การทำธุรกิจไม่ว่ารูปแบบใดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความพร้อมของเจ้าของธุรกิจ การเลือกรูปแบบธุรกิจในรูปของบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลต่างก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ทั้งในเรื่องการเสียภาษี การจัดทำบัญชี กฎหมายธุรกิจที่เกี่ยวข้อง รวมถึงความน่าเชื่อถือ ภาระหน้าที่ของผู้บริหาร ความรับผิดต่อหนี้สินของกิจการ ไปจนถึงการจัดหาแหล่งเงินทุน การประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคลเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการประกอบธุรกิจที่หวังผลต่อการเติบโตในอนาคต การจดทะเบียนนิติบุคคลถือเป็นการเริ่มต้นทำธุรกิจอย่างเป็นทางการ สำหรับธุรกิจในรูปของบุคคลธรรมดา สามารถจดทะเบียนพาณิชย์บุคคลธรรมดาออนไลน์ได้ง่าย ๆ เลย
วิธีการจดทะเบียนพาณิชย์บุคคลธรรมดาออนไลน์
การจดทะเบียนพาณิชย์บุคคลธรรมดาออนไลน์ในประเทศไทยสามารถทำได้ง่ายและสะดวกผ่านทางระบบของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยมีขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนการจดทะเบียนพาณิชย์บุคคลธรรมดาออนไลน์
- เข้าสู่ระบบ ที่เว็บไซต์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (https://www.dbd.go.th) และเลือกบริการ “จดทะเบียนธุรกิจออนไลน์” หากยังไม่เคยสมัครสมาชิก ให้สมัครบัญชีใหม่ก่อน โดยการใส่ข้อมูลส่วนตัว และยืนยันตัวตน OTP หรือระบบ e-Citizen เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านที่สมัครไว้
- กรอกข้อมูลการจดทะเบียนพาณิชย์ เลือกเมนู “จดทะเบียนพาณิชย์” และเลือกประเภทการจดทะเบียนที่ต้องการ (เช่น จดทะเบียนใหม่, เปลี่ยนแปลง, หรือล้มเลิกกิจการ) แล้วกรอกข้อมูลที่จำเป็น เช่น ชื่อธุรกิจ ที่ตั้งสถานประกอบการ ประเภทกิจการ รายละเอียดเจ้าของกิจการ และข้อมูลติดต่อ
- แนบเอกสารประกอบ เตรียมเอกสารที่จำเป็น เช่น สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน หรือเอกสารยืนยันการใช้สถานที่ตั้งกิจการ (เช่น สัญญาเช่าหรือหนังสือรับรองจากเจ้าของพื้นที่) แล้วแนบไฟล์เอกสารที่สแกนไว้ในระบบ
- ตรวจสอบและยืนยันข้อมูล ตรวจสอบแล้วยืนยันข้อมูลทั้งหมด พร้อมส่งแบบฟอร์มการจดทะเบียนพาณิชย์
- ชำระค่าธรรมเนียม การจดทะเบียนตามที่กำหนดผ่านระบบออนไลน์ เช่น บัตรเครดิต/เดบิต หรือการโอนเงินผ่านธนาคาร
- รับใบรับรองการจดทะเบียน หลังจากการตรวจสอบและอนุมัติจากเจ้าหน้าที่ คุณจะได้รับใบรับรองการจดทะเบียนพาณิชย์ในรูปแบบเอกสารดิจิทัล (PDF) สามารถดาวน์โหลดและพิมพ์ออกมาเก็บไว้ได้
เอกสารที่ต้องใช้ในการจดทะเบียนพาณิชย์บุคคลธรรมดาออนไลน์
- สำเนาบัตรประชาชนของผู้ประกอบการ
- สำเนาทะเบียนบ้านของผู้ประกอบการ
- หลักฐานการใช้สถานที่ (เช่น สัญญาเช่าหรือหนังสือยินยอมจากเจ้าของสถานที่)
- แผนที่แสดงที่ตั้งสถานประกอบการ
การจดทะเบียนนิติบุคคลมีกี่แบบ และต่างกันยังไง
สำหรับใครที่ต้องการจดทะเบียนพาณิชย์ในรูปแบบจดทะเบียนนิติบุคคล สามารถจดทะเบียนพาณิชย์บุคคลธรรมดาออนไลน์วิธีการเดียวกันได้เลย เพียงแต่เราต้องเข้าใจความแตกต่างของนิติบุคคล 3 รูปแบบดังนี้
1. ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล
ห้างหุ้นส่วนสามัญที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ซึ่งหุ้นส่วนทุกคนร่วมกันรับผิดชอบในหนี้สินแบบไม่จำกัดจำนวนแต่อาจตกลงให้คนใดคนหนึ่งเป็นผู้จัดการห้างหุ้นส่วนได้
2. ห้างหุ้นส่วนจำกัด
ห้างหุ้นส่วนจำกัดต้องมีผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ทำการจดทะเบียนนิติบุคคล โดยความรับผิดชอบของหุ้นส่วนจะแบ่งเป็น “จำกัด” และแบบ ”ไม่จำกัด” ความรับผิดในหนี้สินของกิจการ
หุ้นส่วนผู้รับผิดชอบในหนี้สินแบบ ”จำกัด” จะรับผิดในหนี้สินกิจการไม่เกินจำนวนเงินลงทุนของตน หุ้นส่วนประเภทนี้จะไม่มีสิทธิในการตัดสินใจในการบริหารงาน แต่มีสิทธิที่จะสอบถามถึงการดำเนินงานของกิจการได้
หุ้นส่วนผู้รับผิดชอบในหนี้สินแบบ ”ไม่จำกัด” จะรับผิดในหนี้สินทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากกิจการและจะมีสิทธิตัดสินใจต่างๆในกิจการได้อย่างเต็มที่
3. บริษัท
การจดทะเบียนในรูปของบริษัทต้องมีผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป โดยผู้ถือหุ้นทุกคนจะรับผิดชอบในหนี้สินกิจการแบบจำกัด กล่าวคือผู้ถือหุ้นมีภาระเพียงแค่จะต้องชำระเงินทุนตามค่าหุ้นที่ได้จดทะเบียนไว้เท่านั้น หากชำระครบแล้ว ผู้ถือหุ้นไม่ต้องรับผิดชอบในหนี้สินที่เกิดขึ้นในกิจการอีก ด้วยการจำกัดความรับผิดนี่เองที่ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่นิยมจดทะเบียนแบบบริษัทจำกัด
ควรใช้ทุนในการจดทะเบียนบริษัทเท่าไหร่
ทุนจดทะเบียนของนิติบุคคลมีผลต่อความน่าเชื่อถือในการติดต่อธุรกิจ ไม่ว่าลูกค้าหรือคู่ค้าของธุรกิจจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน ยิ่งมูลค่าทุนจดทะเบียนมาก บริษัทยิ่งมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นในการรับงาน อย่างไรก็ตามทุนจดทะเบียนจะเป็นเท่าไรขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจด้วยดังนี้
1. ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล/ห้างหุ้นส่วนจำกัด
ในการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนไม่ต้องแบ่งทุนออกเป็นหุ้นเหมือนกรณีการจดทะเบียนบริษัท และไม่มีการกำหนดขั้นต่ำของทุนจดทะเบียน โดยส่วนใหญ่การจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจะอยู่ที่ 250,000-1,000,000 บาท
ในกรณีห้างหุ้นส่วนจำกัด หุ้นส่วนที่จำกัดความรับผิด ไม่สามารถลงทุนด้วยแรงงานได้เนื่องจากหุ้นส่วนประเภทนี้มีความรับผิดชอบหนี้สินของกิจการไม่เกินจำนวนเงินลงทุนของตน จึงไม่ควรเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานของห้างหุ้นส่วนโดยตรงเหมือนหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด
2. บริษัทจำกัด
การจดทะเบียนบริษัท นิยมจดทะเบียนกันที่ 1 ล้านบาท ซึ่งทำให้เกิดความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่งในการติดต่อทำธุรกิจ และอัตราค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจเป็น 5,000 บาท ไม่ว่าทุนจดทะเบียนจะมีมูลค่าเท่าใด เช่น ถ้ากิจการเริ่มต้นด้วยทุนจดทะเบียน 500,000 บาท ในการจดทะเบียนบริษัท กิจการต้องเสียค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนบริษัท 5,000 บาท ถ้าต่อมากิจการต้องการเพิ่มทุนเป็น 1 ล้านบาท กิจการก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนอีก 5,000 บาท ดังนั้นเพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียน ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักจะจดทะเบียนเมื่อเริ่มต้นธุรกิจที่ 1 ล้านบาทเลย
การดำเนินงานจดทะเบียนนิติบุคคลกับกรมพัฒนาธุรกิจปัจจุบันมีความทันสมัย สะดวกรวดเร็ว นอกจากผู้ประกอบการจะสามารถยื่นขอจดทะเบียนด้วยการยื่นเอกสารโดยตรงแล้วยังสามารถเลือกจดทะเบียนทางอิเล็คทรอนิคส์ (e-Registration) ได้
ขั้นตอนการจดทะเบียนธุรกิจแต่ละแบบจะเป็นอย่างไร อ่านต่อได้ที่บทความ การจดทะเบียนธุรกิจ มีกี่ประเภท และจดทะเบียนอย่างไร เลยครับ
ผลจากการจดทะเบียนที่มีต่อธุรกิจ
เมื่อนิติบุคคลดำเนินการจดทะเบียนแล้ว จะมีผลต่อธุรกิจในด้านต่างๆดังนี้
1. ในทางกฎหมายสรรพากร ทุนจดทะเบียนมีผลต่อการเสียภาษีดังนี้
กรณีที่ 1 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 30 ล้านบาท กรมสรรพากรให้คำนวณภาษีในอัตราดังนี้
กำไรสุทธิ ไม่เกิน 300,000 บาท ได้รับยกเว้น
กำไรสุทธิเกิน 300,000 บาท แต่ไม่เกิน 3,000,000 บาท เสียภาษีในอัตราร้อยละ15
กำไรสุทธิเกิน 3,000,000 บาท ขึ้นไป เสียภาษีในอัตราร้อยละ20
กรณีที่ 2 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี มากกว่า 5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีมากกว่า 30 ล้านบาท กรมสรรพากรให้คำนวณภาษีในอัตราร้อยละ20 ของกำไรสุทธิ
2. ตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ.2543 หลังจากที่กิจการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว ผู้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนและกรรมการของบริษัทจำกัดเป็นผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี โดยต้องจัดให้มี
2.1 การจัดทำบัญชีรายวัน บัญชีแยกประเภท บัญชีสินค้าและบัญชีอื่น ๆ ตามความจำเป็นในการทำบัญชี
2.2 กิจการต้องจัดให้มีผู้ทำบัญชีเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดทำบัญชี มีการส่งมอบเอกสารที่เป็นหลักฐานในการลงบัญชีให้แก่ผู้ทำบัญชีอย่างครบถ้วน และต้องเก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไว้ที่สถานประกอบการเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี
2.3 การปิดบัญชีครั้งแรกภายใน 12 เดือนนับตั้งแต่นับตั้งแต่วันเริ่มทำบัญชีและปิดบัญชีทุกรอบ12 เดือน
2.4 การจัดทำงบการเงิน ได้แก่ งบแสดงฐานะการเงิน งบกำไรขาดทุน งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ถือหุ้นและหมายเหตุประกอบงบการเงิน โดยจัดให้มีผู้สอบบัญชีรับอนุญาตเป็นผู้ตรวจสอบและรับรองงบการเงิน
กรณีห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล/ห้างหุ้นส่วนจำกัด มีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาท มีสินทรัพย์รวมไม่เกิน 30 ล้านบาทและมีรายได้รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท สามารถจัดให้มีผู้ทำบัญชีที่เป็นผู้จบการศึกษาระดับอนุปริญญาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงเป็นผู้ทำบัญชีได้ โดยผู้ประกอบการต้องควบคุมดูแลการทำบัญชีให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงและมาตรฐานการรายงานทางการเงิน และไม่ต้องมีผู้สอบบัญชีตรวจสอบรับรองงบการเงินแต่กิจการต้องยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล(ภ.ง.ด.50) พร้อมรายงานการตรวจสอบและรับรองบัญชีของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตหรือผู้สอบบัญชีภาษีอากร
2.5 การนำส่งงบการเงินที่ได้รับการรับรองโดยผู้สอบบัญชีแล้ว ภายใน 5 เดือนนับแต่วันปิดบัญชี
3. ในด้านอื่น ๆ ได้แก่ กิจการมีความน่าเชื่อถือเพราะทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วสะท้อนถึงเงินหมุนเวียนที่กิจการมีอยู่เพียงพอและมีความสามารถในการชำระหนี้ ทำให้ลูกค้าและคู่ค้าของธุรกิจเกิดความเชื่อมั่นในฐานะการเงินของกิจการ ระบบบัญชี ระบบการบริหารของกิจการ และเอื้อต่อการขอระดมทุน รวมทั้ง การขอสินเชื่อและกู้เงินจากสถาบันการเงิน นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆ ของภาครัฐ เช่น กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สำนักงานบีโอไอ เป็นต้น ในบางธุรกิจ เช่น ธุรกิจที่ปรึกษาที่จะรับงานภาครัฐ จากข้อมูลของศูนย์ที่ปรึกษา สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง กำหนดคุณสมบัติของที่ปรึกษานิติบุคคลว่ากิจการต้องมีทุนจดทะเบียนตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป
การจดทะเบียนธุรกิจมีความสำคัญ เป็นสิ่งที่แสดงถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ การมีเงินทุนหมุนเวียนที่เพียงพอ กิจการมีความสามารถในการชำระหนี้ สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่เจ้าของธุรกิจไม่ควรละเลยคือไม่ว่ากิจการจะจดแจ้งด้วยทุนจดทะเบียนเท่าไรก็ตาม ควรเรียกชำระค่าหุ้นตามจริงเพื่อเป็นการแสดงถึงฐานะทางการเงินที่แท้จริงของกิจการและไม่ให้เกิดความยุ่งยากในการดำเนินงานในอนาคตติดตามความรู้ของ PEAK ที่
Blog: http://peakaccount.com/blog
Facebook: facebook.com/peakengine