ความรู้ธุรกิจ

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

23 ส.ค. 2024

จักรพงษ์

6 min

เอกสารบัญชีและภาษี ต้องเก็บไว้กี่ปีถึงจะทำลายทิ้งได้

การจัดการเอกสารบัญชีและภาษีอย่างถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือใหญ่ การเก็บเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเงินและภาษีไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่ยังเป็นข้อกำหนดทางกฎหมายที่สำคัญด้วย เอกสารบัญชีและภาษี ต้องเก็บไว้กี่ปี สิ่งที่นักบัญชีหรือผู้ประกอบการต้องสงสัยเป็นแน่ว่าเหล่าเอกสารบัญชีต่างๆ ที่ได้รับมา หรือที่จัดทำระหว่างปี พอเราปิดงบการเงินเสร็จแล้ว จะทิ้งได้เลยไหม? หรือต้องเก็บต่อไปอีกกี่ปี? จะได้ไม่มีปัญหากับสรรพากร หน่วยงานอื่นๆ ในภายหลัง วันนี้ผมจะพาทุกคนมาดูกันว่าในประเทศเรามีข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดเก็บเอกสารไว้อย่างไรครับ ก่อนที่เราจะไปอ้างอิงตัวกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ผมอยากขออธิบายเป็นภาษาที่ง่ายๆ คือ เราต้องเก็บเอกสารทางบัญชีไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่บางหน่วยงานก็มีอำนาจสั่งขยายระยะเวลาในการจัดเก็บเอกสารได้ ทำให้เรามีหน้าที่ในการจัดเก็บเอกสารที่นานขึ้น ตัวกฎหมายที่ให้อำนาจนั้นมีอะไรบ้าง มาดูกันต่อครับ เริ่มแรกจากพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 มาตรา 14 ได้กำหนดให้ผู้ประกอบการต้องเก็บบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไม่น้อยกว่า 5 ปีนับแต่วันปิดบัญชี แต่อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าสามารถสั่งขยายระยะเวลาให้เกิน 5 ปีแต่ต้องไม่เกิน 7 ปีได้ ตัวถัดมาคือการเก็บเอกสารภาษี ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 87/3 ที่กำหนดเอกสาร 5 ประเภท ได้แก่  1.ต้นฉบับใบกำกับภาษีซื้อ 2.สำเนาใบกำกับภาษีขาย 3.รายงานภาษีซื้อ 4.รายงานภาษีขาย5.รายงานสินค้าและวัตถุดิบ ต้องเก็บรักษาไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปีนับแต่วันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือวันทำรายงานแล้วแต่กรณี แต่อธิบดีกรมสรรพากรสามารถสั่งขยายระยะเวลาให้เกิน 5 ปีแต่ต้องไม่เกิน 7 ปีได้ PEAK ขอเล่า : และตัวสุดท้าย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30-31 จะถูกนำมาใช้เมื่อกฎหมายใดๆ ให้สิทธิเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเรียกตรวจเอกสาร แต่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ จะให้มีอายุความสูงถึง 10 ปี เท่ากับว่าผู้ประกอบการมีสิทธิโดนเรียกตรวจเอกสารย้อนหลังได้สูงถึง 10 ปีเลยครับ ตัวอย่างเช่น อายุความการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะไม่ได้มีบัญญัติไว้โดยเฉพาะในประมวลรัษฎากร หรือกรณีที่บุคคลธรรมดามีเงินได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีแต่ไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภายในกำหนดเวลา เจ้าพนักงานจึงออกหมายเรียกแต่ก็ไม่ได้มีบัญญัติไว้โดยเฉพาะในประมวลรัษฎากรเช่นกัน เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจออกหมายเรียกและประเมินภาษีได้ภายในอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/31 สรุปแล้ว ทั้งกฎหมายบัญชีและภาษีพูดตรงกันคือให้ผู้ประกอบการจัดเก็บบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีและภาษีไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่ก็สามารถขยายระยะเวลาเป็น 7 ปีได้ แต่ถ้ากฎหมายใดไม่ได้มีการกำหนดระยะเวลาจัดเก็บเอกสารหรืออายุความการประเมินภาษีไว้ ก็ยังมีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กำหนดอายุความสูงถึง 10 ปี ดังนั้นการเก็บเอกสารทางบัญชีและภาษีแบบระมัดระวังที่สุดก็ควรจัดเก็บที่ 10 ปีครับ หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว หากคุณต้องการสอบถามเพิ่มเติม หรืออยากได้คนที่ช่วยให้คำปรึกษาในเรื่องการจัดเก็บเอกสาร ที่ PEAK เรามีพันธมิตรสำนักงานบัญชีมากกว่า 1,200 แห่งทั่วประเทศ พร้อมช่วยดูแลคุณ สนใจ คลิก

16 ส.ค. 2024

PEAK Account

13 min

“บัญชีทำให้ตรง ลดความงงในการบริหาร” (ตอนที่2)

ใน Ep นี้เป็นภาคต่อจากครั้งที่แล้วในหัวข้อ “บัญชีทำให้ตรง ลดความงงในการบริหาร” เดิมเราพูดถึงเรื่องพื้นฐานที่ผู้ประกอบการต้องรู้เรื่องแรก คือ เรื่อง “ผลประกอบการ” ซึ่งประกอบไปด้วย “รายได้” “ค่าใช้จ่าย” และ “กำไร” ว่าคืออะไรและสำคัญอย่างไร ก่อนจะเริ่มเรื่องถัดไป เพื่อเป็นการทบทวน ผมขอสรุปอีกครั้งว่า 2 เรื่องที่ผู้ประกอบการต้องรู้มีอะไรกันบ้างครับ 2 เรื่องพื้นฐานที่ผู้ประกอบการต้องรู้ เรื่องที่ 1 ผลประกอบการ เรื่องที่ 2 เงินสดและกระแสเงินสด ตอนที่ 2 : บริหารเงินสดและกระแสเงินสดอย่างไรให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน “82% ของธุรกิจเจ๊งเพราะเรื่องเงิน!” นี้เป็นงานวิจัยที่ U.S. Bank เคยทำขึ้น โดยสาเหตุอาจมาจากการละเลยเรื่องเงิน หรือการบริหารเงินได้ไม่ดีพอ จากประสบการณ์ ผมพบว่าผู้ประกอบการหลายรายประเมินค่าการบริหารเงินต่ำเกินไป ชอบคิดว่าเรื่องเงินเป็นเรื่องง่าย เช่น “ขายของได้รับเงิน เอาเงินที่รับมาไปซื้อของมาขายต่อ แค่นั้นเอง”  ถ้าในโลกแห่งความเป็นจริงเงินที่เราได้รับมาในแต่ละวันมันมากกว่าเงินสดจ่ายเสมอ ประโยคข้างบนคงเป็นเรื่องจริง สิ่งที่ตลกร้ายคือ ความจริงมันตรงกันข้าม มีหลายเหตุการณ์ที่เข้ามาทำให้เงินสดบางครั้งไม่เพียงพอต่อการจ่าย และที่สำคัญเคยเกิดขึ้นกับธุรกิจที่มีรายได้ และกำไรก็ดีมาแล้ว ทำไมจึงเป็นแบบนั้นได้ สาเหตุเบื้องหลังคืออะไร มาดูกันต่อครับ ทำไมเงินสดมีปัญหา? ท่านผู้อ่านเคยเจอสถานการณ์ที่ เราต้องขายของเป็นเงินเชื่อ แต่ซื้อของต้องจ่ายเป็นเงินสด หรือขายของเป็นเงินเชื่อ แต่เก็บหนี้ไม่ได้ หรือขายของได้ แต่รายจ่ายมีเยอะกว่า ไหมครับ? บางคนอาจแย้งว่าก็ขายของเป็นเงินสดสิ จะให้ติดหนี้ทำไม บางธุรกิจถ้าไม่ขายเชื่อ ลูกค้าก็จะหนีไปซื้อคนอื่นครับ จะรอแต่แต่ขายเป็นเงินสดธุรกิจคงไม่รอด บางคนแย้งว่าลูกหนี้ไม่จ่ายเงิน ก็ไปตามทวงสิ คุณเคยได้ยินคำว่า “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” ไหมครับ? แหละครับคำตอบ วิธีวัดว่าเงินสดกำลังจะมีปัญหาหรือไม่? แม้เราจะพยายามแก้ปัญหาต่างๆ ให้ดีขึ้น แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงปัญหาได้ตลอด ผู้ประกอบการเองต้องตรวจสอบสถานะการเงินของตัวเองอยู่เสมอว่าคล่องตัวหรือมีความเสี่ยงอยู่หรือไม่ ตามวิธีดังนี้ 1. เงินสดและเงินฝากธนาคาร ทั้งเงินสดและเงินฝากธนาคารเป็นจุดเริ่มต้นที่จะเอาไปใช้คำนวณสถานะทางการเงิน ดังนั้นเราต้องมีข้อมูลทางการเงินที่ถูกต้องและครบถ้วน แต่ปัญหาที่เจอคือ กิจการหลายแห่งไม่ได้บันทึกบัญชีอย่างถูกต้อง ใช้เงินส่วนตัวปนกับเงินกิจการทำให้เงินสดไม่ตรงกับความเป็นจริง จึงยากมากที่จะคำนวณได้ว่าเงินสดเงินฝากธนาคารที่มีอยู่เพียงพอการใช้จ่ายในธุรกิจหรือไม่ ดังนั้นสิ่งที่เราควรทำอันดันแรก คือ แยกเงินส่วนตัวกับเงินกิจการออกจากกัน บันทึกบัญชีให้ถูกต้อง ตรวจสอบเงินที่มีอยู่จริงกับเงินที่บันทึกบัญชี แล้วดูว่าตอนนี้มีเงินสดคงเหลือในกิจการกี่บาท เพียงพอจะจ่ายค่าใช้จ่ายในวันพรุ่งนี้ สัปดาห์หน้า หรือในเดือนหน้าหรือไม่ 2. กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (OCF) ใครที่ยังไม่รู้จักคำว่า “กระแสเงินสด” ให้เราจินตนาการว่า “เงินสด” คือเงินที่คงเหลือในกระเป๋า แต่ “กระแสเงินสด” คือ การไหลเข้าของเงินที่รับและการไหลออกของเงินที่จ่ายออกไป กระแสเงินสด จะบอกเราได้ว่าในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น ใน 1 ปี เรารับเงินหรือจ่ายเงินมากกว่ากัน แต่จะไม่ได้บอกว่าเงินสดคงเหลือเท่าไหร่ คนที่เคยอ่านงบกระแสเงินสด จะพบว่างบกระแสเงินสดจะแสดงการไหลเวียนของเงินเป็น 3 ส่วน ดังนี้ แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดคือ “กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน” เพราะการไหลเวียนของเงินสดจากการทำธุรกิจ ไม่รวมการลงทุนและจัดหาเงิน โดยถ้าเงินรับมากกว่าเงินจ่าย แบบนี้ดี แต่ถ้าเงินจ่ายมากกว่าเงินรับบ่อยๆ แสดงว่าเราเก็บเงินจากลูกหนี้หรือขายของไม่ค่อยได้ แต่รายจ่ายมีทุกวัน แบบนี้จะเสี่ยงมาก เพราะสุดท้ายธุรกิจหาเงินมาจ่ายไม่ทัน 3. กระแสเงินสดสุทธิ (Net Cash Flow) แค่อ่านชื่อหัวข้อก็ยากแล้ว แต่จริงๆ “กระแสเงินสดสุทธิ” มันคือจับกระแสเงินสดทั้ง 3 ส่วนในงบกระแสเงินสดมารวม แล้วสรุปว่าในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น ใน 1 ปี กิจการมีเงินสดรับหรือเงินจ่ายมากกว่ากัน ในเมื่อดู “กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน” แล้ว ทำไมยังต้องดู “กระแสเงินสดสุทธิ” อีก? เพราะมีบางกรณีที่ธุรกิจขายสินค้าดีมาก เก็บเงินได้ดี แต่ดันเอาเงินไปลงทุนมากกว่าเงินที่จากการดำเนินงาน จนธุรกิจสะดุด ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ว่า “ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่ยังเจ๊งอยู่ดี” สรุปเราต้องให้ความสำคัญกับ “กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน” แต่ก็อย่าละเลยดูภาพรวมของกระแสเงินสดผ่าน “กระแสเงินสดสุทธิ” ด้วยครับ PEAK ขอเล่า : 4. ระยะเวลาจนกว่าเงินจะหมด (Runway) Runway พอแปลเป็นไทยนี้ดูแปลกมากเลยครับ การคำนวณนี้จะเหมาะกับกิจการที่รายจ่ายมากกว่ารายรับ และไม่รู้รายรับจะครอบคลุมรายจ่ายเมื่อไหร่ สิ่งที่เราต้องกังวลคือเงินจ่ายออกทุกวัน แต่เงินสดคงเหลือที่มีอยู่จะเพียงพอได้อีกกี่วันก่อนเงินจะหมด  การคำนวณง่ายมากเลยครับ ตัวอย่าง เช่น เงินสดคงเหลือตอนนี้มี 100,000 บาท รายได้ต่อเดือน 20,000 บาท รายจ่ายต่อเดือน 30,000 บาท คุณจะเห็นว่ารายจ่ายมากว่ารายรับ 10,000 บาทต่อเดือน Runway = เงินสดคงเหลือ / รายจ่ายส่วนเกิน จากตัวอย่าง Runway = เงินสด 100,000 / รายจ่ายส่วนเกิน 10,000 = 10 แปลว่าถ้ารายจ่ายยังมากกว่ารายรับในอัตราเท่าเดิม เงินที่เหลืออยู่ใช้ได้แค่อีก 10 เดือนเท่านั้น ถ้าหาเงินจากที่อื่นมาหมุนไม่ได้ เท่ากับธุรกิจต้องปิด ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้เลย คือ ลองดูเงินคงเหลือทั้งเงินสดและเงินฝาก และดูว่าแต่ละเดือนเฉลี่ยแล้วเราจ่ายมากกว่ารับกี่บาท ลองคำนวณดูครับ แต่ผมเชื่อว่าธุรกิจของผู้อ่านคงมีเงินเข้ามากกว่าเงินจ่ายอยู่แล้วล่ะครับ PEAK ขอเล่า : ทำไมการบริหารเงินสดและกระแสเงินสดถึงสำคัญ การบริหารเงินสด เป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่ยังไม่เกราะป้องกันทางการเงินที่ไม่แข็งแรง ทั้งในเรื่องความเข้าใจในการบริหารเงินสด รวมถึงการเข้าแหล่งเงินทุนได้ยากกว่าบริษัทใหญ่ๆ ดังนั้นควรเข้าใจในการบริหารเงินสด และการติดตามจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ถ้าในสถานะที่เงินคล่องก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเงินเริ่มฝืด แล้วเรารู้ตัวทันว่ากำลังจะมีปัญหา เราจะหาทางออกได้เร็วขึ้น เช่น เตรียมหาแหล่งเงินทุนล่วงหน้า บริหารจัดการค่าใช้จ่าย ซึ่งคงจะเป็นเรื่องเลวร้ายมากๆ ถ้าไปรู้ตัวอีกทีตอนเงินหมดแล้วครับ และแม้กิจการจะทำกำไรได้มากมายแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีเงินสดมาหมุนเวียนเพื่อซื้อสินค้าหรือจ่ายเจ้าหนี้ก็จะทำให้กิจการขาดสภาพคล่อง หรือร้ายแรงที่สุดอาจโดนเจ้าหนี้ฟ้องร้องและปิดกิจการได้เลยครับ สำหรับ Ep ถัดไป ผมจะพาทุกท่านไปค้นหาคำตอบว่า เมื่อเรารู้แล้วว่ากิจการกำลังจะมีปัญหาด้านเงินสด แล้วปัญหาหาในอยู่ในส่วนไหนของกิจการ เราจะพบคำตอบนี้ได้จากสิ่งที่เรียกว่า วงจรเงินสด หรือ Cash Cycle  โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @systemseedwebs-comสอบถามเพิ่มเติม คลิก

15 ส.ค. 2024

PEAK Account

12 min

บัญชีทำให้ตรง ลดความงงในการบริหาร (ตอนที่ 1)

การบริหารธุรกิจให้มีระบบและประสิทธิภาพนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในส่วนของการจัดการบัญชีที่ต้องตรงไปตรงมา บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจพื้นฐานของการจัดการบัญชี เพื่อช่วยในการบริหารธุรกิจอย่างเป็นระบบ และลดความสับสนในการบริหาร สำหรับ Ep นี้ ผมจะผู้อ่านทุกท่านไปลงลึกในเรื่องของการใช้ข้อมูลบัญชีและทำความเข้าใจผลประกอบการจากการอ่านงบกำไรขาดทุน เพื่อบริหารกิจการให้มีระบบ มาติดตามกันต่อได้เลยครับ พอพูดถึงเรื่องของ “การบริหาร” เอย “ระบบบัญชี” เอย หลายคิดจะคิดว่ามันต้องเป็นเรื่องยาก หรือซับซ้อน ละก็ไม่อยากจะไปแตะมันแน่ๆ แต่! สิ่งที่เราจะมาพูดในบทความนี้ เราจะไม่ได้ลงลึกในเรื่องที่ซับซ้อนเกินไป แต่ผมเห็นว่าเป็นสิ่งพื้นฐานที่จะผู้ประกอบการทุกคนจะต้องรู้ ถ้าไม่รู้ก็อาจจะตามหลังคนอื่น และจะพลาดสิ่งดีๆไปครับ เรื่องพื้นฐานที่ผู้ประกอบการต้องรู้ เรื่องที่จะพูดถึงต่อไปนี้ เป็นพื้นฐานและเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องเข้าใจ เพราะธุรกิจจะอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืนได้นั้น สิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีครับ ประกอบด้วย เรื่องที่ 1 ผลประกอบการ เรื่องที่ 2 เงินสดและกระแสเงินสด ตอนที่ 1 ทำความเข้าใจ “ผลประกอบการ” ช่วยบริหารธุรกิจได้ตรงจุด มาเริ่มกันเลยในเรื่องที่ 1  “ผลประกอบการ” ถ้ามองง่ายๆ ก็คือบทสรุปจากการทำธุรกิจในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น ผลประกอบการใน 1 ปีที่ผ่านมา รายได้เป็นไง ค่าใช้จ่ายเยอะไหม กำไรไหม หรือขาดทุน บางคนอาจจะเรียกมันว่ารายรับ รายจ่ายด้วยซ้ำโดยปกติมันจะแสดงบนงบกำไรขาดทุนประจำปีของบริษัทอยู่แล้ว แต่ถ้าใครเคยอ่านจะเห็นว่ามันมีข้อความหลายบรรทัดเลย แต่บรรทัดที่ผู้ประกอบต้องอ่านเป็นมีดังนี้ 1. รายได้ (Revenue) รายรับก่อนหักรายจ่าย เช่น ถ้าธุรกิจขายสินค้า ก็เป็นรายได้จากการขายสินค้าที่ยังไม่ได้หักต้นทุนสินค้า และถ้าธุรกิจให้บริการ ก็เป็นรายได้จากการให้บริการที่ยังไม่ได้หักค่าวัสดุ อุปกรณ์ หรือค่าแรง เป็นต้น การรับรู้รายได้ทำให้เราทราบว่าใน 1 ปีที่ผ่านมา เราขายสินค้าหรือให้บริการได้มากหรือน้อยแค่ไหน บางคนเอารายได้ที่เกิดขึ้นจริง (actual) เทียบกับรายได้ที่ตั้งเป้าหมาย (budget) ไว้ เพื่อดูว่าทำยอดขายได้ตามเป้าไหม หรือบางคนก่อนทำธุรกิจคิดว่าต้องรุ่ง ต้องขายดีแน่ๆ พอมาขายจริง เห็นตัวเลขจริง ทำให้รู้ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด หรือเอารายได้แต่ละปีมาเทียบกันเพื่อดูอัตราการเติบโต (growth rate) ว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้เช่นกัน รายได้เป็นจุดแรกที่เราต้องให้ความสนใจมากๆ เพราะธุรกิจจะไปต่อได้หรือไม่ ก็ต้องดูว่าผู้ประกอบการสามารถหาอาหาร(รายได้)ที่ทำให้กิจการอยู่รอดนั้นเพียงพอหรือไม่ 2. ค่าใช้จ่ายหลัก (Expense) ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนสินค้า เงินเดือนค่าจ้าง ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ หรือค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดเล็กๆน้อยๆ ถ้าเราไปโฟกัสทุกรายจ่าย คุณคงเป็นลมไปก่อน แต่โชคดีที่ยังมีเทคนิคนำมาช่วยได้ ก็คือ เราต้องให้ความสนใจเฉพาะต้นทุนสินค้าและบริการ ซึ่งแต่ละธุรกิจอาจจะมีต้นทุนที่แตกต่างกันไป เช่น ธุรกิจขายเครื่องสำอางต้นทุนอาจจะเป็น ค่าผลิตสินค้า หรือธุรกิจให้บริการ เช่น โรงแรม ต้นทุนอาจจะเป็นค่าจ้างพนักงานให้บริการ 3. กำไรขั้นต้น (Gross Profit) “กำไรขั้นต้น” คืออะไร? ถ้าพูดว่า “กำไร” เฉยๆ คนก็จะเข้าใจว่าอ๋อ กำไร = รายรับ หัก รายจ่าย ไง แต่พอมีคำว่า “ขั้นต้น” หลายคงสับสนว่ามันคือตัวเดียวกันหรือป่าว สรุป กำไรขั้นต้น คือ รายได้ หัก ต้นทุนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับรายได้ เช่น ธุรกิจขายสินค้าได้เงิน 1,000 บาท ต้นทุนสินค้า 400 บาท ค่าจ้างพนักงานขายวันละ 300 บาท ดังนั้นกำไรขั้นต้นเท่ากับ 600 บาท (รายได้ 100 บาท หัก ต้นทุนค่าสินค้า 400 บาท) ค่าจ้างพนักงานขายถือว่าเป็นต้นทุนทางอ้อมเลยไม่นำมาคิดในกำไรขั้นต้น สิ่งที่กำไรขั้นต้นบอกเรา คือ เวลาขายสินค้า 1 ชิ้นจะได้กำไรกี่บาท จากตัวอย่างจะจะเห็นว่าถ้าขาย 1 ชิ้นได้กำไรขั้นต้น 600 บาท ถ้าอยากได้กำไรมาก ก็ต้องขายให้ได้หลายๆชิ้น โดยไม่ได้คำนึงว่าจะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เท่าไหร่ ทำไมยังไม่ต้องคำนึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าจ้างคนขาย ส่วนตัวมองว่า กำไรขั้นต้น มีแนวคิดคือ หนึ่ง ของที่นำมาขาย 1 ชิ้นต้องได้กำไรก่อน เช่น ขายของ 1,000 บาท แต่ต้นทุนสินค้า 1,200 บาท แบบนี้ก็ไม่ต้องไปสนใจค่าใช้จ่ายอื่นแล้ว ยังไงก็เจ๊ง 100% สอง ถ้าขายของแล้วยังมีกำไรขั้นต้น แต่ค่าใช้จ่ายอื่นเยอะก็ไม่เป็นปัญหา เพราะเราสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายทางอ้อมอื่นๆ ให้ลดลงได้ทีหลัง  ดังนั้นกำไรขั้นต้น เป็นจุดที่สำคัญมาก เพราะผู้ประกอบการบางคนไม่เคยรู้ว่าต้นทุนสินค้ามากกว่าราคาขายที่ตั้งไว้ ทำให้เงินสดขาดมือ สอดคล้องกับวลีที่ว่า “ยิ่งขาย เท่ากับ ยิ่งเจ๊ง” ทำไมต้องสนใจค่าใช้จ่ายหลัก? เพราะมันมีจำนวนมูลค่าที่สูงและส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ถ้าเราไม่สนใจหรือไม่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายเหล่านี้ วันหนึ่งมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และสูงกว่ารายได้จนธุรกิจขาดทุนการควบคุมค่าใช้จ่าย สามารถทำได้หลายวิธี แล้วแต่ลักษณะประเภทธุรกิจ เช่น ธุรกิจขายสินค้า ถ้าเรารู้ว่าสินค้าไหนขายดี ขายได้เยอะ เราสามารถเจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์เพื่อซื้อสินค้าล็อตใหญ่แต่ราคาต่อชิ้นถูกขึ้นได้ แม้แต่ค่าแรงงานที่เราสามารถหาเทคโนโลยีมาช่วยให้ลดการจ้างแรงงานคนได้ เป็นต้น 4. กำไรสุทธิ (Net Profit) แล้วก็มาถึงตัวสุดท้าย ตัวทีเด็ดของผลประกอบการเลย คือ “กำไรสุทธิ” เราสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ เลย สูตรคือ กำไรสุทธิ = รายได้ – รายจ่ายทั้งหมดของธุรกิจ ถ้ารายได้มากกว่ารายจ่าย แปลว่าธุรกิจในปียังไปได้ดี สามารถทำกำไรได้ แปลว่ายิ่งขายยิ่งได้กำไร แต่ถ้ารายได้น้อยกว่ารายจ่าย จนเกิด “ขาดทุนสุทธิ” อันนี้ต้องดูสาเหตุแล้วครับว่าเกิดอะไร เช่น รายได้น้อยกว่าทุกปี หรือมีรายจ่ายบางตัวสูงขึ้นมากๆในปีนี้ เป็นต้น นั่นแปลว่าถ้าธุรกิจมีกำไร ไม่ว่าจะมากหรือน้อยเราก็ยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปเรื่อยๆ แต่ถ้าธุรกิจขาดทุนอาจเริ่มเห็นสัญญาณที่ธุรกิจกำลังเผชิญปัญหาอะไรบางอย่าง ซึ่งถ้าไม่รีบแก้ อาจจะเจ๊งจริงๆก็ได้ครับ อย่างน้อยๆ ผู้ประกอบการมือใหม่ หรือคนที่ไม่เคยเข้าใจตัวเลขเลย ก็จะได้รู้ว่าสิ่งที่ควรรู้และเข้าใจคือเรื่องของผลประกอบการ เพราะค่อนข้างตรงตัว และจับต้องได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็น รายได้ (Revenue) กำไรขั้นต้น (Gross Profit) ค่าใช้จ่ายหลัก (Expense) หรือกำไรสุทธิ (Net Profit) การดูตัวเลขและวิเคราะห์ผลอย่างถูกต้องได้นั้น ตัวเลขเหล่านี้ต้องได้รับความใส่ใจก่อน คือ บันทึกบัญชีอย่างถูกต้อง ครบถ้วน ทันเวลา เราจึงจะสามารถนำข้อมูลไปตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ลองจินตนาการว่าถ้าบันทึกบัญชีผิดๆ ถูกๆ ข้อมูลที่เราเห็นคงเอาไปทำประโยชน์อะไรไม่ได้เลยครับเอาล่ะ! นี่แค่เรื่องแรกนะครับ ใน Ep ถัดไป เราจะยังอยู่กับหัวข้อเดิม แต่จะไปดูในเรื่องที่เหลืออยู่อีก 4 เรื่อง แอบบอกก่อนเลยว่า เรื่องที่ 2 เงินสดและกระแสเงินสด นี้สำคัญสุดๆ เลยครับ เพราะ SMEs หลายรายเจ๊งก็เพราะบริหารเงินสดไม่เป็นนี้แหละครับ   และสำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน Ep. 1 สามารถอ่านได้ที่ “รายจ่ายทางบัญชี” ไม่เท่ากับ “รายจ่ายทางภาษี” เข้าใจความต่าง ช่วยกิจการประหยัดภาษีได้ โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @systemseedwebs-comสอบถามเพิ่มเติม คลิก

26 มิ.ย. 2024

PEAK Account

14 min

เจ้าของกิจการอยากเปลี่ยนสำนักงานบัญชี ต้องเตรียมตัวอย่างไร

ในยุคที่ธุรกิจแข่งขันสูง การบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นหัวใจสำคัญหนึ่งในนั้นคือ การมีระบบบัญชีที่รัดกุมและถูกต้อง ซึ่งสำนักงานบัญชีมีบทบาทสำคัญในการดูแลงานบัญชีให้กับธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลหลายประการ บางครั้งธุรกิจอาจมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนสำนักงานบัญชีใหม่ การเปลี่ยนสำนักงานบัญชี เปรียบเสมือนการเริ่มต้นใหม่กับพันธมิตรทางธุรกิจคนสำคัญ เจ้าของกิจการจึงควรเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อให้กระบวนการเปลี่ยนผ่านราบรื่นและส่งผลกระทบต่อธุรกิจน้อยที่สุด ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนสำนักงานบัญชี สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจคือ เมื่อไหร่ที่ควรเปลี่ยนสำนักงานบัญชี การตัดสินใจเปลี่ยนสำนักงานบัญชีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำงานกับบริษัทเดียวกันมาเป็นเวลานาน แต่หากคุณประสบปัญหาเหล่านี้ แสดงว่าถึงเวลาแล้วที่ควรพิจารณาหาสำนักงานบัญชีใหม่ 1. สำนักงานบัญชีเดิมมีขนาดเล็กเกินไป เมื่อธุรกิจของคุณเติบโตขึ้น ความต้องการด้านบัญชีก็ย่อมซับซ้อนมากขึ้น สำนักงานบัญชีขนาดเล็กอาจมักมีพนักงานจำนวนน้อย กำลังคนไม่พอหรือบริการที่ไม่ครอบคลุม ทำให้ไม่สามารถรองรับการขยับขยายของกิจการเราได้   2. ปัญหาการสื่อสารและการทำงานร่วมกัน การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับสำนักงานบัญชี หากคุณมีปัญหาในการสื่อสารกับสำนักงานบัญชีของคุณ อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและปัญหาอื่นๆ คุณควรได้รับคำตอบจากสำนักงานบัญชีของคุณอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ หากคุณต้องรอเป็นเวลานานเพื่อรับคำตอบ แสดงว่าพวกเขาอาจไม่ให้ความสำคัญกับธุรกิจของคุณ บางทีบริษัทหรือกิจการก็มีระบบการออกเอกสาร หรือระบบการทำงานเป็นของตัวเอง ถ้าสำนักงานบัญชีไม่สามารถใช้โปรแกรมร่วมกับเจ้าของกิจการได้ เช่น ถ้ากิจการทำงานแบบออนไลน์ทั้งหมด แต่ว่าสำนักงานบัญชียังทำงานแบบออฟไลน์ เจ้าของกิจการเข้าถึงข้อมูลยากก็อาจเป็นเหตุผลให้เจ้าของกิจการหันไปหาทางเลือกใหม่ๆ ที่ทำงานด้วยกันง่ายขึ้น 3. ต้องการลดค่าใช้จ่าย สำนักงานบัญชีมีราคาแตกต่างกันไป บางสำนักงานบัญชีคิดค่าธรรมเนียมแบบเหมาจ่าย ในขณะที่บางแห่งคิดค่าธรรมเนียมตามเวลา หากคิดว่าราคาที่จ่ายให้สำนักงานบัญชีต่อเดือนแพงเกินไป  เจ้าของกิจการอาจต้องตัดสินใจเปลี่ยนสำนักงานบัญชีเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย  4. ไม่ได้รับคำปรึกษาและคำแนะนำที่เพียงพอ สำนักงานบัญชีที่ดีจะช่วยคุณวางแผนภาษีเพื่อลดภาระภาษีของกิจการ พร้อมให้คำปรึกษาและคำแนะนำที่มีประโยชน์ให้แก่กิจการ ในทางกลับกันหากสำนักงานบัญชีไม่สามารถช่วยเหลือ หรือให้คำปรึกษาต่างๆ ทางบัญชีและภาษีได้ เจ้าของกิจการก็อาจมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปใช้บริการจากสำนักงานบัญชีใหม่ หลังจากตัดสินใจที่จะเปลี่ยนสำนักงานบัญชีแล้ว หลายๆคนอาจเกิดคำถามว่า ควรเปลี่ยนสำนักงานบัญชีช่วงไหนดี สามารถเปลี่ยนทันทีเลยได้ไหม หากมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนสำนักงานบัญชีทันที สามารถทำได้แต่อาจจะต้องจ่ายค่าทำบัญชีซ้ำซ้อน เพราะสำนักงานบัญชีใหม่จะต้องเริ่มต้นทำใหม่ตั้งแต่ต้นปีจนถึงข้อมูลที่กิจการมีล่าสุด อีกทั้งการเปลี่ยนสำนักงานบัญชีทันที ในบางกรณีอาจต้องเสียค่าปรับการยกเลิกสัญญากับสำนักงานบัญชีที่เดิม การรอจนจบรอบบัญชีก่อนค่อยเปลี่ยนสำนักงานบัญชีอาจดูเป็นทางเลือกที่สะดวกกว่า เพื่อความต่อเนื่องของงานบัญชี แต่ก็ยังมีสิ่งที่น่ากังวลคือ  ในกรณีที่สำนักงานบัญชีเดิมไม่รับผิดชอบงาน ซึ่งทำให้กิจการได้ข้อมูลจากการบันทึกบัญชีที่ไม่ถูกต้อง หรืออาจเกิดภาระค่าปรับภาษีหรือค่าปรับอื่นๆตามมาได้ ดังนั้นเจ้าของกิจการจะต้องคำนึงว่าหากยังใช้สำนักงานบัญชีเดิมอยู่ไปจนจบรอบบัญชี จะทำให้ก่อความเสียหายมากกว่าหรือไม่ เจ้าของกิจการอยากเปลี่ยนสำนักงานบัญชี ต้องเตรียมตัวอย่างไร 1.ติดต่อสำนักงานบัญชีใหม่ การเปลี่ยนสำนักงานบัญชีนั้น เจ้าของกิจการควรเริ่มต้นด้วยการสรรหาและติดต่อสำนักงานบัญชีที่สนใจไว้ล่วงหน้า ไม่ควรรอจนถึงนาทีสุดท้าย เพราะอาจทำให้ไม่มีเวลาเปรียบเทียบข้อเสนอ หรือเลือกสำนักงานบัญชีที่ไม่ตรงกับความต้องการ การติดต่อล่วงหน้าจะทำให้เจ้าของกิจการมีเวลาคุยกับสำนักงานบัญชี อธิบายความต้องการของธุรกิจ และ สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับบริการต่างๆ การมีสำนักงานบัญชีใหม่รองรับไว้แล้ว จะช่วยให้ช่วงเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น โดยไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีคนดูแลเรื่องบัญชี 2.แจ้งสำนักงานบัญชีเก่า เมื่อได้ตัดสินใจเลือกสำนักงานบัญชีใหม่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การแจ้งสำนักงานบัญชีเก่า เจ้าของกิจการควรแจ้งล่วงหน้าตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้สำนักงานบัญชีเก่ามีเวลาเตรียมตัวส่งมอบเอกสารและข้อมูลต่างๆ และการแจ้งลาออกจากสำนักงานบัญชีนั้น ควรทำอย่างสุภาพ ตรงไปตรงมา และแสดงถึงความเป็นมืออาชีพ โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในอนาคต 3.ขอเอกสารประกอบการบันทึกบัญชีคืน การโบกมือลาสำนักงานบัญชีเดิมนั้นไม่ใช่จุดจบของภารกิจการเปลี่ยนสำนักงานบัญชี ยังมีอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญที่หลายคนมักมองข้าม นั่นคือ การแจ้งข้อมูลและเอกสาร ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีให้ครบถ้วนแก่สำนักงานบัญชีใหม่ ปัญหาที่พบเจอได้บ่อยครั้งคือ เจ้าของกิจการไม่ทราบแน่ชัดว่ามีข้อมูลอะไรบ้างที่ส่งให้สำนักงานบัญชีเก่าเก็บไว้ ส่งผลต่อความมั่นใจว่าข้อมูลบัญชีที่ส่งต่อนั้นครบถ้วนหรือไม่ เพื่อความมั่นใจและความราบรื่นในการเปลี่ยนผ่าน โดยทั่วไปแล้ว สำนักงานบัญชีควรจะมีข้อมูลกิจการตามนี้ สำหรับเจ้าของกิจการที่ต้องการขอเอกสารหลังจากจากปิดงบเสร็จแล้ว สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : ปิดงบการเงินเสร็จแล้ว…ต้องขอเอกสารอะไรบ้างจากสำนักงานบัญชี? 4.ขอรหัสผ่านที่ใช้ติดต่อทำธุรกรรม เมื่อต้องการเปลี่ยนสำนักงานบัญชี สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือต้องขอ Username และ Password ที่ใช้ติดต่อทำธุรกรรมต่างๆ จากสำนักงานบัญชีเดิม รหัสผ่านเหล่านี้จำเป็นสำหรับการเข้าถึงระบบและดำเนินการทางการเงินต่างๆ เช่น ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน ระบบ DBD e-Filing ของกรมพัฒนาธุรกิจ, ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน ระบบจ่ายภาษีออนไลน์ ของกรมสรรพากร, ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน ระบบทำธุรกรรมของสำนักงานประกันสังคม 5.กำหนดเวลาการโยกย้ายให้ชัดเจน เจ้าของกิจการควร กำหนดเวลาในการส่งคืนเอกสารและงบการเงินให้แน่นอน กับสำนักงานบัญชีเก่า เพื่อป้องกันปัญหาความล่าช้า และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น โดยเจ้าของกิจการสามารถกำหนดระยะเวลาคร่าวๆได้ ยกตัวอย่างเช่น : กิจการที่กำลังมองหาโปรแกรมบัญชีออนไลน์ มาช่วยจัดการเอกสาร ออกใบเสร็จหรือใบแจ้งหนี้ ทาง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยจัดการเอกสารบัญชีของคุณให้เป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @systemseedwebs-comสอบถามเพิ่มเติม คลิก

7 มิ.ย. 2024

PEAK Account

9 min

เทคโนโลยีห้องประชุมสำหรับ SMEs เพื่อการประชุมที่มีประสิทธิภาพ

การประชุมที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ เนื่องจากการประชุมเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนความรู้ วางแผนกลยุทธ์ และตัดสินใจที่สำคัญ การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในห้องประชุมจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพ บทความนี้ PEAK ร่วมกับ OfficeMate จะมาแนะนำเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับห้องประชุม เหมาะสมสำหรับ SMEs เพื่อการประชุมที่มีประสิทธิผลมากขึ้น 1. ควรมีอุปกรณ์เพื่อการประชุมและนำเสนอ การมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครันในห้องประชุม เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การประชุมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อุปกรณ์ที่จำเป็นประกอบด้วย อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบถ้วน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และความสะดวกสบายในการจัดการประชุม นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงถึงความพร้อม และความเป็นมืออาชีพขององค์กร 2. ควรมีระบบการจองห้องประชุม ระบบการจองห้องประชุมเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับองค์กรที่มีการประชุมบ่อยครั้ง ระบบการจองห้องประชุมจะช่วยให้การจัดการการใช้ห้องประชุมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นระเบียบ ประโยชน์ของระบบนี้มีดังนี้ ลดความซับซ้อนในการจัดการ ระบบการจองห้องประชุมช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการห้องประชุม ผู้ใช้สามารถดูตารางการใช้ห้องประชุม และจองเวลาได้อย่างง่ายดายผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งช่วยลดปัญหาการจองซ้ำซ้อน หรือความผิดพลาดในการจัดการ เพิ่มความสะดวกสบาย  ระบบการจองที่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าจะช่วยเตือนผู้ใช้งานถึงการประชุมที่กำลังจะมาถึง นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนผ่านอีเมล หรือแอปพลิเคชันเพื่อให้ผู้ใช้ไม่พลาดการประชุม การจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ  ระบบการจองห้องประชุมสามารถช่วยให้ผู้จัดการทรัพยากรเห็นภาพรวมการใช้ห้องประชุม และสามารถปรับเปลี่ยนการใช้ทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานห้องประชุมเพื่อนำไปปรับปรุง และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรได้ การใช้ระบบการจองห้องประชุมที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้องค์กรสามารถจัดการการประชุมได้อย่างมีประสิทธิผล ลดปัญหาความขัดแย้งในการจองห้อง และเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน 3. ควรมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่การประชุมออนไลน์กลายเป็นสิ่งจำเป็น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจะช่วยให้การสื่อสาร และการแลกเปลี่ยนข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วอย่างไม่มีสะดุด  ข้อดีของการใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงช่วยให้การประชุมออนไลน์เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีปัญหาการเชื่อมต่อขัดข้องหรือสัญญาณหลุด การสื่อสารผ่านวิดีโอคอลจะมีคุณภาพเสียง และภาพที่ชัดเจน ทำให้การประชุมเหมือนกับการประชุมในสถานที่เดียวกัน การทำงานร่วมกันในเวลาจริง อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงช่วยให้การแชร์ไฟล์ และการทำงานร่วมกันในเวลาจริงเป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการแชร์เอกสาร ภาพ หรือวิดีโอ การทำงานร่วมกันจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่เสียเวลา การเข้าถึงข้อมูลและแหล่งข้อมูลออนไลน์ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงช่วยให้ผู้เข้าร่วมการประชุมสามารถเข้าถึงข้อมูล และแหล่งข้อมูลออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นประโยชน์ในการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือนำเสนอข้อมูลในที่ประชุม การมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในห้องประชุมจะช่วยให้การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ เพิ่มความสะดวกสบายในการทำงานและการสื่อสาร เทคโนโลยีห้องประชุมที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ และ SMEs ที่ต้องการให้การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่น และมีประสิทธิผล การมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบ ระบบการจองห้องประชุมที่มีประสิทธิภาพ และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการประชุม ลดปัญหา และความขัดข้องในการจัดการการประชุม และเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน ดังนั้น การลงทุนในเทคโนโลยีห้องประชุมจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และสำคัญสำหรับการเติบโต รวมถึงความสำเร็จขององค์กร เช็กด่วน! ห้องประชุมของคุณ ยังขาดอุปกรณ์คุณภาพสำหรับห้องประชุมอยู่หรือไม่? OfficeMate มีอุปกรณ์สำนักงาน หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน พร้อมมอบประสบการณ์ทำงานที่ดีแบบที่คุณอาจไม่เคยพบมาก่อน สามารถเข้ามาเลือกดูได้ที่ ?

5 มิ.ย. 2024

PEAK Account

9 min

Happy Workplace สูตรลับสู่ความสำเร็จของ SMEs

ในยุคที่ธุรกิจมีการแข่งขันสูง การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี และมีความสุข (Happy Workplace) ไม่เพียงแต่จะช่วยให้พนักงานมีความสุข และประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น แต่ยังเป็นสูตรลับที่ช่วยให้ SMEs ประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน  บทความนี้ PEAK ร่วมกับ OfficeMate จะพาคุณไปรู้จักกับแนวทางในการสร้าง Happy Workplace ที่เน้นเรื่องการสร้างสุขภาพดี สังคมดี มีความรู้ และการทำงานที่ผ่อนคลายให้แก่พนักงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของธุรกิจ สร้างเสริมสุขภาพที่ดีแก่พนักงาน สุขภาพของพนักงานเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน หากพนักงานมีสุขภาพดี จะทำให้มีพลังงาน และความสามารถในการทำงานมากขึ้น การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ส่งเสริมสุขภาพสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การจัดเตรียมพื้นที่ออกกำลังกาย หรือการจัดกิจกรรมเพื่อสุขภาพ นอกจากนี้การสนับสนุนการมีพฤติกรรมการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยการจัดหาของว่างที่มีประโยชน์ และการให้ข้อมูลเกี่ยวกับโภชนาการที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับพนักงานได้ หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมสุขภาพของพนักงาน คือการเลือกใช้เก้าอี้ที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ (ergonomic chair) หรือ เก้าอี้เพื่อสุขภาพ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อลดความเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บจากการทำงาน และอาการปวดต่าง ๆ เช่น อาการปวดหลัง ปวดคอ และปวดไหล่ ซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยในพนักงานออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน เก้าอี้ ergonomic มีการออกแบบที่สามารถปรับระดับได้หลายส่วน เช่น ความสูงของเก้าอี้ พนักพิง และที่วางแขน เพื่อให้สามารถปรับให้เข้ากับสรีระของผู้ใช้งานได้อย่างเหมาะสม การปรับระดับเหล่านี้จะช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น ทำให้พนักงานสามารถนั่งทำงานได้ในท่าที่ถูกต้อง และสบายมากขึ้น นอกจากนี้การใช้เก้าอี้ ergonomic ยังช่วยส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตที่ดี ลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการบวมที่ขา และเท้า ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้ที่ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานในระยะยาว สร้างสังคมที่ดีในที่ทำงาน การสร้างสังคมที่ดีในที่ทำงาน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยให้พนักงานรู้สึกมีความสุข มุ่งมั่นในการทำงาน ซึ่งการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้าง และส่งเสริมการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งที่สำคัญ การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมความร่วมมือ หรือสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพนักงาน เช่น การจัดงานเลี้ยงหรือกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์ จะช่วยให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม และมีความมุ่งมั่นในการทำงานมากขึ้น การส่งเสริมการทำงานเป็นทีมและการช่วยเหลือกันในการทำงาน ยังเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างสังคมที่ดีในองค์กรได้ การเปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และการแสดงความคิดเห็นเป็นการแสดงถึงการยอมรับ และความสำคัญของพนักงาน ทำให้พนักงานรู้สึกมีคุณค่า มีความมุ่งมั่นในการทำงานมากขึ้น พัฒนาความรู้แก่พนักงาน การพัฒนาความรู้ และทักษะของพนักงานเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเติบโตของธุรกิจ การส่งเสริมให้พนักงานมีโอกาสในการเรียนรู้ และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง จะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงาน และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ การจัดอบรม หรือการเข้าร่วมสัมมนาต่าง ๆ จึงเป็นวิธีที่ดีในการเสริมสร้างความรู้ และทักษะให้กับพนักงาน นอกจากนี้ การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ในองค์กรโดยการสนับสนุนให้พนักงานมีการแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์ระหว่างกันเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับทีมงาน การให้โอกาสในการพัฒนาทางอาชีพและการสนับสนุนในการศึกษาต่อจะช่วยให้พนักงานรู้สึกมีอนาคตที่มั่นคง และมุ่งมั่นในการทำงานมากขึ้น สร้างบรรยากาศการทำงานที่ผ่อนคลาย การผ่อนคลายเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กับการทำงาน การให้พนักงานมีเวลาผ่อนคลาย และพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยลดความเครียด และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การจัดพื้นที่สำหรับการพักผ่อนในที่ทำงาน เช่น ห้องนั่งเล่น หรือสวนหย่อม เป็นวิธีที่ดีในการให้พนักงานได้ผ่อนคลาย และสร้างสมดุลในการทำงาน การจัดกิจกรรมที่สนุกสนาน และการสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายในการทำงาน เช่น การจัดกิจกรรมสันทนาการ หรือการส่งเสริมการทำงานในบรรยากาศที่เป็นกันเอง จะช่วยให้พนักงานรู้สึกผ่อนคลาย และมีความสุขในการทำงานมากขึ้น การสร้าง Happy Workplace ที่ดี และมีความสุขเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับ SMEs เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยให้พนักงานมีความสุข และมุ่งมั่นในการทำงาน แต่ยังเป็นการสร้างฐานที่แข็งแกร่งในการเติบโต และความสำเร็จของธุรกิจในระยะยาว การส่งเสริมสุขภาพที่ดี การสร้างสังคมที่ดี การหาความรู้ และการผ่อนคลาย เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ SMEs สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน อย่ารอช้า! มาสร้างพื้นที่ทำงานที่มีความสุขกับ OfficeMate มีอุปกรณ์สำนักงาน เฟอร์นิเจอร์ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้พนักงาน พร้อมมอบประสบการณ์ทำงานที่ดีแบบที่คุณอาจไม่เคยพบมาก่อน สามารถเข้ามาเลือกดูได้ที่

4 มิ.ย. 2024

PEAK Account

8 min

3 วิธีสร้างบรรยากาศการทำงานที่มีประสิทธิภาพด้วยอากาศบริสุทธิ์

ในฐานะผู้ประกอบการ คุณทราบดีว่าสภาพแวดล้อมการทำงานส่งผลต่อประสิทธิภาพของพนักงานอย่างไร บรรยากาศที่อึดอัด เต็มไปด้วยมลพิษทางอากาศ ย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน PEAK ร่วมกับ OfficeMate สนับสนุนการสร้างบรรยากาศการทำงานที่มีประสิทธิภาพ พร้อมแชร์วิธีง่าย ๆ เริ่มต้นด้วยอากาศบริสุทธิ์ภายในพื้นที่ทำงาน หรือมุมทำงานในออฟฟิศ เพราะอากาศบริสุทธิ์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง ส่งผลดีต่อสุขภาพจิต และลดความเครียด พนักงานจะรู้สึกมีพลัง มีสมาธิ และพร้อมที่จะทำงานได้อย่างเต็มที่ 3 วิธีง่าย ๆ ในการสร้างบรรยากาศการทำงานด้วยอากาศบริสุทธิ์ 1. เปิดหน้าต่าง การเปิดหน้าต่างเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้อากาศบริสุทธิ์ไหลเวียนเข้ามาในออฟฟิศ ควรเปิดหน้าต่างทุกเช้า และปิดเมื่ออากาศร้อนจัดหรือมีมลพิษทางอากาศสูง อย่างไรก็ตาม แต่วิธีนี้อาจไม่เหมาะสมกับออฟฟิศที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่มีมลพิษทางอากาศสูง อีกทั้ง เสียงรบกวนจากภายนอก เช่น เสียงรถยนต์ เสียงคน อาจส่งผลต่อการทำงาน 2. ปลูกต้นไม้ ต้นไม้ช่วยดูดซับสารพิษในอากาศ และปล่อยออกซิเจน ควรวางต้นไม้ไว้ในบริเวณออฟฟิศ ต้นไม้ที่เหมาะกับการปลูกในร่ม เช่น เศรษฐีเรือนใน ลิ้นมังกร และโป๊ยเซียน อย่างไรก็ตาม การปลูกต้นไม้ อาจไม่เพียงพอที่จะขจัดมลพิษทางอากาศทั้งหมด อีกทั้ง การดูแลรักษาต้นไม้ เช่น การรดน้ำ การใส่ปุ๋ย อาจต้องใช้เวลา และความใส่ใจ 3. ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ เครื่องฟอกอากาศจะช่วยขจัดมลพิษทางอากาศ เช่น ฝุ่นละออง ควันบุหรี่ และสารเคมี ควรเลือกเครื่องฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง และเหมาะกับขนาดพื้นที่ของออฟฟิศ เครื่องฟอกอากาศ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการขจัดมลพิษทางอากาศ อีกทั้ง เครื่องฟอกอากาศรุ่นใหม่ ๆ ยังมีฟังก์ชันการทำงานเพิ่มเติม เช่น การฆ่าเชื้อโรค การควบคุมความชื้น และการฟอกอากาศด้วยไอออนประจุลบ ตัวอย่างเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะกับการใช้งานในออฟฟิศ กับเครื่องฟอกอากาศอัจฉริยะ “Xiaomi Smart Air Purifier 4 Pro” เพราะสุขภาพดีเริ่มต้นที่อากาศบริสุทธิ์ เครื่องฟอกอากาศอัจฉริยะ Xiaomi 4 Pro มี CADR ที่ไร้อนุภาคอยู่ที่ 500 ตร.ม./ชม. และปล่อยลมสะอาดออกมาได้มากสูงสุดถึง 8,330 ลิตร/นาที ให้อากาศบริสุทธิ์แพร่เข้าถึงทุกซอกมุมในบ้าน หรืออาคารสำนักงาน เพื่อให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตในบรรยากาศที่ดีต่อสุขภาพตลอดเวลา หน้าจอแสดงผลแบบ OLED ตั้งค่าง่าย อ่านค่าได้ชัดเจน Xiaomi Smart Air Purifier 4 Pro มีจอแสดงผล และอินเทอร์เฟซที่ควบคุมง่าย แสดงข้อมูลคุณภาพอากาศในอาคารอย่างชัดเจนในรูปแบบไฟเส้นแบบโค้ดสี และยังแสดงข้อมูล PM2.5/PM10 แบบเรียลไทม์ สามารถปรับการตั้งค่าการฟอกอากาศของคุณด้วยปุ่มควบคุมระบบสัมผัสได้อย่างสะดวก เพียงแตะเบา ๆ แค่ครั้งเดียว เป็นเครื่องฟอกอากาศที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบ Smart Life ได้อย่างแท้จริง ระบบการกรองแบบทรีอินวันสำหรับการฟอกอากาศคุณภาพสูง เครื่องฟอกอากาศอัจฉริยะ Xiaomi 4 Pro มาพร้อมไส้กรองแบบทรีอินวัน ซึ่งประกอบไปด้วยไส้กรองหลัก ไส้กรองประสิทธิภาพสูงของ Xiaomi และไส้กรองถ่านกัมมันต์คุณภาพสูง โดยไส้กรองทั้งสามจะทำงานร่วมกันเพื่อฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ และดูแลคุณให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ สามารถกรองสสารได้หลายรูปแบบ เช่น ฝุ่นผง ควัน ขนสัตว์ ละอองเกสร หรือเส้นใยจากเสื้อผ้า เป็นต้น นอกจากนั้น ถ่านกัมมันต์คุณภาพดี มีอัตราการดูดซับสูง ช่วยกำจัดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ เพื่อดูแลอากาศให้สดชื่นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอาหาร กลิ่นสัตว์เลี้ยง หรือฟอร์มาลดีไฮด์ โทลูอีน Xiaomi Smart 4 Pro ก็จัดการได้อยู่หมัด การควบคุมเครื่องฟอกอากาศอัจฉริยะได้ทุกที่ ทุกเวลา ควบคุมการทำงานของเครื่องฟอกอากาศ เสียวหมี่ 4 Pro ได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านแอพพลิเคชัน Mi Home/Xiaomi Home ที่เป็นเหมือนรีโมทคอนโทรล ควบคุมการทำงานระยะไกลในขณะที่คุณอยู่นอกบ้าน สามารถปรับการตั้งค่าต่าง ๆ ได้สะดวก มีฟังก์ชันตั้งเวลาเปิด-ปิดเครื่อง และแจ้งเตือนการเปลี่ยนไส้กรองตามระยะเวลาที่แนะนำ เพื่อมอบประสิทธิภาพสูงสุดในการกรอง นอกจากนั้น ยังสามารถตั้งค่าล็อกการทำงาน หากคุณอยู่ภายในบ้าน หรือสำนักงาน แต่ไม่อยากเสียเวลาหาอุปกรณ์การควบคุม เครื่องฟอกอากาศ Xiaomi 4 Pro นี้ยังรองรับการสั่งการด้วยเสียง โดยใช้งานร่วมกับ Google Assistant หรือ Alexa ได้อย่างสะดวกสบาย การสร้างบรรยากาศการทำงานที่มีประสิทธิภาพ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจของคุณ การลงทุนในเครื่องฟอกอากาศ จึงเป็นวิธีง่าย ๆ ในการสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีต่อสุขภาพ ส่งผลดีต่อสุขภาพ และประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานในระยะยาว อย่ารอช้า! นอกจากเครื่องฟอกอากาศแล้ว OfficeMate ยังมีอุปกรณ์สำนักงาน หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้พนักงาน พร้อมมอบประสบการณ์ทำงานที่ดีแบบที่คุณอาจไม่เคยพบมาก่อน สามารถเข้ามาเลือกดูได้ที่

27 มี.ค. 2024

PEAK Account

12 min

เฟอร์นิเจอร์สำคัญ เปลี่ยนพื้นที่ทำงานให้มีประสิทธิภาพได้

ประเด็นสำคัญ เฟอร์นิเจอร์สำคัญ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การจัดพื้นที่ทำงานให้เหมาะสมเปรียบเสมือนการวางรากฐานการทำงานที่ดี มีประสิทธิภาพ โดยเฟอร์นิเจอร์ 3 ชิ้นหลักที่มีความสำคัญต่อการทำงาน ได้แก่ โต๊ะทำงาน เก้าอี้ทำงาน และลิ้นชักใส่ของ เปรียบเสมือนอาวุธคู่กายที่จะช่วยให้การทำงานของคุณราบรื่น สะดวกสบายมากขึ้น 1. โต๊ะทำงาน การเลือกใช้โต๊ะทำงานควรให้ความสำคัญกับขนาดที่เหมาะสม หากมีพื้นที่ทำงานขนาดใหญ่ กว้างขวาง ไม่ควรเลือกโต๊ะที่แคบจนเกินไป อาจทำให้รู้สึกอึดอัด เคลื่อนไหวลำบาก ให้เลือกโต๊ะทำงานขนาด 160 x 80 ซม. ก็เพียงพอแล้ว เช่นเดียวกับห้องที่มีพื้นที่ทำงานจำกัด หากเลือกโต๊ะที่เล็กเกินไป อาจทำให้วางของได้ไม่เพียงพอ ทางที่ดีควรเลือกโต๊ะทำงานขนาด 120 x 60 ซม. ถึงจะเพียงพอต่อการใช้งาน นอกจากขนาดโต๊ะแล้ว ความสูงของโต๊ะก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ควรเลือกโต๊ะทำงานที่สามารถปรับระดับได้ เพื่อให้เหมาะกับสรีระของผู้ใช้งาน ช่วยให้นั่งทำงานได้อย่างสบาย โดยไม่ต้องก้มหรือโน้มตัวมากเกินไป ทั้งนี้ โต๊ะทำงานที่วัสดุทนทาน ทำความสะอาด และดูแลรักษาง่าย จะช่วยยืดอายุการใช้งาน ให้คุณนั่งทำงานกับโต๊ะตัวโปรดได้นานยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องเปลี่ยนโต๊ะบ่อยๆ ให้สิ้นเปลือง OfficeMate แนะนำโต๊ะที่เหมาะสมสำหรับทำงาน โต๊ะทำงานที่ดีจะส่งผลดีต่อทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต ประสิทธิภาพในการทำงาน และบรรยากาศการทำงาน แนะนำโต๊ะทำงานเฟอร์ราเดค รุ่น ST120DA-P จาก OFM ช่วยปรับให้ท่านั่งให้ถูกต้อง ลดอาการปวดเมื่อย คุ้มค่าเกินราคา โต๊ะทำงานที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณ  ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก: nbsp; 2. เก้าอี้ทำงาน เก้าอี้ทำงานที่เหมาะกับการนั่งทำงานตลอดวัน ควรมีพนักพิงที่รองรับส่วนโค้งตามธรรมชาติของหลังส่วนล่าง รองรับช่วงเอวให้กระดูกสันหลังของผู้นั่งอยู่ในแนวตรง และควรปรับระดับความสูง พนักพิง หรือที่วางแขนได้ เพื่อรองรับสรีระของผู้ใช้งาน ช่วยให้นั่งทำงานได้อย่างสบาย ลดอาการปวดหลัง คอ และลดความเมื่อยล้า นอกจากนี้ วัสดุของเก้าอี้ควรเป็นวัสดุที่ระบายอากาศได้ดี และทำความสะอาดง่าย เช่น ผ้าตาข่าย ช่วยให้นั่งทำงานได้นานโดยไม่รู้สึกอึดอัด หรือเลือกเก้าอี้ที่มีฟังก์ชันโยกเอน ช่วยให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการเมื่อยล้าจากการนั่งทำงานเป็นเวลานานได้ OfficeMate แนะนำเก้าอี้สุขภาพที่เหมาะสมสำหรับทำงาน การนั่งทำงานในท่าที่ถูกต้อง ช่วยให้มีสมาธิ และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เก้าอี้ Haru ช่วยให้คุณนั่งทำงานได้อย่างสบายโดยไม่ต้องกังวลเรื่องอาการปวดเมื่อย ส่งผลให้คุณมีสมาธิจดจ่อกับงานมากขึ้น เก้าอี้ทำงานเพื่อสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงานของคุณ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก: nbsp; 3. ชั้นวางของ โต๊ะทำงานที่รก ไม่เป็นระเบียบ อาจสะท้อนถึงความคิด และการทำงานที่ยุ่งเหยิง การจัดระเบียบพื้นที่ทำงานด้วยลิ้นชักเก็บของที่เหมาะสม จึงเป็นกุญแจสำคัญสู่งานที่มีประสิทธิภาพ และความคิดสร้างสรรค์ ฉะนั้น การมีลิ้นชักวางของดีๆ จะช่วยเก็บของให้เป็นระเบียบ หาง่าย และช่วยให้โต๊ะทำงานดูเรียบร้อยขึ้น เริ่มจากการเลือกลิ้นชักให้เหมาะสมกับพื้นที่ทำงาน โต๊ะทำงานขนาดเล็กควรเลือกตู้ลิ้นชักแบบกะทัดรัด สูงไม่เกินระดับสายตา ช่วยให้หยิบจับของสะดวก เช่น ตู้ลิ้นชัก 2-3 ลิ้นชัก วางซ้อนกัน หรือตู้ลิ้นชักแบบติดใต้โต๊ะ ส่วนโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ ให้เลือกตู้ลิ้นชักที่มีหลายลิ้นชัก เก็บของได้มากขึ้น เช่น ตู้ที่มี 4-5 ลิ้นชัก หรือตู้ลิ้นชักแบบตั้งพื้นความสูงเหนือโต๊ะ เป็นการเพิ่มพื้นที่ในการเก็บของไปในตัวด้วย ควรเลี่ยงลิ้นชักที่ใหญ่เทอะทะ กีดขวางการทำงาน และมีน้ำหนักมากจนเกินไป ทำให้ไม่สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย รวมถึงไม่ควรเลือกลิ้นชักที่แคบ ความจุไม่เพียงพอต่อการเก็บของ เพราะหากวางของจนแน่นเกินไป อาจทำให้ลิ้นชักพังเสียหาย หรือหยิบจับสิ่งของได้ไม่สะดวก OfficeMate แนะนำลิ้นชักใส่ของที่เหมาะสมสำหรับห้องทำงาน ลิ้นชักเปรียบเสมือนผู้ช่วยตัวจิ๋วสำหรับโต๊ะทำงาน ช่วยเก็บของให้เป็นระเบียบ หยิบจับสะดวก เพิ่มพื้นที่ทำงานให้กว้างขวางขึ้น การเลือกลิ้นชักที่เหมาะสม จะช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และราบรื่น OFM แนะนำตู้ลิ้นชักเหล็กล้อเลื่อน 3 ชั้น สีขาว เฟอร์ราเดค ตอบโจทย์คุณ! หมดปัญหาของรก หาของไม่เจอ พร้อมเพิ่มพื้นที่ทำงานได้อีกเยอะ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก: nbsp; สรุป นอกจากเฟอร์นิเจอร์ 3 ชิ้นหลักแล้ว ยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงาน เช่น แสงสว่าง การระบายอากาศ และการตกแต่งพื้นที่ทำงาน ช่วยเพิ่มประสบการณ์การทำงานที่ดีขึ้น หากไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง อาจลองเอาคำแนะนำที่ OfficeMate นำมาฝากไปปรับใช้กับพื้นที่ทำงานของคุณได้  หากต้องการเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ ที่ช่วยให้พื้นที่ทำงานของคุณดูเป็นระเบียบ สะดวก สบาย ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เข้ามาเลือกดูได้ที่ OfficeMate เมื่อกิจการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่จะช่วยสร้างพื้นที่การทำงานที่มีประสิทธิภาพเรียบร้อยแล้ว ต้องการบันทึกค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้เป็นรายจ่ายของบริษัทอย่างครบถ้วน ถูกต้อง แม่นยำแล้ว PEAK โปรแกรมบีญชีออนไลน์ คือ คำตอบของการทำงานบัญชีที่มีประสิทธิภาพ

27 มี.ค. 2024

PEAK Account

7 min

ตู้เอกสาร จัดเก็บให้เป็นระเบียบได้อย่างไร

ประเด็นสำคัญ  5 เคล็ดลับจัดเก็บตู้เอกสารอย่างมืออาชีพ 1. คัดแยกเอกสาร การจัดระเบียบตู้เอกสารควรเริ่มต้นด้วยการคัดแยกเอกสาร แยกประเภทให้ชัดเจนว่าเอกสารไหนสำคัญ ควรเก็บไว้ เอกสารไหนไม่จำเป็น เช่น ใบปลิว โฆษณา เอกสารเก่าที่หมดอายุ ควรทิ้ง หรือนำไปรีไซเคิล รวมถึงควรแยกเอกสารตามวันที่ โดยเรียงลำดับจากเก่าไปใหม่ ไม่ควรเก็บไว้รวมกัน สำหรับเอกสารสำคัญ ก็ควรแยกประเภทให้ชัดเจนด้วยเช่นกัน เช่น ใบเสร็จรับเงิน แยกเป็นปี 2567, 2566 หรือหากเป็นเอกสารสัญญา ใบทะเบียน ประกัน ให้แยกเป็นหมวดหมู่ให้ชัดเจน 2. ตั้งระบบการจัดเก็บให้หาง่าย สะดวก รวดเร็ว เลือกวิธีจัดเก็บเอกสารที่เหมาะสมกับการใช้งานของตนเอง และควรเลือกให้เหมาะกับชนิดของเอกสารที่จัดเก็บด้วย เช่น  เหมาะสำหรับเอกสารไม่หนามาก รวมถึงเอกสารที่หยิบเข้า-ออกบ่อยครั้ง เพื่อให้หาง่าย และสามารถหยิบออกมาใช้งานได้อย่างสะดวก เหมาะสำหรับเอกสารจำนวนมาก ไม่ควรใส่ซองบางๆ เนื่องจากเอกสารมีความหนา จึงต้องการความแข็งแรงของแฟ้มมารองรับปริมาณเอกสาร เหมาะสำหรับเอกสารเก่า ไม่ค่อยได้ใช้งาน หรือเอกสารที่ต้องกำจัด ที่สำคัญ อย่าลืมติดชื่อเอกสารไว้หน้ากล่อง เพื่อความสะดวกต่อการทำลาย หรือนำไปรีไซเคิล ทั้งนี้ ควรตั้งชื่อหมวดหมู่ให้ชัดเจน สื่อความหมายที่เข้าใจง่าย จัดเรียงเอกสารตามลำดับ เช่น ลำดับตัวอักษร และลำดับวันที่ 3. เก็บเอกสารในตู้ที่เหมาะสม ตู้เอกสารที่เหมาะสมควรจะปลอดภัย ให้เลือกตู้เอกสารที่มีขนาดพอเหมาะกับจำนวนเอกสาร ไม่เล็กจนแน่นเกินไป หรือใหญ่จนเหลือพื้นที่ว่างมากเกินไป และควรเลือกตู้ที่มีชั้นวาง มีพื้นที่แบ่งเป็นช่องสำหรับเก็บเอกสารแต่ละหมวดหมู่ 4. ทำความสะอาดตู้เอกสารเป็นประจำ สุขอนามัยดีของตู้เก็บเอกสาร ส่งผลต่อสุขภาพที่ดีของผู้ใช้งานด้วยเช่นกัน ดังนั้น ควรรักษาความสะอาดของตู้ รวมถึงบริเวณโดยรอบตู้เอกสารด้วยเป็นอย่างดี เช่น เช็ดฝุ่นทั้งด้านใน และด้านนอกตู้เอกสารอย่างน้อยเดือนละครั้ง จัดเก็บเอกสารให้เรียบร้อย ไม่วางซ้อนกันจนยุ่งเหยิง หมั่นกำจัดเอกสารที่ไม่จำเป็น และไม่ควรนำสิ่งของที่ไม่จำเป็นเข้าไปรวมกับเอกสาร เพื่อไม่ให้ตู้ล้น จนไม่มีพื้นที่จัดเก็บเอกสารจำเป็น 5. ใช้เทคโนโลยีช่วยจัดเก็บเอกสาร ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และชาญฉลาด ช่วยเก็บเอกสาร พร้อมอำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน แถมยังมีให้เลือกหลากหลาย และใช้ฟรีอีกด้วย OfficeMate แนะนำให้เก็บเอกสารด้วยวิธีที่ง่าย และรวดเร็ว ด้วยการสแกนเอกสารสำคัญเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ หรือ Cloud Storage เช่น Google Drive, Dropbox ตั้งชื่อไฟล์ให้ชัดเจน ค้นหาได้ง่าย ที่สำคัญควรสำรองข้อมูลไว้เป็นประจำ เพื่อป้องกันเอกสารเสียหาย หรือสูญหาย สรุป การจัดตู้เอกสารให้เป็นระเบียบ จะช่วยให้สามารถค้นหาเอกสารที่ใช้ในการทำงานได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ดังนั้น เราจึงควรจัดระบบการจัดเก็บเอกสารอย่างเป็นระบบ และเลือกวิธีการจัดเก็บเอกสารที่เหมาะสมกับการใช้งาน อย่ารอช้า! มาเริ่มจัดการตู้เอกสารของคุณให้เป็นระเบียบ เริ่มต้นด้วย 5 ขั้นตอนง่ายๆ จาก OfficeMate ได้เลย หรือใครยังหาตัวช่วยจัดเก็บเอกสารเพิ่มเติม OfficeMate ยังมีอุปกรณ์สำนักงาน หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับคุณ พร้อมมอบประสบการณ์ในการจัดเก็บเอกสารที่คุณอาจไม่เคยพบมาก่อน สามารถเข้ามาเลือกดูได้ที่ OfficeMate นอกจากการจัดเก็บเอกสารอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว การสร้างเอกสารสำคัญทางธุรกิจก็เป็นสิ่งสำคัญ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ออกบิลเงินสด, ใบเสร็จรับเงิน และเอกสารบัญชีต่างๆ ได้อย่าง สะดวก รวดเร็ว ในไม่กี่ขั้นตอน สร้างเอกสารทางธุรกิจ ครบถ้วน ถูกต้อง แม่นยำ ป้องกันปัญหาอย่างมืออาชีพ

24 ม.ค. 2024

PEAK Account

12 min

เช็กลิสต์มาตรการรัฐ สร้างการเติบโตของธุรกิจในยุคดิจิทัล

เมื่อโลกเปลี่ยน เทคโนโลยีเปลี่ยน การดำเนินธุรกิจในปัจจุบันก็ต้องมีการปรับตัวให้รองรับกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เช่น เรื่องช่องทางการขาย การชำระเงิน การจัดการบัญชี ภาษีต่างๆ ก็มีการนำเครื่องมือต่างๆ เข้ามาช่วยสร้างการทำงานในรูปแบบดิจิทัลมากขึ้น โดยรัฐบาลเองมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาทางเศรษฐกิจด้านดิจิทัลอย่างเป็นระบบ ดังตัวอย่างของมาตรการภาครัฐต่อไปนี้ที่จะช่วยส่งเสริมการดำเนินธุรกิจในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ e-Payment ชำระเงิน สะดวก รวดเร็ว ทุกที่ ทุกเวลา ทุกธุรกิจ    ระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์มาตรการภาครัฐที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้มีระบบรองรับการชำระเงินทางออนไลน์ที่ได้มาตรฐาน สอดคล้องกับการใช้งานเทคโนโลยีที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยลดความซับซ้อนในกระบวนการการเงินและทำให้เกิดประสิทธิภาพในการทำธุรกรรม โดยเฉพาะในส่วนของผู้ประกอบการที่นำระบบ e-Payment มาใช้ในธุรกิจ นอกจากจะเป็นการเพิ่มความสะดวกสบายแก่ลูกค้าแล้ว ยังเสริมสร้างประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการเงินของธุรกิจได้เป็นอย่างดีอีกด้วย  สำหรับเงื่อนไขของกฎหมายภาษี  e-Payment เป็นสิ่งที่เจ้าของกิจการ ร้านค้าต่างๆ ควรศึกษารายละเอียดอย่างแม่นยำ เพื่อการปฏิบัติทางกฎหมายที่ถูกต้อง ได้แก่ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 48) พ.ศ. 2562 ที่มีสาระสำคัญคือการกำหนดให้สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการทางการเงินอิเล็กทรอนิกส์ e-wallet ต้องรายงานข้อมูลผู้มีบัญชีธุรกรรมเฉพาะให้กรมสรรพากร ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา นิติบุคคล โดยมีเงื่อนไขดังนี้       e-Tax Invoice ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ตอบโจทย์ธุรกิจในยุคดิจิทัล e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เป็นมาตรการภาครัฐในการออกใบกํากับภาษีในรูปแบบใหม่ที่กรมสรรพากรได้พัฒนาขึ้นมาใช้แทนการออกใบกำกับภาษีแบบกระดาษ โดยจะปรับเปลี่ยนข้อมูลทั้งหมดเป็นในรูปแบบของอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางระบบออนไลน์ ซึ่งจะช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถส่งข้อมูลใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ถึงกรมสรรพากรได้อย่างสะดวกรวดเร็วผ่านช่องทางอีเมล หรือเว็บไซต์กรมสรรพากรได้ในทันท่วงที ไม่ต้องจัดเตรียม และรวบรวมใบกํากับภาษีแบบกระดาษอีกต่อไป นอกจากนั้นการจัดทำใบกำกับภาษีอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ยังมีประโยชน์ต่อเจ้าของธุรกิจอีกหลายประการ ได้แก่ การลดต้นทุนแฝงอย่างเช่น ค่ากระดาษ ค่าหมึกพิมพ์ ค่าจัดส่ง ค่าจัดเก็บใบกำกับภาษี การป้องกันเอกสารสูญหายหรือได้รับความเสียหาย นอกจากนั้น e-Tax Invoice ยังรองรับสิทธิประโยชน์จากทางภาครัฐ อย่างโครงการ การช้อปดีมีคืนในปี 2566 และล่าสุดกับโครงการ Easy E-Receipt เป็นต้น โดย e-Tax Invoice นั้นแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ 1. e-Tax Invoice by Time Stamp เป็นระบบการจัดทำใบกำกับภาษีโดยการประทับรับรองเวลา (Time Stamp) เกิดขึ้นจากความร่วมมือของกรมสรรพากรกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สรอ.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่มีรายได้ ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี หรือมีการออกใบกำกับภาษีจำนวนไม่มาก ได้ตระหนักถึงความสะดวกของการออกและใช้งานใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนสำหรับผู้ประกอบการที่จะพัฒนาไปสู่ระบบการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์อย่างสมบูรณ์แบบในอนาคต  2. e-Tax Invoice & e-Receipt เป็นระบบที่กรมสรรพากรพัฒนาขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ให้ผู้ประกอบการจัดทำใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ ใบลดหนี้ และใบเสร็จรับเงินในรููปแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการลงลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) ส่งมอบให้ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการด้วยช่องทางทางอิเล็กทรอนิกส์ตามที่ตกลงกัน รวมถึงการนำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรผ่านช่องทางที่กรมสรรพากรกำหนดด้วย Easy E-Receipt  โอกาสสำหรับผู้ประกอบการในยุคดิจิทัล Easy E-Receipt คือ โครงการลดหย่อนภาษีประจำปี 2567 ที่กรมสรรพากรกำหนดให้ผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถนำใบกำกับภาษีในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือที่เรียกกันว่า e-Tax Invoice และ e-Receipt ที่ได้รับจากการซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าที่จดทะเบียนในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อใช้ลดหย่อนภาษีในปีภาษี 2567 โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2567 โดยมีเงื่อนไขการใช้จ่ายดังต่อไปนี้ 1. ต้องเป็นผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2. ซื้อสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการจดทะเบียน VAT ที่ออกใบกำกับภาษีเต็มรูปในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) ผ่านระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt ของกรมสรรพากรเท่านั้น 3. ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามจริง จำนวนไม่เกิน 50,000 บาท นับเป็นโอกาสดีอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการจดทะเบียนในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มที่สามารถออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ที่จะสร้างการขายสินค้าและบริการตามที่โครงการกำหนด 2 มาตรการภาษี  โอกาสดีๆ สำหรับผู้ประกอบการ เป็นการขยายเวลาต่อเนื่องสำหรับมาตรการภาครัฐที่กำหนดขึ้นเพื่อส่งเสริมการลงทุนในระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์และส่งเสริมการใช้ระบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถหักรายจ่ายการลงทุนในระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt และระบบ e-Withholding Tax รวมถึงหักรายจ่ายค่าบริการระบบดังกล่าวได้ 2 เท่าของรายจ่ายที่จ่ายจริง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 – 31 ธันวาคม 2568  มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการใช้ระบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ (e-Withholding Tax) สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินผ่านระบบ e-Withholding Tax ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 -31 ธันวาคม 2568” จะมีการลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เหลืออัตราร้อยละ 1 ทั้ง 2 มาตรการดังกล่าวจะเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการในการลดต้นทุนในการจัดทำและการจัดเก็บเอกสาร รวมทั้งยังช่วยให้ผู้ประกอบการมีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นในช่วงระยะเวลาดำเนินมาตรการลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายได้อีกด้วย PromptBiz  ตอบโจทย์ธุรกิจดิจิทัล สร้างระบบการทำงานแบบมืออาชีพ PromptBiz คือ โครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินกลางสำหรับภาคธุรกิจ ทำให้เกิดการทำธุรกิจแบบดิจิทัลที่สามารถข้ามธนาคารได้อย่างครบวงจร โดยจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลการค้าและการชำระเงิน ตั้งแต่ข้อมูลใบแจ้งหนี้ การวางบิล การชำระเงิน จนถึงการออกใบเสร็จ โดย PromptBiz จะมีบริการ 2 ด้านสำคัญ ได้แก่ บริการด้านการค้าและการชำระเงิน และบริการด้านสินเชื่อ PromptBiz จะเปลี่ยนเอกสารทางการค้าจากรูปแบบกระดาษมาเป็นเอกสารดิจิทัลในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวางบิล รับวางบิล ตรวจสอบความถูกต้อง และชำระเงินผ่านแพลตฟอร์ม พร้อมจัดทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ ครอบคลุมไปถึงการทำรายการหักและนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายอัตโนมัติ  ขณะเดียวกันระบบ PromptBiz จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ พัฒนากระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  ช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs ได้เป็นอย่างดี

31 ต.ค. 2023

PEAK Account

12 min

บริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล รูปแบบไหนเหมาะกับคุณที่สุด

จากความเห็นของผู้เขียน ปัจจุบันการจัดตั้งในรูปแบบบริษัทจำกัดมีความยืดหยุ่นในเรื่องผู้ก่อตั้งที่เริ่มต้นเพียง 2 คนเท่านั้น โครงสร้างทุนสะดวกต่อการระดมทุน และมีการจำกัดความรับผิดของผู้ถือหุ้นกรณีบริษัทล้มละลาย อีกทั้งไม่มีความแตกต่างในเรื่องอัตราภาษีเมื่อเทียบกับการจัดตั้งห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล จากบทความ ทำธุรกิจในนามบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลประหยัดภาษีที่สุด? (สำหรับท่านผู้อ่านที่อยากเป็นนิติบุคคลให้อ่านอันนี้) มีผู้อ่านหลายท่านสอบถามเข้ามาว่าถ้าอยากเป็นนิติบุคคลบ้าง จะต้องเลือกรูปแบบการจัดตั้งแบบไหนที่เหมาะกับเรา? มีข้อมูลอะไรที่สามารถศึกษาได้เบื้องต้นได้ก่อน?  ครั้งนี้ผมจึงพาทุกคนมารู้จักประเภทของนิติบุคคลสำหรับบุคคลธรรมดาที่กำลังอยากปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจมาเป็นนิติบุคคลว่ามีตัวเลือกอะไรบ้าง ผมขอแนะนำ 2 รูปแบบกิจการที่เป็นที่นิยมในการดำเนินการในรูปแบบนิติบุคคล นั้นก็คือ รูปแบบบริษัทจำกัดและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ทำความเข้าใจรูปแบบกิจการ 1. บริษัทจำกัด เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะคุ้นเคยกับรูปแบบนี้ที่สุด เพราะสามารถพบเห็นกันได้ทั่วไป และกว่า 80% ของนิติบุคคลที่จัดตั้งในปี 2565 เป็นรูปแบบบริษัท ซึ่งพอจะประมาณได้ว่ารูปแบบนี้ได้รับความนิยมเลยทีเดียวครับ 2. ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล จากข้อมูลจำนวนนิติบุคคลที่จัดตั้งใหม่ในปี 2565 ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าหรือ DBD ระบุว่ามีสัดส่วนของห้างหุ้นส่วนเพียง 20% ของนิติบุคคลที่จดทะเบียนใหม่ แต่บางคนอาจเกิดคำถามหรือเคยเห็นทั้งห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน และห้างหุ้นส่วนจำกัดว่าแตกต่างกันอย่างไร ขอสรุปง่ายๆ ว่าแตกต่างกันที่ความรับผิดชอบในหนี้สินของกิจการ โดยห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียนจะมีเพียงเฉพาะหุ้นส่วนที่ไม่จำกัดความรับผิดในหนี้สินของกิจการ แต่ห้างหุ้นส่วนจำกัดจะหุ้นส่วน 2 ประเภท คือ หุ้นส่วนที่ไม่จำกัดความรับผิดและหุ้นส่วนที่จำกัดความรับผิดในหนี้สินของกิจการ สรุปแล้วจดบริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดีกว่ากัน? หลังจากที่เราได้เข้าใจลักษณะเบื้องต้นของแต่ละรูปแบบกิจการไปแล้ว ต่อไปก็เป็นท่านที่ต้องเลือกและตัดสินใจว่าแบบไหนที่เราสนใจ ในส่วนที่ทั้งบริษัทจำกัดและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเหมือนกันคือ การจัดทำบัญชีต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีและส่งงบการเงินต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) และกรมสรรพากร (RD) และด้านภาษีก็ต้องจัดทำให้ถูกต้องตามประมวลรัษฎากร ซึ่งเสียอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราเดียวกัน สำหรับในเรื่องที่แตกต่างที่ต้องพิจารณา ผมจะให้แนวทางเบื้องต้นไว้ 4 เรื่อง ดังนี้ 1. ด้านความน่าเชื่อ 1.1 การรับรู้โดยทั่วไป(Public Perception) : คนทั่วไปมักมองว่าบริษัทจำกัดมีความน่าเชื่อถือกว่า และรูปแบบนี้ก็เป็นที่นิยมในระดับสากลเช่นกัน ขณะที่รูปแบบห้างหุ้นส่วนคนบางส่วนมองเป็นธุรกิจขนาดเล็ก หรือธุรกิจครอบครัว เพราะในอดีตการจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจะทำได้ง่ายกว่าบริษัทจำกัด 1.2 ความรับผิดทางกฎหมาย : ในมุมมองของเจ้าหนี้การค้าจะคาดหวังเงินจากการค้าขายเมื่อครบเครดิตเทอม แต่ถ้าบริษัทจำกัดต้องปิดตัวลง เจ้าหนี้อาจได้รับเงินคืนไม่เต็มจำนวนเพราะถ้าหนี้สินที่บริษัทไม่สามารถจ่ายได้ ผู้ถือหุ้นไม่ต้องรับผิดชอบในส่วนที่ขาด แต่ห้างหุ้นส่วนจะมีหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดที่ต้องรับผิดชอบในหนี้สินส่วนนี้เพิ่ม กรณีที่เงินทุนของห้างหุ้นส่วนไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้สิน 2. ด้านความยืดหยุ่น 2.1 การรับรองงบการเงิน : บริษัทจำกัดถูกบังคับให้ต้องมีการจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นปีละ 1 ครั้ง เพื่ออนุมัติงบการเงินและส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) ภายในระยะเวลาที่กำหนด ขณะที่ห้างหุ้นส่วนไม่ได้มีข้อกำหนดนี้ 2.2 การบริหารงาน : บริษัทจำกัดสามารถแต่งตั้งบุคคลภายนอกเป็นกรรมการบริษัทเพื่อบริหารงานในองค์กรได้ ขณะที่ห้างหุ้นส่วนต้องเป็นหุ้นส่วน (เฉพาะประเภทรับผิดไม่จำกัด) เท่านั้นที่จะสามารถบริหารงานในองค์กรได้ 2.3 การขยายกิจการ : รูปแบบการลงทุนเป็นทุนเรือนหุ้นของบริษัทจำกัดซึ่งเอื้อต่อการขยายกิจการ และการระดมทุนจากบุคคลภายนอกได้ง่ายกว่า อีกทั้งสามารถแปรสภาพไปเป็นบริษัทมหาชนได้ง่ายเพราะมีรูปแบบการลงทุนเป็นหุ้นเช่นเดียวกัน ขณะที่ห้างหุ้นส่วนมีรูปแบบการลงทุนตามสัดส่วนจำนวนเงินที่นำมาลงทุนซึ่งยากต่อการระดมทุนมากกว่า 2.4 การเลิกกิจการ : ห้างหุ้นส่วนถือคุณสมบัติของผู้เป็นหุ้นส่วนเป็นสำคัญ เมื่อผู้เป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดเสียชีวิตอาจทำให้ห้างหุ้นส่วนต้องเลิกกันได้ (ยกเว้นมีหุ้นส่วนคนอื่นๆ ตกลงเข้ารับซื้อหุ้นของผู้เป็นหุ้นส่วนนั้นแทน) ขณะที่บริษัทจำกัดถือเรื่องทุนเป็นสำคัญ ไม่ได้มีข้อจำกัดในเรื่องนี้ เมื่อผู้ถือหุ้นเสียชีวิตไม่เป็นเหตุให้บริษัทต้องเลิกกัน 2.5 สิทธิที่ตกแก่ทายาท : สำหรับบริษัทจำกัดเมื่อผู้ถือหุ้นเสียชีวิต ความเป็นผู้ถือหุ้นจะตกทอดไปยังทายาททันทีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1599 และ 1600 ขณะที่ห้างหุ้นส่วนเมื่อผู้เป็นหุ้นส่วนเสียชีวิต ความเป็นหุ้นส่วนจะไม่ตกทอดเป็นมรดกไปยังทายาทเพราะถือว่าเป็นสิทธิเฉพาะตน 3. ความรับผิดในหนี้สินของกิจการ เมื่อเกิดกรณีที่หนี้สินของบริษัทมากกว่าสินทรัพย์หรือทุนของกิจการ บริษัทจำกัดจะถูกกำหนดให้รับผิดชอบในหนี้สินบริษัทไม่เกินกว่าค่าหุ้นที่ต้องชำระ กล่าวง่ายๆ คือ ถ้าหนี้สินมีมากกว่าทุน เจ้าของก็รับผิดชอบต่อบรรดาหนี้สินต่างๆ ไม่เกินกว่าจำนวนทุนที่ต้องชำระ แต่ในกรณีห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจะมีหุ้นส่วนประเภทที่ไม่จำกัดความรับผิดทำให้เมื่อต้องชำระหนี้สินของห้างหุ้นส่วนแต่ทุนไม่เพียงพอหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดก็ต้องรับผิดชอบในหนี้สินส่วนที่เหลือด้วย ตัวอย่าง : ห้างหุ้นส่วนเจริญจำกัด มีนาย ก เป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด และนาย ข เป็นหุ้นส่วนจำกัดความรับผิด ต่อมาห้างหุ้นส่วนล้มละลาย ห้างฯ มีหนี้สินที่ค้างชำระจากการล้มละลายจำนวน 10 ล้านบาท นาย ก ซึ่งเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดต้องรับผิดชอบในการชำระหนี้จนหมด ส่วนนาย ข กรณีที่ชำระเงินตามจำนวนที่ตนรับจะลงหุ้นในห้างฯ ครบถ้วนแล้ว ไม่ต้องร่วมรับผิดในหนี้สินที่เหลืออีกเนื่องจากเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด 4. ค่าธรรมเนียมจดจัดตั้ง กรณีจดจัดตั้งบริษัทจำกัดจะมีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าการจัดตั้งห้างหุ้นส่วนค่อนข้างมาก อาจเพราะรูปแบบบริษัทจำกัดต้องมีการจัดทำรายงานการประชุมหรือเอกสารทางกฎหมาย และรายงานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากกว่า รวมทั้งในอดีตบริษัทจำกัดต้องใช้ผู้เริ่มก่อตั้งถึงเจ็ดคน เลยอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ค่าธรรมเนียมจดจัดตั้งสูงกว่าห้างหุ้นส่วน จากความเห็นของผู้เขียน ปัจจุบันภาพรวมการจัดตั้งในรูปแบบบริษัทจำกัด มีความยืดหยุ่นและมีความน่าเชื่อถือที่มากกว่า อีกทั้งไม่มีความแตกต่างในเรื่องอัตราภาษี หรือความแตกต่างในเรื่องของจำนวนผู้ก่อของบริษัทจำกัดอย่างที่เคยเป็นในอดีตแล้ว แต่อย่างไรก็ตามผู้อ่านต้องใช้ดุลยพินิจหรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อการตัดสินใจในการเลือกรูปแบบนิติบุคคลอีกครั้งอย่างถี่ถ้วน หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว คุณยังไม่แน่ใจ หรือยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกรูปแบบนิติบุคคลไหน แต่อยากได้คนที่ช่วยให้คำปรึกษาหรือช่วยเรื่องการจดจัดตั้งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ PEAK เรามีพันธมิตรสำนักงานบัญชีมากกว่า 1,200 แห่งทั่วประเทศ พร้อมช่วยดูแลคุณ สนใจ คลิก

31 ต.ค. 2023

จักรพงษ์

12 min

ทำธุรกิจรูปแบบบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลแบบไหนดีที่สุด?

ถ้าเริ่มต้นธุรกิจได้ด้วยทุนจำนวนน้อย ความเสี่ยงต่ำ หรือไม่แน่ใจในการเติบโตของธุรกิจ การดำเนินธุรกิจในรูปแบบเป็นบุคคลก็เหมาะสมและเพียงพอ แต่ถ้าอยากขยายธุรกิจ ต้องการเพิ่มความน่าเชื่อถือเพื่อระดมทุน อยากจำกัดความเสี่ยงของผู้ลงทุน การทำธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคลจะได้ประโยชน์มากกว่า ผู้ประกอบการอาจเคยได้ยินมาว่า “พอเราทำธุรกิจแล้วมีรายได้หรือกำไรถึงจุดหนึ่ง เราควรเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจจากบุคคลธรรมดาเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัท หรือห้างหุ้นส่วน” ข้อความนี้เป็นจริงหรือไม่? ผมขอบอกว่า ไม่จริงเสมอไป เพราะมันอยู่ที่หลายปัจจัย ทั้งด้านบริหารธุรกิจ หรือด้านการประหยัดภาษี การตัดสินใจเลือกลักษณะการดำเนินธุรกิจไม่ได้มองแค่ในมุมของตัวเลขหรือจำนวนเงินเท่านั้น แต่ต้องมองให้รอบถึงมุมอื่นๆ ที่ส่งผลต่อรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เราเลือกด้วย วันนี้ผมอยากชวนทุกคนมาเจาะลึกของทั้งสองมุมมองกันว่าการทำธุรกิจนั้น ควรทำในรูปแบบบุคคลธรรมดาหรือรูปแบบนิติบุคคลจะดีกว่ากันครับ มุมมองด้านธุรกิจ-การบริหาร-บัญชี หลักๆ แล้วบุคคลจะได้เปรียบในเรื่องของความคล่องตัวในการตัดสินใจทางธุรกิจ เพราะไม่ต้องทำเอกสารติดต่อราชการอะไรมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจดจัดตั้ง การเปลี่ยนแปลง ไปจนถึงการเลิกกิจการ  ในขณะที่นิติบุคคลจะได้เปรียบในเรื่องความน่าเชื่อถือ เพราะกฎหมายกำหนดให้ต้องมีการจัดทำบัญชีเพื่อส่งให้หน่วยงานราชการ ส่งผลให้สถาบันการเงินกล้าที่จะปล่อยกู้ และคนกล้าจะมาร่วมลงทุนเพราะมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่เชื่อถือได้ และตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชี  จุดที่ผมคิดว่าได้เปรียบที่สุดของการทำธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคลก็คือ การจำกัดความรับผิดในหนี้สินของธุรกิจเมื่อถูกฟ้องล้มละลายจะไม่กระทบมายังทรัพย์สินส่วนตัวของบุคคลธรรมดาครับ มุมมองด้านภาษี บุคคลไม่ได้ถูกบังคับให้ต้องจัดทำรายการรับหรือจ่ายเงิน แต่รายได้บางประเภท กฎหมายภาษีกำหนดให้ต้องจัดทำ รายงานเงินสดรับ-จ่าย แต่ก็ไม่ได้มีความซับซ้อนเท่าการจัดทำบัญชีของนิติบุคคล เพราะบันทึกตามการรับและจ่ายเงินสด  นอกจากนี้บุคคลธรรมดายังสามารถที่จะเลือกหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ ซึ่งหมายความว่า กิจการไม่จำเป็นต้องเก็บเอกสารให้ปวดหัวเลย ซึ่งผู้ประกอบการหลายคนชอบในส่วนนี้ แต่ก็ต้องแลกกับอัตราภาษีที่อาจเสียสูงถึง 35% เลยทีเดียว  ในขณะที่นิติบุคคลต้องจัดทำรายได้-รายจ่ายตามมาตรฐานการบัญชี และหักค่าใช้จ่ายตามจริงเท่านั้น แปลว่าทุกรายได้และรายจ่ายต้องมีเอกสารประกอบและจัดเก็บให้ถูกต้อง ครบถ้วน รวมไปถึงต้องจัดให้มีผู้สอบบัญชีมารับรองงบการเงินอีก ส่งผลให้ภาระในการเตรียมเอกสารต่างๆ และต้นทุนในการจัดการตรงนี้สูง แต่ก็แลกกับการที่นิติบุคคลนั้นสามารถใช้ขาดทุนสะสมในอดีตมาลดภาษีในปีปัจจุบันได้ และก็ยังเสียอัตราภาษีสูงสุดอยู่ที่เพียง 20% เท่านั้น สรุปแล้วการเป็นบุคคลหรือนิติบุคคลอันไหนดีกว่ากัน ? คำว่า “ดีกว่า” ขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางธุรกิจ และการยอมรับความเสี่ยง ถ้าคุณเริ่มต้นธุรกิจได้ด้วยทุนจำนวนน้อย และมีความเสี่ยงต่ำ หรือในกรณีที่คุณพึ่งเริ่มธุรกิจแต่ยังไม่แน่ใจว่าธุรกิจจะเติบโตได้จริงไหม การเป็นบุคคลธรรมดาก็อาจเหมาะสมแล้ว แต่วันไหนที่ธุรกิจคุณเริ่มเติบโตขึ้น การเป็นนิติบุคคลอาจตอบสนองได้มากกว่าถ้าคุณมีความต้องการเหล่านี้ 1. ความต้องการสินเชื่อหรือเงินทุน ถ้าธุรกิจต้องการเงินลงทุนมากขึ้น ความน่าเชื่อถือของธุรกิจจะเริ่มมีความสำคัญมาก เพราะผู้ปล่อยกู้หรือผู้ลงทุนต้องการเอกสารที่บอกได้ว่าธุรกิจของเราทำกำไรได้ดีหรือมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเราจะมีเงินมาคืนเงินกู้หรือสร้างผลตอบแทนได้ให้แก่ผู้ลงทุน การจัดทำบัญชีให้ถูกต้องตามมาตรฐานบัญชีและตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีจะตอบสนองในเรื่องความน่าเชื่อถือได้มาก หากคุณต้องการขยายกิจการโดยใช้เงินคนอื่นมาช่วยด้วย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้ หรือผู้ร่วมลงทุน คุณควรจะทำธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคล 2. ความรับผิดชอบจากการทำธุรกิจเพิ่มมากขึ้น เมื่อธุรกิจโตขึ้น ความเสี่ยงของธุรกิจจะเพิ่มขึ้นตาม เช่น เมื่อเริ่มต้นคุณอาจมีลูกค้าเพียง 10 คน เมื่อเกิดความเสียหายคุณคนเดียวก็อาจจะรับผิดชอบได้ ลองจินตนาการว่าธุรกิจเติบโตจนมีลูกค้า 1,000 คน เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นคุณคนเดียวคงรับมือไม่ไหวแน่ เมื่อธุรกิจล้มละลาย หรือไม่สามารถหาเงินมาจ่ายได้  การเป็นนิติบุคคลจะมีข้อดีที่ช่วยจำกัดความรับผิดในหนี้สินของกิจการที่เกิดขึ้นเพียงไม่เกินจำนวนเงินลงทุนที่คุณ (ในฐานะผู้ถือหุ้น) เคยลงทุนไปในธุรกิจนั้นเท่านั้น ลองจินตนาการว่าถ้าคุณยังเป็นบุคคลธรรมดาอยู่ คุณอาจจะต้องขายรถ ขายบ้าน หรือทรัพย์สินส่วนตัวอื่นๆ มาชดใช้จนกว่าหนี้สินนั้นจะหมด เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากอยู่จุดนั้นแน่ 3. การมีผู้ร่วมกิจการมากกว่า 1 คน  การทำธุรกิจคนเดียวนั้นยาก และมีความเสี่ยงที่สูง หากคุณต้องการมีผู้ร่วมก่อตั้งมากกว่า 1 คน คุณก็ควรจะทำธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคล เพื่อแยกความชัดเจนระหว่างทรัพย์สินส่วนตัวและทรัพย์สินของกิจการ และยังช่วยให้เราจัดการเรื่องการแบ่งสรรผลกำไร หรือผลประโยชน์ตามสัดส่วนการถือหุ้นได้ชัดเจนอีกด้วย อย่างไรก็ตามการวางโครงสร้างผู้ถือหุ้นก่อนจัดตั้งนิติบุคคลเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะบางกิจการให้สัดส่วนของผู้ลงทุนที่ไม่ได้บริหารงานมากกว่าผู้ลงทุนที่เข้ามาบริหารงาน ซึ่งจะแก้ไขในภายหลังได้ยาก 4. สามารถเก็บเอกสารทางการค้าได้ครบถ้วน ถูกต้อง เนื่องจากธุรกิจที่ยังดำเนินการในรูปแบบบุคคลยังมีข้อดีที่รายจ่ายที่นำมาหักจากรายได้สามารถเลือกหักแบบหักเหมาได้ พูดง่ายๆ คือ กรมสรรพากรกำหนดอัตรารายจ่ายมาให้เราเลยโดยไม่ต้องสนใจรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริงว่ามีเท่าใด ทำให้เราไม่ต้องเก็บเอกสารรายจ่ายใดๆ เพราะปัญหาชวนปวดหัวอย่างหนึ่งของผู้ประกอบการ คือ การจ่ายเงินแล้วได้ไม่ได้เอกสารรายจ่ายมา เช่น ซื้อของจากผู้ขายที่ไม่รู้ว่าต้องออกเอกสารอะไรให้ หรือซื้อของผู้ขายที่จะหลบภาษีโดยไม่ออกเอกสารให้ รวมถึงเมื่อได้เอกสารมาก็ไม่รู้ว่าอยู่ในรูปแบบที่ถูกต้องหรือใช้ได้ไหม  ในข้อดีก็มีข้อเสีย คือ หลายธุรกิจมีรายจ่ายสูงกว่าที่อัตราที่สรรพากรกำหนดมาให้ เช่น ธุรกิจขายของออนไลน์จะหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้สูงสุด 60% ขณะที่ความเป็นจริงต้นทุนของสินค้าอาจสูงถึง 80% การหักเหมาก็จะทำให้เราเสียผลประโยชน์ตรงนี้ไป แต่ถ้าเราสามารถเรียกเอกสารจากผู้ขายได้เราก็จะสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริงและเสียภาษีลดลงนั่นเอง  5. อยากทำบัญชีให้ถูกต้อง และประหยัดภาษี เรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะจุดเริ่มต้นของการประหยัดภาษีต้องมาจากการทำบัญชีที่ ถูกต้องก่อน จะทำให้เห็นภาพรวมที่แท้จริงของกิจการ และสามารถนำไปวางแผนเพื่อเสียภาษีให้ประหยัดอย่างถูกต้องได้ เพราะถ้าคุณอยากประหยัดภาษีโดยวิธีที่ผิด ผลกระทบที่ตามมานอกจากงบการเงินจะไม่สามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจได้แล้ว ภาษีที่จะประหยัดได้จากการหลบเลี่ยงก็อาจไม่ได้ประหยัดอย่างที่คิด ก็เพราะปัจจุบันสรรพากรนำเทคโนโลยีหลายอย่างเข้ามาช่วยตรวจสอบภาษีทำให้ปัจจุบันเราจะเห็นคนโดนตรวจสอบภาษีย้อนหลังมากขึ้นและง่ายขึ้นมา นอกจากภาษีที่ต้องจ่ายคืนแล้ว ยังต้องรับโทษค่าปรับอีกจำนวนมหาศาลเลย หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว คุณยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นบุคคลหรือนิติบุคคล แต่อยากได้คนที่ช่วยให้คำปรึกษาเพื่อการตัดสินใจที่ดีที่สุด ที่ PEAK เรามีพันธมิตรสำนักงานบัญชีมากกว่า 1,200 แห่งทั่วประเทศ พร้อมช่วยดูแลคุณ สนใจ คลิก

23 ส.ค. 2024

จักรพงษ์

6 min

เอกสารบัญชีและภาษี ต้องเก็บไว้กี่ปีถึงจะทำลายทิ้งได้

การจัดการเอกสารบัญชีและภาษีอย่างถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือใหญ่ การเก็บเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเงินและภาษีไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่ยังเป็นข้อกำหนดทางกฎหมายที่สำคัญด้วย เอกสารบัญชีและภาษี ต้องเก็บไว้กี่ปี สิ่งที่นักบัญชีหรือผู้ประกอบการต้องสงสัยเป็นแน่ว่าเหล่าเอกสารบัญชีต่างๆ ที่ได้รับมา หรือที่จัดทำระหว่างปี พอเราปิดงบการเงินเสร็จแล้ว จะทิ้งได้เลยไหม? หรือต้องเก็บต่อไปอีกกี่ปี? จะได้ไม่มีปัญหากับสรรพากร หน่วยงานอื่นๆ ในภายหลัง วันนี้ผมจะพาทุกคนมาดูกันว่าในประเทศเรามีข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดเก็บเอกสารไว้อย่างไรครับ ก่อนที่เราจะไปอ้างอิงตัวกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ผมอยากขออธิบายเป็นภาษาที่ง่ายๆ คือ เราต้องเก็บเอกสารทางบัญชีไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่บางหน่วยงานก็มีอำนาจสั่งขยายระยะเวลาในการจัดเก็บเอกสารได้ ทำให้เรามีหน้าที่ในการจัดเก็บเอกสารที่นานขึ้น ตัวกฎหมายที่ให้อำนาจนั้นมีอะไรบ้าง มาดูกันต่อครับ เริ่มแรกจากพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 มาตรา 14 ได้กำหนดให้ผู้ประกอบการต้องเก็บบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไม่น้อยกว่า 5 ปีนับแต่วันปิดบัญชี แต่อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าสามารถสั่งขยายระยะเวลาให้เกิน 5 ปีแต่ต้องไม่เกิน 7 ปีได้ ตัวถัดมาคือการเก็บเอกสารภาษี ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 87/3 ที่กำหนดเอกสาร 5 ประเภท ได้แก่  1.ต้นฉบับใบกำกับภาษีซื้อ 2.สำเนาใบกำกับภาษีขาย 3.รายงานภาษีซื้อ 4.รายงานภาษีขาย5.รายงานสินค้าและวัตถุดิบ ต้องเก็บรักษาไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปีนับแต่วันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือวันทำรายงานแล้วแต่กรณี แต่อธิบดีกรมสรรพากรสามารถสั่งขยายระยะเวลาให้เกิน 5 ปีแต่ต้องไม่เกิน 7 ปีได้ PEAK ขอเล่า : และตัวสุดท้าย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30-31 จะถูกนำมาใช้เมื่อกฎหมายใดๆ ให้สิทธิเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเรียกตรวจเอกสาร แต่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ จะให้มีอายุความสูงถึง 10 ปี เท่ากับว่าผู้ประกอบการมีสิทธิโดนเรียกตรวจเอกสารย้อนหลังได้สูงถึง 10 ปีเลยครับ ตัวอย่างเช่น อายุความการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะไม่ได้มีบัญญัติไว้โดยเฉพาะในประมวลรัษฎากร หรือกรณีที่บุคคลธรรมดามีเงินได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีแต่ไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภายในกำหนดเวลา เจ้าพนักงานจึงออกหมายเรียกแต่ก็ไม่ได้มีบัญญัติไว้โดยเฉพาะในประมวลรัษฎากรเช่นกัน เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจออกหมายเรียกและประเมินภาษีได้ภายในอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/31 สรุปแล้ว ทั้งกฎหมายบัญชีและภาษีพูดตรงกันคือให้ผู้ประกอบการจัดเก็บบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีและภาษีไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่ก็สามารถขยายระยะเวลาเป็น 7 ปีได้ แต่ถ้ากฎหมายใดไม่ได้มีการกำหนดระยะเวลาจัดเก็บเอกสารหรืออายุความการประเมินภาษีไว้ ก็ยังมีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กำหนดอายุความสูงถึง 10 ปี ดังนั้นการเก็บเอกสารทางบัญชีและภาษีแบบระมัดระวังที่สุดก็ควรจัดเก็บที่ 10 ปีครับ หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว หากคุณต้องการสอบถามเพิ่มเติม หรืออยากได้คนที่ช่วยให้คำปรึกษาในเรื่องการจัดเก็บเอกสาร ที่ PEAK เรามีพันธมิตรสำนักงานบัญชีมากกว่า 1,200 แห่งทั่วประเทศ พร้อมช่วยดูแลคุณ สนใจ คลิก

16 ส.ค. 2024

PEAK Account

13 min

“บัญชีทำให้ตรง ลดความงงในการบริหาร” (ตอนที่2)

ใน Ep นี้เป็นภาคต่อจากครั้งที่แล้วในหัวข้อ “บัญชีทำให้ตรง ลดความงงในการบริหาร” เดิมเราพูดถึงเรื่องพื้นฐานที่ผู้ประกอบการต้องรู้เรื่องแรก คือ เรื่อง “ผลประกอบการ” ซึ่งประกอบไปด้วย “รายได้” “ค่าใช้จ่าย” และ “กำไร” ว่าคืออะไรและสำคัญอย่างไร ก่อนจะเริ่มเรื่องถัดไป เพื่อเป็นการทบทวน ผมขอสรุปอีกครั้งว่า 2 เรื่องที่ผู้ประกอบการต้องรู้มีอะไรกันบ้างครับ 2 เรื่องพื้นฐานที่ผู้ประกอบการต้องรู้ เรื่องที่ 1 ผลประกอบการ เรื่องที่ 2 เงินสดและกระแสเงินสด ตอนที่ 2 : บริหารเงินสดและกระแสเงินสดอย่างไรให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน “82% ของธุรกิจเจ๊งเพราะเรื่องเงิน!” นี้เป็นงานวิจัยที่ U.S. Bank เคยทำขึ้น โดยสาเหตุอาจมาจากการละเลยเรื่องเงิน หรือการบริหารเงินได้ไม่ดีพอ จากประสบการณ์ ผมพบว่าผู้ประกอบการหลายรายประเมินค่าการบริหารเงินต่ำเกินไป ชอบคิดว่าเรื่องเงินเป็นเรื่องง่าย เช่น “ขายของได้รับเงิน เอาเงินที่รับมาไปซื้อของมาขายต่อ แค่นั้นเอง”  ถ้าในโลกแห่งความเป็นจริงเงินที่เราได้รับมาในแต่ละวันมันมากกว่าเงินสดจ่ายเสมอ ประโยคข้างบนคงเป็นเรื่องจริง สิ่งที่ตลกร้ายคือ ความจริงมันตรงกันข้าม มีหลายเหตุการณ์ที่เข้ามาทำให้เงินสดบางครั้งไม่เพียงพอต่อการจ่าย และที่สำคัญเคยเกิดขึ้นกับธุรกิจที่มีรายได้ และกำไรก็ดีมาแล้ว ทำไมจึงเป็นแบบนั้นได้ สาเหตุเบื้องหลังคืออะไร มาดูกันต่อครับ ทำไมเงินสดมีปัญหา? ท่านผู้อ่านเคยเจอสถานการณ์ที่ เราต้องขายของเป็นเงินเชื่อ แต่ซื้อของต้องจ่ายเป็นเงินสด หรือขายของเป็นเงินเชื่อ แต่เก็บหนี้ไม่ได้ หรือขายของได้ แต่รายจ่ายมีเยอะกว่า ไหมครับ? บางคนอาจแย้งว่าก็ขายของเป็นเงินสดสิ จะให้ติดหนี้ทำไม บางธุรกิจถ้าไม่ขายเชื่อ ลูกค้าก็จะหนีไปซื้อคนอื่นครับ จะรอแต่แต่ขายเป็นเงินสดธุรกิจคงไม่รอด บางคนแย้งว่าลูกหนี้ไม่จ่ายเงิน ก็ไปตามทวงสิ คุณเคยได้ยินคำว่า “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” ไหมครับ? แหละครับคำตอบ วิธีวัดว่าเงินสดกำลังจะมีปัญหาหรือไม่? แม้เราจะพยายามแก้ปัญหาต่างๆ ให้ดีขึ้น แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงปัญหาได้ตลอด ผู้ประกอบการเองต้องตรวจสอบสถานะการเงินของตัวเองอยู่เสมอว่าคล่องตัวหรือมีความเสี่ยงอยู่หรือไม่ ตามวิธีดังนี้ 1. เงินสดและเงินฝากธนาคาร ทั้งเงินสดและเงินฝากธนาคารเป็นจุดเริ่มต้นที่จะเอาไปใช้คำนวณสถานะทางการเงิน ดังนั้นเราต้องมีข้อมูลทางการเงินที่ถูกต้องและครบถ้วน แต่ปัญหาที่เจอคือ กิจการหลายแห่งไม่ได้บันทึกบัญชีอย่างถูกต้อง ใช้เงินส่วนตัวปนกับเงินกิจการทำให้เงินสดไม่ตรงกับความเป็นจริง จึงยากมากที่จะคำนวณได้ว่าเงินสดเงินฝากธนาคารที่มีอยู่เพียงพอการใช้จ่ายในธุรกิจหรือไม่ ดังนั้นสิ่งที่เราควรทำอันดันแรก คือ แยกเงินส่วนตัวกับเงินกิจการออกจากกัน บันทึกบัญชีให้ถูกต้อง ตรวจสอบเงินที่มีอยู่จริงกับเงินที่บันทึกบัญชี แล้วดูว่าตอนนี้มีเงินสดคงเหลือในกิจการกี่บาท เพียงพอจะจ่ายค่าใช้จ่ายในวันพรุ่งนี้ สัปดาห์หน้า หรือในเดือนหน้าหรือไม่ 2. กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (OCF) ใครที่ยังไม่รู้จักคำว่า “กระแสเงินสด” ให้เราจินตนาการว่า “เงินสด” คือเงินที่คงเหลือในกระเป๋า แต่ “กระแสเงินสด” คือ การไหลเข้าของเงินที่รับและการไหลออกของเงินที่จ่ายออกไป กระแสเงินสด จะบอกเราได้ว่าในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น ใน 1 ปี เรารับเงินหรือจ่ายเงินมากกว่ากัน แต่จะไม่ได้บอกว่าเงินสดคงเหลือเท่าไหร่ คนที่เคยอ่านงบกระแสเงินสด จะพบว่างบกระแสเงินสดจะแสดงการไหลเวียนของเงินเป็น 3 ส่วน ดังนี้ แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดคือ “กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน” เพราะการไหลเวียนของเงินสดจากการทำธุรกิจ ไม่รวมการลงทุนและจัดหาเงิน โดยถ้าเงินรับมากกว่าเงินจ่าย แบบนี้ดี แต่ถ้าเงินจ่ายมากกว่าเงินรับบ่อยๆ แสดงว่าเราเก็บเงินจากลูกหนี้หรือขายของไม่ค่อยได้ แต่รายจ่ายมีทุกวัน แบบนี้จะเสี่ยงมาก เพราะสุดท้ายธุรกิจหาเงินมาจ่ายไม่ทัน 3. กระแสเงินสดสุทธิ (Net Cash Flow) แค่อ่านชื่อหัวข้อก็ยากแล้ว แต่จริงๆ “กระแสเงินสดสุทธิ” มันคือจับกระแสเงินสดทั้ง 3 ส่วนในงบกระแสเงินสดมารวม แล้วสรุปว่าในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น ใน 1 ปี กิจการมีเงินสดรับหรือเงินจ่ายมากกว่ากัน ในเมื่อดู “กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน” แล้ว ทำไมยังต้องดู “กระแสเงินสดสุทธิ” อีก? เพราะมีบางกรณีที่ธุรกิจขายสินค้าดีมาก เก็บเงินได้ดี แต่ดันเอาเงินไปลงทุนมากกว่าเงินที่จากการดำเนินงาน จนธุรกิจสะดุด ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ว่า “ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่ยังเจ๊งอยู่ดี” สรุปเราต้องให้ความสำคัญกับ “กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน” แต่ก็อย่าละเลยดูภาพรวมของกระแสเงินสดผ่าน “กระแสเงินสดสุทธิ” ด้วยครับ PEAK ขอเล่า : 4. ระยะเวลาจนกว่าเงินจะหมด (Runway) Runway พอแปลเป็นไทยนี้ดูแปลกมากเลยครับ การคำนวณนี้จะเหมาะกับกิจการที่รายจ่ายมากกว่ารายรับ และไม่รู้รายรับจะครอบคลุมรายจ่ายเมื่อไหร่ สิ่งที่เราต้องกังวลคือเงินจ่ายออกทุกวัน แต่เงินสดคงเหลือที่มีอยู่จะเพียงพอได้อีกกี่วันก่อนเงินจะหมด  การคำนวณง่ายมากเลยครับ ตัวอย่าง เช่น เงินสดคงเหลือตอนนี้มี 100,000 บาท รายได้ต่อเดือน 20,000 บาท รายจ่ายต่อเดือน 30,000 บาท คุณจะเห็นว่ารายจ่ายมากว่ารายรับ 10,000 บาทต่อเดือน Runway = เงินสดคงเหลือ / รายจ่ายส่วนเกิน จากตัวอย่าง Runway = เงินสด 100,000 / รายจ่ายส่วนเกิน 10,000 = 10 แปลว่าถ้ารายจ่ายยังมากกว่ารายรับในอัตราเท่าเดิม เงินที่เหลืออยู่ใช้ได้แค่อีก 10 เดือนเท่านั้น ถ้าหาเงินจากที่อื่นมาหมุนไม่ได้ เท่ากับธุรกิจต้องปิด ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้เลย คือ ลองดูเงินคงเหลือทั้งเงินสดและเงินฝาก และดูว่าแต่ละเดือนเฉลี่ยแล้วเราจ่ายมากกว่ารับกี่บาท ลองคำนวณดูครับ แต่ผมเชื่อว่าธุรกิจของผู้อ่านคงมีเงินเข้ามากกว่าเงินจ่ายอยู่แล้วล่ะครับ PEAK ขอเล่า : ทำไมการบริหารเงินสดและกระแสเงินสดถึงสำคัญ การบริหารเงินสด เป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่ยังไม่เกราะป้องกันทางการเงินที่ไม่แข็งแรง ทั้งในเรื่องความเข้าใจในการบริหารเงินสด รวมถึงการเข้าแหล่งเงินทุนได้ยากกว่าบริษัทใหญ่ๆ ดังนั้นควรเข้าใจในการบริหารเงินสด และการติดตามจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ถ้าในสถานะที่เงินคล่องก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเงินเริ่มฝืด แล้วเรารู้ตัวทันว่ากำลังจะมีปัญหา เราจะหาทางออกได้เร็วขึ้น เช่น เตรียมหาแหล่งเงินทุนล่วงหน้า บริหารจัดการค่าใช้จ่าย ซึ่งคงจะเป็นเรื่องเลวร้ายมากๆ ถ้าไปรู้ตัวอีกทีตอนเงินหมดแล้วครับ และแม้กิจการจะทำกำไรได้มากมายแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีเงินสดมาหมุนเวียนเพื่อซื้อสินค้าหรือจ่ายเจ้าหนี้ก็จะทำให้กิจการขาดสภาพคล่อง หรือร้ายแรงที่สุดอาจโดนเจ้าหนี้ฟ้องร้องและปิดกิจการได้เลยครับ สำหรับ Ep ถัดไป ผมจะพาทุกท่านไปค้นหาคำตอบว่า เมื่อเรารู้แล้วว่ากิจการกำลังจะมีปัญหาด้านเงินสด แล้วปัญหาหาในอยู่ในส่วนไหนของกิจการ เราจะพบคำตอบนี้ได้จากสิ่งที่เรียกว่า วงจรเงินสด หรือ Cash Cycle  โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @systemseedwebs-comสอบถามเพิ่มเติม คลิก

15 ส.ค. 2024

PEAK Account

12 min

บัญชีทำให้ตรง ลดความงงในการบริหาร (ตอนที่ 1)

การบริหารธุรกิจให้มีระบบและประสิทธิภาพนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในส่วนของการจัดการบัญชีที่ต้องตรงไปตรงมา บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจพื้นฐานของการจัดการบัญชี เพื่อช่วยในการบริหารธุรกิจอย่างเป็นระบบ และลดความสับสนในการบริหาร สำหรับ Ep นี้ ผมจะผู้อ่านทุกท่านไปลงลึกในเรื่องของการใช้ข้อมูลบัญชีและทำความเข้าใจผลประกอบการจากการอ่านงบกำไรขาดทุน เพื่อบริหารกิจการให้มีระบบ มาติดตามกันต่อได้เลยครับ พอพูดถึงเรื่องของ “การบริหาร” เอย “ระบบบัญชี” เอย หลายคิดจะคิดว่ามันต้องเป็นเรื่องยาก หรือซับซ้อน ละก็ไม่อยากจะไปแตะมันแน่ๆ แต่! สิ่งที่เราจะมาพูดในบทความนี้ เราจะไม่ได้ลงลึกในเรื่องที่ซับซ้อนเกินไป แต่ผมเห็นว่าเป็นสิ่งพื้นฐานที่จะผู้ประกอบการทุกคนจะต้องรู้ ถ้าไม่รู้ก็อาจจะตามหลังคนอื่น และจะพลาดสิ่งดีๆไปครับ เรื่องพื้นฐานที่ผู้ประกอบการต้องรู้ เรื่องที่จะพูดถึงต่อไปนี้ เป็นพื้นฐานและเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องเข้าใจ เพราะธุรกิจจะอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืนได้นั้น สิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีครับ ประกอบด้วย เรื่องที่ 1 ผลประกอบการ เรื่องที่ 2 เงินสดและกระแสเงินสด ตอนที่ 1 ทำความเข้าใจ “ผลประกอบการ” ช่วยบริหารธุรกิจได้ตรงจุด มาเริ่มกันเลยในเรื่องที่ 1  “ผลประกอบการ” ถ้ามองง่ายๆ ก็คือบทสรุปจากการทำธุรกิจในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น ผลประกอบการใน 1 ปีที่ผ่านมา รายได้เป็นไง ค่าใช้จ่ายเยอะไหม กำไรไหม หรือขาดทุน บางคนอาจจะเรียกมันว่ารายรับ รายจ่ายด้วยซ้ำโดยปกติมันจะแสดงบนงบกำไรขาดทุนประจำปีของบริษัทอยู่แล้ว แต่ถ้าใครเคยอ่านจะเห็นว่ามันมีข้อความหลายบรรทัดเลย แต่บรรทัดที่ผู้ประกอบต้องอ่านเป็นมีดังนี้ 1. รายได้ (Revenue) รายรับก่อนหักรายจ่าย เช่น ถ้าธุรกิจขายสินค้า ก็เป็นรายได้จากการขายสินค้าที่ยังไม่ได้หักต้นทุนสินค้า และถ้าธุรกิจให้บริการ ก็เป็นรายได้จากการให้บริการที่ยังไม่ได้หักค่าวัสดุ อุปกรณ์ หรือค่าแรง เป็นต้น การรับรู้รายได้ทำให้เราทราบว่าใน 1 ปีที่ผ่านมา เราขายสินค้าหรือให้บริการได้มากหรือน้อยแค่ไหน บางคนเอารายได้ที่เกิดขึ้นจริง (actual) เทียบกับรายได้ที่ตั้งเป้าหมาย (budget) ไว้ เพื่อดูว่าทำยอดขายได้ตามเป้าไหม หรือบางคนก่อนทำธุรกิจคิดว่าต้องรุ่ง ต้องขายดีแน่ๆ พอมาขายจริง เห็นตัวเลขจริง ทำให้รู้ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด หรือเอารายได้แต่ละปีมาเทียบกันเพื่อดูอัตราการเติบโต (growth rate) ว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้เช่นกัน รายได้เป็นจุดแรกที่เราต้องให้ความสนใจมากๆ เพราะธุรกิจจะไปต่อได้หรือไม่ ก็ต้องดูว่าผู้ประกอบการสามารถหาอาหาร(รายได้)ที่ทำให้กิจการอยู่รอดนั้นเพียงพอหรือไม่ 2. ค่าใช้จ่ายหลัก (Expense) ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนสินค้า เงินเดือนค่าจ้าง ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ หรือค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดเล็กๆน้อยๆ ถ้าเราไปโฟกัสทุกรายจ่าย คุณคงเป็นลมไปก่อน แต่โชคดีที่ยังมีเทคนิคนำมาช่วยได้ ก็คือ เราต้องให้ความสนใจเฉพาะต้นทุนสินค้าและบริการ ซึ่งแต่ละธุรกิจอาจจะมีต้นทุนที่แตกต่างกันไป เช่น ธุรกิจขายเครื่องสำอางต้นทุนอาจจะเป็น ค่าผลิตสินค้า หรือธุรกิจให้บริการ เช่น โรงแรม ต้นทุนอาจจะเป็นค่าจ้างพนักงานให้บริการ 3. กำไรขั้นต้น (Gross Profit) “กำไรขั้นต้น” คืออะไร? ถ้าพูดว่า “กำไร” เฉยๆ คนก็จะเข้าใจว่าอ๋อ กำไร = รายรับ หัก รายจ่าย ไง แต่พอมีคำว่า “ขั้นต้น” หลายคงสับสนว่ามันคือตัวเดียวกันหรือป่าว สรุป กำไรขั้นต้น คือ รายได้ หัก ต้นทุนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับรายได้ เช่น ธุรกิจขายสินค้าได้เงิน 1,000 บาท ต้นทุนสินค้า 400 บาท ค่าจ้างพนักงานขายวันละ 300 บาท ดังนั้นกำไรขั้นต้นเท่ากับ 600 บาท (รายได้ 100 บาท หัก ต้นทุนค่าสินค้า 400 บาท) ค่าจ้างพนักงานขายถือว่าเป็นต้นทุนทางอ้อมเลยไม่นำมาคิดในกำไรขั้นต้น สิ่งที่กำไรขั้นต้นบอกเรา คือ เวลาขายสินค้า 1 ชิ้นจะได้กำไรกี่บาท จากตัวอย่างจะจะเห็นว่าถ้าขาย 1 ชิ้นได้กำไรขั้นต้น 600 บาท ถ้าอยากได้กำไรมาก ก็ต้องขายให้ได้หลายๆชิ้น โดยไม่ได้คำนึงว่าจะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เท่าไหร่ ทำไมยังไม่ต้องคำนึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าจ้างคนขาย ส่วนตัวมองว่า กำไรขั้นต้น มีแนวคิดคือ หนึ่ง ของที่นำมาขาย 1 ชิ้นต้องได้กำไรก่อน เช่น ขายของ 1,000 บาท แต่ต้นทุนสินค้า 1,200 บาท แบบนี้ก็ไม่ต้องไปสนใจค่าใช้จ่ายอื่นแล้ว ยังไงก็เจ๊ง 100% สอง ถ้าขายของแล้วยังมีกำไรขั้นต้น แต่ค่าใช้จ่ายอื่นเยอะก็ไม่เป็นปัญหา เพราะเราสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายทางอ้อมอื่นๆ ให้ลดลงได้ทีหลัง  ดังนั้นกำไรขั้นต้น เป็นจุดที่สำคัญมาก เพราะผู้ประกอบการบางคนไม่เคยรู้ว่าต้นทุนสินค้ามากกว่าราคาขายที่ตั้งไว้ ทำให้เงินสดขาดมือ สอดคล้องกับวลีที่ว่า “ยิ่งขาย เท่ากับ ยิ่งเจ๊ง” ทำไมต้องสนใจค่าใช้จ่ายหลัก? เพราะมันมีจำนวนมูลค่าที่สูงและส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ถ้าเราไม่สนใจหรือไม่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายเหล่านี้ วันหนึ่งมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และสูงกว่ารายได้จนธุรกิจขาดทุนการควบคุมค่าใช้จ่าย สามารถทำได้หลายวิธี แล้วแต่ลักษณะประเภทธุรกิจ เช่น ธุรกิจขายสินค้า ถ้าเรารู้ว่าสินค้าไหนขายดี ขายได้เยอะ เราสามารถเจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์เพื่อซื้อสินค้าล็อตใหญ่แต่ราคาต่อชิ้นถูกขึ้นได้ แม้แต่ค่าแรงงานที่เราสามารถหาเทคโนโลยีมาช่วยให้ลดการจ้างแรงงานคนได้ เป็นต้น 4. กำไรสุทธิ (Net Profit) แล้วก็มาถึงตัวสุดท้าย ตัวทีเด็ดของผลประกอบการเลย คือ “กำไรสุทธิ” เราสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ เลย สูตรคือ กำไรสุทธิ = รายได้ – รายจ่ายทั้งหมดของธุรกิจ ถ้ารายได้มากกว่ารายจ่าย แปลว่าธุรกิจในปียังไปได้ดี สามารถทำกำไรได้ แปลว่ายิ่งขายยิ่งได้กำไร แต่ถ้ารายได้น้อยกว่ารายจ่าย จนเกิด “ขาดทุนสุทธิ” อันนี้ต้องดูสาเหตุแล้วครับว่าเกิดอะไร เช่น รายได้น้อยกว่าทุกปี หรือมีรายจ่ายบางตัวสูงขึ้นมากๆในปีนี้ เป็นต้น นั่นแปลว่าถ้าธุรกิจมีกำไร ไม่ว่าจะมากหรือน้อยเราก็ยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปเรื่อยๆ แต่ถ้าธุรกิจขาดทุนอาจเริ่มเห็นสัญญาณที่ธุรกิจกำลังเผชิญปัญหาอะไรบางอย่าง ซึ่งถ้าไม่รีบแก้ อาจจะเจ๊งจริงๆก็ได้ครับ อย่างน้อยๆ ผู้ประกอบการมือใหม่ หรือคนที่ไม่เคยเข้าใจตัวเลขเลย ก็จะได้รู้ว่าสิ่งที่ควรรู้และเข้าใจคือเรื่องของผลประกอบการ เพราะค่อนข้างตรงตัว และจับต้องได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็น รายได้ (Revenue) กำไรขั้นต้น (Gross Profit) ค่าใช้จ่ายหลัก (Expense) หรือกำไรสุทธิ (Net Profit) การดูตัวเลขและวิเคราะห์ผลอย่างถูกต้องได้นั้น ตัวเลขเหล่านี้ต้องได้รับความใส่ใจก่อน คือ บันทึกบัญชีอย่างถูกต้อง ครบถ้วน ทันเวลา เราจึงจะสามารถนำข้อมูลไปตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ลองจินตนาการว่าถ้าบันทึกบัญชีผิดๆ ถูกๆ ข้อมูลที่เราเห็นคงเอาไปทำประโยชน์อะไรไม่ได้เลยครับเอาล่ะ! นี่แค่เรื่องแรกนะครับ ใน Ep ถัดไป เราจะยังอยู่กับหัวข้อเดิม แต่จะไปดูในเรื่องที่เหลืออยู่อีก 4 เรื่อง แอบบอกก่อนเลยว่า เรื่องที่ 2 เงินสดและกระแสเงินสด นี้สำคัญสุดๆ เลยครับ เพราะ SMEs หลายรายเจ๊งก็เพราะบริหารเงินสดไม่เป็นนี้แหละครับ   และสำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน Ep. 1 สามารถอ่านได้ที่ “รายจ่ายทางบัญชี” ไม่เท่ากับ “รายจ่ายทางภาษี” เข้าใจความต่าง ช่วยกิจการประหยัดภาษีได้ โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @systemseedwebs-comสอบถามเพิ่มเติม คลิก

26 มิ.ย. 2024

PEAK Account

14 min

เจ้าของกิจการอยากเปลี่ยนสำนักงานบัญชี ต้องเตรียมตัวอย่างไร

ในยุคที่ธุรกิจแข่งขันสูง การบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นหัวใจสำคัญหนึ่งในนั้นคือ การมีระบบบัญชีที่รัดกุมและถูกต้อง ซึ่งสำนักงานบัญชีมีบทบาทสำคัญในการดูแลงานบัญชีให้กับธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลหลายประการ บางครั้งธุรกิจอาจมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนสำนักงานบัญชีใหม่ การเปลี่ยนสำนักงานบัญชี เปรียบเสมือนการเริ่มต้นใหม่กับพันธมิตรทางธุรกิจคนสำคัญ เจ้าของกิจการจึงควรเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อให้กระบวนการเปลี่ยนผ่านราบรื่นและส่งผลกระทบต่อธุรกิจน้อยที่สุด ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนสำนักงานบัญชี สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจคือ เมื่อไหร่ที่ควรเปลี่ยนสำนักงานบัญชี การตัดสินใจเปลี่ยนสำนักงานบัญชีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำงานกับบริษัทเดียวกันมาเป็นเวลานาน แต่หากคุณประสบปัญหาเหล่านี้ แสดงว่าถึงเวลาแล้วที่ควรพิจารณาหาสำนักงานบัญชีใหม่ 1. สำนักงานบัญชีเดิมมีขนาดเล็กเกินไป เมื่อธุรกิจของคุณเติบโตขึ้น ความต้องการด้านบัญชีก็ย่อมซับซ้อนมากขึ้น สำนักงานบัญชีขนาดเล็กอาจมักมีพนักงานจำนวนน้อย กำลังคนไม่พอหรือบริการที่ไม่ครอบคลุม ทำให้ไม่สามารถรองรับการขยับขยายของกิจการเราได้   2. ปัญหาการสื่อสารและการทำงานร่วมกัน การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับสำนักงานบัญชี หากคุณมีปัญหาในการสื่อสารกับสำนักงานบัญชีของคุณ อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและปัญหาอื่นๆ คุณควรได้รับคำตอบจากสำนักงานบัญชีของคุณอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ หากคุณต้องรอเป็นเวลานานเพื่อรับคำตอบ แสดงว่าพวกเขาอาจไม่ให้ความสำคัญกับธุรกิจของคุณ บางทีบริษัทหรือกิจการก็มีระบบการออกเอกสาร หรือระบบการทำงานเป็นของตัวเอง ถ้าสำนักงานบัญชีไม่สามารถใช้โปรแกรมร่วมกับเจ้าของกิจการได้ เช่น ถ้ากิจการทำงานแบบออนไลน์ทั้งหมด แต่ว่าสำนักงานบัญชียังทำงานแบบออฟไลน์ เจ้าของกิจการเข้าถึงข้อมูลยากก็อาจเป็นเหตุผลให้เจ้าของกิจการหันไปหาทางเลือกใหม่ๆ ที่ทำงานด้วยกันง่ายขึ้น 3. ต้องการลดค่าใช้จ่าย สำนักงานบัญชีมีราคาแตกต่างกันไป บางสำนักงานบัญชีคิดค่าธรรมเนียมแบบเหมาจ่าย ในขณะที่บางแห่งคิดค่าธรรมเนียมตามเวลา หากคิดว่าราคาที่จ่ายให้สำนักงานบัญชีต่อเดือนแพงเกินไป  เจ้าของกิจการอาจต้องตัดสินใจเปลี่ยนสำนักงานบัญชีเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย  4. ไม่ได้รับคำปรึกษาและคำแนะนำที่เพียงพอ สำนักงานบัญชีที่ดีจะช่วยคุณวางแผนภาษีเพื่อลดภาระภาษีของกิจการ พร้อมให้คำปรึกษาและคำแนะนำที่มีประโยชน์ให้แก่กิจการ ในทางกลับกันหากสำนักงานบัญชีไม่สามารถช่วยเหลือ หรือให้คำปรึกษาต่างๆ ทางบัญชีและภาษีได้ เจ้าของกิจการก็อาจมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปใช้บริการจากสำนักงานบัญชีใหม่ หลังจากตัดสินใจที่จะเปลี่ยนสำนักงานบัญชีแล้ว หลายๆคนอาจเกิดคำถามว่า ควรเปลี่ยนสำนักงานบัญชีช่วงไหนดี สามารถเปลี่ยนทันทีเลยได้ไหม หากมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนสำนักงานบัญชีทันที สามารถทำได้แต่อาจจะต้องจ่ายค่าทำบัญชีซ้ำซ้อน เพราะสำนักงานบัญชีใหม่จะต้องเริ่มต้นทำใหม่ตั้งแต่ต้นปีจนถึงข้อมูลที่กิจการมีล่าสุด อีกทั้งการเปลี่ยนสำนักงานบัญชีทันที ในบางกรณีอาจต้องเสียค่าปรับการยกเลิกสัญญากับสำนักงานบัญชีที่เดิม การรอจนจบรอบบัญชีก่อนค่อยเปลี่ยนสำนักงานบัญชีอาจดูเป็นทางเลือกที่สะดวกกว่า เพื่อความต่อเนื่องของงานบัญชี แต่ก็ยังมีสิ่งที่น่ากังวลคือ  ในกรณีที่สำนักงานบัญชีเดิมไม่รับผิดชอบงาน ซึ่งทำให้กิจการได้ข้อมูลจากการบันทึกบัญชีที่ไม่ถูกต้อง หรืออาจเกิดภาระค่าปรับภาษีหรือค่าปรับอื่นๆตามมาได้ ดังนั้นเจ้าของกิจการจะต้องคำนึงว่าหากยังใช้สำนักงานบัญชีเดิมอยู่ไปจนจบรอบบัญชี จะทำให้ก่อความเสียหายมากกว่าหรือไม่ เจ้าของกิจการอยากเปลี่ยนสำนักงานบัญชี ต้องเตรียมตัวอย่างไร 1.ติดต่อสำนักงานบัญชีใหม่ การเปลี่ยนสำนักงานบัญชีนั้น เจ้าของกิจการควรเริ่มต้นด้วยการสรรหาและติดต่อสำนักงานบัญชีที่สนใจไว้ล่วงหน้า ไม่ควรรอจนถึงนาทีสุดท้าย เพราะอาจทำให้ไม่มีเวลาเปรียบเทียบข้อเสนอ หรือเลือกสำนักงานบัญชีที่ไม่ตรงกับความต้องการ การติดต่อล่วงหน้าจะทำให้เจ้าของกิจการมีเวลาคุยกับสำนักงานบัญชี อธิบายความต้องการของธุรกิจ และ สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับบริการต่างๆ การมีสำนักงานบัญชีใหม่รองรับไว้แล้ว จะช่วยให้ช่วงเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น โดยไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีคนดูแลเรื่องบัญชี 2.แจ้งสำนักงานบัญชีเก่า เมื่อได้ตัดสินใจเลือกสำนักงานบัญชีใหม่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การแจ้งสำนักงานบัญชีเก่า เจ้าของกิจการควรแจ้งล่วงหน้าตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้สำนักงานบัญชีเก่ามีเวลาเตรียมตัวส่งมอบเอกสารและข้อมูลต่างๆ และการแจ้งลาออกจากสำนักงานบัญชีนั้น ควรทำอย่างสุภาพ ตรงไปตรงมา และแสดงถึงความเป็นมืออาชีพ โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในอนาคต 3.ขอเอกสารประกอบการบันทึกบัญชีคืน การโบกมือลาสำนักงานบัญชีเดิมนั้นไม่ใช่จุดจบของภารกิจการเปลี่ยนสำนักงานบัญชี ยังมีอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญที่หลายคนมักมองข้าม นั่นคือ การแจ้งข้อมูลและเอกสาร ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีให้ครบถ้วนแก่สำนักงานบัญชีใหม่ ปัญหาที่พบเจอได้บ่อยครั้งคือ เจ้าของกิจการไม่ทราบแน่ชัดว่ามีข้อมูลอะไรบ้างที่ส่งให้สำนักงานบัญชีเก่าเก็บไว้ ส่งผลต่อความมั่นใจว่าข้อมูลบัญชีที่ส่งต่อนั้นครบถ้วนหรือไม่ เพื่อความมั่นใจและความราบรื่นในการเปลี่ยนผ่าน โดยทั่วไปแล้ว สำนักงานบัญชีควรจะมีข้อมูลกิจการตามนี้ สำหรับเจ้าของกิจการที่ต้องการขอเอกสารหลังจากจากปิดงบเสร็จแล้ว สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : ปิดงบการเงินเสร็จแล้ว…ต้องขอเอกสารอะไรบ้างจากสำนักงานบัญชี? 4.ขอรหัสผ่านที่ใช้ติดต่อทำธุรกรรม เมื่อต้องการเปลี่ยนสำนักงานบัญชี สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือต้องขอ Username และ Password ที่ใช้ติดต่อทำธุรกรรมต่างๆ จากสำนักงานบัญชีเดิม รหัสผ่านเหล่านี้จำเป็นสำหรับการเข้าถึงระบบและดำเนินการทางการเงินต่างๆ เช่น ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน ระบบ DBD e-Filing ของกรมพัฒนาธุรกิจ, ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน ระบบจ่ายภาษีออนไลน์ ของกรมสรรพากร, ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน ระบบทำธุรกรรมของสำนักงานประกันสังคม 5.กำหนดเวลาการโยกย้ายให้ชัดเจน เจ้าของกิจการควร กำหนดเวลาในการส่งคืนเอกสารและงบการเงินให้แน่นอน กับสำนักงานบัญชีเก่า เพื่อป้องกันปัญหาความล่าช้า และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น โดยเจ้าของกิจการสามารถกำหนดระยะเวลาคร่าวๆได้ ยกตัวอย่างเช่น : กิจการที่กำลังมองหาโปรแกรมบัญชีออนไลน์ มาช่วยจัดการเอกสาร ออกใบเสร็จหรือใบแจ้งหนี้ ทาง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยจัดการเอกสารบัญชีของคุณให้เป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @systemseedwebs-comสอบถามเพิ่มเติม คลิก

7 มิ.ย. 2024

PEAK Account

9 min

เทคโนโลยีห้องประชุมสำหรับ SMEs เพื่อการประชุมที่มีประสิทธิภาพ

การประชุมที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ เนื่องจากการประชุมเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนความรู้ วางแผนกลยุทธ์ และตัดสินใจที่สำคัญ การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในห้องประชุมจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพ บทความนี้ PEAK ร่วมกับ OfficeMate จะมาแนะนำเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับห้องประชุม เหมาะสมสำหรับ SMEs เพื่อการประชุมที่มีประสิทธิผลมากขึ้น 1. ควรมีอุปกรณ์เพื่อการประชุมและนำเสนอ การมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครันในห้องประชุม เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การประชุมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อุปกรณ์ที่จำเป็นประกอบด้วย อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบถ้วน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และความสะดวกสบายในการจัดการประชุม นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงถึงความพร้อม และความเป็นมืออาชีพขององค์กร 2. ควรมีระบบการจองห้องประชุม ระบบการจองห้องประชุมเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับองค์กรที่มีการประชุมบ่อยครั้ง ระบบการจองห้องประชุมจะช่วยให้การจัดการการใช้ห้องประชุมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นระเบียบ ประโยชน์ของระบบนี้มีดังนี้ ลดความซับซ้อนในการจัดการ ระบบการจองห้องประชุมช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการห้องประชุม ผู้ใช้สามารถดูตารางการใช้ห้องประชุม และจองเวลาได้อย่างง่ายดายผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งช่วยลดปัญหาการจองซ้ำซ้อน หรือความผิดพลาดในการจัดการ เพิ่มความสะดวกสบาย  ระบบการจองที่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าจะช่วยเตือนผู้ใช้งานถึงการประชุมที่กำลังจะมาถึง นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนผ่านอีเมล หรือแอปพลิเคชันเพื่อให้ผู้ใช้ไม่พลาดการประชุม การจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ  ระบบการจองห้องประชุมสามารถช่วยให้ผู้จัดการทรัพยากรเห็นภาพรวมการใช้ห้องประชุม และสามารถปรับเปลี่ยนการใช้ทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานห้องประชุมเพื่อนำไปปรับปรุง และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรได้ การใช้ระบบการจองห้องประชุมที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้องค์กรสามารถจัดการการประชุมได้อย่างมีประสิทธิผล ลดปัญหาความขัดแย้งในการจองห้อง และเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน 3. ควรมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่การประชุมออนไลน์กลายเป็นสิ่งจำเป็น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจะช่วยให้การสื่อสาร และการแลกเปลี่ยนข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วอย่างไม่มีสะดุด  ข้อดีของการใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงช่วยให้การประชุมออนไลน์เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีปัญหาการเชื่อมต่อขัดข้องหรือสัญญาณหลุด การสื่อสารผ่านวิดีโอคอลจะมีคุณภาพเสียง และภาพที่ชัดเจน ทำให้การประชุมเหมือนกับการประชุมในสถานที่เดียวกัน การทำงานร่วมกันในเวลาจริง อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงช่วยให้การแชร์ไฟล์ และการทำงานร่วมกันในเวลาจริงเป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการแชร์เอกสาร ภาพ หรือวิดีโอ การทำงานร่วมกันจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่เสียเวลา การเข้าถึงข้อมูลและแหล่งข้อมูลออนไลน์ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงช่วยให้ผู้เข้าร่วมการประชุมสามารถเข้าถึงข้อมูล และแหล่งข้อมูลออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นประโยชน์ในการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือนำเสนอข้อมูลในที่ประชุม การมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในห้องประชุมจะช่วยให้การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ เพิ่มความสะดวกสบายในการทำงานและการสื่อสาร เทคโนโลยีห้องประชุมที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ และ SMEs ที่ต้องการให้การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่น และมีประสิทธิผล การมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบ ระบบการจองห้องประชุมที่มีประสิทธิภาพ และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการประชุม ลดปัญหา และความขัดข้องในการจัดการการประชุม และเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน ดังนั้น การลงทุนในเทคโนโลยีห้องประชุมจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และสำคัญสำหรับการเติบโต รวมถึงความสำเร็จขององค์กร เช็กด่วน! ห้องประชุมของคุณ ยังขาดอุปกรณ์คุณภาพสำหรับห้องประชุมอยู่หรือไม่? OfficeMate มีอุปกรณ์สำนักงาน หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน พร้อมมอบประสบการณ์ทำงานที่ดีแบบที่คุณอาจไม่เคยพบมาก่อน สามารถเข้ามาเลือกดูได้ที่ ?

5 มิ.ย. 2024

PEAK Account

9 min

Happy Workplace สูตรลับสู่ความสำเร็จของ SMEs

ในยุคที่ธุรกิจมีการแข่งขันสูง การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี และมีความสุข (Happy Workplace) ไม่เพียงแต่จะช่วยให้พนักงานมีความสุข และประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น แต่ยังเป็นสูตรลับที่ช่วยให้ SMEs ประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน  บทความนี้ PEAK ร่วมกับ OfficeMate จะพาคุณไปรู้จักกับแนวทางในการสร้าง Happy Workplace ที่เน้นเรื่องการสร้างสุขภาพดี สังคมดี มีความรู้ และการทำงานที่ผ่อนคลายให้แก่พนักงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของธุรกิจ สร้างเสริมสุขภาพที่ดีแก่พนักงาน สุขภาพของพนักงานเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน หากพนักงานมีสุขภาพดี จะทำให้มีพลังงาน และความสามารถในการทำงานมากขึ้น การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ส่งเสริมสุขภาพสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การจัดเตรียมพื้นที่ออกกำลังกาย หรือการจัดกิจกรรมเพื่อสุขภาพ นอกจากนี้การสนับสนุนการมีพฤติกรรมการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยการจัดหาของว่างที่มีประโยชน์ และการให้ข้อมูลเกี่ยวกับโภชนาการที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับพนักงานได้ หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมสุขภาพของพนักงาน คือการเลือกใช้เก้าอี้ที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ (ergonomic chair) หรือ เก้าอี้เพื่อสุขภาพ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อลดความเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บจากการทำงาน และอาการปวดต่าง ๆ เช่น อาการปวดหลัง ปวดคอ และปวดไหล่ ซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยในพนักงานออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน เก้าอี้ ergonomic มีการออกแบบที่สามารถปรับระดับได้หลายส่วน เช่น ความสูงของเก้าอี้ พนักพิง และที่วางแขน เพื่อให้สามารถปรับให้เข้ากับสรีระของผู้ใช้งานได้อย่างเหมาะสม การปรับระดับเหล่านี้จะช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น ทำให้พนักงานสามารถนั่งทำงานได้ในท่าที่ถูกต้อง และสบายมากขึ้น นอกจากนี้การใช้เก้าอี้ ergonomic ยังช่วยส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตที่ดี ลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการบวมที่ขา และเท้า ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้ที่ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานในระยะยาว สร้างสังคมที่ดีในที่ทำงาน การสร้างสังคมที่ดีในที่ทำงาน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยให้พนักงานรู้สึกมีความสุข มุ่งมั่นในการทำงาน ซึ่งการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้าง และส่งเสริมการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งที่สำคัญ การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมความร่วมมือ หรือสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพนักงาน เช่น การจัดงานเลี้ยงหรือกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์ จะช่วยให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม และมีความมุ่งมั่นในการทำงานมากขึ้น การส่งเสริมการทำงานเป็นทีมและการช่วยเหลือกันในการทำงาน ยังเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างสังคมที่ดีในองค์กรได้ การเปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และการแสดงความคิดเห็นเป็นการแสดงถึงการยอมรับ และความสำคัญของพนักงาน ทำให้พนักงานรู้สึกมีคุณค่า มีความมุ่งมั่นในการทำงานมากขึ้น พัฒนาความรู้แก่พนักงาน การพัฒนาความรู้ และทักษะของพนักงานเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเติบโตของธุรกิจ การส่งเสริมให้พนักงานมีโอกาสในการเรียนรู้ และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง จะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงาน และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ การจัดอบรม หรือการเข้าร่วมสัมมนาต่าง ๆ จึงเป็นวิธีที่ดีในการเสริมสร้างความรู้ และทักษะให้กับพนักงาน นอกจากนี้ การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ในองค์กรโดยการสนับสนุนให้พนักงานมีการแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์ระหว่างกันเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับทีมงาน การให้โอกาสในการพัฒนาทางอาชีพและการสนับสนุนในการศึกษาต่อจะช่วยให้พนักงานรู้สึกมีอนาคตที่มั่นคง และมุ่งมั่นในการทำงานมากขึ้น สร้างบรรยากาศการทำงานที่ผ่อนคลาย การผ่อนคลายเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กับการทำงาน การให้พนักงานมีเวลาผ่อนคลาย และพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยลดความเครียด และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การจัดพื้นที่สำหรับการพักผ่อนในที่ทำงาน เช่น ห้องนั่งเล่น หรือสวนหย่อม เป็นวิธีที่ดีในการให้พนักงานได้ผ่อนคลาย และสร้างสมดุลในการทำงาน การจัดกิจกรรมที่สนุกสนาน และการสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายในการทำงาน เช่น การจัดกิจกรรมสันทนาการ หรือการส่งเสริมการทำงานในบรรยากาศที่เป็นกันเอง จะช่วยให้พนักงานรู้สึกผ่อนคลาย และมีความสุขในการทำงานมากขึ้น การสร้าง Happy Workplace ที่ดี และมีความสุขเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับ SMEs เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยให้พนักงานมีความสุข และมุ่งมั่นในการทำงาน แต่ยังเป็นการสร้างฐานที่แข็งแกร่งในการเติบโต และความสำเร็จของธุรกิจในระยะยาว การส่งเสริมสุขภาพที่ดี การสร้างสังคมที่ดี การหาความรู้ และการผ่อนคลาย เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ SMEs สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน อย่ารอช้า! มาสร้างพื้นที่ทำงานที่มีความสุขกับ OfficeMate มีอุปกรณ์สำนักงาน เฟอร์นิเจอร์ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้พนักงาน พร้อมมอบประสบการณ์ทำงานที่ดีแบบที่คุณอาจไม่เคยพบมาก่อน สามารถเข้ามาเลือกดูได้ที่