยให้ร้านค้าจัดการเอกสารทางบัญชีได้สะดวกและรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง e-Tax Invoice การส่งเอกสารถึงลูกค้า หรือการบันทึกข้อมูลลงในระบบบัญชีโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ PEAK ยังมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนส่งไปยังกรมสรรพากร ทำให้คุณมั่นใจได้ในทุกขั้นตอน การเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ แต่ยังช่วยสร้างโอกาสในการกระตุ้นยอดขายให้ร้านค้า หากคุณต้องการให้ธุรกิจของคุณเติบโตในยุคดิจิทัล การเตรียมตัวเข้าร่วมโครงการนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม PEAK พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาธุรกิจของคุณ สมัครใช้งานโปรแกรมบัญชีออนไลน์วันนี้ เพื่อก้าวเข้าสู่ความสำเร็จในยุคดิจิทัล! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

KPI คืออะไร วิธีวัดผลและความสำคัญต่อองค์กร

Key Performance Indicators คือ เครื่องมือในการวัดผลธุรกิจที่ดีที่องค์กรนิยมใช้โดยเฉพาะในยุคที่มีการแข่งขันทางธุรกิจสูง เพราะสามารถช่วยให้องค์กรสามารถติดตามและประเมินความสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่ง KPI จะมีการวัดผลอย่างไร ทำไมสำคัญกับองค์กรไปดูกัน KPI หรือ Key Performance Indicators คืออะไร KPI หรือ Key Performance Indicators คือ เป็นวิธีวัดผลการทำธุรกิจในด้านต่าง ๆ ขององค์กร ด้วยการดูว่าผลตรงกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ไหม ทำให้องค์กรสามารถติดตามความก้าวหน้า ประเมินประสิทธิภาพ และปรับปรุงการทำธุรกิจได้ดีมากขึ้น โดยแต่ละตัวอักษรมีความหมาย ดังนี้  ประเภทการวัดผล KPI การวัดผลการปฏิบัติงานจะขึ้นอยู่กับลักษณะของงานและเป้าหมายที่ต้องการวัด โดยตัวชี้วัด KPI แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ การวัดผลทางตรงและการวัดผลทางอ้อม การวัดผลทางตรง การวัดผลทางตรงเป็นการประเมินผลงานที่สามารถวัดเป็นตัวเลขได้ชัดเจน ไม่ต้องตีความหรือแปลผล เช่น ยอดขาย จำนวนชิ้นงานที่ผลิตได้ อัตราของเสีย หรือจำนวนลูกค้าใหม่ ข้อดีของการวัดผลแบบนี้คือเราสามารถตรวจสอบได้และมีหลักฐานอ้างอิงชัดเจน ทำให้การประเมินผลมีความโปร่งใส การวัดผลทางอ้อม การวัดผลทางอ้อมเป็นการประเมินผลงานที่ไม่สามารถวัดเป็นตัวเลขได้โดยตรง ต้องอาศัยการสังเกต การประเมิน หรือการสำรวจความคิดเห็น เช่น การให้บริการ ความประทับใจของลูกค้า หรือการมีผู้นำ การวัดผลประเภทนี้อาจมีความคลาดเคลื่อนได้ เนื่องจากขึ้นอยู่กับมุมมองและการตีความของผู้ประเมิน ความสำคัญต่อองค์กร KPI มีความสำคัญต่อองค์กรในหลายด้าน สามารถช่วยให้องค์กรรู้ความคืบหน้าในการทำงานของพนักงานและประเมินความสำเร็จได้อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ ยังใช้ประเมินผลงานของพนักงาน การพิจารณาผลตอบแทน และการวางแผนพัฒนาบุคลากร รวมถึงช่วยในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์และการจัดสรรทรัพยากรขององค์กร ใช้หลักการ SMART ในการตั้ง KPI หลักการ SMART เป็นแนวทางมาตรฐานในการกำหนด key performance indicators เป็นการสร้างตัวชี้วัดที่มีประสิทธิภาพ มาดูรายละเอียดแต่ละองค์ประกอบ ตัวอย่างการตั้ง KPI ในองค์กร การกำหนด key performance indicators เป็นการสร้างมาตรฐานการวัดผลที่ตรงตามเป้าหมายขององค์กร มาดูตัวอย่างการตั้ง KPI ในแต่ละแผนก  ฝ่ายขายและการตลาด ฝ่ายผลิต ฝ่ายบุคคล ข้อควรระวังในการใช้ KPI การกำหนดและใช้ KPI (Key Performance Indicators) เป็นการวัดผลความสำเร็จขององค์กรหรือโครงการ แต่หากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง อาจเกิดการตีความที่ผิดพลาด หรือการสร้างผลกระทบเชิงลบต่อการทำงานโดยรวม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเข้าใจถึงข้อควรระวังต่าง ๆ เพื่อให้การใช้ KPI สอดคล้องกับเป้าหมายที่แท้จริง และช่วยพัฒนาองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ประโยชน์ของการใช้ KPI ที่ดี KPI (Key Performance Indicators) เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยให้องค์กรรู้ความคืบหน้าของการทำธุรกิจว่าได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใจไหม การใช้ KPI ที่ออกแบบมาอย่างเหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยวัดผลสำเร็จ แต่ยังสร้างแรงจูงใจให้ทีมงานพัฒนาการทำงานได้ดียิ่งขึ้น การเข้าใจถึงประโยชน์ของการใช้ KPI จะช่วยเพิ่มโอกาสในการบริหารจัดการและพัฒนาองค์กรในระยะยาว การใช้ KPI จะช่วยให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน แต่ต้องระวังความเหมาะสมและความเป็นกลางในการประเมินผล เพื่อคนในองค์กรอยากพัฒนาเปลี่ยนแปลงการทำงานจริง ๆ ซึ่ง Key Performance Indicators คือ เครื่องมือที่จะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จได้ หากใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการยื่นประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่สำหรับนายจ้าง

การจ้างงานพนักงานใหม่นั้นนายจ้างมีหน้าที่สำคัญในการดูแลสวัสดิการพื้นฐาน โดยเฉพาะการขึ้นทะเบียนประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย การจัดการประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่อย่างรวดเร็วและถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยให้พนักงานได้รับสิทธิประโยชน์ที่ควรได้รับ แต่ยังช่วยให้องค์กรหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งนายจ้างต้องทำอะไรบ้างไปดูกัน  ทำไมเจ้าของธุรกิจต้องประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ให้พนักงาน การขึ้นทะเบียนประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่เป็นหน้าที่สำคัญที่นายจ้างต้องดำเนินการ ไม่เพียงเพราะเป็นข้อกำหนดทางกฎหมาย แต่ยังส่งผลดีต่อทั้งองค์กรและพนักงาน มาดูเหตุผลสำคัญที่นายจ้างควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ กฎหมายกำหนด พระราชบัญญัติประกันสังคมกำหนดให้นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ต้องขึ้นทะเบียนประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ภายใน 30 วันนับจากวันที่เริ่มจ้างงาน หากไม่ดำเนินการจะมีโทษปรับสูงสุด 20,000 บาท นอกจากนี้ ยังต้องจ่ายเงินสมทบย้อนหลังพร้อมเงินเพิ่ม 2% ต่อเดือนของเงินสมทบที่ต้องจ่าย ซึ่งถ้าบริษัททำตามกฎหมายนี้ก็จะช่วยป้องกันปัญหาและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น พนักงานได้ประโยชน์ทำให้อยู่กับบริษัทได้นาน การขึ้นทะเบียนประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่อย่างรวดเร็วช่วยให้พนักงานได้รับสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมทั้งค่ารักษาพยาบาล เงินทดแทนการขาดรายได้ สิทธิประโยชน์กรณีคลอดบุตร ทุพพลภาพ และเสียชีวิต ทำให้พนักงานรู้สึกมั่นคงในการทำงาน มีหลักประกันชีวิตที่ดี ส่งผลให้เกิดความผูกพันกับองค์กรจึงมีโอกาสทำงานกับบริษัทได้ยาวนานขึ้น สร้างภาพลักษณ์ที่ดี องค์กรที่ดูแลสวัสดิการพนักงานอย่างดี โดยเฉพาะการจัดการประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่อย่างรวดเร็วและถูกต้อง จะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในฐานะนายจ้างที่มีความรับผิดชอบ ช่วยดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพให้เข้ามาร่วมงาน และสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาของลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ วิธีการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม การคำนวณเงินสมทบประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่คำนวณจากฐานค่าจ้าง โดยทั้งนายจ้างและลูกจ้างต้องจ่ายในอัตราเท่ากันคือ 5% ของค่าจ้าง ซึ่งมีฐานค่าจ้างขั้นต่ำ 1,650 บาท และสูงสุด 15,000 บาท ต่อเดือน หากค่าจ้างต่ำกว่า 1,650 บาท ให้คำนวณจาก 1,650 บาท และหากสูงกว่า 15,000 บาท ให้คำนวณจาก 15,000 บาท ตัวอย่าง กรณีพนักงานเข้าใหม่มีเงินเดือน 20,000 บาท การคำนวณจะใช้ฐานสูงสุดที่ 15,000 บาท เอกสารจำเป็นระหว่างการยื่นประกันสังคมออนไลน์ ในการยื่นประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ผ่านระบบออนไลน์ ต้องเตรียมเอกสารให้พร้อมและครบถ้วน เพื่อให้การยื่นประกันสังคมออนไลน์เร็วและไม่มีปัญหา โดยเอกสารที่จำเป็นต้องใช้มี ดังนี้  ขั้นตอนการยื่นประกันสังคมพนักงานใหม่ การยื่นประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ผ่านระบบออนไลน์มีขั้นตอนที่ชัดเจนและไม่ซับซ้อน แต่ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันข้อผิดพลาด โดยมีขั้นตอนในการยื่น ดังนี้  การจัดการประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกองค์กร นอกจากจะช่วยให้พนักงานได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายแล้ว ยังช่วยให้องค์กรหลีกเลี่ยงปัญหาและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งการใช้ระบบบริหารจัดการพนักงานที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยให้กระบวนการนี้ง่ายและรวดเร็วขึ้น โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

7 min

อากรแสตมป์คืออะไร พร้อมรวมทุกเรื่องสำคัญที่ต้องรู้

อากรแสตมป์เป็นภาษีรูปแบบหนึ่งที่จัดเก็บภาษีจากการทำตราสารหรือเอกสารต่าง ๆ ทางกฎหมายในประเทศไทย ซึ่งมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแสตมป์ทั่วไปที่ใช้ในการส่งจดหมาย แต่ในความเป็นจริงอากรแสตมป์มีความสำคัญในด้านกฎหมายและธุรกรรมทางการเงิน การเข้าใจว่าอากรแสตมป์ใช้ทำอะไรได้บ้าง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรเรียนรู้ โดยเฉพาะผู้ที่มีกิจการเป็นของตัวเอง อากรแสตมป์ คืออะไร อากรแสตมป์ คือ ภาษีตามประมวลรัษฎากรรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจะจัดเก็บในลักษณะของดวงแสตมป์ที่ใช้สำหรับเอกสารราชการและสัญญาต่าง ๆ เช่น สัญญาซื้อขาย ใบมอบอำนาจ โดยอากรบนเอกสารเหล่านี้เป็นการแสดงว่าภาษีได้ถูกชำระเรียบร้อยแล้ว และเอกสารนั้นได้รับการรับรองตามกฎหมาย สามารถช่วยป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี แถมยังช่วยรับรองความถูกต้องของเอกสารทางกฎหมายอีกด้วย อากรแสตมป์ ไม่ใช่แสตมป์ปกติ หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าอากรแสตมป์เป็นแสตมป์ที่ใช้ในการส่งจดหมายหรือไปรษณีย์ แต่ความจริงแล้วอากรแสตมป์กับแสตมป์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยแสตมป์ หรือ ตราไปรษณียากร มีลักษณะเป็นกระดาษรูปสี่เหลี่ยม โดยจะนำไปใช้ติดบนซองจดหมายเพื่อใช้เป็นหลักฐานว่าได้ชำระค่าบริการส่งไปรษณีย์แล้ว ซึ่งจะมีแสตมป์ทั่วไปกับแสตมป์ที่ระลึกที่มีการออกแบบเนื่องในโอกาสพิเศษ เช่น วันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์ เป็นต้น รูปแบบของอากรแสตมป์ เอกสารที่ต้องเสียค่าอากรแสตมป์มีอะไรบ้าง การทำตราสารหรือเอกสารบางประเภทในประเทศไทยต้องมีการประทับตราอากรแสตมป์เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเอกสารที่ต้องจ่ายค่าอากรแสตมป์ เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่าที่ดิน สัญญาจำนอง สัญญาร่วมลงทุน สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ สัญญาจ้างทำของ สัญญากู้ยืมเงิน สัญญาค้ำประกัน และเอกสารอื่น ๆ ที่มีผลทางกฎหมาย  วิธีการเสียค่าอากรแสตมป์ ข้อควรรู้เกี่ยวกับอากรแสตมป์ สรุปบทความ อากรแสตมป์เป็นส่วนสำคัญในการทำตราสารและเอกสารทางกฎหมายในประเทศไทย ความเข้าใจในเรื่องอากรแสตมป์และการใช้แสตมป์อากรอย่างถูกต้อง เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการทำธุรกรรมทางการเงินหรือจัดการกับเอกสารสำคัญ โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจมือใหม่ที่ต้องเรียนรู้เรื่องบัญชี การเงิน และภาษีเพื่อความโปร่งใสในการดำเนินกิจการ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเหล่านักลงทุน PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

อยากขายของใน Shopee ต้องเริ่มต้นอย่างไร

การขายของใน Shopee กลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ การขายของในช้อปปี้เป็นแพลตฟอร์มนี้มีผู้ใช้งานจำนวนมากและมีระบบที่ใช้งานง่าย สำหรับผู้ที่สนใจแต่ยังไม่รู้วิธีขายของใน shopee ว่าควรจะเริ่มอย่างไรดี ทำอย่างไรได้บ้าง และเสียค่าใช้จ่ายไหม วันนี้เรามีวิธีการขายของใน Shopee ตั้งแต่วิธีการสมัครขายของใน Shopee และรายละเอียดเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมต่าง ๆ มาฝากทุกคนกันให้สามารถวางแผนการขายของได้ตามเป้าหมายกัน จะเริ่มสมัครขายของใน Shopee อย่างไร การสมัครขายของใน Shopee ทำได้ง่าย ๆ เพียงใช้โทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ก็สามารถสมัครขายของใน Shopee ได้ทันที โดยสามารถเริ่มต้นสมัครขายของใน Shopee ได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ 1. สร้างบัญชี Shopee ผ่านแอปพลิเคชัน 2. สร้างบัญชี Shopee ผ่านคอมพิวเตอร์ สมัครขายของใน Shopee เสียค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง การขายของใน Shopee ไม่มีค่าใช้จ่าย ฟรีค่าแรกเข้า แต่ยังมีค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ผู้ขายควรทราบเพื่อการวางแผนต้นทุนอย่างถูกต้อง ดังนี้ 1. ค่าธรรมเนียมจากการขาย ใน shopee  ค่าธรรมเนียมจากการขายเป็นส่วนที่ Shopee เรียกเก็บเมื่อมีการขายสินค้าสำเร็จ โดยทั่วไปแล้ว Shopee จะคิดค่าธรรมเนียมนี้เป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาสินค้าที่ขายได้ ซึ่งอัตราค่าธรรมเนียมอาจแตกต่างกันไปตามหมวดหมู่ของสินค้าและโปรโมชั่น ซึ่งในสินค้าหมวดหมู่อิเล็กทรอนิกส์ จะคิดที่ 3% ส่วนหมวดหมู่อื่น ๆ จะคิดที่ 5% (โดยไม่รวมค่าขนส่งและส่วนลดอื่น ๆ ) 2. ค่าธรรมเนียมชำระเงินแบบปลายทาง การชำระเงินแบบปลายทางหรือ COD (Cash on Delivery) การชำระเงินวิธีนี้ผู้ขายจะมีค่าธรรมเนียมชำระเงินปลายทางที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม COD เป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขายที่ชำระผ่านวิธีนี้ โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมชำระปลายทาง ที่ 2% จากผู้ขาย (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 3. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านบัญชีธนาคาร สำหรับการชำระเงินผ่านบัญชีธนาคาร ทั้งการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร หรือ Mobile Banking ผู้ขายต้องเสียค่าธรรมเนียม 2% เปอร์เซ็นต์ของยอดเงินที่ทำธุรกรรม (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 4. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต การชำระเงินผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตเป็นอีกวิธีที่สะดวกสบายสำหรับผู้ซื้อ แต่สำหรับผู้ขายต้องถูกหักค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดเงินที่ทำธุรกรรม โดยจะหัก 2% เมื่อผู้ซื้อชำระค่าสินค้าแล้ว (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 5. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่าน AirPay Wallet การชำระเงิน AirPay Wallet ใน Shopee เป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมอย่างมาก สำหรับผู้ขายการรับชำระเงินผ่าน AirPay Wallet จะมีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม 2% ของยอดทั้งหมด (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 6. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต แบบผ่อนชำระ การจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตแบบผ่อนชำระ โดยเฉพาะในสินค้าที่มีราคาสูงจะช่วยให้ผู้ซื้อตัดสินใจได้ง่ายขึ้น สำหรับผู้ขายการให้บริการผ่อนชำระนี้จะมีค่าธรรมเนียม 5% โดย 2% มาจากการทำธุรกรรมผ่านบัตรส่วน 3% มาจากการเลือกผ่อนชำระ (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 7. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่าน SpayLater SpayLater เป็นบริการชำระเงินแบบผ่อนชำระที่มอบความยืดหยุ่นแก่ผู้ซื้อ ทำการชำระเงินในภายหลัง สำหรับผู้ขาย การรับชำระเงินผ่าน SpayLater สำหรับผู้ขายจะมีค่าธรรมเนียม 2% ไม่ว่าจะชำระผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันก็ตาม (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) สรุปบทความ สำหรับผู้ที่อยากเริ่มเส้นทางธุรกิจออนไลน์การขายของใน Shopee ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีมาก ๆ โดยสามารถสมัครขายของใน Shopee ได้ง่าย ๆ ทั้งผ่านแอปพลิเคชันและคอมพิวเตอร์เลย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดการขายของในช้อปปี้ มีค่าธรรมเนียมต่าง ๆ แฝงอยู่ เราจะต้องมีการทำบัญชีอย่างรอบคอบเพื่อคำนวณความคุ้มค่าของต้นทุนและการคิดโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ มีบริการเชื่อมต่อ API กับพันธมิตรแพลตฟอร์ม FASTSHIP (แพลตฟอร์มขนส่งสินค้าและพัสดุ), TORYORDONLINE (แพลตฟอร์มค้าส่งออนไลน์), CLOUDCOMMERCE (แพลตฟอร์มเพื่อธุรกิจ e-Commerceครบวงจร), SELLSUKI (แพลตฟอร์ม e-Commerce Solution สำหรับธุรกิจออนไลน์) เป็นต้น ช่วยให้นักบัญชีทำงานได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น การบันทึกบัญชีเป็นอัตโนมัติมีความรวดเร็ว และถูกต้อง ครบถ้วน ไม่ต้องรอรับเอกสารแล้วค่อยบันทึกบัญชี  ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

สินเชื่อ OD คืออะไร เรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการ SME ต้องรู้

สินเชื่อ OD คือ สินเชื่อประเภทหนึ่งที่ธนาคารให้บริการแก่ผู้ประกอบการ SME เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงิน หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักในชื่อ “เงินหมุน” โดยเฉพาะในช่วงที่ธุรกิจต้องการเงินสดอย่างเร่งด่วน แต่ไม่ต้องการกู้ยืมเงินเป็นเงินก้อนใหญ่ สินเชื่อ OD คือ สินเชื่อที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถเบิกเงินจากบัญชีเงินฝากเกินกว่ายอดเงินที่มีอยู่ ได้ตามวงเงินที่ได้รับอนุมัติ โดยธนาคารจะคิดดอกเบี้ยเฉพาะในส่วนที่เบิกเกิน ซึ่งทำให้สินเชื่อ OD คือตัวเลือกที่ยืดหยุ่นและเหมาะสมสำหรับธุรกิจที่ต้องการเงินทุนสำหรับหมุนเวียนในระยะสั้น สินเชื่อ OD (Overdraft) คืออะไร? สินเชื่อ OD หรือ เงิน OD คือ การให้กู้เงินในรูปแบบของ “เงินหมุน” โดยที่ธนาคารผู้ให้กู้นั้นจะตั้งวงเงินไว้ในบัญชีกระแสรายวัน (Current Account) ที่บริษัทได้เปิดไว้กับธนาคารตั้งแต่ต้น โดยสามารถเบิกใช้เงินกู้นี้ได้ตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งเอาไว้กับธนาคารได้เลย ทั้งยังสามารถทยอยเบิกใช้ในยามที่จำเป็นได้ โดยไม่จำเป็นต้องเบิกภายในครั้งเดียวทั้งจำนวน แต่มีข้อแม้ว่าต้องไม่เบิกใช้เกินวงเงินที่ทางธนาคารกำหนดไว้ ซึ่งเงื่อนไขการผ่อนชำระนั้นจะเป็นไปที่กำหนดเอาไว้ในสัญญาสินเชื่อ มีการคำนวณดอกเบี้ยเป็นรายวัน ตามจำนวนที่ไปใช้จริงทุกสิ้นเดือน สินเชื่อ OD แตกต่างกับสินเชื่อเงินก้อน Loan อย่างไร สินเชื่อ OD คือ เงินที่กู้มาใช้ในระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อนำเงินมาหมุนในกรณีฉุกเฉินหมุนเงินไม่ทัน โดยจะเสียดอกเบี้ยเฉพาะวงเงินที่ใช้ ซึ่งจะแตกต่างกับสินเชื่อเงินก้อน (Loan) อย่างชัดเจน เนื่องจากสินเชื่อเงินก้อน (Loan) จะได้รับมาเป็นเงินก้อนเพื่อนำไปใช้ขยายกิจการหรือลงทุนระยะยาวตามแจ้งไว้กับธนาคาร โดยจะเสียดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกและผ่อนชำระเท่ากันทุกเดือน  ข้อดีของสินเชื่อ OD คืออะไร สินเชื่อ OD มีข้อดีมากมายทำให้ได้รับความนิยมมาก ๆ ในธุรกิจ SME เนื่องจากมีความยืดหยุ่นในการเบิกถอนเงินจากบัญชีตามความต้องการได้ทันที ดอกเบี้ยที่จ่ายตามการใช้งานจริง ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยเฉพาะในส่วนที่เบิกเกินเท่านั้น ช่วยเสริมสภาพคล่องในระยะสั้นทำให้ธุรกิจสามารถรับมือกับการขาดแคลนเงินสดหรือการชำระค่าใช้จ่ายฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที โดยผู้ประกอบการจะเบิกเงินได้ทันทีหลังได้รับการอนุมัติ โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการอนุมัติใหม่อีกทุกครั้ง สินเชื่อ OD เหมาะสำหรับใคร สินเชื่อ OD เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่มีความต้องการเสริมสภาพคล่องทางการเงินในระยะสั้น โดยเฉพาะธุรกิจที่มีการหมุนเวียนเงินสดสูง เช่น ธุรกิจค้าปลีก ค้าส่ง หรือธุรกิจที่ต้องการเงินสดเพื่อซื้อวัตถุดิบหรือชำระค่าใช้จ่ายในทันที สินเชื่อ OD ยังเหมาะกับธุรกิจที่มีรายรับไม่แน่นอนหรือมีรอบการชำระเงินยืดเยื้อ เนื่องจากสามารถใช้วงเงิน OD เพื่อรับมือกับค่าใช้จ่ายฉุกเฉินได้ทันที นอกจากนี้ ธุรกิจที่ต้องการความยืดหยุ่นในการจัดการสภาพคล่อง และไม่ต้องการภาระดอกเบี้ยสูงเมื่อไม่ได้ใช้เงินเต็มวงเงิน จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากสินเชื่อ OD นี้ด้วย ข้อควรรู้ก่อนกู้สินเชื่อ OD คืออะไร แม้สินเชื่อ OD จะมีข้อดีที่น่าสนใจอย่างไร แต่สินเชื่อ OD ก็มีข้อควรระวังให้เราต้องพิจารณาก่อนการตัดสินใจกู้สินเชื่อ OD ด้วยเช่นกัน ดังนี้ สินเชื่อ OD คือ เงินกู้ประเภทที่มีความยืดหยุ่นสูง เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะกับผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการเสริมสภาพคล่องในระยะสั้น การเข้าใจข้อดีและข้อควรระวังก่อนทำการตัดสินใจขอสินเชื่อ OD จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบและไม่กระทบกับการดำเนินธุรกิจ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

7 มี.ค. 2025

PEAK Account

13 min

ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ง่ายขึ้น 2 เท่า แค่เชื่อม ZORT กับ PEAK

สำหรับเจ้าของธุรกิจ E-commerce อย่างร้านค้าออนไลน์ที่ขายบน Shopee, Lazada หรือ Facebook การทำบัญชีอาจเป็นงานที่ใช้เวลานานและมีความยุ่งยาก โดยเฉพาะการบันทึกข้อมูลการขาย การซื้อ และการคืนสินค้า แต่ตอนนี้การทำบัญชีไม่ต้องยุ่งยากอีกต่อไป ด้วยการเชื่อมต่อระหว่าง PEAK x ZORT จะช่วยให้ ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ง่ายขึ้น 2 เท่า ในบทความนี้จะพาทุกคนมาดูว่าทำไมต้องใช้ PEAK x ZORT พร้อมรีวิวจากผู้ใช้งานจริง PEAK x ZORT คืออะไร ช่วยทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ได้อย่างไร? PEAK x ZORT คือการเชื่อมต่อระหว่าง PEAK (โปรแกรมบัญชีออนไลน์) และ ZORT (ระบบจัดการออเดอร์และสต๊อกสินค้า) เพื่อช่วยให้ธุรกิจ E-commerce ทำงานได้อย่างอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีบทบาทหลักดังนี้ เมื่อเชื่อมต่อ ZORT กับ PEAK ข้อมูลจากคำสั่งซื้อและการขายจะถูกส่งไปยังระบบบัญชีอัตโนมัติ ลดความซ้ำซ้อนของการบันทึกข้อมูล และช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามรายรับ รายจ่าย และกำไร-ขาดทุนได้แบบเรียลไทม์​ ทำไมร้านค้าออนไลน์ ต้องใช้ PEAK x ZORT ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ได้ครบวงจรในที่เดียว ธุรกิจ E-commerce หรือร้านค้าออนไลน์ มีหลายกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับบัญชี ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้า การรับชำระเงิน ค่าใช้จ่ายต่างๆ และการคำนวณภาษี หากต้องทำทุกอย่างเอง เจ้าของร้านค้าจะต้องเสียเวลาในการบันทึกข้อมูล คีย์เอกสาร และตรวจสอบยอดขายที่อาจเกิดข้อผิดพลาดได้ PEAK x ZORT ช่วยให้คุณสามารถรวมทุกกระบวนการบัญชีไว้ในที่เดียว สรุป: ระบบช่วยให้คุณทำบัญชีครบทุกขั้นตอนแบบอัตโนมัติ ไม่ต้องแยกจัดการหลายระบบให้ยุ่งยาก ลดขั้นตอนทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ให้แม่นยำและอัตโนมัติ ไม่ต้องบันทึกข้อมูลซ้ำซ้อน การทำบัญชีด้วยมืออาจต้องคีย์ข้อมูลซ้ำหลายรอบ เช่น จากระบบขายไปยังระบบบัญชี หรือจากใบสั่งซื้อไปเป็นรายจ่าย ระบบ PEAK x ZORT ช่วยให้ข้อมูลเชื่อมต่อกันโดยอัตโนมัติ ลดโอกาสผิดพลาดจากการกรอกข้อมูลเอง อัปเดตบัญชีอัตโนมัติ เมื่อมีการขายสินค้า ระบบจะสร้างเอกสาร เช่น ใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษีทันที โดยไม่ต้องทำเอง ลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ (Human Error) การคีย์ข้อมูลด้วยตนเองมีโอกาสผิดพลาดสูง ไม่ว่าจะเป็นการใส่ตัวเลขผิด การคำนวณภาษีไม่ถูกต้อง หรือการบันทึกเอกสารผิด ระบบช่วยให้มั่นใจว่าข้อมูลมีความแม่นยำ ลดภาระงานบัญชีที่ใช้เวลา ระบบช่วยให้คุณทำบัญชีได้เร็วขึ้นกว่าเดิม เจ้าของร้านสามารถโฟกัสที่การขายและขยายธุรกิจได้เต็มที่ อัปเดตข้อมูลทำบัญชีร้านค้าออนไลน์แบบเรียลไทม์ รู้สต๊อกสินค้าแบบเรียลไทม์ เชื่อมต่อ ZORT กับ PEAK ทำให้ข้อมูลสต๊อกอัปเดตอัตโนมัติเมื่อมีการขายหรือคืนสินค้า เจ้าของร้านสามารถตรวจสอบว่าสินค้าคงเหลือเท่าไหร่ ควรสั่งเพิ่มเมื่อใด และหลีกเลี่ยงปัญหาสินค้าหมดสต๊อกโดยไม่รู้ตัว ติดตามยอดขายได้ทุกช่องทาง PEAK และ ZORT รองรับการขายจากหลายแพลตฟอร์ม เช่น Shopee, Lazada, Facebook, LINE SHOPPING และอื่นๆ ทำให้เห็นยอดขายจากทุกช่องทางในที่เดียว สถานะการเงินอัปเดตทันที PEAK แสดงข้อมูลรายรับ รายจ่าย และกำไรแบบเรียลไทม์ เจ้าของร้านสามารถวิเคราะห์ผลประกอบการและตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างแม่นยำ รายงานธุรกิจที่แม่นยำและเข้าใจง่าย ไม่ต้องรอสิ้นเดือนเพื่อดูรายงาน เพราะระบบสามารถดึงข้อมูลได้ตลอดเวลา ทั้งรายงานสรุปยอดขาย รายจ่าย และผลกำไร สรุป: PEAK x ZORT ช่วยให้ข้อมูลทางธุรกิจของคุณอัปเดตแบบเรียลไทม์ ลดความผิดพลาดและช่วยให้คุณบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ร่วมกับนักบัญชีได้ง่ายขึ้น ระบบออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานร่วมกับนักบัญชี PEAK มีฟีเจอร์ที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจและนักบัญชีสามารถเข้าถึงข้อมูลเดียวกันได้ โดยไม่ต้องส่งเอกสารไปมา เช่น นักบัญชีทำงานได้ง่ายขึ้น นักบัญชีสามารถดึงข้อมูลจาก PEAK เพื่อยื่นภาษี จัดทำงบการเงิน และวิเคราะห์ข้อมูลทางบัญชีให้เจ้าของธุรกิจได้โดยไม่ต้องขอเอกสารเพิ่มเติม รองรับการทำงานออนไลน์ เจ้าของร้านและนักบัญชีสามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากทุกที่ ไม่ต้องเดินทางไปพบกัน ลดเวลาการทำงานร่วมกัน สรุป: PEAK x ZORT ช่วยให้เจ้าของธุรกิจและนักบัญชีทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น ประหยัดเวลา และลดปัญหาความผิดพลาดจากการส่งข้อมูลผิดพลาด PEAK x ZORT ช่วยทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ได้อย่างไรบ้าง? เมื่อเชื่อมต่อ ZORT กับ PEAK ข้อมูลสำคัญจะส่งตรงถึงกันอัตโนมัติ ไม่ต้องคีย์ซ้ำ ไม่ต้องสลับระบบไปมา ลดเวลาและลดความผิดพลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมถึง: 1. รายการขาย: บันทึกอัตโนมัติ ลดเวลาทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ ทุกครั้งที่มีคำสั่งซื้อจาก ZORT ระบบจะสร้างเอกสารทางบัญชีใน PEAK ทันที 2. รายการซื้อ: ควบคุมต้นทุน และดูบัญชีร้านค้าออนไลน์แบบเรียลไทม์ เมื่อลงบันทึก ใบสั่งซื้อ หรือค่าใช้จ่ายใน ZORT ข้อมูลจะถูกส่งไปยัง PEAK โดยอัตโนมัติ 3. รายการรับคืนสินค้า: อัปเดตการทำบัญชีร้านค้าออนไลน์และสต๊อกสินค้าอัตโนมัติ หากลูกค้าทำการคืนสินค้า ZORT จะส่งข้อมูลไปยัง PEAK เพื่ออัปเดตรายการบัญชี 4. รายการคืนสินค้า (กรณีซื้อ) : ตรวจสอบต้นทุนสินค้าได้ง่ายขึ้น หากร้านค้าคืนสินค้าที่ซื้อมา ZORT จะส่งข้อมูลไปยัง PEAK ให้โดยอัตโนมัติ รีวิวจากผู้ที่เชื่อม ZORT ร่วมกับ PEAK ทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ “ZORT ช่วยจัดการตัดสต๊อก และดึงเข้า Peak ระบบบัญชีได้ทันที ทำให้เราจัดการสต๊อกและบัญชีได้อย่าง Seamless” นพรัตน์ อาฒยะพันธ์, Northland Tea, บริษัท ชาดีออร์แกนิค จำกัด อยากทำบัญชีร้านค้าออนไลน์และจัดการออเดอร์ได้ง่ายขึ้น? ถ้าคุณเป็นเจ้าของร้านค้าออนไลน์ที่ต้องวุ่นกับการบันทึกบัญชีและจัดการออเดอร์ทุกวัน PEAK x ZORT ช่วยให้ทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย! แค่เชื่อมต่อระบบ ข้อมูลการขาย รายการซื้อ และการคืนสินค้าจะอัปเดตอัตโนมัติ ไม่ต้องคีย์เอง ไม่ต้องสลับไปมาระหว่างระบบ ลดงานซ้ำซ้อนและข้อผิดพลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทุกคำสั่งซื้อจาก ZORT จะถูกบันทึกเข้า PEAK ทันที พร้อมออกใบเสร็จและใบกำกับภาษีให้อัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาจัดการเอกสารเอง นอกจากนี้ ระบบยังช่วยอัปเดตสต๊อกสินค้า คำนวณต้นทุน และดูรายงานทางการเงินได้แบบเรียลไทม์ ทำให้คุณบริหารธุรกิจได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าคุณจะขายของผ่าน Shopee, Lazada, Facebook หรือช่องทางไหน PEAK x ZORT ก็ช่วยให้คุณเห็นภาพรวมธุรกิจได้ชัดเจน วางแผนการเงินได้อย่างมั่นใจ ลองเชื่อมต่อ PEAK x ZORT วันนี้ แล้วคุณจะรู้ว่า “การทำบัญชีร้านค้าออนไลน์” ไม่ได้ยากอย่างที่คิด! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

5 มี.ค. 2025

PEAK Account

22 min

รวม 5 กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงานให้สำนักงานบัญชี ของคุณ!

สำนักงานบัญชีถือเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจ SME ให้ดำเนินงานได้อย่างราบรื่น แต่ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว ความคาดหวังของลูกค้าสูงขึ้น และกฎระเบียบด้านบัญชีภาษีมีความซับซ้อนมากขึ้น การทำงานในสำนักงานบัญชีแบบเดิมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสำนักงานบัญชี จึงเป็นเรื่องที่ทุกสำนักงานบัญชีควรให้ความสำคัญ ไม่เพียงช่วยลดความผิดพลาด แต่ยังเพิ่มคุณภาพบริการและสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าอีกด้วย ในบทความนี้ เราจะมาแนะนำ รวม 5 กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงานให้สำนักงานบัญชี ที่สามารถนำไปใช้เพื่อพัฒนาองค์กรของคุณให้ทำงานได้เร็วขึ้น มีระบบมากขึ้น และช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้ลูกค้าจะมีอะไรบ้างนั้นมาติดตามกันได้เลย ทำไมต้องให้ความสำคัญ กับ กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงานของสำนักงานบัญชี ในยุคที่ธุรกิจแข่งขันกันสูงขึ้นทุกวัน สำนักงานบัญชีก็หนีไม่พ้นแรงกดดันนี้เช่นกัน หากคุณเป็นเจ้าของสำนักงานบัญชี แล้วเลือกที่จะทำงานแบบเดิมๆ โดยไม่มองหาแนวทางปรับปรุงประสิทธิภาพ อาจทำให้สำนักงานของคุณเสียเปรียบและตามคู่แข่งไม่ทัน แล้วผลลัพธ์คืออะไร?ลูกค้าอาจเลือกใช้บริการจากสำนักงานที่ตอบโจทย์ได้รวดเร็วกว่า ให้บริการที่ครบถ้วนกว่า หรือมีการใช้เทคโนโลยีช่วยทำงานจนประหยัดเวลาลูกค้าได้มากกว่า นี่อาจส่งผลให้จำนวนผู้จ้างลดลง และที่สำคัญไปกว่านั้น ประสิทธิภาพการทำงานที่ต่ำลงอาจกระทบคุณภาพงานและความพึงพอใจของลูกค้าเดิมด้วย ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพให้สำนักงานบัญชี ให้ประโยชน์อย่างไร การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในสำนักงานบัญชี ไม่ใช่แค่การทำให้ทุกอย่างเร็วขึ้น แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพงาน ลดข้อผิดพลาด และสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าในระยะยาว มาดูกันว่า หากสำนักงานบัญชีของคุณปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จะได้ประโยชน์อะไรบ้าง 1. ลดงานซ้ำซ้อน ประหยัดเวลามากขึ้น เคยสังเกตไหมว่า เวลาส่วนใหญ่ในสำนักงานบัญชีหมดไปกับงานเดิมๆ เช่น การกรอกข้อมูลซ้ำในเอกสารหลายชุด ออกใบกำกับภาษี บันทึกบัญชี ไปจนถึงการจัดทำรายงานภาษีทุกเดือน งานเหล่านี้ใช้เวลามาก และมักเป็นจุดที่เกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย ✅ ถ้าสำนักงานของคุณมีระบบที่ช่วยดึงข้อมูลเข้ามาอัตโนมัติ หรือสร้างเอกสารต่างๆ ได้จากข้อมูลที่มีอยู่แล้ว คุณจะลดเวลาทำงานซ้ำซ้อนลงอย่างมหาศาล ทีมงานก็จะมีเวลาไปโฟกัสกับงานที่สำคัญกว่า เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำเสนออินไซต์ให้กับลูกค้า หรือให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์แทนการทำงานเอกสารล้วนๆ 2. ลดความผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์ (Human Error) ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ อย่างตัวเลขผิด หรือการพิมพ์ข้อมูลซ้ำไม่ตรงกัน อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่สร้างความเสียหายให้กับสำนักงานบัญชีได้ ไม่ว่าจะเป็นการยื่นภาษีผิด ส่งงบการเงินไม่ครบ หรือทำให้ลูกค้าสูญเสียความเชื่อมั่น ✅ เมื่อใช้ระบบดิจิทัลหรือโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่สามารถเชื่อมข้อมูลและตรวจสอบความถูกต้องได้อัตโนมัติ โอกาสเกิดข้อผิดพลาดจะลดลงทันที และคุณยังสามารถตั้งระบบแจ้งเตือนเมื่อข้อมูลผิดปกติได้อีกด้วย 3. ยกระดับการให้บริการลูกค้า สร้างความประทับใจ ทุกวันนี้ ลูกค้าคาดหวังมากกว่าการได้รับงบการเงินหรือเอกสารภาษีตรงเวลา แต่พวกเขาต้องการข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจทางธุรกิจ ต้องการคำแนะนำที่แม่นยำจากสำนักงานบัญชีที่เข้าใจธุรกิจของพวกเขาจริงๆ ✅ หากสำนักงานบัญชีของคุณทำงานรวดเร็ว ส่งข้อมูลได้ครบถ้วนและตรงเวลา รวมถึงสามารถให้คำแนะนำเชิงวิเคราะห์จากข้อมูลที่แม่นยำได้ คุณจะกลายเป็น “ที่ปรึกษาทางธุรกิจ” ที่ลูกค้าไว้วางใจ ไม่ใช่แค่ “ผู้ทำบัญชี” ธรรมดา และนั่นจะทำให้ลูกค้าพร้อมแนะนำต่อให้กับเพื่อนเจ้าของธุรกิจรายอื่นๆ ด้วย ทั้งหมดนี้คือเหตุผลว่าทำไมการเพิ่มประสิทธิภาพสำนักงานบัญชี ไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” แต่คือสิ่งจำเป็นในการอยู่รอดและเติบโตในยุคนี้ รวม 5 กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงานให้สำนักงานบัญชี กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงาน ข้อที่ 1 จัดการระบบการทำงาน แบ่งหน้าที่ให้ชัดเจน ปัญหาหลักของสำนักงานบัญชีหลายแห่งมักเกิดจากการทำงานซ้ำซ้อนและขาดการแบ่งหน้าที่ที่ชัดเจน ทำให้พนักงานทำงานหนักเกินไปและอาจเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย โดยเฉพาะในสำนักงานบัญชีที่มีการทำงานหลายขั้นตอนที่ต้องการความแม่นยำและรวดเร็ว การจัดการระบบงานให้มีความชัดเจนและมีขั้นตอนที่เป็นระเบียบจะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดภาระการทำงานที่ไม่จำเป็นและสามารถหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ หนึ่งในวิธีที่สามารถช่วยจัดระเบียบงานให้มีประสิทธิภาพคือการแบ่งหน้าที่ตามความเชี่ยวชาญของแต่ละคน โดยการมอบหมายงานให้กับบุคคลที่มีความชำนาญในแต่ละด้าน เช่น การทำบัญชี การตรวจสอบภาษี หรือการจัดการเอกสาร ซึ่งจะทำให้แต่ละคนสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่ต้องทำงานซ้ำซ้อนกัน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความรับผิดชอบและการติดตามผลได้อย่างชัดเจน การใช้เครื่องมือที่ช่วยในการจัดการงานก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี เช่นการใช้ Workflow หรือ Project Management Tool ที่ช่วยในการติดตามงานได้อย่างเป็นระบบและโปร่งใสมากขึ้น เครื่องมือเหล่านี้ เช่น Trello หรือ Notion จะช่วยให้ทุกคนสามารถเห็นภาพรวมของโครงการได้ทันที พร้อมกับกำหนดเป้าหมายและขั้นตอนการทำงานอย่างชัดเจน สามารถติดตามความคืบหน้าของงานแต่ละชิ้นได้โดยไม่ต้องพึ่งพาความจำหรือการคุยกันในแต่ละครั้ง ซึ่งช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดเวลาในการติดต่อสื่อสารและทำให้ทีมสามารถทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น การจัดระเบียบงานอย่างมีระบบนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของสำนักงานบัญชีและลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงานที่ไม่เป็นระเบียบ กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงาน ข้อที่ 2 ทำการตลาดอย่างสม่ำเสมอ สำนักงานบัญชีหลายแห่งมักมองข้ามกลยุทธ์ทางการตลาด ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำให้รายได้ไม่เติบโตตามที่คาดหวัง การเริ่มให้ความสำคัญกับการตลาดและการโฆษณาเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ และสร้างโอกาสในการขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ ให้กับสำนักงานบัญชี การทำการตลาดสำหรับสำนักงานบัญชีสามารถเริ่มต้นได้จากการสร้างแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์และแสดงถึงความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เช่น การให้คำปรึกษาด้านภาษี การจัดทำบัญชี และบริการทางการเงินสำหรับธุรกิจต่าง ๆ การสร้างตัวตนของแบรนด์ให้ชัดเจนและมีความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจในการใช้บริการ ซึ่งสามารถทำได้โดยการสร้างเว็บไซต์ที่เป็นหน้าสำนักงานออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับบริการที่สำนักงานบัญชีมีและสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ง่ายดาย นอกจากเว็บไซต์แล้ว การใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการโปรโมทสำนักงานบัญชีก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญ เช่น การเปิดบัญชี Facebook, Instagram หรือ LinkedIn ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและตรงกลุ่ม รวมถึงการสร้างเนื้อหาผ่านช่องทาง TikTok ที่เป็นที่นิยมในยุคดิจิทัล โดยการนำเสนอคอนเทนต์สั้น ๆ ที่ให้ข้อมูลสาระสำคัญเกี่ยวกับการบัญชีหรือภาษี ซึ่งช่วยสร้างการรับรู้เกี่ยวกับบริการและแสดงถึงความเชี่ยวชาญของสำนักงานบัญชี การทำการตลาดออนไลน์เหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ยังเปิดโอกาสให้สำนักงานบัญชีสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ที่มีความสนใจในบริการด้านการเงินและบัญชีได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้ช่องทางออนไลน์ที่เหมาะสมจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มรายได้ในระยะยาว กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงาน ข้อที่ 3 ให้ความสำคัญในเรื่องการให้บริการ การหาลูกค้าใหม่เป็นสิ่งที่สำคัญ แต่การทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำๆ เป็นสิ่งที่ยากกว่า และสามารถสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจในระยะยาวได้มากกว่า ลูกค้าที่เคยใช้บริการกับเราหากได้รับการดูแลอย่างดีและมีความประทับใจในการบริการ พวกเขาจะมีแนวโน้มที่จะกลับมาใช้บริการอีกครั้ง การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและการให้บริการที่มีประสิทธิภาพจะช่วยสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน การให้บริการที่ดีเริ่มต้นจากการติดตามลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ หากลูกค้ามีข้อสงสัยหรือคำถาม ควรตอบกลับอย่างรวดเร็วและให้ข้อมูลที่ชัดเจนและครบถ้วน เพื่อไม่ให้ลูกค้ารู้สึกว่าต้องรอนานหรือไม่สามารถติดต่อได้ สิ่งนี้จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าพวกเขามีความสำคัญ และสร้างความไว้วางใจในบริการของเรา นอกจากนี้ การทำงานให้มีประสิทธิภาพและตรงตามเป้าหมายของลูกค้าก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ลูกค้าเห็นถึงความสามารถและความใส่ใจในการทำงานของเรา การทำงานที่ตรงตามเวลาหรือผลลัพธ์ที่ลูกค้าต้องการ โดยไม่มีข้อผิดพลาด จะช่วยเสริมสร้างความประทับใจและเพิ่มโอกาสในการกลับมาใช้บริการซ้ำ อีกทั้ง การพัฒนาการบริการอย่างต่อเนื่อง เช่น การขอข้อเสนอแนะจากลูกค้า หรือการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการปรับปรุงกระบวนการทำงาน สามารถทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีและรู้สึกว่าเรามีการพัฒนาอยู่เสมอ ทำให้การให้บริการไม่เพียงแค่เป็นการตอบสนองความต้องการในขณะนั้น แต่ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาวที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจและพร้อมกลับมาใช้บริการอีกครั้ง กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงาน ข้อที่ 4 ขอ Feedback จากลูกค้าเสมอ การขอ Feedback จากลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับธุรกิจทุกประเภท โดยเฉพาะสำนักงานบัญชีที่ต้องการพัฒนาและปรับปรุงการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ฟีดแบคจากลูกค้าช่วยให้เราทราบถึงจุดที่เราทำได้ดีและจุดที่สามารถปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการได้ดียิ่งขึ้น เป้าหมายหลักของการขอฟีดแบคคือการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวและช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาใช้บริการ วิธีการขอฟีดแบคอาจทำได้หลายวิธี เช่น การนัดพูดคุยสั้น ๆ กับลูกค้าเป็นประจำทุกเดือน เพื่อสรุปผลการทำงานและประเมินผลการให้บริการในช่วงเวลานั้น ๆ ซึ่งจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะได้โดยตรง นอกจากนี้ยังสามารถใช้แบบฟอร์มสำหรับให้ลูกค้ากรอกความคิดเห็น หรือคำแนะนำหลังจากการให้บริการเสร็จสิ้น ซึ่งแบบฟอร์มเหล่านี้สามารถใช้ในการประเมินความพึงพอใจของลูกค้าและระบุจุดที่ต้องการปรับปรุงหรือพัฒนาเพิ่มเติม การขอฟีดแบคควรทำอย่างสม่ำเสมอและในลักษณะที่ไม่รู้สึกว่าเป็นการรบกวนลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าเรามีความตั้งใจที่จะปรับปรุงบริการให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ การนำฟีดแบคมาใช้ปรับปรุงการทำงานหรือบริการที่ไม่ดี จะทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความใส่ใจและสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้มากขึ้น ฟีดแบคที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถพัฒนาได้ แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในระยะยาว กลยุทธ์สร้างประสิทธิภาพการทำงาน ข้อที่ 5 ปรับใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ในการทำงาน การปรับใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ในการทำงานถือเป็นหนึ่งในวิธีที่มีความสำคัญมากในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในสำนักงานบัญชีที่ต้องจัดการข้อมูลจำนวนมาก การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยการลดจำนวนเอกสารและกระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อน เช่น การออกใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน หรือเอกสารต่าง ๆ ที่โปรแกรมบัญชีสามารถช่วยจัดการได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ โปรแกรมบัญชีออนไลน์มีฟังก์ชันที่สามารถเก็บข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล ไม่ต้องใช้พื้นที่เก็บเอกสารจำนวนมาก ช่วยลดปัญหาเรื่องการจัดเก็บเอกสารที่ซับซ้อน และยังสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายทุกที่ทุกเวลา ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งานและลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดจากการทำงานด้วยมือ นอกจากนี้ การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้สำนักงานบัญชีดูทันสมัยและก้าวทันเทคโนโลยี ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการธุรกิจในปัจจุบันให้ความสำคัญมาก การปรับใช้เทคโนโลยีในสำนักงานบัญชีไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ว่าสำนักงานของเรามีความพร้อมในการใช้เครื่องมือที่ทันสมัยและมีระบบการจัดการที่ดี ด้วยเหตุนี้ การเลือกใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและมีประโยชน์ในระยะยาวทั้งสำหรับสำนักงานบัญชีและลูกค้า การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามในการพัฒนาธุรกิจในยุคดิจิทัลนี้ 👉 ลองใช้ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่ช่วยให้สำนักงานบัญชีทำงานได้ง่ายขึ้น ลดเวลาทำงานซ้ำซ้อน พร้อมเครื่องมือช่วยจัดการภาษีและเอกสารแบบครบวงจรคลิกเลยเพื่อเริ่มต้นใช้ฟรี! พร้อม สร้างประสิทธิภาพการทำงานให้สำนักงานบัญชี ด้วยโปรแกรมบัญชี PEAK หรือยัง? PEAK เป็นโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจและสำนักงานบัญชีทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยระบบที่ครอบคลุมทุกฟังก์ชันทางบัญชี ตั้งแต่การออกใบกำกับภาษี การบันทึกบัญชี การจัดการภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีหัก ณ ที่จ่าย ไปจนถึงการสร้างรายงานทางการเงินแบบเรียลไทม์ PEAK ช่วยลดงานเอกสารที่ยุ่งยาก ลดความผิดพลาดในการทำบัญชี และช่วยให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา รองรับการทำงานร่วมกับระบบ E-Tax Invoice และ E-Receipt ตามมาตรฐานกรมสรรพากร อีกทั้งยังมีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย และรองรับการทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ทำให้การบริหารจัดการบัญชีของธุรกิจเป็นเรื่องสะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

6 ก.พ. 2025

PEAK Account

7 min

สำนักงานบัญชี ประหยัดเวลาการทำบัญชีด้วยการใช้ AI

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ การใช้ AI ได้กลายเป็นตัวช่วยสำคัญในการยกระดับการทำงานของสำนักงานบัญชี ทำให้กระบวนการต่างๆ รวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับข้อดีของการใช้ AI ในการทำบัญชีและวิธีการนำมาใช้เพื่อช่วยประหยัดเวลาในงานของคุณ ทำไมการทำบัญชีด้วยการใช้ AI ถึงสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชี? นำ AI มาปรับใช้ในงานของสำนักงานบัญชีได้อย่างไร 1. การบันทึกบัญชีด้วยระบบ AI ระบบบัญชีที่มี AI ช่วยแนะนำ รายการบันทึกบัญชีที่ใช้บ่อย จะช่วยให้นักบัญชีทำงานได้รวดเร็วและสะดวกขึ้น เพราะ AI จะเรียนรู้พฤติกรรมการบันทึกข้อมูลของผู้ใช้งาน และเสนอรายการบัญชีที่เกี่ยวข้องแบบอัตโนมัติ ลดเวลาการค้นหารายการบัญชีที่ซับซ้อนหรือใช้บ่อย ตัวอย่างเช่น ข้อดี 2. การวิเคราะห์งบการเงินและคาดการณ์แนวโน้มธุรกิจ PEAK ใช้ AI วิเคราะห์งบกำไรขาดทุน ช่วยให้นักบัญชีและเจ้าของธุรกิจเห็นภาพรวมผลประกอบการได้ชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมทั้งคาดการณ์แนวโน้มทางการเงินในอนาคต AI จะดึงข้อมูลในระบบมาคำนวณและสรุปเป็นกราฟหรือรายงานแบบเข้าใจง่าย เช่น ข้อดี 3. การตรวจสอบความผิดพลาดในการทำบัญชี AI สามารถ ตรวจสอบความถูกต้องของงบทดลอง (Trial Balance) ได้อัตโนมัติ หากพบข้อผิดพลาดหรือยอดไม่ตรง ระบบจะแสดง สัญลักษณ์ธงสี (Flag) เพื่อแจ้งเตือนผู้ใช้งานทันที เช่น ข้อดี ข้อดีของการทำบัญชีด้วยการใช้ AI ลดต้นทุนการดำเนินงาน ลดเวลาและทรัพยากรที่ใช้ในกระบวนการบัญชี ทำให้สำนักงานบัญชีสามารถลดต้นทุนได้ เพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้า เวลาที่ประหยัดได้จากการใช้ AI สามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์และให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์แก่ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น รองรับการขยายตัวของธุรกิจ สำนักงานบัญชีสามารถรองรับลูกค้าใหม่ได้มากขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มทีมงานหรือทรัพยากรเพิ่มเติม PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยสำนักงานบัญชีและธุรกิจประหยัดเวลาและเพิ่มความแม่นยำด้วยระบบ AI ที่สามารถแนะนำรายการบันทึกบัญชีที่ใช้บ่อยๆได้ เพราะ PEAK ตระหนักเห็นถึงความสำคัญในการนำ AI มาปรับใช้ในสำนักงานบัญชีไม่เพียงช่วยประหยัดเวลา แต่ยังช่วยเพิ่มคุณภาพและความแม่นยำในการทำงาน ช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

9 min

บอจ.5 คืออะไร ธุรกิจประเภทไหนต้องยื่นบ้าง ยื่นได้ตอนไหน

บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น หรือ บอจ.5 คือ เอกสารสำคัญที่บริษัทจำกัดต้องจัดทำและนำส่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าทุกปี เพื่อแสดงโครงสร้างการถือหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงของบริษัท โดยการยื่น บอจ.5 นั้นจะช่วยแสดงว่าธุรกิจเรามีความโปร่งใสและทำตามกฎหมาย จึงเป็นเอกสารที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญมาก ๆ  บอจ.5 คือ อะไร สำคัญอย่างไร บอจ.5 เป็นแบบฟอร์มทางกฎหมายที่ใช้บันทึกและรายงานข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นของบริษัทจำกัด โดยจะแสดงรายละเอียดของผู้ถือหุ้นทั้งหมด จำนวนหุ้นที่ถือ และมูลค่าหุ้น  การยื่น บอจ.5 มีความสำคัญในหลายด้าน ทั้งแสดงว่าธุรกิจเรามีความโปร่งใส ทำตามกฎหมาย และมีความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ บอจ.5 ยังเป็นเอกสารสำคัญที่ใช้อ้างอิงในการทำธุรกรรมต่าง ๆ เช่น การเข้าร่วมประมูลงาน การขอสินเชื่อ หรือการทำสัญญาทางธุรกิจอีกด้วย เอกสาร บอจ.5 จะประกอบด้วยข้อมูลสำคัญโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัท ได้แก่ ชื่อ-นามสกุล สัญชาติ และที่อยู่ของผู้ถือหุ้นแต่ละราย จำนวนหุ้นที่ถือครอง เลขที่ใบหุ้น มูลค่าหุ้นที่ชำระแล้ว วันที่จดทะเบียนเป็นผู้ถือหุ้น และการเปลี่ยนแปลงการถือหุ้นในรอบปี นอกจากนี้ บอจ.5 ยังต้องระบุรายละเอียดของบริษัท เช่น ชื่อบริษัท เลขทะเบียนนิติบุคคล ทุนจดทะเบียน และจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทด้วย ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นในรอบปี เช่น การโอนหุ้น การเพิ่มทุน หรือลดทุน บริษัทจะต้องระบุข้อมูลเหล่านี้ลงใน บอจ.5 ด้วย เพื่อให้ข้อมูลผู้ถือหุ้นมีความถูกต้องและครบถ้วนที่สุด นอกจากข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถือหุ้น บอจ.5 ยังต้องระบุรายละเอียดของบริษัทเองด้วย เช่น ชื่อบริษัท เลขทะเบียนนิติบุคคล ทุนจดทะเบียนทั้งหมดของบริษัท และจำนวนหุ้นทั้งหมดที่บริษัทออกจำหน่าย โดยข้อมูลใน บอจ.5 นี้ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่หน่วยงานต่างๆ รวมถึงสถาบันการเงินและคู่ค้าทางธุรกิจใช้ประกอบการตรวจสอบความน่าเชื่อถือและโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท บอจ.5 ใครต้องยื่นบ้าง การยื่น บอจ.5 เป็นหน้าที่ตามกฎหมายของบริษัทจำกัดทุกแห่ง โดยมีกำหนดเวลาและผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน เพื่อให้การรายงานข้อมูลผู้ถือหุ้นถูกต้องและทันเวลา  การยื่นแบบ บอจ.5 เป็นหน้าที่สำคัญของนิติบุคคล โดยตามกฎหมาย กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทจะต้องเป็นผู้ลงนามรับรองความถูกต้องของข้อมูลที่กรอกในแบบ บอจ.5 และเป็นผู้ยื่นแบบนี้ต่อเจ้าหน้าที่โดยตรง อย่างไรก็ตาม หากกรรมการผู้มีอำนาจไม่สะดวกเดินทางไปยื่นเอง ก็สามารถมอบอำนาจให้บุคคลอื่นยื่นแทนได้ โดยต้องแนบหนังสือมอบอำนาจลงนามโดยกรรมการ พร้อมสำเนาบัตรประชาชนของทั้งกรรมการผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ เพื่อยืนยันความถูกต้องในการดำเนินการ ทั้งนี้ผู้ยื่นจะต้องเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนตามที่กำหนด เช่น การยื่นแบบ บอจ.5 สามารถทำได้ 2 ช่องทาง คือ การยื่นแบบ บอจ.5 มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการอัปเดตข้อมูลผู้ถือหุ้นและกรรมการให้เป็นปัจจุบัน หากไม่ยื่นภายในเวลาที่กำหนด อาจมีโทษปรับตามที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้ ข้อมูลในแบบ บอจ.5 ยังเป็นหลักฐานสำคัญที่หน่วยงานต่างๆ ใช้ตรวจสอบ เช่น การขอสินเชื่อจากธนาคาร การตรวจสอบสิทธิ์ในการลงนามในสัญญาทางธุรกิจ หรือการยืนยันโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท ต้องยื่นเมื่อไหร่ หากไม่นำส่งจะมีค่าปรับอะไรบ้าง การยื่นแบบ บอจ.5 เป็นหน้าที่สำคัญของบริษัทจำกัดที่จดทะเบียนในประเทศไทย โดยกฎหมายกำหนดให้บริษัทต้องยื่น บอจ.5 ภายใน 14 วัน นับจากวันที่จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี หรือไม่เกินเดือนมกราคมของทุกปี ขึ้นอยู่กับว่ากรณีใดจะถึงก่อน กำหนดนี้มีขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นปัจจุบันและโปร่งใสอยู่เสมอ หากบริษัทไม่นำส่ง บอจ.5 ตามกำหนด จะมีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท และปรับเพิ่มวันละไม่เกิน 500 บาท จนกว่าจะดำเนินการให้ถูกต้อง นอกจากโทษทางกฎหมายแล้ว การยื่นล่าช้าหรือไม่ยื่นเลย อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของบริษัทด้วย เพราะ บอจ.5 เป็นหนึ่งในเอกสารสำคัญที่คู่ค้า สถาบันการเงิน และหน่วยงานภาครัฐใช้พิจารณาในการอนุมัติสินเชื่อหรือการเข้าร่วมประมูลงาน ดังนั้น ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการเตรียมข้อมูลให้ครบถ้วนและยื่นแบบ บอจ.5 ให้ตรงเวลา เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือ และหลีกเลี่ยงการเสียค่าปรับโดยไม่จำเป็น การจัดทำและยื่น บอจ.5 อย่างถูกต้องและตรงเวลา ไม่เพียงแต่เพื่อให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย แต่ยังสะท้อนถึงการบริหารจัดการที่โปร่งใสและความเป็นมืออาชีพในการทำธุรกิจอีกด้วย ผู้ประกอบการจึงควรเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นให้ครบถ้วนและตรวจสอบความถูกต้องก่อนยื่นเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาค่าปรับและลดความเสี่ยงด้านความน่าเชื่อถือในอนาคตโดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ พร้อมเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับธุรกิจในการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

14 min

“โปรแกรมบัญชี” ที่ใช่! ตัวช่วยสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชี

การเลือก “โปรแกรมบัญชี” ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชีที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดข้อผิดพลาด และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ในบทความนี้จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจว่าโปรแกรมบัญชีที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไร และจะช่วยพัฒนาธุรกิจของสำนักงานบัญชีได้อย่างไรบ้าง คุณสมบัติที่สำคัญของ โปรแกรมบัญชี สำหรับสำนักงานบัญชี การเลือกโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสมช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถทำงานได้อย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ และลดเวลาในการทำงานประจำ คุณสมบัติเด่นที่ควรพิจารณา ได้แก่ ข้อที่ 1 โปรแกรมบัญชี ที่ทำงานแบบ Cloud-Based โปรแกรมบัญชีแบบ Cloud-Based ช่วยให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา รองรับการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ ลดภาระด้านการจัดการเซิร์ฟเวอร์และต้นทุนฮาร์ดแวร์ อีกทั้งยังมีระบบสำรองข้อมูลอัตโนมัติ ทำให้ข้อมูลมีความปลอดภัยสูง ลดความเสี่ยงจากการสูญหายของข้อมูล ข้อที่ 2 การรองรับการจัดทำภาษี โปรแกรมควรมีฟังก์ชันที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดทำเอกสารภาษี เนื่องจากสำนักงานบัญชีต้องดำเนินการเกี่ยวกับภาษีอย่างต่อเนื่อง โปรแกรมที่ดีควรมีระบบช่วยคำนวณและจัดทำเอกสารภาษี เช่น ภ.ง.ด.1, ภ.ง.ด.3, ภ.ง.ด.53 และ ภ.พ.30 พร้อมทั้งรองรับการยื่นภาษีออนไลน์ผ่านระบบของกรมสรรพากร เพื่อความสะดวกและลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการกรอกข้อมูลเอง​ ข้อที่ 3 โปรแกรมบัญชีที่ดี ต้องมีระบบ AI ช่วยแนะนำการบันทึกรายการบัญชีที่บันทึกบ่อย ระบบ AI ที่สามารถจดจำรายการบัญชีที่ใช้บ่อย และแนะนำการบันทึกบัญชีแบบอัตโนมัติ ช่วยลดเวลาในการทำงาน ลดความผิดพลาด และทำให้กระบวนการบัญชีเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น​จะช่วยลดเวลาในการทำงานและลดข้อผิดพลาดในการป้อนข้อมูล ข้อที่ 4 เชื่อมต่อข้อมูลจากภายนอกได้ง่ายด้วย API โปรแกรมควรรองรับการเชื่อมต่อ API กับแหล่งข้อมูลภายนอก เช่น ระบบธนาคาร ระบบ ERP หรือแพลตฟอร์ม E-Commerce อย่าง Shopee, Lazada, TikTok Shop ได้ จะช่วยให้การบันทึกบัญชีเป็นไปโดยอัตโนมัติ ลดภาระงานของนักบัญชี และช่วยให้ข้อมูลมีความถูกต้องมากขึ้น​ ข้อที่ 5 อัปโหลด/ดาวน์โหลดไฟล์ได้ง่าย โปรแกรมควรรองรับการอัปโหลดและดาวน์โหลดข้อมูล เช่น ไฟล์ Excel, CSV หรือ PDF เพื่อให้สำนักงานบัญชีสามารถอัปโหลดข้อมูลจากระบบอื่นเข้ามาประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังควรมีฟังก์ชันในการส่งออกเอกสารบัญชี เช่น งบการเงิน รายงานภาษี และรายงานกระแสเงินสด เพื่อการใช้งานที่สะดวกและครบถ้วน​ ประโยชน์ของ “โปรแกรมบัญชี” สำหรับสำนักงานบัญชี 1. ประหยัดเวลาและลดข้อผิดพลาด ช่วยลดระยะเวลาการทำงานและความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงานด้วยมือ ระบบอัตโนมัติในโปรแกรมบัญชีช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การออกใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ และใบเสร็จรับเงินอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ยังสามารถคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีหัก ณ ที่จ่ายได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ รวมถึงการกระทบยอดทางการเงินโดยอัตโนมัติ ช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากการคำนวณหรือการบันทึกข้อมูลผิดพลาด 2. เพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า เมื่อสำนักงานบัญชีสามารถดำเนินงานได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า นอกจากนี้ โปรแกรมบัญชียังช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถส่งมอบเอกสารและรายงานทางบัญชีได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือในการให้บริการ ลูกค้าจะได้รับบริการที่มีคุณภาพและสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักงานบัญชีกับลูกค้ามีความราบรื่นและมีประสิทธิภาพ 3. ช่วยในการวางแผนและตัดสินใจ โปรแกรมบัญชีที่มีประสิทธิภาพช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถจัดทำรายงานทางการเงินและภาษีได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน ข้อมูลที่ได้จากโปรแกรมบัญชีช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถวิเคราะห์สถานะทางการเงินและให้คำแนะนำที่มีประสิทธิภาพแก่ลูกค้าได้อย่างแม่นยำ การมีรายงานทางการเงินที่ชัดเจนช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถวางแผนการดำเนินงานและการจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม วิธีเลือก โปรแกรมบัญชี ที่เหมาะสมสำหรับสำนักงานบัญชี การเลือกโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสมสำหรับสำนักงานบัญชีมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากโปรแกรมบัญชีที่ดีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดข้อผิดพลาด และช่วยให้การจัดการบัญชีเป็นระบบมากขึ้น บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีเลือกโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสม ดังนี้ 1. วิเคราะห์ความต้องการของสำนักงานบัญช ก่อนตัดสินใจเลือกโปรแกรมบัญชี คุณควรวิเคราะห์ความต้องการของสำนักงานบัญชีอย่างละเอียด ตัวอย่างคำถามที่ควรถามตัวเอง ได้แก่✅ ณมีลูกค้าจำนวนมากหรือมีหลายสาขาหรือไม่?ควรเลือกโปรแกรมที่รองรับการทำงานแบบหลายผู้ใช้พร้อมกันได้✅ สำนักงานของคุณต้องจัดการเอกสารจำนวนมากหรือไม่ เช่น ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงิน หรือเอกสารภาษีควรเลือกโปรแกรมที่มีฟังก์ชันสร้างและจัดการเอกสารได้ครบถ้วน✅ สำนักงานของคุณมีหลายแผนกที่ต้องทำงานร่วมกันหรือไม่ควรเลือกโปรแกรมที่รองรับการใช้งานบนระบบ Cloud หรือสามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากหลายอุปกรณ์ ตัวอย่าง:หากสำนักงานของคุณต้องรองรับลูกค้าหลายราย การเลือกโปรแกรมที่สามารถสร้างเอกสารจำนวนมากในเวลาอันสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น โปรแกรมบัญชี PEAK ที่รองรับการออกเอกสารทางบัญชีอย่างครบถ้วน ทั้งใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ และใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ จะช่วยให้คุณทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น​ 2. ทดลองใช้งานก่อนตัดสินใจ การทดลองใช้งานก่อนตัดสินใจซื้อเป็นวิธีที่ดีในการประเมินว่าโปรแกรมบัญชีสามารถตอบโจทย์ความต้องการของสำนักงานบัญชีได้หรือไม่ หลายโปรแกรมมีบริการทดลองใช้งานฟรี 7 – 30 วัน ซึ่งคุณสามารถใช้เพื่อทดสอบคุณสมบัติต่างๆ เช่น:✅สร้างและบันทึกเอกสาร – ใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ และใบเสร็จรับเงิน✅การเชื่อมต่อกับระบบภายนอก – เช่น การนำเข้าข้อมูลจาก Shopee หรือ Lazada✅สนับสนุนด้านภาษี – เช่น การสรุปแบบภาษี ภ.พ. 30 หรือภ.ง.ด. 3, 53 อย่างเป็นระบบ ตัวอย่าง:โปรแกรม PEAK มีระบบทดลองใช้งานฟรีที่ช่วยให้คุณทดสอบการใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ได้ก่อนตัดสินใจสมัครใช้งานจริง อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบขายของออนไลน์ ทั้ง Shopee และ Lazada เพื่อช่วยให้การจัดการเอกสารเป็นระบบมากขึ้น​ 3. ตรวจสอบบริการหลังการขา บริการหลังการขายเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การใช้งานโปรแกรมบัญชีราบรื่น หากโปรแกรมมีทีมสนับสนุนที่ให้บริการอย่างมืออาชีพ จะช่วยลดปัญหาการใช้งานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้มากขึ้น ควรตรวจสอบว่าโปรแกรมมีบริการดังนี้:✅มีทีมงานให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาทางเทคนิคและการใช้งาน✅อบรมการใช้งาน มีหลักสูตรฝึกอบรมหรือคลิปวิดีโอสอนการใช้งาน✅บริการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน มีช่องทางติดต่อที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว เช่น Live Chat, โทรศัพท์ หรือ Email ตัวอย่าง:โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK มีทีมสนับสนุนลูกค้าที่พร้อมให้บริการผ่านช่องทางต่างๆ เช่น โทรศัพท์, แชท และ Email อีกทั้งยังมีคลังความรู้และคู่มือการใช้งานที่ช่วยให้คุณแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเองอย่างง่ายดาย​ แนะนำ โปรแกรมบัญชี PEAK ตัวช่วยที่สำนักงานบัญชีควรเลือกใช้ โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK รองรับทั้ง 5 คุณสมบัติที่กล่าวมาเบื้องต้น เพื่อตอบโจทย์สำนักงานบัญชีโดยเฉพาะ ด้วยระบบที่ช่วยให้ทำงานสะดวกขึ้น ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพการทำบัญชี ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อข้อมูลอัตโนมัติ ระบบคลาวด์ที่ปลอดภัย รายงานที่อ่านง่าย AI ช่วยบันทึกบัญชี และเครื่องมือจัดการไฟล์ที่ยืดหยุ่น ทุกฟังก์ชันถูกพัฒนาเพื่อช่วยให้นักบัญชีทำงานได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น การเลือกโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสมเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จของสำนักงานบัญชี โปรแกรมที่ดีไม่เพียงช่วยลดความซับซ้อนในการทำงาน แต่ยังช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับบริการที่สำนักงานบัญชีมอบให้กับลูกค้า เลือกโปรแกรมที่มีคุณสมบัติตรงกับความต้องการ เช่น โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK และเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นตั้งแต่วันนี้ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

30 ม.ค. 2025

PEAK Account

21 min

5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ

การทำบัญชีอาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของธุรกิจให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก แต่ความจริงแล้ว ความผิดพลาดทางบัญชีสามารถสร้างปัญหาใหญ่กว่าที่คุณคิด ตั้งแต่กระแสเงินสดที่ไม่สมดุล ไปจนถึงปัญหาภาษีและความน่าเชื่อถือของธุรกิจ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จัก “5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ” เพื่อให้คุณสามารถบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงทางการเงิน และสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน 5 ความผิดพลาดทางบัญชี ที่ ธุรกิจ SMEs มักมองข้าม! ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 1 : การไม่แยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว การบริหารการเงินที่ดีเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในธุรกิจ หนึ่งในหลักการพื้นฐานที่เจ้าของธุรกิจต้องให้ความสำคัญคือ การแยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว อย่างชัดเจน การใช้บัญชีเดียวกันอาจทำให้เกิดความสับสน เสียเวลา และส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจทางการเงินของธุรกิจ ดังนั้นในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจว่าทำไมการแยกบัญชีจึงเป็นเรื่องสำคัญ พร้อมแนวทางปฏิบัติที่คุณสามารถนำไปใช้ได้จริง ทำไมต้องแยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว? 1.1 ช่วยให้บริหารการเงินได้ง่ายขึ้น ลองนึกภาพว่าคุณต้องนั่งไล่ดูรายการเดินบัญชีเพื่อแยกว่าเงินไหนเป็นรายรับธุรกิจ เงินไหนเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว หากคุณใช้บัญชีเดียวกัน คุณอาจต้องเสียเวลานั่งไล่ดูทีละรายการ ซึ่งไม่คุ้มค่าเลย การแยกบัญชีช่วยให้คุณสามารถติดตามรายรับและรายจ่ายของธุรกิจได้อย่างแม่นยำ ลดความยุ่งยากในการทำบัญชี และช่วยให้การทำงบการเงินเป็นไปอย่างถูกต้อง 1.2 ป้องกันความผิดพลาดทางภาษี ช่วงยื่นภาษีทีไรต้องปวดหัว เพราะมีรายการใช้จ่ายที่ปะปนกันจนไม่รู้ว่าอันไหนใช้กับธุรกิจ อันไหนเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าคุณเผลอเอาค่าใช้จ่ายส่วนตัวมาคิดเป็นค่าใช้จ่ายธุรกิจโดยไม่ได้ตั้งใจ อาจทำให้มีปัญหากับกรมสรรพากรได้ หรือในทางตรงกันข้าม หลายครั้งที่นักบัญชีปิดงบปลายปีให้ผู้ประกอบการ และเมื่อเจอรายการเงินออกที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมอะไรของธุรกิจ กลายเป็นว่าค่าใช้จ่ายนั้นก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้าม หรือค่าใช้จ่ายบวกกลับทางภาษีของกิจการไป ทำให้ต้องเสียเงินภาษีเยอะขึ้นโดยไม่จำเป็น แต่ถ้าแยกบัญชีชัดเจน การคำนวณภาษีจะง่ายขึ้นและมีความถูกต้องมากขึ้น 1.3 สร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือให้ธุรกิจ ลองนึกถึงกรณีที่คุณต้องการขอสินเชื่อจากธนาคารหรือดึงดูดนักลงทุน หากบัญชีธุรกิจของคุณปะปนกับบัญชีส่วนตัว ธนาคารอาจมองว่าธุรกิจของคุณไม่มีระบบที่ดีพอ ทำให้โอกาสได้รับอนุมัติน้อยลง การมีบัญชีธุรกิจแยกจากบัญชีส่วนตัวช่วยให้ลูกค้า คู่ค้า และธนาคารมองว่าธุรกิจของคุณเป็นองค์กรที่มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ช่วยเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อ หรือเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น 1.4 ควบคุมกระแสเงินสดได้ดีขึ้น ถ้าใช้บัญชีเดียวกัน บางครั้งคุณอาจเผลอใช้เงินธุรกิจไปกับเรื่องส่วนตัวโดยไม่รู้ตัว เมื่อถึงเวลาต้องจ่ายค่าซัพพลายเออร์หรือพนักงาน อาจเจอปัญหาเงินสดขาดมือ การแยกบัญชีช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของกระแสเงินสดธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น และบริหารเงินได้ดีกว่าเดิม ช่วยทำให้คุณมองเห็น และเข้าใจเงินทุนหมุนเวียนของกิจการได้ดีขึ้น แนวทางปฏิบัติในการแยกบัญชีธุรกิจและบัญชีส่วนตัว 1.1 เปิดบัญชีธุรกิจแยกต่างหาก เริ่มต้นด้วยการเปิดบัญชีธุรกิจโดยเฉพาะ เลือกธนาคารที่ให้บริการด้านบัญชีธุรกิจที่เหมาะสมกับคุณ เช่น มีระบบจ่ายเงินออนไลน์ หรือค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม หรืออย่างน้อยที่สุด คุณสามารถใช้บัญชีธนาคารเพื่อกิจการก็ได้ในชื่อของคุณ เป็นบัญชีบุคคลธรรมดา แต่ที่สำคัญคือคุณต้องแยกบัญชีกัน 1.2 กำหนดเงินเดือนให้ตัวเอง อย่าคิดว่าเงินธุรกิจเป็นของตัวเอง! กำหนดเงินเดือนให้ตัวเองและใช้จ่ายในส่วนที่ได้รับเท่านั้น วิธีนี้ช่วยให้คุณควบคุมการใช้จ่ายส่วนตัวได้ดีขึ้น และป้องกันการนำเงินธุรกิจไปใช้เกินความจำเป็น และเงินเดือนของคุณ ก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทด้วย สามารถช่วยลดภาระภาษีของบริษัทไปได้ แน่นอนว่ามันจะกลายเป็นรายได้บุคคลธรรมดาของคุณ แต่ถ้าคุณจัดการภาษีบุคคลได้ดี คุณจะสามารถนำเงินเดือนเป็นเครื่องนึงในการประหยัดภาษีได้ (หากคุณต้องการจัดการเงินเดือน เราก็มีโปรแกรมที่ช่วยจัดการเงินเดือนให้คุณได้) 1.3 ใช้บัตรเครดิตธุรกิจและบัตรเครดิตส่วนตัวแยกจากกัน เช่นเดียวกับการเปิดบัญชีธนาคารแยก คุณสามารถมีบัตรเครดิตบุคคลในชื่อคุณได้ แต่ใช้เพื่อบริษัทเพียงอย่างเดียว อย่าใช้บัตรใบนั้นไปรูดซื้อของใช้ส่วนตัว เพราะจะทำให้การติดตามค่าใช้จ่ายยุ่งยาก หรือบริษัทของคุณมีความน่าเชื่อถือที่มากพอ คุณสามารถขอเปิดบัตรเครดิตในนามนิติบุคคลได้ โดยติดต่อธนาคารต่างๆ อย่างไรก็ตาม เดี๋ยวนี้ผู้ให้บริการชำระเงินหลายแห่งมีบริการ virtual card เพื่อให้คุณสามารถใช้บัตรเครดิตในบริษัทได้หลากหลายใบ โดยที่สามารถจัดการจากระบบหลังบ้านได้ 1.4 บันทึกและตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินเป็นประจำ อย่าปล่อยให้รายการเดินบัญชีสะสมเป็นเดือนๆ แล้วค่อยมาเช็ก ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะทำงบประมาณ หรือ budget ควรตรวจสอบธุรกรรมเป็นประจำทุกสัปดาห์เพื่อให้แน่ใจว่าเงินเข้า-ออกตรงตามแผน และไม่มีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น 1.5 หลีกเลี่ยงการโอนเงินระหว่างบัญชีโดยไม่จำเป็น หากต้องโอนเงินระหว่างบัญชี ควรมีบันทึกที่ชัดเจน เช่น หากคุณนำเงินส่วนตัวมาใช้ในธุรกิจ ควรลงบัญชีว่าเป็น “เงินกู้” หรือ “จ่ายเพื่ออะไร” เพื่อให้สามารถติดตามได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเดี๋ยวนี้คุณสามารถเพิ่มบันทึกสาเหตุรายการเหล่านั้นเข้าไปได้ในมือถือตอนที่ทำการจ่ายโอนเลย มันง่ายมากๆแล้ว ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 2 : การไม่จัดทำบัญชีอย่างสม่ำเสมอ การทำบัญชีเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะเล็กหรือใหญ่ การบันทึกบัญชีอย่างสม่ำเสมอช่วยให้คุณติดตามสถานะทางการเงินของธุรกิจได้อย่างถูกต้อง แต่หลายคนมักเลื่อนการบันทึกบัญชีออกไปเพราะคิดว่าไม่มีเวลาหรือไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน จนกลายเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบใหญ่กว่าที่คิด! ทำไมการไม่บันทึกบัญชีเป็นประจำถึงเป็นปัญหา? 2.1 ข้อมูลการเงินไม่ถูกต้อง ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด ลองนึกภาพว่าคุณต้องการขยายธุรกิจ แต่เมื่อดูตัวเลขทางบัญชีแล้วกลับพบว่ามีข้อมูลขาดหาย หรือไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าธุรกิจมีกำไรจริงหรือไม่ สิ่งนี้ทำให้คุณตัดสินใจทางการเงินผิดพลาด เช่น ลงทุนเกินตัว หรือคิดว่ามีเงินสดมากพอแต่กลับมีหนี้ที่ไม่ได้บันทึก ในตอนที่ผมทำบัญชีให้กับลูกค้า มีเคสนึงน่าสนใจ ร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่บันทึกบัญชีทุกวัน แต่จดยอดขายเฉพาะวันที่พนักงานมีเวลาว่าง ส่งผลให้เจ้าของเข้าใจผิดว่าธุรกิจมีกำไรดี เพราะไม่ได้บันทึกต้นทุนวัตถุดิบที่ซื้อมา และไม่ได้ตัดเครื่องปรุงเครื่องใช้ออกเลย เจ้าของตัดสินใจขยายพื้นที่ร้านเพิ่ม และสั่งของมาเพิ่มอีก แต่เมื่อถึงเวลาตรวจสอบจริง พบว่ามีค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้ถูกบันทึก มีวัตถุดิบที่หมดอายุเพราะสั่งมาเกิน มีเครื่องปรุงที่หมดไปแล้วมีไม่พอทำให้เสียโอกาสในการขาย ทำให้เงินสดขาดมือและต้องกู้เงินเพิ่มโดยไม่จำเป็น ปัญหาเหล่านี้ เกิดขึ้นจากการที่เจ้าของขาดข้อมูลที่แท้จริงในการตัดสินใจ 2.2 ปัญหาด้านภาษีและค่าปรับที่ไม่คาดคิด หากไม่มีการบันทึกบัญชีอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้คุณพลาดการยื่นภาษีที่ถูกต้อง และอาจต้องเสียค่าปรับจากกรมสรรพากรโดยไม่จำเป็น การไม่มีข้อมูลบัญชีที่ชัดเจนยังทำให้คุณไม่สามารถใช้สิทธิหักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้เต็มที่ 2.3 เสียเวลาและเพิ่มภาระงานตอนท้ายปี การสะสมงานบัญชีไว้จนถึงสิ้นเดือนหรือสิ้นปี ทำให้ต้องเสียเวลามากในการตามหาข้อมูลย้อนหลัง หากคุณปล่อยให้บัญชีไม่อัปเดตเป็นเวลานาน คุณอาจต้องใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ในการจัดการข้อมูลแทนที่จะใช้เวลานั้นในการพัฒนาธุรกิจ ซึ่งเหตุการณ์นี้ผมคิดว่าหลายกิจการก็น่าจะเจอเหมือนกัน ตอนที่ผมทำบัญชีผมเจอบริษัทหลายแห่งเลยที่ไม่ได้บันทึกค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน พอถึงสิ้นปีต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือนๆในการไล่หาบิลและเอกสารบัญชี ทำให้การปิดงบล่าช้าและส่งผลกระทบต่อการยื่นภาษีและโดยค่าปรับยื่นแบบล่าช้าอีก แนวทางปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการบันทึกบัญชีล่าช้า 2.1 กำหนดเวลาในการบันทึกบัญชีเป็นประจำ ตั้งเวลาให้แน่นอน เช่น บันทึกบัญชีทุกวันหรืออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้องและอัปเดตอยู่เสมอ 2.2 ใช้ซอฟต์แวร์บัญชีช่วยจัดการ เลือกใช้ซอฟต์แวร์บัญชีที่ช่วยให้คุณสามารถบันทึกข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและอัตโนมัติ เช่น บันทึกยอดขาย ค่าใช้จ่าย และเงินสดเข้าออกโดยไม่ต้องทำมือทั้งหมด แน่นอนว่าตัวที่เราแนะนำก็คือโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK นี่เอง คุณสามารถทดลองใช้งานได้ฟรี 2.3 มอบหมายหน้าที่ให้พนักงานหรือนักบัญชี หากคุณไม่มีเวลาทำเอง อาจมอบหมายให้พนักงานที่มีความสามารถรับผิดชอบ หรือจ้างนักบัญชีภายนอกเพื่อช่วยดูแลการเงินของธุรกิจ ซึ่งที่ PEAK เองก็มีบริการแนะนำนักบัญชีที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการใช้โปรแกรม PEAK มาช่วยดูแลบัญชีให้คุณ ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 3 : ขาดการวางแผนภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ การวางแผนภาษีเป็นเรื่องที่เจ้าของธุรกิจหลายคนมักมองข้าม หรือเลื่อนออกไปจนถึงช่วงสิ้นปี ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดพลาด เสียโอกาสในการลดภาระภาษี และส่งผลต่อกระแสเงินสดของธุรกิจ การวางแผนภาษีที่ดีควรเริ่มตั้งแต่ต้นปีเพื่อให้สามารถบริหารจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง วิธีหลีกเลี่ยง การศึกษากฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม การเตรียมตัวสำหรับการชำระภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ และการจัดสรรเงินสำรองสำหรับการชำระภาษีจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการชำระภาษีล่าช้าและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น และควรเริ่มเลยตั้งแต่กลางๆปี ไม่ควรรอไปถึงสิ้นปีแล้วค่อยคิด เพราะว่าการดำเนินการต่างๆอาจจะไม่ทันปีภาษีได้ ผมอยากแนะนำให้ลองดูบทความนี้ครับ 6 กลยุทธ์การวางแผนภาษีธุรกิจ SMEs ปี 2568 ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 4 : การไม่ใช้เทคโนโลยีช่วยในงานบัญชี ในยุคดิจิทัล การทำบัญชีด้วยวิธีดั้งเดิม เช่น การใช้สมุดจดหรือ Excel อาจไม่เพียงพอสำหรับการบริหารธุรกิจที่เติบโตขึ้น โปรแกรมบัญชี สามารถช่วยให้เจ้าของธุรกิจบริหารการเงินได้ง่ายขึ้น แม่นยำขึ้น และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำบัญชีด้วยตนเอง ข้อดีของการใช้โปรแกรมบัญชี ✅ ลดข้อผิดพลาดในการคำนวณ – ระบบช่วยให้การบันทึกบัญชีและคำนวณภาษีถูกต้องอัตโนมัติ✅ ประหยัดเวลา – ไม่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงทำบัญชีเอง สามารถโฟกัสกับการบริหารธุรกิจได้เต็มที่ ด้วยเทคโนโลยี API ที่เชื่อมต่อกับระบบต่างๆ ทำให้ข้อมูลไหลไปเป็นอัตโนมัติ✅ ช่วยบริหารกระแสเงินสด – ติดตามรายรับ-รายจ่ายได้แบบเรียลไทม์ ทำให้เห็นภาพรวมการเงินของธุรกิจ✅ พร้อมสำหรับการตรวจสอบภาษี – ข้อมูลบัญชีครบถ้วน ลดความเสี่ยงจากปัญหาภาษีและค่าปรับที่ไม่จำเป็น✅ ใช้งานง่าย – ซอฟต์แวร์บัญชีในปัจจุบันสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ผ่านระบบคลาวด์ ช่วยให้การจัดการบัญชีสะดวกขึ้น ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 5 : การไม่เก็บเอกสารทางการเงินอย่างเป็นระบบ การเก็บรักษาเอกสารทางการเงิน เช่น ใบเสร็จและใบแจ้งหนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น และยังช่วยให้การทำบัญชีและการยื่นภาษีเป็นไปอย่างถูกต้องและง่ายขึ้น ลองทำตามคำแนะนำเหล่านี้เพื่อจัดการเอกสารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ เก็บเอกสารให้เป็นระบบ – แยกประเภทเอกสารเป็นหมวดหมู่ เช่น รายรับ ค่าใช้จ่าย เงินเดือน และภาษี ใช้แฟ้ม หรือโฟลเดอร์ดิจิทัลเพื่อให้ค้นหาได้ง่าย และต้องจัดเก็บไว้ให้ได้ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดด้วย ✅ ใช้ซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันช่วยจัดการ – บันทึกและสแกนใบเสร็จ/ใบแจ้งหนี้เก็บไว้ในระบบออนไลน์ เพื่อลดความเสี่ยงจากเอกสารสูญหาย และสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ โดยที่ PEAK เองเรามีระบบคลังเอกสาร ที่คุณสามารถถ่ายรูปจากมือถือ แล้วเก็บเอกสารเข้าไปในระบบได้เลย ✅ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางบัญชี – หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับการจัดเก็บเอกสารหรือข้อกำหนดทางภาษี ให้ปรึกษานักบัญชีเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง เราสามารถช่วยแนะนำคุณได้ ผมหวังว่าบทความ “5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ” นี้จะช่วยเป็นแนวทางให้เพื่อนๆ ผู้ประกอบการ หลีกเลี่ยงความผิดพลาดได้ และสามารถดำเนินธุรกิจโดยมีพื้นฐานด้านบัญชีที่แข็งแรง เพื่อรองรับการเติบโตของคุณได้ในอนาคตครับ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ คือ ทางเลือกที่จะช่วยให้คุณบริหารธุรกิจได้อย่างมีระบบ ด้วยการใช้งานที่ง่ายและฟีเจอร์ที่ครบครัน โปรแกรมนี้ช่วยให้คุณเห็นกำไร-ขาดทุนแบบ Real-Time และจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่ารอช้าที่จะนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาธุรกิจของคุณให้เติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก