คลังความรู้บัญชี ภาษี และโปรแกรมบัญชีออนไลน์

ติดตามข้อมูลข่าวสาร บทความน่ารู้ด้านบัญชี ภาษี การเงิน และธุรกิจที่เป็นประโยชน์ สำหรับผู้ประกอบการและนักบัญชี

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

ล่าสุด

25 Oct 2025

PEAK Account

16 min

ต้นทุนแฝง (Hidden Cost) ค่าใช้จ่ายที่ไม่ควรมองข้าม

เจ้าของกิจการบางท่านอาจเคยเจอปัญหา สินค้าขายดีมาก แต่ทำไมกำไรไม่เคยเหลือ? หนึ่งในสาเหตุคือ ต้นทุนแฝง ที่ซ่อนอยู่ในต้นทุนแต่หลายคนไม่รู้ตัว! ในบทความนี้เราพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับภัยเงียบนี้ ที่อาจกำลังส่งผลร้ายต่อธุรกิจของคุณอยู่! ต้นทุนแฝง คืออะไร? ต้นทุนแฝง คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการดำเนินธุรกิจ แต่ไม่ได้ถูกบันทึกจำแนกประเภทออกมาอย่างชัดเจน จนทำให้เจ้าของกิจการอาจจะไม่เห็นค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นค่าใช้จ่ายเล็กน้อยที่เกิดขึ้น ซ่อนอยู่ในค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ ๆ จนไม่มีใครสังเกตเห็น และไม่ได้นับเป็นต้นทุนตอนวางแผนธุรกิจ ซึ่งต้นทุนแฝง มักจะเริ่มแสดงตัวออกมาเมื่อกำไรในแต่ละเดือนของธุรกิจน้อยกว่าที่คาดไว้ ทั้งที่มีการวางแผนค่าใช้จ่ายไว้ทั้งหมดแล้ว ปัญหานี้อาจส่งผลต่อการวางแผนการเงินของธุรกิจได้ ดังนั้นเพื่อให้เจ้าของกิจการสามารถเห็นตัวเลขของ ‘ต้นทุนจริง’ ในบทความนี้เราชวนทุกท่านมาทำความรู้จักต้นทุนแฝง ไปจนถึงวิธีป้องกันไม่เห็นเกิดปัญหานี้กัน สาเหตุของต้นทุนที่ซ่อนอยู่ สาเหตุของต้นทุนแฝงมักมาจากค่าใช้จ่ายเล็กที่มักเป็นค่าใช้จ่ายทั่วไปในการทำธุรกิจ มูลค่าต่อครั้งไม่สูง แต่หากเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ก็รวมกันเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ได้ไม่ยาก  ยกตัวอย่างเช่น พนักงานขายที่จำเป็นต้องออกไปพบลูกค้าบ่อย และหลายครั้งเพื่อสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าก็มักจะเลี้ยงกาแฟลูกค้าอยู่เสมอ ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยครั้งละ 300 บาท หากในหนึ่งเดือนต้องออกไปเจอลูกค้า 30 ครั้ง เท่ากับว่าค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะสูงถึง 9,000 บาท! ซึ่งในบริษัทที่ไม่ได้มีการบันทึกบัญชีแบบแยกประเภทค่าใช้จ่ายอย่างถูกต้อง ก็อาจจะไม่เห็นตัวเลขตรงนี้ชัดเจน ยิ่งถ้าในบริษัทมีพนักงานขายหลายคน ก็อาจมีต้นทุนแฝงตรงนี้หลายหมื่นบาทได้เลย จากตัวอย่างเจ้าของกิจการน่าจะพอมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นหากไม่มีการจัดการค่าใช้จ่ายเล็กน้อยส่วนนี้ หรือไม่ได้มีการบ่งชี้ให้ชัดเจน ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ต้นทุนแฝง มีอะไรบ้าง? ซึ่ง ต้นทุนแฝง มีหลายรูปแบบ หลายรายการ ไม่ใช่เพียงแค่ค่ากาแฟเลี้ยงลูกค้า แต่ยังมีส่วนอื่น ๆ ตามรายการต่อไปนี้ 1. ต้นทุนแฝงจากค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด ต้นทุนแฝงอันดับต้น ๆ ที่เจ้าของกิจการอาจไม่เคยทราบว่ากำลังเกิดขึ้น มักจะเป็นค่าใช้จ่ายเล็กน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่อย่างเงินเดือนพนักงาน หรือค่าเช่าออฟฟิศ ซึ่งค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดประกอบไปด้วย 2. ต้นทุนแฝงจากการติดต่อสื่อสารและการเดินทาง ในบริษัทที่มีพนักงานเดินทางไปติดต่อขายสินค้าหรือหาลูกค้าใหม่ ๆ ที่ต้องมีค่าเดินทางและค่าโทรศัพท์ให้พนักงานขาย หากไม่ได้มีระบบการบันทึก ก็อาจกลายเป็นค่าใช้จ่ายที่ซ่อนตัวอยู่เพิ่มขึ้นมา ที่เมื่อรวมแล้วก็เป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ได้เช่นกัน 3. ต้นทุนแฝงจากสินค้าคงคลัง (สต๊อก) สำหรับธุรกิจที่มีการสต๊อกสินค้า ต้องบริหารจัดการสต๊อกให้ดี ไม่เช่นนั้นอาจเกิดต้นทุนแฝง ได้โดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าพื้นที่จัดเก็บสินค้า หรือสินค้าที่ขายไม่ออกจนตกรุ่น ก็อาจกลายเป็นหนึ่งในต้นทุนแฝงก้อนโต 4. ต้นทุนแฝงในรูปแบบของ “เวลา” ต้นทุนที่แพงที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะเวลาไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ และยิ่งในยุคปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง ทุกนาทีมีค่า เพราะอาจเสียโอกาสสร้างยอดขายไปจากความผิดพลาด หรือระบบที่ไม่แข็งแรงมากพอ โอกาสเกิดต้นทุนแฝง นั้นมีมากไม่รู้จบ ถ้าไม่มีการบันทึกรายได้อย่างเป็นระบบ หากคิดออกมาเป็นเงิน ก็ถือว่าเป็นก้อนโตที่ต้องเสียไปในแต่ละปี เจ้าของกิจการควรหาวิธีคลายปมแก้ไขทีละจุด เพื่อช่วยลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจลงไปได้มหาศาล เจ้าของกิจการจะรู้ได้อย่างไรว่ามี ต้นทุนแฝง อะไรบ้าง? คำถามถัดมาคือ แล้วเจ้าของกิจการจะรู้ได้อย่างไรว่าธุรกิจมีต้นทุนแฝงอยู่ ซึ่งคำตอบอยู่ใน “งบกำไรขาดทุน” (Profit and Loss Statement) ของธุรกิจของคุณนั่นเอง เพราะในงบกำไรขาดทุนจะมีตัวเลขต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในรอบระยะเวลาหนึ่งแสดงอยู่ เจ้าของกิจการจะได้เห็นภาพรวมของธุรกิจว่าจริง ๆ แล้ว จากยอดขายต่อเดือนเยอะ ๆ นั้นได้ กำไร หรือ ขาดทุน อย่างไรก็ตามปัญหาส่วนใหญ่ของงบกำไรขาดทุนคือมีการจัดหมวดหมู่แบบคร่าว ๆ ไม่ได้มีการจัดหมวดหมู่ได้อย่างถูกต้องจริง ๆ ทำให้เจ้าของกิจการไม่ได้เห็นต้นทุนแฝง แบบชัดเจน เพราะฉะนั้นเมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ควรเริ่มต้นจัดกลุ่มค่าใช้จ่ายให้ถูกต้องอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถบริหารค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น ซึ่งโดยปกติจะมีหมวดหมู่ดังนี้ ซึ่งภายใต้ของทั้งสองหมวดก็จะมีประเภทแยกย่อยลงไปอีก เพื่อความชัดเจนของค่าใช้จ่ายแต่ละส่วน ข้อควรระวังในการทำงบการเงินของเจ้าของกิจการ ปัญหาของงบกำไรขาดทุน ที่นำไปสู่การเกิดต้นทุนแฝง โดยไม่รู้ตัว คือ การระบุหมวดหมู่ของค่าใช้จ่ายไม่ถูกต้อง เพราะสาเหตุของต้นทุนแฝงมักเกิดขึ้นจากค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ค่ากระดาษ ได้ถูกบันทึกในค่าใช้จ่ายของสำนักงานหรือไม่? หรือ สินค้าที่เสียหายหรือค้างสต๊อก ได้บันทึกเป็นค่าใช้จ่ายที่เสียไปหรือไม่? ค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้บันทึกหมวดหมู่ หรือบางครั้งถูกลืมปล่อยผ่านไปเฉย ๆ คือ สาเหตุของ ต้นทุนแฝง ที่อาจกำลังทำร้ายธุรกิจของเราอยู่อย่างเงียบ ๆ เพราะฉะนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดต้นทุนแฝง ควรย้อนกลับไปตั้งแต่การจัดการระบบการบันทึกงบกำไรขาดทุน ที่นอกจากกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน ควรจัดหมวดหมู่ให้ถูกต้องด้วยเช่นกัน เหตุผลสำคัญที่เจ้าของกิจการควรรู้ ต้นทุนแฝง ผลกระทบของ ต้นทุนแฝง นั้นมหาศาลมากกว่าที่เจ้าของกิจการหลายท่านอาจคิดไว้ การลงบันทึกในงบการเงินจึงเป็นข้อสำคัญที่เจ้าของกิจการควรดูเป็นประจำ เพื่อให้เห็นค่าใช้จ่ายที่อาจซ่อนอยู่ ซึ่งผลกระทบของการลงบันทึกผิดพลาด หรือไม่ละเอียดมากพอ สามารถส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้ดังนี้ หยุดวงจรต้นทุนแฝง ก่อนจะสายเกินไป! เจ้าของกิจการควรตั้งคำถามเสมอว่า ทุกวันนี้เราได้เห็นต้นทุนจริงของธุรกิจหรือยัง? หรือยังมีค่าใช้จ่ายอะไรที่แอบซ่อนอยู่หรือไม่? เพื่อคอยเตือนให้ย้อนกลับไปอ่านงบการเงินเพื่อตรวจสอบ และจัดหมวดหมู่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ดี เพื่อปิดโอกาสไม่ให้เกิดต้นทุนแฝง หรือปัญหา “ขายดี แต่ทำไมกำไรไม่เหลือ” เริ่มต้นก่อน จัดการได้ก่อน ลดต้นทุนเพื่อธุรกิจที่เติบโต เทคนิคการใช้ PEAK เพื่อจัดกลุ่มค่าใช้จ่ายให้เจ้าของกิจการดูง่ายด้วยตัวเอง โปรแกรมบัญชี PEAK เปิดโอกาสให้เจ้าของกิจการ หรือพนักงานบัญชีสามารถจัดกลุ่มค่าใช้จ่ายตามแต่ละประเภทที่ต้องการได้ด้วยตัวเอง เพราะในธุรกิจแต่ละประเภทค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกัน เช่น ธุรกิจที่เป็น Work From Home 100% อาจจะไม่มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวข้องกับสำนักงาน โดยฟีเจอร์การตั้งค่างบกำไร ขาดทุน ของ PEAK สามารถจัดกลุ่มได้สองรูปแบบด้วยกัน ข้อดีสำคัญคือ เจ้าของกิจการสามารถประชุมกับทีมบัญชีเพื่อตั้งค่ากลุ่มค่าใช้จ่ายเหล่านี้ให้เหมาะสมกับแนวทางการดำเนินธุรกิจขององค์กรได้ สามารถอ่านข้อมูลการใช้งานเพิ่มเติมได้ที่นี่ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

25 Oct 2025

PEAK Account

15 min

ยื่น ภ.ง.ด.50 ไม่พลาด! เจาะลึกภาษีประจำปีนิติบุคคล

ภ.ง.ด.50 คืออะไร? คำถามที่เจ้าของกิจการหน้าใหม่หลายท่านอาจสงสัย กับแบบยื่นเสียภาษีประจำปีของธุรกิจ ว่าต้องยื่นเมื่อไหร่ ใครต้องยื่นบ้าง และมีแนวทางปฏิบัติอย่างไรให้สามารถยื่นภาษีได้อย่างถูกต้อง บทความนี้เราพร้อมตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับแบบยื่นภาษีประจำปี นี้ให้คุณ ภ.ง.ด.50 คือเอกสารเกี่ยวข้องกับอะไร? ภ.ง.ด.50 คือ แบบที่ใช้สำหรับการยื่นแสดงรายการภาษีเงินได้ของธุรกิจที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประจำปี ที่จะเป็นการนำรายงานงบการเงินตั้งแต่รายได้ รายจ่าย กำไรสุทธิ และนำมาปรับปรุงให้เป็นกำไรทางภาษีเพื่อใช้คำนวณภาษีที่ต้องชำระรอบสิ้นสุดระยะบัญชี ใครบ้างที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีนี้? สำหรับนิติบุคคลที่.ที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการนี้ คือ คือ บริษัทจำกัด บริษัทจำกัดมหาชน ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล และนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย รวมไปถึงบริษัทต่างชาติที่จดทะเบียนเปิดสาขาในประเทศไทย อย่างไรก็ตามจะมีนิติบุคคลบางประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษี เช่น องค์กรภาครัฐ บริษัทที่เปิดขึ้นจากข้อตกลงร่วมกันระหว่างรัฐบาลไทยและต่างประเทศ และอื่น ๆ กำหนดเวลาการยื่น แบบแสดงรายการภาษีประจำปี การยื่นแบบแสดงรายการภาษีประจำปีนี้ จะเป็นการยื่นหลังจากสิ้นรอบบัญชีในแต่ละปี ซึ่งมีกำหนดให้เจ้าของกิจการนิติบุคคลที่มีหน้าที่เสียภาษี ต้องยื่นแบบแสดงรายการนี้ ภายใน 150 วันนับจากสิ้นรอบบัญชี ยกตัวอย่างการนับวันในการยื่นภาษี ในกรณีที่รอบบัญชีสิ้นปีคือวันที่ 31 ธ.ค. 2025 สามารถนับจำนวนวัน 150 วันได้เลย ดังนั้นวันสุดท้ายที่สามารถยื่นแบบแสดงรายการ คือ วันที่ 30 พ.ค. 2026 นั่นเอง แนะนำให้เจ้าของกิจการตรวจสอบกรอบในการยื่นเอกสาร และจัดเตรียมเอกสารสำหรับการยื่นภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการยื่นล่าช้าที่มีทั้งค่าปรับ เงินเพิ่ม และเสี่ยงถูกตรวจสอบจากสรรพากร บทลงโทษหากไม่ได้ยื่น หรือยื่นล่าช้า แบบยื่นภาษีประจำปี คือ แบบยื่นด้านบัญชีที่สำคัญ และเจ้าของกิจการที่มีหน้าที่เสียภาษีส่วนนี้ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นจะมีบทลงโทษดังนี้ การไม่ยื่นหรือยื่นล่าช้า และไม่ถูกต้อง มาพร้อมบทลงโทษมากมายที่นอกจากเสียเงินเพิ่มโดยไม่จำเป็น ยังมีโอกาสถูกตรวจสอบเพิ่ม ด้วยเหตุนี้เราขอแนะนำให้เจ้าของกิจการจัดการบริหารด้านภาษีด้วยความรอบคอบ ยื่นให้ตรงกรอบเวลาที่กำหนด และตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารเสมอ เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการยื่น ในส่วนของเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการยื่น จะเอกสารที่เกี่ยวข้องกับงบการเงินเป็นส่วนใหญ่ โดยเอกสารที่ต้องใช้ประกอบไปด้วย จากเอกสารทั้ง 5 ส่วนจะเห็นเป็นเอกสารที่ใช้เพื่อเป็นหลักฐานการคำนวณภาษีที่ต้องชำระจากกำไรสุทธิจริง ทำให้ในส่วนนี้จะแตกต่างจาก ภงด 51 หรือแบบยื่นภาษีครึ่งปีของเจ้าของกิจการ ที่จะใช้การประมาณการกำไรสุทธิเพื่อคำนวณ นอกจากนี้ยังอาจมีการขอเอกสารอื่นเพิ่มเติมจากกรมสรรพากรหากมีความจำเป็น วิธีการยื่นแบบแสดงรายการ การยื่นแบบแสดงรายการภาษีประจำปี สามารถทำการยื่นได้ 2 รูปแบบ ทั้งการยื่นเอกสารแบบกระดาษด้วยตนเองที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ หรือการยื่นผ่านระบบ e-Filing บนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ซึ่งรูปแบบหลังจะสะดวกมากกว่า และจะได้ขยายเวลาในการยื่นเพิ่มอีก 8 วันหลังจากครบกำหนด 150 วัน (มีกรอบเวลายื่น 158 วัน) เช่น หากระยะรอบบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.  2025 จะสามารถยื่นภาษีผ่านช่องทางออนไลน์ได้ถึงวันที่ 7 มิ.ย. 2026 ภ.ง.ด.50 vs ภ.ง.ด.51 ต้องยื่นทั้งคู่ไหม? นอกจาก ภ.ง.ด.50 แล้ว เจ้าของกิจการอาจเคยได้ยิน ภ.ง.ด.51 หรือแบบภาษีครึ่งปีกันมาบ้าง ซึ่งในหนึ่งระยะรอบบัญชีเจ้าของกิจการจำเป็นต้องยื่นทั้งสองแบบ โดย ภ.ง.ด.50 จะเป็นแบบยื่นภาษีเมื่อสิ้นสุดระยะรอบบัญชี แต่ ภ.ง.ด.51 จะเป็นแบบยื่นภาษีครึ่งปี เพื่อจ่ายภาษีล่วงหน้าในกรณีที่มีกำไรในช่วงครึ่งปีแรก ทั้งนี้ในกรณีที่ธุรกิจขาดทุนในช่วงครึ่งปีแรก เจ้าของกิจการไม่ต้องยื่น ภ.ง.ด.51 (ภาษีครึ่งปี) แต่ยังคงจำเป็นต้องยื่น ภ.ง.ด.50 (ภาษีประจำปี) เช่นเดิม วิธียื่น ภ.ง.ด.50 ออนไลน์ผ่านระบบ e-Filing ในปัจจุบันการยื่นแบบแสดงรายการนี้ สามารถทำได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ด้วยการยื่นผ่านระบบ e-Filling ที่เจ้าของกิจการหรือผู้ได้รับมอบหมายสามารถกรอกข้อมูลในแบบยื่น กรอกรายการคำนวณภาษี ไปจนถึงขั้นตอนการชำระภาษีครบในที่เดียวผ่านระบบออนไลน์ โดยสามารถยื่นแบบด้วยตัวเองได้ที่เว็บไซต์ ? วิธีการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับยื่น ภ.ง.ด.50 เจ้าของกิจการหลายท่านอาจเข้าใจว่าสามารถใช้ตัวเลขจากงบการเงินในการคำนวณภาษีที่ต้องเสียได้ทันที แต่ตามความเป็นจริงแล้วต้องนำตัวเลขดังกล่าวมาทำการปรับปรุงจาก ‘กำไรทางบัญชี’ ให้เป็น ‘กำไรทางภาษี’ ก่อน เพื่อใช้ในการคำนวณ โดยมีวิธีการปรับปรุงเบื้องต้นดังนี้ นำตัวเลขทั้งสามส่วนมารวมกันก่อน จึงจะได้เป็นตัวเลขกำไรทางภาษีที่สามารถนำมาคำนวณภาษีที่ต้องเสีย ยกตัวอย่างการคำนวณ กำไรจากงบการเงิน 1,000,000 บาท ค่าใช้จ่ายต้องห้าม 10,000 บาท เบี้ยปรับเงินเพิ่ม 5,000 บาท ดังนั้นกำไรทางภาษีคือ 1,015,000 บาท ซึ่งตัวเลข 1,015,000 คือตัวเลขของกำไรที่จะนำมาใช้ในการคำนวณภาษีจริง ถัดมาก็จะนำตัวเลขดังกล่าวมาใช้ในการคำนวณกับ อัตราภาษี ตัวอย่างการคำนวณ กรณีที่มีอัตราภาษี 20% กำไรทางภาษี x 20% = ภาษีที่ต้องชำระ แทนสูตร 1,015,000 x 20% = 203,000 หลังจากนั้นให้นำภาษีที่ต้องชำระมาหักกับ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย และจำนวนภาษีครึ่งปีที่เราได้ชำระไปในตอนยื่น ภ.ง.ด.51 เมื่อช่วงกลางปี ยกตัวอย่างเช่น มีรายการภาษีหัก ณ ที่จ่ายตลอดปีรวมกัน 50,000 บาท และชำระภาษีเงินได้ครึ่งปีไปแล้ว 30,000 บาท ให้นำตัวเลขมาหักลบออกจากภาษีที่ต้องชำระดังนี้ 203,000 – 50,000 – 30,000 = 123,000 บาท ดังนั้นหมายความว่าจำนวนภาษีที่ต้องชำระจริงคือ 123,000 บาท เคล็ดลับยื่น แบบแสดงรายการภาษีประจำปี ให้ถูกต้องและทันเวลา เพราะการยื่นแบบแสดงรายการภาษีประจำปี ให้ถูกต้องและทันเวลาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเจ้าของกิจการ เพื่อให้ไม่ให้เสียเงิน และเสียเวลาเพิ่มโดยใช้เหตุ เรามี 4 เคล็ดลับสำหรับเจ้าของกิจการมาฝากกัน เตรียมงบการเงินล่วงหน้า การเตรียมงบการเงินล่วงหน้าช่วยให้สามารถทำการปรับปรุงคำนวณภาษีได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่ควรรอให้ใกล้ถึงเวลายื่นแบบแล้วค่อยจัดการ เพราะอาจนำไปสู่ข้อผิดพลาดในการคำนวณได้ ตรวจสอบรายการบันทึกบัญชีให้ครบถ้วน การตรวจสอบรายการบัญชีให้ครบถ้วนก็เป็นอีกหนึ่งข้อสำคัญ โดยสามารถทำได้จากการ กระทบยอด (Bank Reconciliation) เพื่อเปรียบเทียบธุรกรรมจากธนาคาร และธุรกรรมที่ได้ทำการบันทึกบัญชีให้ตรงกัน ใช้ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (CPA) ที่มีประสบการณ์ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต หรือ CPA เป็นบุคคลภายนอกบริษัทที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบข้อมูล และความถูกต้องในงบการเงินของบริษัท การที่มีผู้สอบบัญชีที่มีประสบการณ์สูง ช่วยให้มั่นใจได้ถึงความถูกต้องครบถ้วนในการคำนวณภาษี ใช้โปรแกรมบัญชี หรือบริการสำนักงานบัญชีช่วยจัดการ การใช้โปรแกรมบัญชีที่สามารถช่วยจัดการบัญชีได้อย่างเป็นระบบ บันทึกข้อมูลได้แม่นยำ และสามารถจัดการเอกสารด้านบัญชีและการเงินได้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้นักบัญชีในองค์กรสามารถบริหารจัดการภาษีได้อย่างถูกต้อง แต่ถ้าธุรกิจของคุณยังไม่มีเจ้าหน้าที่บัญชีช่วยจัดการตรงส่วนนี้ อาจใช้บริการสำนักงานบัญชีเข้ามาช่วยจัดการด้านภาษีเพื่อความถูกต้องมากขึ้นได้เช่นกัน ภ.ง.ด.50 เอกสารสำคัญด้านภาษีที่เจ้าของกิจการควรรู้จัก เมื่ออ่านถึงตรงนี้เจ้าของกิจการน่าจะพอทราบกันมากขึ้นแล้วว่า ภ.ง.ด.50 คือ เอกสารที่ใช้สำหรับการยื่นภาษีประจำปี หากไม่ได้ยื่น ยื่นไม่ครบถ้วน หรือยื่นล่าช้าก็จะมาพร้อมค่าปรับ หรือเบี้ยปรับ และอาจนำไปสู่การตรวจสอบจากกรมสรรพากรได้เช่นกัน ดังนั้นเจ้าของกิจการควรให้ความสำคัญ และตรวจสอบการยื่นภาษีประจำปีอย่างดี เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง ซึ่งการเลือกใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำหรับเจ้าของกิจการ ที่สามารถช่วยลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดในการจัดการภาษีได้ ด้วยฟีเจอร์ด้านการจัดการเอกสาร การบันทึกบัญชี และอื่น ๆ อีกมากมาย ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

15 Oct 2025

PEAK Account

4 min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 15/10/2025

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✨ 1. รับชำระเงินจาก “ใบเสนอราคา” ได้โดยตรง ด้วยปุ่ม “ชำระเงิน” บนหน้าเอกสาร 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งาน API Payment Collection ที่อยากให้ลูกค้าชำระเงินได้สะดวก และประหยัดเวลาในการออกเอกสาร 🎯Highlight:  ระบบเปิดให้ผู้ใช้งานตั้งค่าการแสดงปุ่ม “ชำระเงิน” บนหน้าพิมพ์เอกสารได้ เมื่อเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มรับชำระเงินแล้ว โดยปุ่มจะปรากฏเฉพาะเมื่อใบเสนอราคาอยู่ในสถานะ “ยอมรับแล้ว” นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดการออกเอกสารต่ออัตโนมัติได้เอง เช่น ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถรับชำระเงิน ออกเอกสารได้สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น หมายเหตุ ยังไม่รองรับใบเสนอราคาที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ ✨ 2. เปิดให้แก้ไขการแสดงรายการประเภทเงินได้ในใบหัก ณ ที่จ่ายบนหน้าเอกสาร ได้ยืดหยุ่นกว่าเดิม 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานที่มีการออกเอกสารใบหัก ณ ที่จ่าย 🎯Highlight: ระบบเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถแก้ไขการแสดงรายการประเภทเงินได้ในใบหัก ณ ที่จ่ายได้โดยตรงช่วยให้ออกเอกสารได้ถูกต้องตามต้องการ  โดยสามารถกำหนดการแสดงผลคำอธิบายได้ 3 รูปแบบ นอกจากนี้ยังสามารถเลือกการแสดงยอดหัก ณ ที่จ่ายได้ 2.1 แยกตามประเภทเงินได้/อัตราภาษี หากมีประเภทเงินได้เดียวกัน แต่คนละอัตราภาษี ระบบจะแยกบรรทัดการแสดงผล 2.2 แยกตามประเภทเงินได้ หากมีประเภทเงินได้เหมือนกันแต่คนละคนอัตราภาษี ระบบจะทำการรวมเป็นบรรทัดเดียวกัน 2.3 รวมประเภทเงินได้ ระบบจะทำการรวมประเภทเงินได้ทั้งหมด และรวมยอดเงินทั้งหมดให้เป็นบรรทัดเดียวกัน ✨3. เปลี่ยนสถานะเอกสารได้พร้อมกันหลายรายการ ช่วยให้ทำงานรวดเร็วขึ้นในคลิกเดียว เหมาะสำหรับ: กิจการที่ต้องอนุมัติเอกสารจำนวนมาก Highlight: ระบบเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยนสถานะของเอกสารพร้อมกันได้ เช่น อนุมัติเอกสาร ไม่อนุมัติเอกสาร ไม่ว่าจะเป็นเอกสารรายรับ รายจ่าย สมุดรายวัน นอกจากนี้ยังสามารถคลิกขวาเพื่อเรียกคำสั่งได้ทันที  หมายเหตุ 

อ่านบทความเพิ่มเติม

บัญชี

ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับบัญชี

อ่านบทความเพิ่มเติม

15 Oct 2025

PEAK Account

11 min

ค่าขนส่งกับการบันทึกบัญชี สิ่งที่ผู้ประกอบการห้ามมอง

ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าทางออนไลน์ น่าจะคุ้นเคยกับการคิด ค่าขนส่งสินค้า สินค้ากันเป็นอย่างดี แต่ผู้ประกอบการหลายท่านอาจยังไม่ทราบว่า ค่าขนส่งที่เรียกเก็บจากลูกค้านั้น ถือเป็นเงินที่ต้องรับรู้เป็นรายได้อีกด้วย! ในบทความนี้เราจะพาคุณมาดูความเกี่ยวข้องกับค่าขนส่งสินค้าและการบันทึกบัญชีกัน ค่าขนส่งสินค้า คืออะไร ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ค่าขนส่งสินค้า คือ ค่าใช้จ่ายที่ผู้ส่งต้องจ่ายให้กับบริษัทขนส่ง เพื่อนำสินค้าไปให้ถึงมือลูกค้า การเรียกเก็บเงินค่าขนส่งจากลูกค้าเป็นหน้าที่ของผู้ขาย แต่ผู้ประกอบการหลายท่านอาจไม่ทราบว่า ค่าขนส่งสินค้า เหล่านี้ ไม่ว่าจะมาจากการสั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หรือสั่งกับร้านโดยตรง ถือเป็นรายได้ของบริษัท และจำเป็นต้องทำการบันทึกบัญชีอย่างชัดเจน ค่าขนส่งสินค้ากับการบันทึกบัญชี การบันทึกบัญชีของค่าขนส่งสินค้า จะมี 2 เรื่องหลักที่ผู้ประกอบการและนักบัญชีควรทราบดังนี้ เมื่อไหร่ที่ค่าขนส่ง จะนับเป็นรายได้ของเรา? ปัจจัยสำคัญในการใช้ดูว่า ค่าขนส่งสินค้า จะนับเป็นรายได้ของเราหรือของแพลตฟอร์มออนไลน์ ต้องดูว่าใครเป็นผู้ออกใบเสร็จค่าขนส่งสินค้าให้ลูกค้า  ค่าขนส่งสินค้า มี VAT หรือไม่? ในกรณีที่ธุรกิจทำการจด VAT เรียบร้อยแล้วก็จำเป็นที่จะต้องมีการออกใบกำกับภาษีรวมค่าขนส่งสินค้า และรับรู้ภาษีขายจากค่าขนส่งสินค้าที่เรานับว่าเป็นรายได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ในกรณีที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ก็ไม่จำเป็นต้องคำนวณภาษีขายเพิ่ม ตัวอย่างการบันทึกบัญชีกรณีที่มีค่าขนส่งสินค้า ยกตัวอย่างการบันทึกบัญชีกรณีที่มีการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และจำเป็นต้องมีการบันทึกค่าขนส่งสินค้าเป็นรายได้ในบัญชี บริษัท A ขายเก้าอี้ผ่านช่องทางออนไลน์ราคา 1,000 บาท โดยมีค่าขนส่งสินค้าโดยบริษัทขนส่ง 50 บาท เมื่อลูกค้าชำระเงินและทำการจัดส่งสินค้าถึงมือลูกค้าเรียบร้อยแล้ว สามารถบันทึกบัญชีแยกได้ดังนี้ ราคารวมที่ลูกค้าต้องจ่ายคือ 1,000 + 50 = 1,050 บาท ทั้งนี้ หากบริษัท A ทำการจด VAT เรียบร้อยแล้วต้องทำการออกใบกำกับภาษี และต้องทำการบันทึกเป็นภาษีขาย 73.50 บาทด้วย โดยคิดเป็นราคารวม 1,123.50 บาท ทำไมบิลเก็บเงินค่าขนส่งสินค้า จากแพลตฟอร์มไม่ได้รวม VAT แต่ร้านค้าต้องคิด VAT? อีกหนึ่งคำถามที่หลายท่านอาจสงสัยเกี่ยวกับการคำนวณ VAT ของค่าขนส่งสินค้าจากแพลตฟอร์มออนไลน์ เพราะถ้าเราดูตัวอย่างใบเสร็จจากหัวข้อก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่าไม่ได้มีการคิด VAT มาด้วย แต่ทำไมร้านค้าถึงต้องคิด VAT เข้าไปในค่าขนส่งสินค้า ซึ่งคำตอบแยกได้เป็นสองส่วนดังนี้ เกิดอะไรขึ้นหากไม่ได้บันทึกค่าขนส่งสินค้า ลงในบัญชีบริษัท หากผู้ประกอบการไม่ได้ทำการลงบันทึกค่าขนส่งสินค้าเป็นรายได้ของบริษัท อาจทำให้ตัวเลขในรายการธุรกรรมมีความคลาดเคลื่อน เช่นในใบเสนอราคามีการเรียกเก็บค่าขนส่งสินค้ารวมเป็นจำนวนเงินที่เรียกเก็บจากลูกค้า แต่ในบันทึกบัญชีกลับไม่ได้มีจำนวนเงินค่าขนส่งสินค้าในส่วนนี้ อาจเกิดปัญหาตอนกระทบยอดตรวจสอบบัญชี และอาจส่งผลต่อการจัดการเรื่องภาษีได้ด้วยเช่นเดียวกัน เคล็ดลับลดข้อผิดพลาดในการบันทึกบัญชีสำหรับผู้ประกอบการ ในส่วนถัดมาเรามีเคล็ดลับสำหรับผู้ประกอบการในการลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการบันทึกบัญชี ซึ่งนอกจากการทำตารางบัญชีให้เข้าใจง่าย และการบันทึกบัญชีตามลำดับ ไม่ข้ามไปมา ยังมีปัจจัยอื่นที่เป็นส่วนช่วยให้ทำได้ง่ายยิ่งขึ้น จะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกัน เก็บเอกสารให้เป็นระบบ การทำงานบัญชีมักมาพร้อมกับเอกสารมากมายที่ต้องเก็บและจัดระเบียบ ดังนั้นการออกแบบระบบการจัดเก็บเอกสารที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี เอกสารเหล่านี้ควรได้รับการจัดหมวดหมู่อย่างเป็นระบบ และอาจเก็บทั้งรูปแบบไฟล์ และรูปแบบเอกสารจริง ตรงส่วนนี้หากจำเป็นต้องมีการอ้างอิงถึงเอกสารที่เก็บ นักบัญชีอาจต้องมีการบันทึกในบัญชีตามหมวดหมู่และระบบที่จัดเก็บ เช่น รหัสของเอกสาร เพื่อให้สามารถหยิบเอกสารเหล่านั้นออกมาตรวจสอบได้รวดเร็วมากขึ้น ทำสรุปบัญชีเป็นประจำทุกเดือน การทำบัญชีจำเป็นต้องทำเป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้เห็นภาพรวมด้านการเงิน และบัญชีของธุรกิจ ตรงส่วนนี้จะเป็นตัวช่วยประกอบการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ เพราะผู้ประกอบการจะได้เห็นธุรกรรมทั้งหมดในแต่ละเดือน สามารถใช้คาดการณ์ วางแผน หรือปรับปรุงแนวทางการดำเนินธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ การทำบัญชีในปัจจุบันมีการใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์เข้ามาช่วย เพื่อให้สามารถทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้น ทั้งยังลดข้อผิดพลาดลงได้ เพราะโปรแกรมเหล่านี้มักมาพร้อมฟีเจอร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านการบันทึกค่าใช้จ่าย การออกเอกสารที่เกี่ยวข้องอย่างใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จ/ใบกำกับภาษี ทั้งยังสามารถจัดทำรายงานได้แบบเรียลไทม์ รวมไปถึงช่วยในเรื่องการจัดการเรื่องภาษีอีกด้วย ดังนั้นการปรับใช้โปรแกรมบัญชีในการทำงานก็เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้การบันทึกบัญชีง่ายขึ้น และลดข้อผิดพลาดลงไปได้ บันทึกบัญชีง่าย ๆ ด้วยโปรแกรม PEAK Account PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่พร้อมเป็นตัวช่วยในการบันทึกบัญชี ด้วยฟีเจอร์สมุดบัญชีรายวัน ให้การบันทึกบัญชีง่ายยิ่งขึ้น และลดข้อผิดพลาด นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ การจัดการด้านเอกสารทั้งรายรับ รายจ่าย จัดการด้านการเงินและบัญชี การจัดการภาษี รวมไปถึงสต๊อกสินค้า เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำบัญชี เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเตรียมความพร้อมสู่การเติบโตของธุรกิจ

อ่านบทความเพิ่มเติม

ภาษี

ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับภาษี

อ่านบทความเพิ่มเติม

25 Oct 2025

PEAK Account

15 min

ยื่น ภ.ง.ด.50 ไม่พลาด! เจาะลึกภาษีประจำปีนิติบุคคล

ภ.ง.ด.50 คืออะไร? คำถามที่เจ้าของกิจการหน้าใหม่หลายท่านอาจสงสัย กับแบบยื่นเสียภาษีประจำปีของธุรกิจ ว่าต้องยื่นเมื่อไหร่ ใครต้องยื่นบ้าง และมีแนวทางปฏิบัติอย่างไรให้สามารถยื่นภาษีได้อย่างถูกต้อง บทความนี้เราพร้อมตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับแบบยื่นภาษีประจำปี นี้ให้คุณ ภ.ง.ด.50 คือเอกสารเกี่ยวข้องกับอะไร? ภ.ง.ด.50 คือ แบบที่ใช้สำหรับการยื่นแสดงรายการภาษีเงินได้ของธุรกิจที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประจำปี ที่จะเป็นการนำรายงานงบการเงินตั้งแต่รายได้ รายจ่าย กำไรสุทธิ และนำมาปรับปรุงให้เป็นกำไรทางภาษีเพื่อใช้คำนวณภาษีที่ต้องชำระรอบสิ้นสุดระยะบัญชี ใครบ้างที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีนี้? สำหรับนิติบุคคลที่.ที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการนี้ คือ คือ บริษัทจำกัด บริษัทจำกัดมหาชน ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล และนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย รวมไปถึงบริษัทต่างชาติที่จดทะเบียนเปิดสาขาในประเทศไทย อย่างไรก็ตามจะมีนิติบุคคลบางประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษี เช่น องค์กรภาครัฐ บริษัทที่เปิดขึ้นจากข้อตกลงร่วมกันระหว่างรัฐบาลไทยและต่างประเทศ และอื่น ๆ กำหนดเวลาการยื่น แบบแสดงรายการภาษีประจำปี การยื่นแบบแสดงรายการภาษีประจำปีนี้ จะเป็นการยื่นหลังจากสิ้นรอบบัญชีในแต่ละปี ซึ่งมีกำหนดให้เจ้าของกิจการนิติบุคคลที่มีหน้าที่เสียภาษี ต้องยื่นแบบแสดงรายการนี้ ภายใน 150 วันนับจากสิ้นรอบบัญชี ยกตัวอย่างการนับวันในการยื่นภาษี ในกรณีที่รอบบัญชีสิ้นปีคือวันที่ 31 ธ.ค. 2025 สามารถนับจำนวนวัน 150 วันได้เลย ดังนั้นวันสุดท้ายที่สามารถยื่นแบบแสดงรายการ คือ วันที่ 30 พ.ค. 2026 นั่นเอง แนะนำให้เจ้าของกิจการตรวจสอบกรอบในการยื่นเอกสาร และจัดเตรียมเอกสารสำหรับการยื่นภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการยื่นล่าช้าที่มีทั้งค่าปรับ เงินเพิ่ม และเสี่ยงถูกตรวจสอบจากสรรพากร บทลงโทษหากไม่ได้ยื่น หรือยื่นล่าช้า แบบยื่นภาษีประจำปี คือ แบบยื่นด้านบัญชีที่สำคัญ และเจ้าของกิจการที่มีหน้าที่เสียภาษีส่วนนี้ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นจะมีบทลงโทษดังนี้ การไม่ยื่นหรือยื่นล่าช้า และไม่ถูกต้อง มาพร้อมบทลงโทษมากมายที่นอกจากเสียเงินเพิ่มโดยไม่จำเป็น ยังมีโอกาสถูกตรวจสอบเพิ่ม ด้วยเหตุนี้เราขอแนะนำให้เจ้าของกิจการจัดการบริหารด้านภาษีด้วยความรอบคอบ ยื่นให้ตรงกรอบเวลาที่กำหนด และตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารเสมอ เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการยื่น ในส่วนของเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการยื่น จะเอกสารที่เกี่ยวข้องกับงบการเงินเป็นส่วนใหญ่ โดยเอกสารที่ต้องใช้ประกอบไปด้วย จากเอกสารทั้ง 5 ส่วนจะเห็นเป็นเอกสารที่ใช้เพื่อเป็นหลักฐานการคำนวณภาษีที่ต้องชำระจากกำไรสุทธิจริง ทำให้ในส่วนนี้จะแตกต่างจาก ภงด 51 หรือแบบยื่นภาษีครึ่งปีของเจ้าของกิจการ ที่จะใช้การประมาณการกำไรสุทธิเพื่อคำนวณ นอกจากนี้ยังอาจมีการขอเอกสารอื่นเพิ่มเติมจากกรมสรรพากรหากมีความจำเป็น วิธีการยื่นแบบแสดงรายการ การยื่นแบบแสดงรายการภาษีประจำปี สามารถทำการยื่นได้ 2 รูปแบบ ทั้งการยื่นเอกสารแบบกระดาษด้วยตนเองที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ หรือการยื่นผ่านระบบ e-Filing บนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ซึ่งรูปแบบหลังจะสะดวกมากกว่า และจะได้ขยายเวลาในการยื่นเพิ่มอีก 8 วันหลังจากครบกำหนด 150 วัน (มีกรอบเวลายื่น 158 วัน) เช่น หากระยะรอบบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.  2025 จะสามารถยื่นภาษีผ่านช่องทางออนไลน์ได้ถึงวันที่ 7 มิ.ย. 2026 ภ.ง.ด.50 vs ภ.ง.ด.51 ต้องยื่นทั้งคู่ไหม? นอกจาก ภ.ง.ด.50 แล้ว เจ้าของกิจการอาจเคยได้ยิน ภ.ง.ด.51 หรือแบบภาษีครึ่งปีกันมาบ้าง ซึ่งในหนึ่งระยะรอบบัญชีเจ้าของกิจการจำเป็นต้องยื่นทั้งสองแบบ โดย ภ.ง.ด.50 จะเป็นแบบยื่นภาษีเมื่อสิ้นสุดระยะรอบบัญชี แต่ ภ.ง.ด.51 จะเป็นแบบยื่นภาษีครึ่งปี เพื่อจ่ายภาษีล่วงหน้าในกรณีที่มีกำไรในช่วงครึ่งปีแรก ทั้งนี้ในกรณีที่ธุรกิจขาดทุนในช่วงครึ่งปีแรก เจ้าของกิจการไม่ต้องยื่น ภ.ง.ด.51 (ภาษีครึ่งปี) แต่ยังคงจำเป็นต้องยื่น ภ.ง.ด.50 (ภาษีประจำปี) เช่นเดิม วิธียื่น ภ.ง.ด.50 ออนไลน์ผ่านระบบ e-Filing ในปัจจุบันการยื่นแบบแสดงรายการนี้ สามารถทำได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ด้วยการยื่นผ่านระบบ e-Filling ที่เจ้าของกิจการหรือผู้ได้รับมอบหมายสามารถกรอกข้อมูลในแบบยื่น กรอกรายการคำนวณภาษี ไปจนถึงขั้นตอนการชำระภาษีครบในที่เดียวผ่านระบบออนไลน์ โดยสามารถยื่นแบบด้วยตัวเองได้ที่เว็บไซต์ ? วิธีการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับยื่น ภ.ง.ด.50 เจ้าของกิจการหลายท่านอาจเข้าใจว่าสามารถใช้ตัวเลขจากงบการเงินในการคำนวณภาษีที่ต้องเสียได้ทันที แต่ตามความเป็นจริงแล้วต้องนำตัวเลขดังกล่าวมาทำการปรับปรุงจาก ‘กำไรทางบัญชี’ ให้เป็น ‘กำไรทางภาษี’ ก่อน เพื่อใช้ในการคำนวณ โดยมีวิธีการปรับปรุงเบื้องต้นดังนี้ นำตัวเลขทั้งสามส่วนมารวมกันก่อน จึงจะได้เป็นตัวเลขกำไรทางภาษีที่สามารถนำมาคำนวณภาษีที่ต้องเสีย ยกตัวอย่างการคำนวณ กำไรจากงบการเงิน 1,000,000 บาท ค่าใช้จ่ายต้องห้าม 10,000 บาท เบี้ยปรับเงินเพิ่ม 5,000 บาท ดังนั้นกำไรทางภาษีคือ 1,015,000 บาท ซึ่งตัวเลข 1,015,000 คือตัวเลขของกำไรที่จะนำมาใช้ในการคำนวณภาษีจริง ถัดมาก็จะนำตัวเลขดังกล่าวมาใช้ในการคำนวณกับ อัตราภาษี ตัวอย่างการคำนวณ กรณีที่มีอัตราภาษี 20% กำไรทางภาษี x 20% = ภาษีที่ต้องชำระ แทนสูตร 1,015,000 x 20% = 203,000 หลังจากนั้นให้นำภาษีที่ต้องชำระมาหักกับ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย และจำนวนภาษีครึ่งปีที่เราได้ชำระไปในตอนยื่น ภ.ง.ด.51 เมื่อช่วงกลางปี ยกตัวอย่างเช่น มีรายการภาษีหัก ณ ที่จ่ายตลอดปีรวมกัน 50,000 บาท และชำระภาษีเงินได้ครึ่งปีไปแล้ว 30,000 บาท ให้นำตัวเลขมาหักลบออกจากภาษีที่ต้องชำระดังนี้ 203,000 – 50,000 – 30,000 = 123,000 บาท ดังนั้นหมายความว่าจำนวนภาษีที่ต้องชำระจริงคือ 123,000 บาท เคล็ดลับยื่น แบบแสดงรายการภาษีประจำปี ให้ถูกต้องและทันเวลา เพราะการยื่นแบบแสดงรายการภาษีประจำปี ให้ถูกต้องและทันเวลาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเจ้าของกิจการ เพื่อให้ไม่ให้เสียเงิน และเสียเวลาเพิ่มโดยใช้เหตุ เรามี 4 เคล็ดลับสำหรับเจ้าของกิจการมาฝากกัน เตรียมงบการเงินล่วงหน้า การเตรียมงบการเงินล่วงหน้าช่วยให้สามารถทำการปรับปรุงคำนวณภาษีได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่ควรรอให้ใกล้ถึงเวลายื่นแบบแล้วค่อยจัดการ เพราะอาจนำไปสู่ข้อผิดพลาดในการคำนวณได้ ตรวจสอบรายการบันทึกบัญชีให้ครบถ้วน การตรวจสอบรายการบัญชีให้ครบถ้วนก็เป็นอีกหนึ่งข้อสำคัญ โดยสามารถทำได้จากการ กระทบยอด (Bank Reconciliation) เพื่อเปรียบเทียบธุรกรรมจากธนาคาร และธุรกรรมที่ได้ทำการบันทึกบัญชีให้ตรงกัน ใช้ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (CPA) ที่มีประสบการณ์ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต หรือ CPA เป็นบุคคลภายนอกบริษัทที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบข้อมูล และความถูกต้องในงบการเงินของบริษัท การที่มีผู้สอบบัญชีที่มีประสบการณ์สูง ช่วยให้มั่นใจได้ถึงความถูกต้องครบถ้วนในการคำนวณภาษี ใช้โปรแกรมบัญชี หรือบริการสำนักงานบัญชีช่วยจัดการ การใช้โปรแกรมบัญชีที่สามารถช่วยจัดการบัญชีได้อย่างเป็นระบบ บันทึกข้อมูลได้แม่นยำ และสามารถจัดการเอกสารด้านบัญชีและการเงินได้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้นักบัญชีในองค์กรสามารถบริหารจัดการภาษีได้อย่างถูกต้อง แต่ถ้าธุรกิจของคุณยังไม่มีเจ้าหน้าที่บัญชีช่วยจัดการตรงส่วนนี้ อาจใช้บริการสำนักงานบัญชีเข้ามาช่วยจัดการด้านภาษีเพื่อความถูกต้องมากขึ้นได้เช่นกัน ภ.ง.ด.50 เอกสารสำคัญด้านภาษีที่เจ้าของกิจการควรรู้จัก เมื่ออ่านถึงตรงนี้เจ้าของกิจการน่าจะพอทราบกันมากขึ้นแล้วว่า ภ.ง.ด.50 คือ เอกสารที่ใช้สำหรับการยื่นภาษีประจำปี หากไม่ได้ยื่น ยื่นไม่ครบถ้วน หรือยื่นล่าช้าก็จะมาพร้อมค่าปรับ หรือเบี้ยปรับ และอาจนำไปสู่การตรวจสอบจากกรมสรรพากรได้เช่นกัน ดังนั้นเจ้าของกิจการควรให้ความสำคัญ และตรวจสอบการยื่นภาษีประจำปีอย่างดี เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง ซึ่งการเลือกใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำหรับเจ้าของกิจการ ที่สามารถช่วยลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดในการจัดการภาษีได้ ด้วยฟีเจอร์ด้านการจัดการเอกสาร การบันทึกบัญชี และอื่น ๆ อีกมากมาย ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

10 Oct 2025

PEAK Account

16 min

รวมเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ ภ.ง.ด.51 สำหรับยื่นภาษีครึ่งปีของนิติบุคคล

การยื่นภาษีรอบครึ่งปีสำหรับผู้ประกอบการนิติบุคคลจำเป็นต้องใช้แบบยื่น ภ.ง.ด.51 ซึ่งการยื่นภาษีครึ่งปีมีความสำคัญมากเพราะหากทำไม่ถูกต้อง หรือยื่นล่าช้าอาจมีโอกาสเสียค่าปรับในอัตราที่สูงพอสมควร ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาแนะนำผู้ประกอบการทุกท่านเกี่ยวกับการยื่นภาษีครึ่งปีแรกกัน ภ.ง.ด.51 คืออะไร? ภ.ง.ด.51 คือแบบยื่นภาษีเงินได้รอบครึ่งปีสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งถ้าเป็นบริษัทนิติบุคคลโดยทั่วไปแล้วจะเป็นการชำระภาษี 50% ของรอบระยะบัญชี แต่ถ้าเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทเงินทุน และอื่น ๆ จะเป็นการคำนวณภาษีจากกำไรสุทธิจริงในรอบ 6 เดือนแรกของระยะเวลาบัญชีให้ทางกรมสรรพากร  ซึ่งวิธีนี้เป็นรูปแบบการยื่นภาษีที่จะช่วยแบ่งเบาภาระภาษีของผู้ประกอบการด้วยการแบ่งจ่ายก่อน ไม่ต้องรวมจ่ายเป็นก้อนใหญ่ครั้งเดียวตอนสิ้นปี ทั้งนี้สำหรับผู้ที่ขายของออนไลน์หรือเป็นฟรีแลนซ์ แต่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ดำเนินธุรกิจในนามบุคคลธรรมดา ก็อาจต้องมีการยื่นภาษีครึ่งปีเช่นกัน โดยใช้ ภ.ง.ด.94 ที่จะมีรายละเอียดเงื่อนไขแตกต่างกันสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่ ใครมีหน้าที่ยื่นภาษีครึ่งปี ผู้ที่มีหน้าที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 คือผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจในนามบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีรายได้ รวมไปถึงกิจการร่วมค้า (Joint Venture) ที่นับว่าเป็นนิติบุคคลประเภทหนึ่ง นอกจากนี้ต้องเป็นกิจการที่จัดตั้งขึ้นในประเทศไทย และมีรอบระยะบัญชีไม่น้อยกว่า 12 เดือน ทั้งนี้อาจมีบางบริษัทที่ได้รับการยกเว้น เช่น บริษัทเปิดใหม่ ที่ยังมีรอบบัญชีแรกไม่ถึง 12 เดือนจะไม่ต้องเสียภาษีครึ่งปีจึงยังไม่ต้องยื่น ส่วนในกรณีของผู้ที่เป็นบุคคลธรรมดาไม่จำเป็นต้องยื่นภ.ง.ด.51 เพราะ เป็นหน้าที่ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเท่านั้น กำหนดการยื่นแบบ และวิธีการยื่น การยื่นแบบภาษีรอบครึ่งปีของนิติบุคคลนั้นมีกำหนดการยื่นไว้อย่างชัดเจนให้บริษัทต้องยื่นภายใน 2 เดือนหลังจากครบกำหนดครึ่งรอบบัญชี ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่บริษัท A มีรอบบัญชีวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม รอบบัญชีครึ่งแรกของบริษัท A คือ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน ดังนั้นหากนับจากวันสุดท้ายของรอบบัญชี 6 เดือนแรกออกไปอีก 2 เดือน หมายความว่าบริษัท A ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ภายในวันที่ 31 สิงหาคมของปีนั้นนั่นเอง โดยการยื่นสามารถยื่นได้สองวิธีด้วยกัน เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการยื่นแบบ สำหรับการยื่น ภ.ง.ด.51 โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องยื่นเอกสารเพิ่มเติม แต่ในบางกรณีอาจต้องมีการยื่นเอกสารอื่น ๆ ประกอบเพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการคำนวณภาษี ซึ่งเอกสารที่อาจใช้ยื่นเพิ่มเติมได้มีทั้งหมด 4 ส่วนด้วยกันประกอบไปด้วย แบบ ภ.ง.ด.51  เป็นแบบเอกสารที่สามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์กรมสรรพากร ซึ่งในเอกสารผู้ประกอบการสามารถกรอกข้อมูลของบริษัท รอบระยะเวลาบัญชี รูปแบบการยื่น และภาษีที่ชำระเพิ่มเติมได้เลย งบกำไรขาดทุนประมาณการ การยื่นภ.ง.ด.51 ของบริษัทนิติบุคคลโดยทั่วไปจำเป็นต้องมีการประมาณการกำไรสุทธิเพื่อใช้ในการคำนวณกำไรสุทธิสำหรับคิดภาษี 50% ที่ต้องชำระในรอบครึ่งปี ซึ่งงบกำไรขาดทุนนี้จะใช้เป็นงบของทั้งรอบระยะเวลาบัญชี โดยใช้เป็นเอกสารประกอบการคำนวณภาษีที่ต้องชำระครึ่งปีนั่นเอง เอกสารแสดงรายได้-ค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการคำนวณ อีกหนึ่งเอกสารที่สามารถใช้ยื่นประกอบเพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการคำนวณภาษีครึ่งปีได้ ซึ่งเอกสารนี้ก็สามารถจัดทำเป็นรูปแบบรายงานแสดงรายได้ และค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่นำมาใช้ในการคำนวณกำไรขาดทุนของบริษัท รายการปรับปรุงกำไรทางภาษี (ถ้ามี) หากธุรกิจมีการปรับเพิ่มหรือปรับลดตัวเลขกำไรสุทธิในงบการเงินจำเป็นต้องมีการทำรายการปรับปรุงกำไรทางภาษีเพื่อยื่นเพิ่มเติมเป็นหลักฐาน นอกจากนี้การปรับปรุงกำไรทางภาษีให้ถูกต้องจะช่วยให้ธุรกิจเสียภาษีตามจริง ไม่ต้องเสียภาษีเยอะเกินความจำเป็น ทั้งนี้ในกรณีที่เป็นบริษัทนิติบุคคลประเภทที่จำเป็นต้องยื่นภาษีจากกำไรสุทธิจริงรอบ 6 เดือนแรก เช่น บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทเงินทุน จำเป็นต้องแนบงบการเงิน และไม่ต้องแนบหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย วิธีคำนวณภาษีครึ่งปี แบบเข้าใจง่าย สำหรับการคำนวณภาษีครึ่งปี ขอยกตัวอย่างเป็นรูปแบบบริษัทนิติบุคคลทั่วไป ที่จะต้องทำการประมาณการรายได้และค่าใช้จ่าย หรือเรียกว่าการทำงบกำไรขาดทุนประมาณการของทั้งรอบระยะเวลาบัญชีเพื่อนำมาคำนวณภาษี 50% ที่ต้องชำระในรอบครึ่งปีนี้ วิธีการประมาณการรายได้และค่าใช้จ่ายครึ่งปี ขั้นตอนการคำนวณตามจริงแล้วทำได้ไม่ยาก โดยแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนการคำนวณ โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้ *รายได้ทั้งปี คือ รายได้จริงครึ่งปีแรก + รายได้ประมาณการครึ่งปีหลัง **ต้นทุนขายและค่าใช้จ่าย คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงครึ่งปีแรก + ค่าใช้จ่ายประมาณการของครึ่งปีหลังโดยอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจะคำนวณจากกำไรของบริษัท ถ้าเป็นกิจการ SME จะมีอัตราเริ่มต้นตั้งแต่ 0% – 20% แต่ถ้าเป็นกิจการทั่วไปจะเสีย 20% ไม่ว่าจะมีกำไรเท่าไหร่ก็ตาม ตัวอย่างการคำนวณประมาณการกำไรสุทธิครึ่งปี บริษัท A เป็นนิติบุคคล มีรายได้และค่าใช้จ่ายในครึ่งปีแรกเท่ากับ 500,000 บาท และ 100,000 บาท ตามลำดับ โดยคาดการณ์ว่าครึ่งปีหลังจะมีรายได้และค่าใช้จ่ายเท่าเดิม และมีภาษี หัก ณ ที่จ่าย 5,000 บาท สามารถคำนวณภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด. 51) ที่ต้องชำระได้ดังนี้ แทนสูตรตามแต่ละขั้นได้ดังนี้ ดังนั้นบริษัท A จำเป็นต้องชำระภาษีในรอบแรกเป็นจำนวนเงิน 75,000 บาทนั่นเอง บทลงโทษที่ต้องรู้หากประมาณการผิดพลาด หรือยื่นล่าช้า การชำระภาษีครึ่งปีของนิติบุคคล หากประมาณการกำไรสุทธิต่ำเกินไป หรือยื่นล่าช้า ก็จะมีบทลงโทษพอสมควรเลยทีเดียว เพราะหากธุรกิจประมาณการกำไรสุทธิขาดเกินไปมากกว่า 25% ของกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นจริง โดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเป็นต้องเสียค่าปรับเพิ่ม 20% จากจำนวนภาษีที่ชำระขาด แต่การประมาณการกำไรสุทธิสูงเกินไป ไม่ถือว่าเป็นความผิดจึงไม่ต้องเสียค่าปรับ คำแนะนำเพื่อไม่ให้เสียค่าปรับ 20% ผู้ประกอบการควรทำการประมาณการกำไรสุทธิและยื่นภาษีครึ่งปีให้ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ได้ยื่นไว้ในรอบปีที่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น หากประมาณการกำไรสุทธิ 500,000 บาท แต่กำไรสุทธิจริงสูงถึง 1,000,000 บาท ซึ่งนับเป็น 50% ก็จะต้องเสียค่าปรับเพิ่ม หากประมาณการกำไรสุทธิ 749,000 บาท แต่กำไรสุทธิจริง 1,000,000 บาท คำนวณเป็น 25.1% ต้องเสียค่าปรับ (เกิน 25% เพียง 0.1% ก็เข้าข่ายต้องเสียค่าปรับ) แต่ถ้าประมาณการกำไรสุทธิ 800,000 บาท มีกำไรสุทธิจริง 1,000,000 บาท นับเป็น 20% ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ และไม่จำเป็นต้องเสียค่าปรับ ในส่วนของการยื่นล่าช้าจะมีค่าปรับฉบับละ 2,000 บาทและเสียเงินเพิ่มเป็นดอกเบี้ย 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องชำระ ซึ่งข้อนี้เป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่ธุรกิจต้องแบกรับไว้ เป็นค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มเติมเข้ามานอกเหนือจากการคาดการณ์ ดังนั้นการจัดการภาษีครึ่งปีควรวางแผนให้ดี และคำนวณให้ถูกต้อง การชำระภาษีและสิทธิ์ในการขอคืน วิธีการชำระภาษีครึ่งปีของนิติบุคคลด้วย ภ.ง.ด.51 สามารถชำระพร้อมการยื่นแบบได้เลย และจำเป็นต้องชำระจำนวนเต็มในครั้งเดียวไม่สามารถผ่อนได้ ซึ่งช่องทางการชำระประกอบไปด้วย 8 ช่องทางดังนี้ ในกรณีที่ผู้ประกอบการได้ชำระภาษีเกิน ไม่สามารถขอคืนเป็นเงินสดได้ทันที แต่สามารถเปลี่ยนเป็นเครดิตภาษีสำหรับใช้ในรอบภาษีถัดไปได้ ประโยชน์ของการวางแผนภาษีครึ่งปีอย่างถูกต้อง การยื่นนับว่าเป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก นอกจากที่เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระด้านภาษีจากที่ต้องเสียก้อนโตตอนสิ้นปี เป็นแบ่งชำระก่อนหนึ่งรอบ ช่วยให้สามารถบริหารเงินสดได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีข้อดีอื่นอีกเพียบ จัดการภาษีได้ดีไปอีกขั้นด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ การจัดการภาษีไม่ได้มีเพียง ภ.ง.ด.51 แต่ยังมีภาษีด้านอื่น ๆ ที่ผู้ประกอบการและนักบัญชีต้องให้ความสำคัญ เพราะฉะนั้นการมีโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่เข้ามาช่วยให้การบริหารจัดการภาษีเป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้นนับสิ่งที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม ซึ่งโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK Account ก็สามารถช่วยบริหารจัดการภาษี อีกทั้งยังช่วยจัดการบัญชีให้เป็นระบบมากยิ่งขึ้น สามารถปรับใช้ในองค์กรได้ง่าย ๆ มาพร้อมคู่มือการใช้งานที่ครบถ้วน! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

อ่านบทความเพิ่มเติม

ธุรกิจ

ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกิจ

อ่านบทความเพิ่มเติม

25 Oct 2025

PEAK Account

16 min

ต้นทุนแฝง (Hidden Cost) ค่าใช้จ่ายที่ไม่ควรมองข้าม

เจ้าของกิจการบางท่านอาจเคยเจอปัญหา สินค้าขายดีมาก แต่ทำไมกำไรไม่เคยเหลือ? หนึ่งในสาเหตุคือ ต้นทุนแฝง ที่ซ่อนอยู่ในต้นทุนแต่หลายคนไม่รู้ตัว! ในบทความนี้เราพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับภัยเงียบนี้ ที่อาจกำลังส่งผลร้ายต่อธุรกิจของคุณอยู่! ต้นทุนแฝง คืออะไร? ต้นทุนแฝง คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการดำเนินธุรกิจ แต่ไม่ได้ถูกบันทึกจำแนกประเภทออกมาอย่างชัดเจน จนทำให้เจ้าของกิจการอาจจะไม่เห็นค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นค่าใช้จ่ายเล็กน้อยที่เกิดขึ้น ซ่อนอยู่ในค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ ๆ จนไม่มีใครสังเกตเห็น และไม่ได้นับเป็นต้นทุนตอนวางแผนธุรกิจ ซึ่งต้นทุนแฝง มักจะเริ่มแสดงตัวออกมาเมื่อกำไรในแต่ละเดือนของธุรกิจน้อยกว่าที่คาดไว้ ทั้งที่มีการวางแผนค่าใช้จ่ายไว้ทั้งหมดแล้ว ปัญหานี้อาจส่งผลต่อการวางแผนการเงินของธุรกิจได้ ดังนั้นเพื่อให้เจ้าของกิจการสามารถเห็นตัวเลขของ ‘ต้นทุนจริง’ ในบทความนี้เราชวนทุกท่านมาทำความรู้จักต้นทุนแฝง ไปจนถึงวิธีป้องกันไม่เห็นเกิดปัญหานี้กัน สาเหตุของต้นทุนที่ซ่อนอยู่ สาเหตุของต้นทุนแฝงมักมาจากค่าใช้จ่ายเล็กที่มักเป็นค่าใช้จ่ายทั่วไปในการทำธุรกิจ มูลค่าต่อครั้งไม่สูง แต่หากเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ก็รวมกันเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ได้ไม่ยาก  ยกตัวอย่างเช่น พนักงานขายที่จำเป็นต้องออกไปพบลูกค้าบ่อย และหลายครั้งเพื่อสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าก็มักจะเลี้ยงกาแฟลูกค้าอยู่เสมอ ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยครั้งละ 300 บาท หากในหนึ่งเดือนต้องออกไปเจอลูกค้า 30 ครั้ง เท่ากับว่าค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะสูงถึง 9,000 บาท! ซึ่งในบริษัทที่ไม่ได้มีการบันทึกบัญชีแบบแยกประเภทค่าใช้จ่ายอย่างถูกต้อง ก็อาจจะไม่เห็นตัวเลขตรงนี้ชัดเจน ยิ่งถ้าในบริษัทมีพนักงานขายหลายคน ก็อาจมีต้นทุนแฝงตรงนี้หลายหมื่นบาทได้เลย จากตัวอย่างเจ้าของกิจการน่าจะพอมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นหากไม่มีการจัดการค่าใช้จ่ายเล็กน้อยส่วนนี้ หรือไม่ได้มีการบ่งชี้ให้ชัดเจน ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ต้นทุนแฝง มีอะไรบ้าง? ซึ่ง ต้นทุนแฝง มีหลายรูปแบบ หลายรายการ ไม่ใช่เพียงแค่ค่ากาแฟเลี้ยงลูกค้า แต่ยังมีส่วนอื่น ๆ ตามรายการต่อไปนี้ 1. ต้นทุนแฝงจากค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด ต้นทุนแฝงอันดับต้น ๆ ที่เจ้าของกิจการอาจไม่เคยทราบว่ากำลังเกิดขึ้น มักจะเป็นค่าใช้จ่ายเล็กน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่อย่างเงินเดือนพนักงาน หรือค่าเช่าออฟฟิศ ซึ่งค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดประกอบไปด้วย 2. ต้นทุนแฝงจากการติดต่อสื่อสารและการเดินทาง ในบริษัทที่มีพนักงานเดินทางไปติดต่อขายสินค้าหรือหาลูกค้าใหม่ ๆ ที่ต้องมีค่าเดินทางและค่าโทรศัพท์ให้พนักงานขาย หากไม่ได้มีระบบการบันทึก ก็อาจกลายเป็นค่าใช้จ่ายที่ซ่อนตัวอยู่เพิ่มขึ้นมา ที่เมื่อรวมแล้วก็เป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ได้เช่นกัน 3. ต้นทุนแฝงจากสินค้าคงคลัง (สต๊อก) สำหรับธุรกิจที่มีการสต๊อกสินค้า ต้องบริหารจัดการสต๊อกให้ดี ไม่เช่นนั้นอาจเกิดต้นทุนแฝง ได้โดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าพื้นที่จัดเก็บสินค้า หรือสินค้าที่ขายไม่ออกจนตกรุ่น ก็อาจกลายเป็นหนึ่งในต้นทุนแฝงก้อนโต 4. ต้นทุนแฝงในรูปแบบของ “เวลา” ต้นทุนที่แพงที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะเวลาไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ และยิ่งในยุคปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง ทุกนาทีมีค่า เพราะอาจเสียโอกาสสร้างยอดขายไปจากความผิดพลาด หรือระบบที่ไม่แข็งแรงมากพอ โอกาสเกิดต้นทุนแฝง นั้นมีมากไม่รู้จบ ถ้าไม่มีการบันทึกรายได้อย่างเป็นระบบ หากคิดออกมาเป็นเงิน ก็ถือว่าเป็นก้อนโตที่ต้องเสียไปในแต่ละปี เจ้าของกิจการควรหาวิธีคลายปมแก้ไขทีละจุด เพื่อช่วยลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจลงไปได้มหาศาล เจ้าของกิจการจะรู้ได้อย่างไรว่ามี ต้นทุนแฝง อะไรบ้าง? คำถามถัดมาคือ แล้วเจ้าของกิจการจะรู้ได้อย่างไรว่าธุรกิจมีต้นทุนแฝงอยู่ ซึ่งคำตอบอยู่ใน “งบกำไรขาดทุน” (Profit and Loss Statement) ของธุรกิจของคุณนั่นเอง เพราะในงบกำไรขาดทุนจะมีตัวเลขต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในรอบระยะเวลาหนึ่งแสดงอยู่ เจ้าของกิจการจะได้เห็นภาพรวมของธุรกิจว่าจริง ๆ แล้ว จากยอดขายต่อเดือนเยอะ ๆ นั้นได้ กำไร หรือ ขาดทุน อย่างไรก็ตามปัญหาส่วนใหญ่ของงบกำไรขาดทุนคือมีการจัดหมวดหมู่แบบคร่าว ๆ ไม่ได้มีการจัดหมวดหมู่ได้อย่างถูกต้องจริง ๆ ทำให้เจ้าของกิจการไม่ได้เห็นต้นทุนแฝง แบบชัดเจน เพราะฉะนั้นเมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ควรเริ่มต้นจัดกลุ่มค่าใช้จ่ายให้ถูกต้องอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถบริหารค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น ซึ่งโดยปกติจะมีหมวดหมู่ดังนี้ ซึ่งภายใต้ของทั้งสองหมวดก็จะมีประเภทแยกย่อยลงไปอีก เพื่อความชัดเจนของค่าใช้จ่ายแต่ละส่วน ข้อควรระวังในการทำงบการเงินของเจ้าของกิจการ ปัญหาของงบกำไรขาดทุน ที่นำไปสู่การเกิดต้นทุนแฝง โดยไม่รู้ตัว คือ การระบุหมวดหมู่ของค่าใช้จ่ายไม่ถูกต้อง เพราะสาเหตุของต้นทุนแฝงมักเกิดขึ้นจากค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ค่ากระดาษ ได้ถูกบันทึกในค่าใช้จ่ายของสำนักงานหรือไม่? หรือ สินค้าที่เสียหายหรือค้างสต๊อก ได้บันทึกเป็นค่าใช้จ่ายที่เสียไปหรือไม่? ค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้บันทึกหมวดหมู่ หรือบางครั้งถูกลืมปล่อยผ่านไปเฉย ๆ คือ สาเหตุของ ต้นทุนแฝง ที่อาจกำลังทำร้ายธุรกิจของเราอยู่อย่างเงียบ ๆ เพราะฉะนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดต้นทุนแฝง ควรย้อนกลับไปตั้งแต่การจัดการระบบการบันทึกงบกำไรขาดทุน ที่นอกจากกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน ควรจัดหมวดหมู่ให้ถูกต้องด้วยเช่นกัน เหตุผลสำคัญที่เจ้าของกิจการควรรู้ ต้นทุนแฝง ผลกระทบของ ต้นทุนแฝง นั้นมหาศาลมากกว่าที่เจ้าของกิจการหลายท่านอาจคิดไว้ การลงบันทึกในงบการเงินจึงเป็นข้อสำคัญที่เจ้าของกิจการควรดูเป็นประจำ เพื่อให้เห็นค่าใช้จ่ายที่อาจซ่อนอยู่ ซึ่งผลกระทบของการลงบันทึกผิดพลาด หรือไม่ละเอียดมากพอ สามารถส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้ดังนี้ หยุดวงจรต้นทุนแฝง ก่อนจะสายเกินไป! เจ้าของกิจการควรตั้งคำถามเสมอว่า ทุกวันนี้เราได้เห็นต้นทุนจริงของธุรกิจหรือยัง? หรือยังมีค่าใช้จ่ายอะไรที่แอบซ่อนอยู่หรือไม่? เพื่อคอยเตือนให้ย้อนกลับไปอ่านงบการเงินเพื่อตรวจสอบ และจัดหมวดหมู่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ดี เพื่อปิดโอกาสไม่ให้เกิดต้นทุนแฝง หรือปัญหา “ขายดี แต่ทำไมกำไรไม่เหลือ” เริ่มต้นก่อน จัดการได้ก่อน ลดต้นทุนเพื่อธุรกิจที่เติบโต เทคนิคการใช้ PEAK เพื่อจัดกลุ่มค่าใช้จ่ายให้เจ้าของกิจการดูง่ายด้วยตัวเอง โปรแกรมบัญชี PEAK เปิดโอกาสให้เจ้าของกิจการ หรือพนักงานบัญชีสามารถจัดกลุ่มค่าใช้จ่ายตามแต่ละประเภทที่ต้องการได้ด้วยตัวเอง เพราะในธุรกิจแต่ละประเภทค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกัน เช่น ธุรกิจที่เป็น Work From Home 100% อาจจะไม่มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวข้องกับสำนักงาน โดยฟีเจอร์การตั้งค่างบกำไร ขาดทุน ของ PEAK สามารถจัดกลุ่มได้สองรูปแบบด้วยกัน ข้อดีสำคัญคือ เจ้าของกิจการสามารถประชุมกับทีมบัญชีเพื่อตั้งค่ากลุ่มค่าใช้จ่ายเหล่านี้ให้เหมาะสมกับแนวทางการดำเนินธุรกิจขององค์กรได้ สามารถอ่านข้อมูลการใช้งานเพิ่มเติมได้ที่นี่ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

15 Oct 2025

PEAK Account

11 min

ค่าขนส่งกับการบันทึกบัญชี สิ่งที่ผู้ประกอบการห้ามมอง

ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าทางออนไลน์ น่าจะคุ้นเคยกับการคิด ค่าขนส่งสินค้า สินค้ากันเป็นอย่างดี แต่ผู้ประกอบการหลายท่านอาจยังไม่ทราบว่า ค่าขนส่งที่เรียกเก็บจากลูกค้านั้น ถือเป็นเงินที่ต้องรับรู้เป็นรายได้อีกด้วย! ในบทความนี้เราจะพาคุณมาดูความเกี่ยวข้องกับค่าขนส่งสินค้าและการบันทึกบัญชีกัน ค่าขนส่งสินค้า คืออะไร ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ค่าขนส่งสินค้า คือ ค่าใช้จ่ายที่ผู้ส่งต้องจ่ายให้กับบริษัทขนส่ง เพื่อนำสินค้าไปให้ถึงมือลูกค้า การเรียกเก็บเงินค่าขนส่งจากลูกค้าเป็นหน้าที่ของผู้ขาย แต่ผู้ประกอบการหลายท่านอาจไม่ทราบว่า ค่าขนส่งสินค้า เหล่านี้ ไม่ว่าจะมาจากการสั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หรือสั่งกับร้านโดยตรง ถือเป็นรายได้ของบริษัท และจำเป็นต้องทำการบันทึกบัญชีอย่างชัดเจน ค่าขนส่งสินค้ากับการบันทึกบัญชี การบันทึกบัญชีของค่าขนส่งสินค้า จะมี 2 เรื่องหลักที่ผู้ประกอบการและนักบัญชีควรทราบดังนี้ เมื่อไหร่ที่ค่าขนส่ง จะนับเป็นรายได้ของเรา? ปัจจัยสำคัญในการใช้ดูว่า ค่าขนส่งสินค้า จะนับเป็นรายได้ของเราหรือของแพลตฟอร์มออนไลน์ ต้องดูว่าใครเป็นผู้ออกใบเสร็จค่าขนส่งสินค้าให้ลูกค้า  ค่าขนส่งสินค้า มี VAT หรือไม่? ในกรณีที่ธุรกิจทำการจด VAT เรียบร้อยแล้วก็จำเป็นที่จะต้องมีการออกใบกำกับภาษีรวมค่าขนส่งสินค้า และรับรู้ภาษีขายจากค่าขนส่งสินค้าที่เรานับว่าเป็นรายได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ในกรณีที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ก็ไม่จำเป็นต้องคำนวณภาษีขายเพิ่ม ตัวอย่างการบันทึกบัญชีกรณีที่มีค่าขนส่งสินค้า ยกตัวอย่างการบันทึกบัญชีกรณีที่มีการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และจำเป็นต้องมีการบันทึกค่าขนส่งสินค้าเป็นรายได้ในบัญชี บริษัท A ขายเก้าอี้ผ่านช่องทางออนไลน์ราคา 1,000 บาท โดยมีค่าขนส่งสินค้าโดยบริษัทขนส่ง 50 บาท เมื่อลูกค้าชำระเงินและทำการจัดส่งสินค้าถึงมือลูกค้าเรียบร้อยแล้ว สามารถบันทึกบัญชีแยกได้ดังนี้ ราคารวมที่ลูกค้าต้องจ่ายคือ 1,000 + 50 = 1,050 บาท ทั้งนี้ หากบริษัท A ทำการจด VAT เรียบร้อยแล้วต้องทำการออกใบกำกับภาษี และต้องทำการบันทึกเป็นภาษีขาย 73.50 บาทด้วย โดยคิดเป็นราคารวม 1,123.50 บาท ทำไมบิลเก็บเงินค่าขนส่งสินค้า จากแพลตฟอร์มไม่ได้รวม VAT แต่ร้านค้าต้องคิด VAT? อีกหนึ่งคำถามที่หลายท่านอาจสงสัยเกี่ยวกับการคำนวณ VAT ของค่าขนส่งสินค้าจากแพลตฟอร์มออนไลน์ เพราะถ้าเราดูตัวอย่างใบเสร็จจากหัวข้อก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่าไม่ได้มีการคิด VAT มาด้วย แต่ทำไมร้านค้าถึงต้องคิด VAT เข้าไปในค่าขนส่งสินค้า ซึ่งคำตอบแยกได้เป็นสองส่วนดังนี้ เกิดอะไรขึ้นหากไม่ได้บันทึกค่าขนส่งสินค้า ลงในบัญชีบริษัท หากผู้ประกอบการไม่ได้ทำการลงบันทึกค่าขนส่งสินค้าเป็นรายได้ของบริษัท อาจทำให้ตัวเลขในรายการธุรกรรมมีความคลาดเคลื่อน เช่นในใบเสนอราคามีการเรียกเก็บค่าขนส่งสินค้ารวมเป็นจำนวนเงินที่เรียกเก็บจากลูกค้า แต่ในบันทึกบัญชีกลับไม่ได้มีจำนวนเงินค่าขนส่งสินค้าในส่วนนี้ อาจเกิดปัญหาตอนกระทบยอดตรวจสอบบัญชี และอาจส่งผลต่อการจัดการเรื่องภาษีได้ด้วยเช่นเดียวกัน เคล็ดลับลดข้อผิดพลาดในการบันทึกบัญชีสำหรับผู้ประกอบการ ในส่วนถัดมาเรามีเคล็ดลับสำหรับผู้ประกอบการในการลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการบันทึกบัญชี ซึ่งนอกจากการทำตารางบัญชีให้เข้าใจง่าย และการบันทึกบัญชีตามลำดับ ไม่ข้ามไปมา ยังมีปัจจัยอื่นที่เป็นส่วนช่วยให้ทำได้ง่ายยิ่งขึ้น จะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกัน เก็บเอกสารให้เป็นระบบ การทำงานบัญชีมักมาพร้อมกับเอกสารมากมายที่ต้องเก็บและจัดระเบียบ ดังนั้นการออกแบบระบบการจัดเก็บเอกสารที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี เอกสารเหล่านี้ควรได้รับการจัดหมวดหมู่อย่างเป็นระบบ และอาจเก็บทั้งรูปแบบไฟล์ และรูปแบบเอกสารจริง ตรงส่วนนี้หากจำเป็นต้องมีการอ้างอิงถึงเอกสารที่เก็บ นักบัญชีอาจต้องมีการบันทึกในบัญชีตามหมวดหมู่และระบบที่จัดเก็บ เช่น รหัสของเอกสาร เพื่อให้สามารถหยิบเอกสารเหล่านั้นออกมาตรวจสอบได้รวดเร็วมากขึ้น ทำสรุปบัญชีเป็นประจำทุกเดือน การทำบัญชีจำเป็นต้องทำเป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้เห็นภาพรวมด้านการเงิน และบัญชีของธุรกิจ ตรงส่วนนี้จะเป็นตัวช่วยประกอบการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ เพราะผู้ประกอบการจะได้เห็นธุรกรรมทั้งหมดในแต่ละเดือน สามารถใช้คาดการณ์ วางแผน หรือปรับปรุงแนวทางการดำเนินธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ การทำบัญชีในปัจจุบันมีการใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์เข้ามาช่วย เพื่อให้สามารถทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้น ทั้งยังลดข้อผิดพลาดลงได้ เพราะโปรแกรมเหล่านี้มักมาพร้อมฟีเจอร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านการบันทึกค่าใช้จ่าย การออกเอกสารที่เกี่ยวข้องอย่างใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จ/ใบกำกับภาษี ทั้งยังสามารถจัดทำรายงานได้แบบเรียลไทม์ รวมไปถึงช่วยในเรื่องการจัดการเรื่องภาษีอีกด้วย ดังนั้นการปรับใช้โปรแกรมบัญชีในการทำงานก็เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้การบันทึกบัญชีง่ายขึ้น และลดข้อผิดพลาดลงไปได้ บันทึกบัญชีง่าย ๆ ด้วยโปรแกรม PEAK Account PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่พร้อมเป็นตัวช่วยในการบันทึกบัญชี ด้วยฟีเจอร์สมุดบัญชีรายวัน ให้การบันทึกบัญชีง่ายยิ่งขึ้น และลดข้อผิดพลาด นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ การจัดการด้านเอกสารทั้งรายรับ รายจ่าย จัดการด้านการเงินและบัญชี การจัดการภาษี รวมไปถึงสต๊อกสินค้า เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำบัญชี เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเตรียมความพร้อมสู่การเติบโตของธุรกิจ

อ่านบทความเพิ่มเติม

การใช้โปรแกรม

ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งาน PEAK

อ่านบทความเพิ่มเติม

15 Oct 2025

PEAK Account

4 min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 15/10/2025

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✨ 1. รับชำระเงินจาก “ใบเสนอราคา” ได้โดยตรง ด้วยปุ่ม “ชำระเงิน” บนหน้าเอกสาร 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งาน API Payment Collection ที่อยากให้ลูกค้าชำระเงินได้สะดวก และประหยัดเวลาในการออกเอกสาร 🎯Highlight:  ระบบเปิดให้ผู้ใช้งานตั้งค่าการแสดงปุ่ม “ชำระเงิน” บนหน้าพิมพ์เอกสารได้ เมื่อเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มรับชำระเงินแล้ว โดยปุ่มจะปรากฏเฉพาะเมื่อใบเสนอราคาอยู่ในสถานะ “ยอมรับแล้ว” นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดการออกเอกสารต่ออัตโนมัติได้เอง เช่น ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถรับชำระเงิน ออกเอกสารได้สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น หมายเหตุ ยังไม่รองรับใบเสนอราคาที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ ✨ 2. เปิดให้แก้ไขการแสดงรายการประเภทเงินได้ในใบหัก ณ ที่จ่ายบนหน้าเอกสาร ได้ยืดหยุ่นกว่าเดิม 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานที่มีการออกเอกสารใบหัก ณ ที่จ่าย 🎯Highlight: ระบบเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถแก้ไขการแสดงรายการประเภทเงินได้ในใบหัก ณ ที่จ่ายได้โดยตรงช่วยให้ออกเอกสารได้ถูกต้องตามต้องการ  โดยสามารถกำหนดการแสดงผลคำอธิบายได้ 3 รูปแบบ นอกจากนี้ยังสามารถเลือกการแสดงยอดหัก ณ ที่จ่ายได้ 2.1 แยกตามประเภทเงินได้/อัตราภาษี หากมีประเภทเงินได้เดียวกัน แต่คนละอัตราภาษี ระบบจะแยกบรรทัดการแสดงผล 2.2 แยกตามประเภทเงินได้ หากมีประเภทเงินได้เหมือนกันแต่คนละคนอัตราภาษี ระบบจะทำการรวมเป็นบรรทัดเดียวกัน 2.3 รวมประเภทเงินได้ ระบบจะทำการรวมประเภทเงินได้ทั้งหมด และรวมยอดเงินทั้งหมดให้เป็นบรรทัดเดียวกัน ✨3. เปลี่ยนสถานะเอกสารได้พร้อมกันหลายรายการ ช่วยให้ทำงานรวดเร็วขึ้นในคลิกเดียว เหมาะสำหรับ: กิจการที่ต้องอนุมัติเอกสารจำนวนมาก Highlight: ระบบเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยนสถานะของเอกสารพร้อมกันได้ เช่น อนุมัติเอกสาร ไม่อนุมัติเอกสาร ไม่ว่าจะเป็นเอกสารรายรับ รายจ่าย สมุดรายวัน นอกจากนี้ยังสามารถคลิกขวาเพื่อเรียกคำสั่งได้ทันที  หมายเหตุ 

15 Oct 2025

PEAK Account

2 min

Update Function PEAK 15/10/2025

PEAK with the new function designed to enhance efficiency. ✨ 1. Receive payments directly from a “Quotation” using the “Make Payment” button on the document page 🧑‍💼 Suitable for: Users of API Payment Collection who want to make it easier for customers to pay and reduce document-handling time 🎯 Highlight: Users can now configure the display of the “Make Payment” button on the Online View page after connecting to a payment platform. The button appears only when the quotation is in the “Accepted” status You can also set automatic document generation after payment, such as: This makes it faster and easier to receive payments and issue documents seamlessly.📌 Note: Currently not supported for quotations in foreign currencies. ✨ 2. Edit income type display in Withholding Tax Certificate — now more flexible than ever 🧑‍💼Suitable for: Users who issue Withholding Tax Certificate 🎯Highlight: You can now edit the income type display directly on the Withholding Tax Certificate, allowing for more precise and customized document outputs. You can choose from 3 display options for the description: Additionally, you can choose how to display withholding amounts: 2.1 Separate by income tax type and tax rate – Separate by income tax type and tax rate 2.2 Separate by income tax type – Items with the same income tax type are combined into 1 line (up to 4 lines; excess items are grouped in line 4). 2.3 Combine all income tax types – All withholding tax items are combined into 1 line. ✨ 3. Change the status of multiple documents at once — speed up your workflow in one click 🧑‍💼 Suitable for: Businesses that handle a large number of document approvals🎯 Highlight: Users can now change the status of multiple documents simultaneously, such as approving or rejecting documents.This feature supports income, expense, and journal entries, and users can also right-click on a document list to access quick actions instantly. 📌 Note:

อ่านบทความเพิ่มเติม

ข่าวสาร

อัปเดตข่าวประชาสัมพันธ์ โปรโมชั่น และเรื่องต่างๆ ที่น่าสนใจ

อ่านบทความเพิ่มเติม

20 Aug 2025

PEAK Account

14 min

ระเบียบการแข่งขัน PEAK Digital Accounting Championship 2025

ไฟล์ระเบียบการแข่งขัน ประกาศอัปเดตระเบียบการแข่งขัน โครงการค้นหา “สุดยอดว่าที่นักบัญชี” แห่งยุคดิจิทัล ครั้งที่ 2 ประจำปี 2568วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 เวลา 08.00 – 17.00 น.ณ อาคารอาทิตย์ อุไรรัตน์ ชั้น 3 ห้อง 301 มหาวิทยาลัยรังสิต 1. วัตถุประสงค์ 1.1 เพื่อสร้างเวทีให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้แสดงความสามารถ และทดสอบความรู้การใช้งานโปรแกรมบัญชีออนไลน์1.2 เพื่อกระตุ้นให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ทบทวน และเพิ่มพูนความรู้ด้านการบัญชี1.3 ส่งเสริมการทํางานร่วมกันเป็นทีม และเสริมสร้างความสามัคคีให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา1.4 มอบโอกาสให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา เข้าร่วมกิจกรรมกับเพื่อนจากสถาบันอื่น 2. คุณสมบัติผู้เข้าแข่งขัน 2.1 ผู้เข้าแข่งขันต้องเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรือระดับปริญญาตรี โดยต้องมีสถานภาพเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ณ วันสมัครเข้าร่วมการแข่งขัน2.2 สมาชิกทีมละ 2 คน อายุไม่เกิน 25 ปี และศึกษาอยู่สถาบันเดียวกัน 3. ขอบเขตเนื้อหาการแข่งขัน 3.1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับบัญชี และภาษี3.2 การใช้งาน PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์3.3 การวิเคราะห์ และประยุกต์การใช้งาน PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ตามประเภทของธุรกิจ 4. การรับสมัคร 4.1 เปิดรับสมัครตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 25684.2 ทีมผู้เข้าแข่งขันสามารถสมัครผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ เท่านั้น4.3 ปิดรับสมัครการแข่งขันวันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2568 ภายในเวลา 23.59 น.4.4 ประกาศผลผู้มีสิทธิ์เข้าแข่งขันในรอบคัดเลือกในวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ.2568 ผ่านทางเว็บไซต์ อีเมลผู้เข้าแข่งขัน และเฟสบุ๊คแฟนเพจ PEAK – โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAKaccount.com4.5 ผู้เข้าแข่งขันสามารถทำแบบทดสอบรอบคัดเลือกได้โดยจะได้รับลิงก์เข้าสู่ระบบทดสอบ Flexiquiz ผ่านช่องทางอีเมล และจะสามารถเข้าทำแบบทดสอบได้ในวันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2568 โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 4.5.1 ผู้เข้าแข่งขันจะต้องทำแบบทดสอบผ่านระบบที่กำหนดเท่านั้น4.5.2 ผู้เข้าแข่งขันแต่ละทีมจะต้องทำแบบทดสอบภายในระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น4.5.3 แต่ละทีมสามารถทำแบบทดสอบได้เพียง 1 ครั้งเท่านั้น หากมีการส่งผลทดสอบ มากกว่า 1 ครั้ง ทางคณะกรรมการจะพิจารณาจากการส่งผลทดสอบครั้งแรกเท่านั้น 4.6 คณะกรรมการจะประกาศรายชื่อทีมที่ผ่านการคัดเลือกจํานวน 50 ทีม เพื่อแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ผ่านทางเว็บไซต์ อีเมลผู้เข้าแข่งขัน และเฟสบุ๊คแฟนเพจ PEAK – โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAKaccount.com ในวันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 25684.7 คณะกรรมการจะพิจารณาคัดเลือกทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศจากจำนวน 25 ทีมที่มีคะแนนรวมสูงสุดในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และ 25 ทีมที่มีคะแนนรวมสูงสุดในระดับปริญญาตรี รวมทั้งสิ้น 50 ทีม โดยไม่จำกัดจำนวนทีมต่อสถาบันการศึกษา ทั้งนี้ เพื่อให้การคัดเลือกเป็นไปตามหลักเกณฑ์เดียวกันและเปิดโอกาสให้ผู้เข้าแข่งขันจากทุกสถาบันสามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเท่าเทียหมายเหตุ: หากทีมใดไม่ปฏิบัติตามข้อกําหนดข้างต้น คณะกรรมการจัดการแข่งขันจะตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน ทั้งนี้คําตัดสินของคณะกรรมการจัดการแข่งขันถือเป็นที่สิ้นสุด 5. วัน เวลา และสถานที่จัดการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ทีมที่ได้รับคัดเลือกทั้ง 50 ทีม ต้องเข้าร่วมแข่งขันรอบชิงชนะเลิศวันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 เวลา 08.00 – 17.00 น. ณ อาคารอาทิตย์ อุไรรัตน์ ชั้น 3 ห้อง 301 มหาวิทยาลัยรังสิต 6. กำหนดการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ช่วงเช้า 08.00 – 09.00 น. ลงทะเบียนรายงานตัวเข้าแข่งขัน09.00 – 09.30 น. พิธีเปิด และประกาศระเบียบการแข่งขัน09.30 – 10.00 น. ผู้เข้าแข่งขันทุกทีมประจำที่นั่งสอบ10.00 – 10.30 น. สอบแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ส่วนที่ 110.30 – 10.40 น. พักเบรค 10 นาที10.40 – 11.00 น. ผู้เข้าแข่งขันทุกทีมประจำที่นั่งสอบ11.00 – 12.30 น. สอบแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ส่วนที่ 2 และ 3 ช่วงบ่าย 12.30 – 13.30 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน (ไม่มีบริการอาหารกลางวัน)13.30 – 16.30 น. กิจกรรมพิเศษ และแบ่งปันความรู้จากวิทยากร16.30 – 17.00 น. ประกาศผลการแข่งขัน พิธีมอบรางวัล และกล่าวปิดงาน หมายเหตุ : ไม่มีบริการอาหารกลางวันให้แก่ผู้เข้าแข่งขัน อาจารย์ที่ปรึกษา และผู้ติดตาม ผู้เข้าสอบต้องนั่งประจำที่สอบ ก่อนเวลาสอบ อย่างน้อย 10 นาที 7. รูปแบบและเกณฑ์การพิจารณาในการตัดสินผลการแข่งขัน การแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 รอบ ได้แก่ รอบคัดเลือก และรอบชิงชนะเลิศ โดยแต่ละรอบมีเกณฑ์ และรายละเอียด ดังนี้ 7.1  รอบคัดเลือก เป็นการตอบคําถามรูปแบบปรนัย และอัตนัยผ่านระบบออนไลน์ รวม 20 คะแนน โดยใช้ระยะเวลาในการสอบ 60 นาที โดยมีเกณฑ์การพิจารณารอบคัดเลือก ดังนี้ 7.2  รอบชิงชนะเลิศ รอบชิงชนะเลิศประกอบด้วยการสอบ 3 ส่วน ผลรวม 80 คะแนน โดยแต่ละส่วนมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ส่วนที่ 1 การวิเคราะห์โครงสร้างธุรกิจ (20 คะแนน)เป็นการตอบคําถามรูปแบบปรนัย และอัตนัยผ่านระบบออนไลน์ โดยใช้ระยะเวลาในการสอบ 30 นาทีเนื้อหาประกอบด้วย วิเคราะห์กิจกรรมหลักของธุรกิจจำลอง ความสัมพันธ์ของโครงสร้างทางการเงิน การสรุปประเด็นสำคัญ ส่วนที่ 2 การใช้งานโปรแกรม PEAK และเครื่องมืออื่นในงานบัญขี (40 คะแนน)เป็นการบันทึกบัญชีตามโจทย์ที่กําหนดให้ พร้อมนําข้อมูลทางบัญชีมาวิเคราะห์ และตอบคําถาม โดยใช้ระยะเวลาในการสอบ 60 นาทีเนื้อหาประกอบด้วย การบันทึกรายการบัญชีในระบบ PEAK การใช้เครื่องมือเพื่อช่วยในงานบัญชี เช่น AI, Excel การจัดทำรายงานสรุปข้อมูลบัญชี และภาษี ส่วนที่ 3 การวิเคราะห์ข้อมูล (20 คะแนน)เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจากการทําข้อสอบส่วนที่ 2 โดยใช้ระยะเวลาในการสอบ 60 นาทีเนื้อหาประกอบด้วย วิเคราะห์งบการเงิน และอัตราส่วนทางการเงิน วิเคราะห์แนวโน้มจากข้อมูลบัญชี เช่น รายได้เพิ่มขึ้น/ลดลง, ต้นทุนสูงผิดปกติ, ลูกหนี้เกินกำหนด ฯลฯ เสนอแนวทางแก้ไข หรือพัฒนาธุรกิจ การนำเสนอความคิดเห็นเข้าใจง่าย และตรงประเด็น 8. ข้อปฏิบัติในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ 8.1 ผู้เข้าแข่งขันต้องนําโน้ตบุ๊กมาจํานวน 1 เครื่อง ต่อ 1 ทีม โดยทางบริษัทจะจัดเตรียมปลั๊กชาร์จไฟสําหรับโน้ตบุ๊ก และ Wifi ให้แก่ผู้เข้าแข่งขัน8.2 ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต้องแต่งกายด้วยชุดนักเรียน นิสิต นักศึกษา ของสถาบัน8.3 ผู้เข้าแข่งขันทุกคนในทีมต้องรายงานตัวพร้อมกัน และแสดงบัตรประจําตัวนักเรียน นิสิต นักศึกษา หรือบัตรประชาชนต่อเจ้าหน้าที่ ภายในเวลาลงทะเบียน มิฉะนั้นจะถือว่าสละสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน8.4 ห้ามผู้เข้าแข่งขันนําเครื่องเขียน เครื่องมือสื่อสาร เครื่องคํานวณ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ รวมถึงนาฬิกา Smart Watch เข้าแข่งขัน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่จะมีการจัดเตรียมเครื่องเขียน และกระดาษทดให้แก่ผู้เข้าแข่งขัน8.5 ห้ามผู้เข้าแข่งขันยืมอุปกรณ์ใด ๆ จากผู้เข้าแข่งขันทีมอื่นขณะแข่งขัน8.6 ห้ามผู้เข้าแข่งขันกระทําการใด ๆ ที่ทุจริต หรือส่อเจตนาทุจริต8.7 ผู้เข้าแข่งขันที่มีอาการไข้ไอ เจ็บคอ หรือมีน้ำมูก หรือผลการตรวจ ATK เป็นบวก จะไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้ แต่สามารถแข่งขันด้วยจํานวนสมาชิกที่เหลือได้ หมายเหตุ : หากฝ่าฝืนข้อปฏิบัติในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ คณะกรรมการจัดการแข่งขันจะตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน ทั้งนี้คําตัดสินของคณะกรรมการจัดการแข่งขันถือเป็นที่สิ้นสุด 9. รางวัลการแข่งขัน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) รางวัลชนะเลิศ : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 15,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ 1 : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 8,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ 2 : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 5,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รางวัลชมเชย : เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 2,000 บาท จํานวน 2 รางวัล ระดับปริญญาตรี รางวัลชนะเลิศ : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 15,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ 1 : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 8,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ 2 : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 5,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รางวัลชมเชย : เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 2,000 บาท จํานวน 2 รางวัล ทั้งนี้สมาชิกของทีมที่เข้ารอบชิงชนะเลิศทั้ง 50 ทีม จะได้รับเกียรติบัตรโดย PEAK 10. ผู้รับผิดชอบโครงการ บริษัท พี ยู ยู เอ็น อินเทลลิเจนท์ จำกัด

4 Jul 2025

PEAK Account

5 min

สิทธิพิเศษลูกค้า PEAK เปิดเว็บกับ MakeWebEasy ลดสูงสุด 20%

สำหรับผู้ประกอบการและธุรกิจที่ใช้ PEAK อยู่แล้ว และกำลังมองหาช่องทางออนไลน์ในการเริ่มโปรโมทธุรกิจ หรือขยายธุรกิจบนออนไลน์ การสร้างเว็บไซต์ เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ยังคงมีประสิทธิภาพและสร้างความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจได้เป็นอย่างดี วันนี้ PEAK ได้ร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับ MakeWebEasy แพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปของไทย ที่ทำให้ทุกธุรกิจเติบโตบนออนไลน์มามากกว่า 9,000 ธุรกิจ ขอมอบโปรโมชั่นสุดคุ้มที่ออกแบบมาให้ธุรกิจของคุณสามารถขยายตลาดบนออนไลน์ได้แบบครบครัน เลือกได้เลยตามความต้องการของคุณเอง 3 โปรโมชันเด็ด เฉพาะ สิทธิพิเศษลูกค้า PEAK เท่านั้น! สิทธิพิเศษแรก รับส่วนลด 10% เมื่อซื้อแพ็กเกจเว็บไซต์ของ MakeWebEasy เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเริ่มต้นมีเว็บไซต์อย่างรวดเร็วด้วยเทมเพลตเว็บไซต์ที่เรามีให้ สร้างสรรค์เว็บไซต์ได้ด้วยตัวเอง พร้อมฟีเจอร์ที่ทุกธุรกิจต้องการ เช่น ระบบตะกร้าสินค้า ระบบบทความ รองรับโค้ดสำหรับการทำโฆษณาในทุกช่องทาง     อ่านรายละเอียดบริการ : www.makewebeasy.com/th/website-package  สิทธิพิเศษที่สอง รับส่วนลด 15% เมื่อซื้อแพ็กเกจเว็บไซต์ และบริการเสริมจาก MakeWebEasy เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการมากกว่าเว็บไซต์พื้นฐาน โดยคุณสามารถเลือกรับบริการเสริม 1 บริการ เพื่อเสริมประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น สำหรับผู้ที่ต้องการเว็บไซต์ที่มีดีไซน์เฉพาะตัว สวยงาม และใช้งานง่าย ทีมออกแบบมืออาชีพของ MakeWebEasy จะช่วยสร้างสรรค์เว็บไซต์ที่สะท้อนเอกลักษณ์ของแบรนด์คุณได้อย่างโดดเด่น ทำให้เว็บไซต์ของคุณดูน่าเชื่อถือและดึงดูดลูกค้ามากขึ้น อ่านรายละเอียดบริการ : www.makewebeasy.com/th/website-design  สำหรับผู้ที่ต้องการให้เว็บไซต์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นผ่านการทำการตลาด โดยโปรโมทเว็บไซต์ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น การทำ SEO (Search Engine Optimization) เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาบน Google หรือการทำโฆษณาออนไลน์อย่าง Google Ads เพื่อเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์อย่างรวดเร็วและสร้างยอดขายได้ทันที อ่านรายละเอียดบริการ SEO : www.makewebeasy.com/th/seo-suggestion  อ่านรายละเอียดบริการ Google : www.makewebeasy.com/th/google-adwords  สิทธิพิเศษที่สาม รับส่วนลด 20% เมื่อซื้อแพ็กเกจเว็บไซต์ บริการออกแบบเว็บไซต์ + การตลาดออนไลน์ จาก MakeWebEasy แพ็กเกจที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับธุรกิจที่ต้องการโซลูชั่นทางธุรกิจออนไลน์แบบครบวงจร  เริ่มตั้งแต่การมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง การออกแบบเว็บไซต์ที่เป็นเอกลักษณ์จากทีมดีไซน์เนอร์ ไปจนถึงการทำการตลาดออนไลน์ผ่านการวางโครงสร้างที่ถูกหลัก SEO และยิงโฆษณาให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักและสร้างยอดขายด้วย Google Ads  ________________________________ สิทธิพิเศษลูกค้า PEAK จาก MakeWebEasy หากคุณกำลังจะสร้างเว็บไซต์ใหม่ เวลานี้คุ้มที่สุด เพราะเราพร้อมมอบสิทธิพิเศษในการใช้บริการเว็บไซต์ของ MakeWebEasy ในราคาที่พิเศษกว่าใคร วันนี้ – 31 สิงหาคม 2568 เท่านั้น สนใจลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ที่  ________________________________ สอบถามรายละเอียดบริการสร้างเว็บไซต์กับ MakeWebEasy Facebook Page : www.facebook.com/makewebeasy  Add Line : 40xsm5339b  Call : 022177999 

อ่านบทความเพิ่มเติม