ความรู้ธุรกิจ

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

25 ต.ค. 2025

PEAK Account

16 min

ต้นทุนแฝง (Hidden Cost) ค่าใช้จ่ายที่ไม่ควรมองข้าม

เจ้าของกิจการบางท่านอาจเคยเจอปัญหา สินค้าขายดีมาก แต่ทำไมกำไรไม่เคยเหลือ? หนึ่งในสาเหตุคือ ต้นทุนแฝง ที่ซ่อนอยู่ในต้นทุนแต่หลายคนไม่รู้ตัว! ในบทความนี้เราพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับภัยเงียบนี้ ที่อาจกำลังส่งผลร้ายต่อธุรกิจของคุณอยู่! ต้นทุนแฝง คืออะไร? ต้นทุนแฝง คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการดำเนินธุรกิจ แต่ไม่ได้ถูกบันทึกจำแนกประเภทออกมาอย่างชัดเจน จนทำให้เจ้าของกิจการอาจจะไม่เห็นค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นค่าใช้จ่ายเล็กน้อยที่เกิดขึ้น ซ่อนอยู่ในค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ ๆ จนไม่มีใครสังเกตเห็น และไม่ได้นับเป็นต้นทุนตอนวางแผนธุรกิจ ซึ่งต้นทุนแฝง มักจะเริ่มแสดงตัวออกมาเมื่อกำไรในแต่ละเดือนของธุรกิจน้อยกว่าที่คาดไว้ ทั้งที่มีการวางแผนค่าใช้จ่ายไว้ทั้งหมดแล้ว ปัญหานี้อาจส่งผลต่อการวางแผนการเงินของธุรกิจได้ ดังนั้นเพื่อให้เจ้าของกิจการสามารถเห็นตัวเลขของ ‘ต้นทุนจริง’ ในบทความนี้เราชวนทุกท่านมาทำความรู้จักต้นทุนแฝง ไปจนถึงวิธีป้องกันไม่เห็นเกิดปัญหานี้กัน สาเหตุของต้นทุนที่ซ่อนอยู่ สาเหตุของต้นทุนแฝงมักมาจากค่าใช้จ่ายเล็กที่มักเป็นค่าใช้จ่ายทั่วไปในการทำธุรกิจ มูลค่าต่อครั้งไม่สูง แต่หากเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ก็รวมกันเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ได้ไม่ยาก  ยกตัวอย่างเช่น พนักงานขายที่จำเป็นต้องออกไปพบลูกค้าบ่อย และหลายครั้งเพื่อสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าก็มักจะเลี้ยงกาแฟลูกค้าอยู่เสมอ ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยครั้งละ 300 บาท หากในหนึ่งเดือนต้องออกไปเจอลูกค้า 30 ครั้ง เท่ากับว่าค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะสูงถึง 9,000 บาท! ซึ่งในบริษัทที่ไม่ได้มีการบันทึกบัญชีแบบแยกประเภทค่าใช้จ่ายอย่างถูกต้อง ก็อาจจะไม่เห็นตัวเลขตรงนี้ชัดเจน ยิ่งถ้าในบริษัทมีพนักงานขายหลายคน ก็อาจมีต้นทุนแฝงตรงนี้หลายหมื่นบาทได้เลย จากตัวอย่างเจ้าของกิจการน่าจะพอมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นหากไม่มีการจัดการค่าใช้จ่ายเล็กน้อยส่วนนี้ หรือไม่ได้มีการบ่งชี้ให้ชัดเจน ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ต้นทุนแฝง มีอะไรบ้าง? ซึ่ง ต้นทุนแฝง มีหลายรูปแบบ หลายรายการ ไม่ใช่เพียงแค่ค่ากาแฟเลี้ยงลูกค้า แต่ยังมีส่วนอื่น ๆ ตามรายการต่อไปนี้ 1. ต้นทุนแฝงจากค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด ต้นทุนแฝงอันดับต้น ๆ ที่เจ้าของกิจการอาจไม่เคยทราบว่ากำลังเกิดขึ้น มักจะเป็นค่าใช้จ่ายเล็กน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่อย่างเงินเดือนพนักงาน หรือค่าเช่าออฟฟิศ ซึ่งค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดประกอบไปด้วย 2. ต้นทุนแฝงจากการติดต่อสื่อสารและการเดินทาง ในบริษัทที่มีพนักงานเดินทางไปติดต่อขายสินค้าหรือหาลูกค้าใหม่ ๆ ที่ต้องมีค่าเดินทางและค่าโทรศัพท์ให้พนักงานขาย หากไม่ได้มีระบบการบันทึก ก็อาจกลายเป็นค่าใช้จ่ายที่ซ่อนตัวอยู่เพิ่มขึ้นมา ที่เมื่อรวมแล้วก็เป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ได้เช่นกัน 3. ต้นทุนแฝงจากสินค้าคงคลัง (สต๊อก) สำหรับธุรกิจที่มีการสต๊อกสินค้า ต้องบริหารจัดการสต๊อกให้ดี ไม่เช่นนั้นอาจเกิดต้นทุนแฝง ได้โดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าพื้นที่จัดเก็บสินค้า หรือสินค้าที่ขายไม่ออกจนตกรุ่น ก็อาจกลายเป็นหนึ่งในต้นทุนแฝงก้อนโต 4. ต้นทุนแฝงในรูปแบบของ “เวลา” ต้นทุนที่แพงที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะเวลาไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ และยิ่งในยุคปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง ทุกนาทีมีค่า เพราะอาจเสียโอกาสสร้างยอดขายไปจากความผิดพลาด หรือระบบที่ไม่แข็งแรงมากพอ โอกาสเกิดต้นทุนแฝง นั้นมีมากไม่รู้จบ ถ้าไม่มีการบันทึกรายได้อย่างเป็นระบบ หากคิดออกมาเป็นเงิน ก็ถือว่าเป็นก้อนโตที่ต้องเสียไปในแต่ละปี เจ้าของกิจการควรหาวิธีคลายปมแก้ไขทีละจุด เพื่อช่วยลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจลงไปได้มหาศาล เจ้าของกิจการจะรู้ได้อย่างไรว่ามี ต้นทุนแฝง อะไรบ้าง? คำถามถัดมาคือ แล้วเจ้าของกิจการจะรู้ได้อย่างไรว่าธุรกิจมีต้นทุนแฝงอยู่ ซึ่งคำตอบอยู่ใน “งบกำไรขาดทุน” (Profit and Loss Statement) ของธุรกิจของคุณนั่นเอง เพราะในงบกำไรขาดทุนจะมีตัวเลขต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในรอบระยะเวลาหนึ่งแสดงอยู่ เจ้าของกิจการจะได้เห็นภาพรวมของธุรกิจว่าจริง ๆ แล้ว จากยอดขายต่อเดือนเยอะ ๆ นั้นได้ กำไร หรือ ขาดทุน อย่างไรก็ตามปัญหาส่วนใหญ่ของงบกำไรขาดทุนคือมีการจัดหมวดหมู่แบบคร่าว ๆ ไม่ได้มีการจัดหมวดหมู่ได้อย่างถูกต้องจริง ๆ ทำให้เจ้าของกิจการไม่ได้เห็นต้นทุนแฝง แบบชัดเจน เพราะฉะนั้นเมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ควรเริ่มต้นจัดกลุ่มค่าใช้จ่ายให้ถูกต้องอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถบริหารค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น ซึ่งโดยปกติจะมีหมวดหมู่ดังนี้ ซึ่งภายใต้ของทั้งสองหมวดก็จะมีประเภทแยกย่อยลงไปอีก เพื่อความชัดเจนของค่าใช้จ่ายแต่ละส่วน ข้อควรระวังในการทำงบการเงินของเจ้าของกิจการ ปัญหาของงบกำไรขาดทุน ที่นำไปสู่การเกิดต้นทุนแฝง โดยไม่รู้ตัว คือ การระบุหมวดหมู่ของค่าใช้จ่ายไม่ถูกต้อง เพราะสาเหตุของต้นทุนแฝงมักเกิดขึ้นจากค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ค่ากระดาษ ได้ถูกบันทึกในค่าใช้จ่ายของสำนักงานหรือไม่? หรือ สินค้าที่เสียหายหรือค้างสต๊อก ได้บันทึกเป็นค่าใช้จ่ายที่เสียไปหรือไม่? ค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้บันทึกหมวดหมู่ หรือบางครั้งถูกลืมปล่อยผ่านไปเฉย ๆ คือ สาเหตุของ ต้นทุนแฝง ที่อาจกำลังทำร้ายธุรกิจของเราอยู่อย่างเงียบ ๆ เพราะฉะนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดต้นทุนแฝง ควรย้อนกลับไปตั้งแต่การจัดการระบบการบันทึกงบกำไรขาดทุน ที่นอกจากกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน ควรจัดหมวดหมู่ให้ถูกต้องด้วยเช่นกัน เหตุผลสำคัญที่เจ้าของกิจการควรรู้ ต้นทุนแฝง ผลกระทบของ ต้นทุนแฝง นั้นมหาศาลมากกว่าที่เจ้าของกิจการหลายท่านอาจคิดไว้ การลงบันทึกในงบการเงินจึงเป็นข้อสำคัญที่เจ้าของกิจการควรดูเป็นประจำ เพื่อให้เห็นค่าใช้จ่ายที่อาจซ่อนอยู่ ซึ่งผลกระทบของการลงบันทึกผิดพลาด หรือไม่ละเอียดมากพอ สามารถส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้ดังนี้ หยุดวงจรต้นทุนแฝง ก่อนจะสายเกินไป! เจ้าของกิจการควรตั้งคำถามเสมอว่า ทุกวันนี้เราได้เห็นต้นทุนจริงของธุรกิจหรือยัง? หรือยังมีค่าใช้จ่ายอะไรที่แอบซ่อนอยู่หรือไม่? เพื่อคอยเตือนให้ย้อนกลับไปอ่านงบการเงินเพื่อตรวจสอบ และจัดหมวดหมู่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ดี เพื่อปิดโอกาสไม่ให้เกิดต้นทุนแฝง หรือปัญหา “ขายดี แต่ทำไมกำไรไม่เหลือ” เริ่มต้นก่อน จัดการได้ก่อน ลดต้นทุนเพื่อธุรกิจที่เติบโต เทคนิคการใช้ PEAK เพื่อจัดกลุ่มค่าใช้จ่ายให้เจ้าของกิจการดูง่ายด้วยตัวเอง โปรแกรมบัญชี PEAK เปิดโอกาสให้เจ้าของกิจการ หรือพนักงานบัญชีสามารถจัดกลุ่มค่าใช้จ่ายตามแต่ละประเภทที่ต้องการได้ด้วยตัวเอง เพราะในธุรกิจแต่ละประเภทค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกัน เช่น ธุรกิจที่เป็น Work From Home 100% อาจจะไม่มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวข้องกับสำนักงาน โดยฟีเจอร์การตั้งค่างบกำไร ขาดทุน ของ PEAK สามารถจัดกลุ่มได้สองรูปแบบด้วยกัน ข้อดีสำคัญคือ เจ้าของกิจการสามารถประชุมกับทีมบัญชีเพื่อตั้งค่ากลุ่มค่าใช้จ่ายเหล่านี้ให้เหมาะสมกับแนวทางการดำเนินธุรกิจขององค์กรได้ สามารถอ่านข้อมูลการใช้งานเพิ่มเติมได้ที่นี่ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

15 ต.ค. 2025

PEAK Account

11 min

ค่าขนส่งกับการบันทึกบัญชี สิ่งที่ผู้ประกอบการห้ามมอง

ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าทางออนไลน์ น่าจะคุ้นเคยกับการคิด ค่าขนส่งสินค้า สินค้ากันเป็นอย่างดี แต่ผู้ประกอบการหลายท่านอาจยังไม่ทราบว่า ค่าขนส่งที่เรียกเก็บจากลูกค้านั้น ถือเป็นเงินที่ต้องรับรู้เป็นรายได้อีกด้วย! ในบทความนี้เราจะพาคุณมาดูความเกี่ยวข้องกับค่าขนส่งสินค้าและการบันทึกบัญชีกัน ค่าขนส่งสินค้า คืออะไร ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ค่าขนส่งสินค้า คือ ค่าใช้จ่ายที่ผู้ส่งต้องจ่ายให้กับบริษัทขนส่ง เพื่อนำสินค้าไปให้ถึงมือลูกค้า การเรียกเก็บเงินค่าขนส่งจากลูกค้าเป็นหน้าที่ของผู้ขาย แต่ผู้ประกอบการหลายท่านอาจไม่ทราบว่า ค่าขนส่งสินค้า เหล่านี้ ไม่ว่าจะมาจากการสั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หรือสั่งกับร้านโดยตรง ถือเป็นรายได้ของบริษัท และจำเป็นต้องทำการบันทึกบัญชีอย่างชัดเจน ค่าขนส่งสินค้ากับการบันทึกบัญชี การบันทึกบัญชีของค่าขนส่งสินค้า จะมี 2 เรื่องหลักที่ผู้ประกอบการและนักบัญชีควรทราบดังนี้ เมื่อไหร่ที่ค่าขนส่ง จะนับเป็นรายได้ของเรา? ปัจจัยสำคัญในการใช้ดูว่า ค่าขนส่งสินค้า จะนับเป็นรายได้ของเราหรือของแพลตฟอร์มออนไลน์ ต้องดูว่าใครเป็นผู้ออกใบเสร็จค่าขนส่งสินค้าให้ลูกค้า  ค่าขนส่งสินค้า มี VAT หรือไม่? ในกรณีที่ธุรกิจทำการจด VAT เรียบร้อยแล้วก็จำเป็นที่จะต้องมีการออกใบกำกับภาษีรวมค่าขนส่งสินค้า และรับรู้ภาษีขายจากค่าขนส่งสินค้าที่เรานับว่าเป็นรายได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ในกรณีที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ก็ไม่จำเป็นต้องคำนวณภาษีขายเพิ่ม ตัวอย่างการบันทึกบัญชีกรณีที่มีค่าขนส่งสินค้า ยกตัวอย่างการบันทึกบัญชีกรณีที่มีการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และจำเป็นต้องมีการบันทึกค่าขนส่งสินค้าเป็นรายได้ในบัญชี บริษัท A ขายเก้าอี้ผ่านช่องทางออนไลน์ราคา 1,000 บาท โดยมีค่าขนส่งสินค้าโดยบริษัทขนส่ง 50 บาท เมื่อลูกค้าชำระเงินและทำการจัดส่งสินค้าถึงมือลูกค้าเรียบร้อยแล้ว สามารถบันทึกบัญชีแยกได้ดังนี้ ราคารวมที่ลูกค้าต้องจ่ายคือ 1,000 + 50 = 1,050 บาท ทั้งนี้ หากบริษัท A ทำการจด VAT เรียบร้อยแล้วต้องทำการออกใบกำกับภาษี และต้องทำการบันทึกเป็นภาษีขาย 73.50 บาทด้วย โดยคิดเป็นราคารวม 1,123.50 บาท ทำไมบิลเก็บเงินค่าขนส่งสินค้า จากแพลตฟอร์มไม่ได้รวม VAT แต่ร้านค้าต้องคิด VAT? อีกหนึ่งคำถามที่หลายท่านอาจสงสัยเกี่ยวกับการคำนวณ VAT ของค่าขนส่งสินค้าจากแพลตฟอร์มออนไลน์ เพราะถ้าเราดูตัวอย่างใบเสร็จจากหัวข้อก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่าไม่ได้มีการคิด VAT มาด้วย แต่ทำไมร้านค้าถึงต้องคิด VAT เข้าไปในค่าขนส่งสินค้า ซึ่งคำตอบแยกได้เป็นสองส่วนดังนี้ เกิดอะไรขึ้นหากไม่ได้บันทึกค่าขนส่งสินค้า ลงในบัญชีบริษัท หากผู้ประกอบการไม่ได้ทำการลงบันทึกค่าขนส่งสินค้าเป็นรายได้ของบริษัท อาจทำให้ตัวเลขในรายการธุรกรรมมีความคลาดเคลื่อน เช่นในใบเสนอราคามีการเรียกเก็บค่าขนส่งสินค้ารวมเป็นจำนวนเงินที่เรียกเก็บจากลูกค้า แต่ในบันทึกบัญชีกลับไม่ได้มีจำนวนเงินค่าขนส่งสินค้าในส่วนนี้ อาจเกิดปัญหาตอนกระทบยอดตรวจสอบบัญชี และอาจส่งผลต่อการจัดการเรื่องภาษีได้ด้วยเช่นเดียวกัน เคล็ดลับลดข้อผิดพลาดในการบันทึกบัญชีสำหรับผู้ประกอบการ ในส่วนถัดมาเรามีเคล็ดลับสำหรับผู้ประกอบการในการลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการบันทึกบัญชี ซึ่งนอกจากการทำตารางบัญชีให้เข้าใจง่าย และการบันทึกบัญชีตามลำดับ ไม่ข้ามไปมา ยังมีปัจจัยอื่นที่เป็นส่วนช่วยให้ทำได้ง่ายยิ่งขึ้น จะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกัน เก็บเอกสารให้เป็นระบบ การทำงานบัญชีมักมาพร้อมกับเอกสารมากมายที่ต้องเก็บและจัดระเบียบ ดังนั้นการออกแบบระบบการจัดเก็บเอกสารที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี เอกสารเหล่านี้ควรได้รับการจัดหมวดหมู่อย่างเป็นระบบ และอาจเก็บทั้งรูปแบบไฟล์ และรูปแบบเอกสารจริง ตรงส่วนนี้หากจำเป็นต้องมีการอ้างอิงถึงเอกสารที่เก็บ นักบัญชีอาจต้องมีการบันทึกในบัญชีตามหมวดหมู่และระบบที่จัดเก็บ เช่น รหัสของเอกสาร เพื่อให้สามารถหยิบเอกสารเหล่านั้นออกมาตรวจสอบได้รวดเร็วมากขึ้น ทำสรุปบัญชีเป็นประจำทุกเดือน การทำบัญชีจำเป็นต้องทำเป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้เห็นภาพรวมด้านการเงิน และบัญชีของธุรกิจ ตรงส่วนนี้จะเป็นตัวช่วยประกอบการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ เพราะผู้ประกอบการจะได้เห็นธุรกรรมทั้งหมดในแต่ละเดือน สามารถใช้คาดการณ์ วางแผน หรือปรับปรุงแนวทางการดำเนินธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ การทำบัญชีในปัจจุบันมีการใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์เข้ามาช่วย เพื่อให้สามารถทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้น ทั้งยังลดข้อผิดพลาดลงได้ เพราะโปรแกรมเหล่านี้มักมาพร้อมฟีเจอร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านการบันทึกค่าใช้จ่าย การออกเอกสารที่เกี่ยวข้องอย่างใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จ/ใบกำกับภาษี ทั้งยังสามารถจัดทำรายงานได้แบบเรียลไทม์ รวมไปถึงช่วยในเรื่องการจัดการเรื่องภาษีอีกด้วย ดังนั้นการปรับใช้โปรแกรมบัญชีในการทำงานก็เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้การบันทึกบัญชีง่ายขึ้น และลดข้อผิดพลาดลงไปได้ บันทึกบัญชีง่าย ๆ ด้วยโปรแกรม PEAK Account PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่พร้อมเป็นตัวช่วยในการบันทึกบัญชี ด้วยฟีเจอร์สมุดบัญชีรายวัน ให้การบันทึกบัญชีง่ายยิ่งขึ้น และลดข้อผิดพลาด นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ การจัดการด้านเอกสารทั้งรายรับ รายจ่าย จัดการด้านการเงินและบัญชี การจัดการภาษี รวมไปถึงสต๊อกสินค้า เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำบัญชี เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเตรียมความพร้อมสู่การเติบโตของธุรกิจ

10 ต.ค. 2025

PEAK Account

12 min

การเชื่อมต่อ API เคล็ดลับลดเวลางานบัญชี สำหรับธุรกิจขายออนไลน์

ทุกวันนี้การปรับใช้โปรแกรมในการทำงานเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเร่งการเติบโตของธุรกิจ เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถช่วยลดเวลาการทำงาน อำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจได้ไม่รู้จบ และหนึ่งในเทคโนโลยีที่ช่วยผู้ประกอบการให้ทำธุรกิจง่ายขึ้นคือ การเชื่อมต่อ API ที่จะทำให้หลายโปรแกรมทำงานด้วยกันได้อย่างราบรื่น ซึ่งผู้ประกอบการหลายท่านอาจสงสัยว่า API คืออะไร และมีประโยชน์อะไรบ้าง มาค้นหาคำตอบในบทความนี้กันได้เลย การเชื่อมต่อ API ในการบันทึกบัญชีคืออะไร? การเชื่อมต่อ API (Application Programming Interface) คือการเชื่อมต่อเพื่อให้ระหว่างสองโปรแกรมขึ้นไปสามารถสื่อสารกันได้ โดยการสื่อสารนี้รวมไปถึงการถ่าย โอน ย้าย แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือการใช้งานฟังก์ชันต่าง ๆ ของระหว่างโปรแกรม โดย API จะทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโปรแกรมให้สามารถทำงานร่วมกันได้ ยกตัวอย่างเช่น โปรแกรม A และโปรแกรม B ทั้งสองโปรแกรมสามารถเข้าสู่ระบบด้วย Gmail และเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูลโปรไฟล์ใหม่ หากต้องการสมัครสมาชิกของโปรแกรม B  ดังนั้นโปรแกรม B จึงสร้าง API ขึ้นมาเพื่อให้สามารถดึงข้อมูลโปรไฟล์จากโปรแกรม A ได้นั่นเอง ซึ่งการเชื่อมต่อ API นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เพราะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของโปรแกรม เพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้งาน หลายโปรแกรมที่ดีจึงมักมาพร้อมกับระบบ API ให้สามารถเชื่อมต่อกับหลาย ๆ โปรแกรมที่มักใช้งานควบคู่กัน ในมุมของผู้ประกอบการที่กำลังมองหาโปรแกรมสำหรับใช้ในกิจการ ก็ควรเลือกโปรแกรมที่สามารถเชื่อมต่อ API ได้หลากหลาย ครอบคลุมกับการใช้งานของเรา ถ้าเป็นในกรณีของโปรแกรมบัญชีก็แนะนำให้มองหาโปรแกรมที่สามารถเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ หรือธนาคารก็จะสะดวกต่อการใช้งานมากที่สุดนั่นเอง ทำไมร้านค้าออนไลน์ต้องใช้ระบบ การเชื่อมต่อ API เพื่อบันทึกบัญชีอัตโนมัติ สำหรับฟีเจอร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกได้อย่างมากเมื่อใช้โปรแกรมที่มีการเชื่อมต่อ API คือการบันทึกบัญชีอัตโนมัติจากจำนวนออเดอร์ที่เข้ามา เพราะในธุรกิจที่ขายออนไลน์เป็นหลัก มีจำนวนคำสั่งซื้อเข้ามาต่อวันนับไม่ถ้วน การต้องมาบันทึกบัญชีด้วยตัวเองทุกรายการก็ใช้เวลาและแรงกายแรงใจเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังอาจเกิดความผิดพลาดในการลงข้อมูล ช่วยประหยัดเวลาการทำงาน ให้ผู้ประกอบการสามารถโฟกัสในเรื่องของการเพิ่มยอดขายได้อย่างเต็มที่ ตรงส่วนนี้โปรแกรมบัญชีที่เชื่อมต่อ API ได้คือคำตอบ  ทุกเอกสารเชื่อมตรงเข้าสู่ระบบบัญชี PEAK ซึ่ง PEAK Account ก็เป็นโปรแกรมบัญชีที่มีการเชื่อมต่อ API ครบถ้วนทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์และธนาคาร ที่สามารถดึงข้อมูลมาจากแพลตฟอร์มที่ใช้งานได้โดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูลด้วยตัวเอง ข้อดีตรงนี้จะช่วยลดเวลาการทำงาน ลดข้อผิดพลาด ได้โฟกัสกับส่วนที่จำเป็นมากกว่า อีกหนึ่งข้อดีที่ทำให้ผู้ประกอบการควรหันมาใช้โปรแกรมบัญชีคือ การจัดเก็บไฟล์เอกสารต่าง ๆ ที่ล้วนอยู่ในโปรแกรมสามารถเรียกดูได้ง่าย หรือจะโหลดเก็บไว้ในเครื่องก็ได้เช่นกัน หากเน้นทำธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ระบบการจัดเก็บเหล่านี้จะช่วยลดภาระของผู้ประกอบการลงไปได้เยอะพอสมควรเลยทีเดียว ส่วนผู้ประกอบการท่านไหนที่มีปัญหาเรื่องการทำงบหรือยื่นภาษี ที่มองว่ายุ่งยากและใช้เวลา การใช้โปรแกรมบัญชีที่ทุกระบบเชื่อมต่อกันก็จะทำให้การจัดการภาษีกลายเป็นเรื่องง่ายมากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าเพียงแค่โปรแกรมเดียวก็ช่วยวางรากฐานของระบบบัญชีของธุรกิจให้แข็งแรงเตรียมความพร้อมสู่การเติบโตในอนาคต การเชื่อมต่อ API ของ PEAK กับแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์สามารถทำอะไรได้บ้าง หนึ่งในโปรแกรมที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเชื่อมต่อกับ PEAK คือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ที่สามารถทำได้ทั้งการออกเอกสาร และบันทึกบัญชีอัตโนมัติเมื่อทำการเชื่อมต่อกับแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งในปัจจุบันโปรแกรม PEAK สามารถทำการเชื่อมต่อ API กับแพลตฟอร์มสำหรับขายสินค้าออนไลน์ได้ถึง 4 โปรแกรม ซึ่งตารางด้านล่างจะเป็นรายละเอียดของแต่ละโปรแกรมว่าเมื่อเชื่อมต่อกับ PEAK และจะส่งข้อมูลอะไรมาที่ PEAK ได้บ้าง ด้านเอกสาร ด้านเอกสารนับเป็นส่วนที่ค่อนข้างมีรายละเอียด และยุ่งยากในการจัดการพอสมควร หากจำเป็นต้องทำด้วยตัวเอง ดังนั้นโปรแกรม PEAK ที่สามารถเชื่อมต่อ API กับแต่ละแพลตฟอร์มขายสินค้าได้ ก็จะเรียกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเอกสารต่าง ๆ สำหรับการนำมาเก็บไว้เพื่อใช้เป็นหลักฐาน รวมไปถึงในการบันทึกบัญชี ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มสามารถดึงข้อมูลได้แตกต่างกัน เอกสารที่สามารถส่งข้อมูลระหว่างแพลตฟอร์มได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโปรแกรมต้นทางว่าสามารถส่งข้อมูลอะไรมายัง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ได้บ้าง ตัวอย่างหากขายสินค้าผ่านหลายแพลตฟอร์ม PEAK สามารถรับข้อมูลทางบัญชีมาสร้างเอกสารสำคัญและเก็บไว้ครบถ้วน ไม่ต้องคีย์เองทีละออเดอร์ ด้านการบันทึกบัญชีรายได้ ระบบช่วยบันทึกยอดขายและจัดหมวดหมู่ให้อัตโนมัติ ชัดเจนและตรวจสอบง่าย ในส่วนของการบันทึกบัญชี แต่ละแพลตฟอร์มก็สามารถส่งข้อมูลตรงมายัง PEAK เพื่อทำการบันทึกบัญชีได้เช่นกัน ซึ่งทั้ง 4 แพลตฟอร์มสามารถส่งข้อมูลรายได้ทั้งหมด 3 ส่วนด้วยกัน ความน่าสนใจคือ รายได้ค่าขนส่งสินค้า ที่ผู้ประกอบการบางท่านอาจไม่ทราบว่าต้องทำการบันทึกบัญชีรายได้เป็นรายการแยกออกจากค่าสินค้าด้วย ซึ่งส่วนนี้โปรแกรม PEAK ที่เชื่อมต่อ API กับแพลตฟอร์มก็จะดึงข้อมูลและทำการบันทึกส่วนนี้ให้โดยอัตโนมัติ สะดวกและรวดเร็วกว่าการทำด้วยตัวเองอย่างแน่นอน ตัวอย่างสถานการณ์การใช้โปรแกรม PEAK ในธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ บริษัท A ขายเสื้อผ้าผ่านหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Shopee, Lazada, TikTok, หรือ Line Shopping และในปัจจุบันก็เป็นช่วงขาขึ้นขายสินค้าดีทุกช่องทาง มียอดขายเข้ามาไม่หยุดหย่อน โดยเฉลี่ยแล้ว 30 ออเดอร์ต่อแพลตฟอร์ม ซึ่งในการบันทึกบัญชีก็ต้องไปดูรายการแต่ละแพลตฟอร์มเพื่อทำการบันทึก ซึ่งอาจใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วโมงและมีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน แต่ถ้าบริษัท A เลือกใช้โปรแกรมบัญชีที่มีการเชื่อมต่อ API กับแพลตฟอร์มทั้ง 4 แพลตฟอร์มได้ ก็สามารถดึงข้อมูลออเดอร์ทั้ง 3 แพลตฟอร์มบันทึกบัญชีให้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาทำข้อมูลเอง เตรียมความพร้อมสู่การเติบโตด้วยโปรแกรมบัญชี PEAK Account ด้วยเหตุนี้ถ้าคุณกำลังทำธุรกิจขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เหล่านี้ การปรับใช้ PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่มีการเชื่อมต่อ API อีกทั้งยังมาพร้อมฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานบัญชีและภาษี ที่สามารถช่วยจัดการข้อมูลสินค้า จัดการรายรับ-รายจ่าย รวมไปถึงบริหารจัดการข้อมูลการเงินและบัญชีโปรแกรม PEAK จึงไม่ได้ช่วยเพียงแค่การบันทึกยอดขายอย่างเดียว แต่ยังช่วยจัดการเรื่องการเงินและบัญชีได้อย่างรอบด้าน ช่วยให้สามารถวางรากฐานระบบบัญชีของธุรกิจให้มั่นคง ลดระยะเวลาการทำงาน ให้ผู้ประกอบการสามารถโฟกัสกับส่วนที่จำเป็นต่อยอดขายหรือการเติบโตของกิจการได้อย่างเต็มที่ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

3 ต.ค. 2025

PEAK Account

17 min

หยุดความเสี่ยง! รู้จักบัญชีม้า กลโกงมิจฉาชีพ และวิธีป้องกันธุรกิจคุณ

ช่วงนี้หลายท่านอาจได้ยินคำว่าบัญชีม้ากันบ่อย ๆ แต่ไม่เคยเข้าใจว่ามันคืออะไร บางท่านอาจมีคนใกล้ตัวถูกหลอกให้เปิดบัญชีม้าจนถูกดำเนินคดี หรือผู้ประกอบการบางท่านอาจสงสัยว่ามีเงินโอนเข้าบ่อย ๆ จะถูกอายัดบัญชีหรือไม่ ในบทความนี้เรารวบรวมความรู้เกี่ยวกับ บัญชีม้า กลโกงของมิจฉาชีพ และวิธีป้องกันไว้ให้คุณ บัญชีม้า คืออะไร? บัญชีม้า คือ บัญชีเงินฝากที่เจ้าของชื่อบัญชีไม่ได้เปิดขึ้นมาเพื่อใช้งานบัญชีดังกล่าวด้วยตัวเอง แต่เปิดบัญชีเพื่อให้มิจฉาชีพใช้ในการโอนเงินผิดกฎหมาย หรือรับเงินที่ได้มาจากการหลอกลวง ไม่ว่าจะเป็นเงินจากการพนันผิดกฎหมาย แก๊งคอลเซนเตอร์ที่หลอกลวงเงินจากผู้อื่น หรือแม้กระทั่งการฟอกเงิน ก็มักใช้บัญชีม้าเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถติดตามไปจนถึงต้นตอผู้กระทำผิด เพราะไม่สามารถโยงเส้นทางการเงินไปหาตัวได้นั่นเอง นอกจากนี้ในบางครั้งผู้ที่เปิดบัญชีม้าก็ถูกหลอกจากมิจฉาชีพให้เปิดบัญชีม้ามาอีกที ทำให้หลายครั้งกระทำความผิดโดยไม่รู้ตัว แต่หากถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบก็นับว่ามีความผิดทางกฎหมายเช่นกัน ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันตนเองส่วนถัดไปของบทความนี้เราจะมาแนะนำวิธีป้องกันจากการถูกหลอก พร้อมแนวทางการจัดการเมื่อถูกหลอกเปิดบัญชีม้า หรือถูกอายัดบัญชีเนื่องจากเข้าข่ายเป็นต้องสงสัยกัน เหตุผลที่เรียกว่า บัญชีม้า แต่ก่อนอื่น หลายท่านน่าจะสงสัยว่า ทำไมเรียกบัญชีม้า ซึ่งเหตุผลก็เพราะว่า ม้า ในที่นี้เปรียบเสมือนยานพาหนะสำหรับการพาเงินที่ได้มาจากการโกงผู้อื่น หรือเงินผิดกฎหมายที่ได้จากผู้ถูกหลอกลวง ไปสู่บัญชีของตนเองนั่นเอง และเพื่อให้สามารถติดตามตรวจสอบได้ยาก จึงมีการใช้ ม้า หรือ บัญชีม้า มาเป็นตัวกลางนั่นเอง บัญชีม้า แต่ละสี/ประเภท ข้อบ่งชี้ระดับความเสี่ยงของบัญชี บัญชีม้านั้นมีหลายระดับ โดยสามารถแบ่งตามระดับความเสี่ยงของการเข้าข่ายเป็นบัญชีม้า โดยสามารถเรียงลำดับได้ดังนี้ บัญชีธุรกิจที่มีความเสี่ยงเป็นบัญชีต้องสงสัย เงื่อนไขการเข้าข่ายเป็นบัญชีม้านั้นมีหลายแบบ แต่ด้วยรูปแบบของการดำเนินธุรกิจบางครั้งอาจทำให้สุ่มเสี่ยงเป็นบัญชีม้ามากเป็นพิเศษ โดยสามารถแบ่งเงื่อนไขได้เป็นดังนี้ ดังนั้นผู้ประกอบการท่านไหนที่บัญชีของธุรกิจเข้าข่ายทั้ง 3 ข้อนี้ก็มีโอกาสโดนตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ ดังนั้นควรเตรียมเอกสารเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของเส้นทางการเงินให้ครบถ้วน เพราะหากถูกระงับบัญชีเพื่อตรวจสอบ ก็สามารถกู้คืนกลับมาได้เร็วยิ่งขึ้น โอนเงินเข้าออกหลายครั้ง เข้าข่ายเป็นบัญชีม้าหรือไม่? หากบัญชีของคุณมีการโอนเงินเข้าออกหลายครั้ง อาจจะยังไม่นับว่าเป็นบัญชีม้า แต่อาจถูกตรวจสอบโดยทางกฎหมายได้มีการกำหนดเงื่อนไขประเภทของบัญชีที่ต้องทำการชี้แจงที่มาของเงินดังนี้ หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่ต้องรับเงินเข้าบัญชีตัวเองหลายครั้งต่อปี แต่หากยังไม่ถึงกำหนดข้างต้นก็ไม่จำเป็นต้องกังวล แต่ทั้งนี้แนะนำให้เก็บเอกสารไว้ให้ครบถ้วนสำหรับการยื่นให้สรรพากรในกรณีที่มีการตรวจสอบ บทลงโทษของการเปิดบัญชีม้า หากชื่อบัญชีของคุณถูกนำไปใช้เป็นเส้นทางการเงินผิดกฎหมายหรือกลายเป็นบัญชีม้า ก็เข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมายที่มีบทลงโทษกำหนดไว้อย่างชัดเจน โดยผู้กระทำความผิดจะเป็นทั้งผู้ที่นำบัญชีม้าไปใช้ และชื่อของผู้เปิดบัญชีอีกด้วย ซึ่งข้อกฎหมายนี้อยู่ใน พระราชกำหนด มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ได้มีการระบุบทลงโทษไว้ว่าจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีและปรับไม่เกิน 300,000 บาท โดยผู้ที่เข้าข่ายจะรวมตั้งแต่การเปิดบัญชี หรือยินยอมให้ใช้บัญชีธนาคารในการรับเงินผิดกฎหมาย หรือชำระเงินเกี่ยวกับสิ่งที่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ข้อกฎหมายยังกำหนดครอบคลุมไปถึงบัญชีธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ บัตรเครดิต และบัตรเดบิต ในส่วนของผู้ที่จัดหาหรือโฆษณาเชิญชวนผู้อื่นให้เปิดบัญชีม้าก็มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2-5 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000 – 500,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับด้วยนั่นเอง เป็นอีกหนึ่งการกระทำความผิดที่มีบทลงโทษรุนแรง ผลกระทบจากการต้องสงสัยและถูกระงับบัญชี สำหรับผู้ประกอบการแล้ว หากบัญชีของธุรกิจถูกระงับเนื่องจากเข้าข่ายต้องสงสัยว่าเป็นบัญชีม้าต้องส่งผลกระทบร้ายแรงสำหรับการดำเนินกิจการในหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน ที่หากบัญชีถูกระงับหรืออยู่ในระหว่างการตรวจสอบ ห้ามทำธุรกรรม ก็อาจทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินเดือนพนักงาน ส่งผลต่อไปถึงความน่าเชื่อถือของบริษัท นอกจากนี้ในมุมที่เกี่ยวข้องกับคนนอกบริษัท หากบริษัทจำเป็นต้องชำระหนี้ทุกเดือน แต่ไม่สามารถโอนเงินออกจากบัญชีได้ก็ส่งผลกระทบในส่วนนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ ความไว้ใจในการทำธุรกิจระหว่างองค์กรด้วยเช่นเดียวกัน ในที่นี้ก็อาจรวมไปถึงการบริหารเงินภายในองค์กรเองด้วย ด้วยเหตุนี้นักบัญชีหรือผู้ประกอบการควรที่จะให้ความสำคัญ วางแผนล่วงหน้าหากธุรกิจของเราอาจถูกตรวจสอบ ด้วยการเตรียมเงินสดสำรอง รวมไปถึงการเตรียมเอกสารหลักฐานสำคัญที่ใช้ในการยืนยันความบริสุทธิ์ให้แก่เจ้าหน้าที่ เพื่อให้สามารถจัดการบัญชีให้กลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็วหากถูกตรวจสอบ วิธีป้องกันบัญชีบริษัทไม่ให้กลายเป็นบัญชีม้า ในส่วนนี้เราได้รวบรวมวิธีป้องกันเบื้องต้น ที่ช่วยให้บัญชีขององค์กรไม่ให้เข้าข่ายสุ่มเสี่ยงกลายเป็นบัญชีม้าโดยไม่รู้ตัว ซึ่งโดยหลักแล้วธุรกิจสามารถป้องกันได้ด้วยการจัดการระบบควบคุมภายใน (Internal Control) ขององค์กรให้ชัดเจน มีความเป็นระเบียบ แบ่งแยกหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง โดยสามารถทำได้ 3 ข้อดังนี้ 1. แบ่งแยกหน้าที่ระหว่างฝ่ายบัญชีและการเงินให้ชัดเจน (Segregation of Duties) เพราะการทำงานที่ทับซ้อนหรือไม่ชัดเจนอาจก่อให้เกิดความผิดพลาดในการจัดการระบบภายในองค์กรได้ หรือการแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจน และห้ามให้มีการผ่อนปรนอันเป็นโอกาสนำไปสู่ปัญหาได้ ซึ่ง Segregation of Duties หรือ SoD สามารถทำได้หลัก ๆ ดังนี้ ซึ่งการจัดการระบบภายในเหล่านี้จะช่วยให้ทำงานกันอย่างลื่นไหล เป็นระเบียบ ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด ซึ่งรวมไปถึงปิดช่องโหว่การฉ้อโกง เพิ่มความโปร่งใสในการทำงาน และลดโอกาสที่จะทำให้บัญชีเข้าข่ายต้องสงสัย หรือหากมีการตรวจสอบก็มีหลักฐานชัดเจน 2. ตรวจสอบรายการบัญชีเป็นประจำ เนื่องจากบัญชีม้ามีความเกี่ยวข้องกับการเดินบัญชี ดังนั้นการตรวจสอบรายการบัญชีของธุรกิจเป็นประจำอย่างต่อเนื่องสามารถช่วยป้องกันได้ระดับหนึ่ง หรืออาจดูจากจำนวนครั้งการโอน และยอดการโอนที่หากเข้าข่ายต้องได้รับการตรวจสอบจากกรมสรรพากร นักบัญชีอาจเตรียมเอกสารการชี้แจงต่าง ๆ ให้พร้อมเพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบเร็วยิ่งขึ้น 3. กำหนดผู้มีอำนาจในตรวจสอบอนุมัติ การทำธุรกรรมแต่ละครั้งควรมีผู้มีอำนาจไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการฝ่ายบัญชี หรือเจ้าของธุรกิจรับหน้าที่ตรวจสอบรายการธุรกรรมและเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีของบริษัท เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการโกงโดยพนักงาน หรือมีการโอนเงินที่ผิดปกติ 4. จัดเก็บเอกสารด้านบัญชีอย่างเป็นระบบ หากธุรกิจเข้าข่ายสุ่มเสี่ยงและถูกตรวจสอบจากผู้มีอำนาจ ผู้ประกอบการสามารถยืนยันความบริสุทธิ์ของเส้นทางการเงินบริษัทได้ด้วยการแสดงเอกสารต่าง ๆ เช่น ใบแจ้งหนี้ หรือใบเสร็จรับเงินที่สามารถใช้เป็นหลักฐานแสดงความบริสุทธิ์ได้ ดังนั้นนักบัญชีหรือผู้ประกอบการควรวางระบบภายในที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บเอกสาร เช่น การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ควบคู่กับการเก็บเอกสารฉบับจริง ก็สามารถช่วยให้จัดการเอกสารด้านบัญชีให้เป็นระเบียบ เรียกดูเอกสารแต่ละฉบับได้ง่ายมากขึ้นได้ Checklist เอกสารที่ต้องเตรียม เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเส้นทางการเงินบริษัท ในกรณีที่บริษัทถูกตรวจสอบจากผู้มีอำนาจ เนื่องจากเข้าข่ายเสี่ยงเป็นบัญชีม้า ผู้ประกอบการหรือนักบัญชีสามารถจัดเตรียมเอกสารให้เรียบร้อยสำหรับการยืนยันเส้นทางการเงิน เป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้องค์กร โดยมีเอกสารทั้งหมด 4 ส่วนดังนี้ ซึ่งเอกสารเหล่านี้สามารถใช้ในการยืนยันถึงเส้นทางการเงินของบริษัทได้ ดังนั้นผู้ประกอบการควรมีการวางระบบจัดการเอกสารให้ชัดเจน หากมีความจำเป็นต้องยื่นเอกสารเหล่านี้ประกอบก็สามารถทำได้รวดเร็วและถูกต้องมากยิ่งขึ้น โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ตัวช่วยจัดการเอกสารด้านบัญชีในองค์กร จากที่เราได้แนะนำก่อนหน้านี้ว่า การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ควบคู่ไปกับการจัดเก็บเอกสารฉบับจริง ก็ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการระบบเอกสารเหล่านี้ได้ดีมากยิ่งขึ้น สามารถเรียกดูได้ง่าย ลดโอกาสที่เอกสารจะสูญหาย รวมไปถึงสามารถดูข้อมูลได้อย่างชัดเจน ซึ่ง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ก็เป็นหนึ่งในโปรแกรมด้านบัญชีที่สามารถใช้ในการจัดการระบบบัญชีในองค์กร มาพร้อมฟีเจอร์ด้านบัญชีต่าง ๆ มากมาย ที่นอกจากช่วยการจัดการเอกสารในการยืนยันความบริสุทธิ์จากการเข้าข่ายเป็นบัญชีม้า ยังสามารถออกเอกสารบัญชี เรียกดูรายงาน เพื่อการวิเคราะห์ด้านการเงินของธุรกิจได้อย่างแม่นยำ! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

27 ก.ย. 2025

PEAK Account

13 min

หนังสือรับรองรายได้ คืออะไร? รวมทุกเรื่องที่ควรรู้

หนังสือรับรองรายได้ เป็นเอกสารจำเป็นที่ผู้ประกอบการต้องรู้ เพราะนับเป็นเอกสารสำคัญสำหรับพนักงานในการนำไปใช้ยื่นทำธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน หรือเพื่อเป็นการยืนยันสถานะพนักงาน แต่ถ้าผู้ประกอบการไม่รู้จักเอกสารนี้ดี ออกให้ผิด หรือข้อมูลไม่ครบถ้วน ก็อาจทำให้พนักงานไม่สามารถใช้เอกสารดังกล่าวได้ และเกิดปัญหาตามมา ในบทความนี้เราเลยขอพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับหนังสือรับรองรายได้ และข้อมูลสำคัญที่ต้องมี ทำความรู้จัก หนังสือรับรองรายได้ หนังสือรับรองรายได้ คือ หนังสือที่มักนำไปใช้เป็นหลักฐานในการยืนยันสถานะการเป็นพนักงาน หรือจำนวนเงินเดือนเพื่อแสดงสถานะความมั่นคงทางการเงิน เพราะในเอกสารจะระบุรายได้ของบุคคลดังกล่าวประกอบไปด้วย เงินเดือน เงินพิเศษ หรือโบนัส ซึ่งมักเป็นเอกสารที่จำเป็นต้องใช้เมื่อขอทำธุรกรรมทางการเงิน สมัครบัตรเครดิต กู้เงิน หรือในบางครั้งใช้เป็นหลักฐานประกอบเวลาขอวีซ่าเพื่อเดินทางไปต่างประเทศได้เช่นกัน ซึ่งหนังสือรับรองรายได้มักเป็นรูปแบบของหนังสือรับรองเงินเดือน สำหรับพนักงานประจำ หรือหนังสือรับรองการหักภาษี ณ​ ที่จ่ายสำหรับพนักงานอิสระ ข้อมูลที่ต้องมีในหนังสือรับรองรายได้ ข้อมูลในหนังสือรับรองรายได้มีความสำคัญและต้องระบุทั้งหมดให้ถูกต้องครบถ้วนเพื่อให้เอกสารนั้นสามารถใช้เป็นหลักฐานในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ของพนักงานได้ โดยเอกสารหนังสือรับรองรายได้ ในรูปแบบที่เป็น หนังสือรับรองเงินเดือน สำหรับออกให้พนักงานประจำต้องมีข้อมูลดังนี้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้นายจ้างสามารถทำเป็นร่างเอกสารที่เว้นพื้นที่สำหรับกรอกข้อมูลต่าง ๆ ได้ เพื่อเวลาที่ต้องออกเอกสารให้พนักงานจริง ๆ สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว ไม่ต้องพิมพ์เอกสารใหม่ทุกครั้ง โดยจากตัวอย่างจะเป็น หนังสือรับรองเงินเดือน ที่เป็นเอกสารรับรองรายได้สำหรับพนักงานประจำ แต่ในกรณีที่เป็นพนักงานอิสระก็สามารถออกเอกสารรับรองรายได้ให้ได้เช่นเดียวกัน หนังสือรับรองรายได้สำหรับพนักงานอิสระ บางบริษัทที่มีการว่าจ้างพนักงานอิสระ หรือ พนักงานฟรีแลนซ์ในการทำงาน โดยพนักงานอิสระที่บริษัทดังกล่าวว่าจ้างก็มีสิทธิ์ที่จะขอหนังสือรับรองรายได้ได้เช่นเดียวกัน โดยเอกสารนี้จะเป็นรูปแบบของเอกสาร 50 ทวิ หรือหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งสามารถใช้เป็นหลักฐานในการรับรองรายได้ของพนักงานฟรีแลนซ์ในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ใช้ในการจัดการด้านภาษี อย่างการยื่นขอคืนภาษีได้เช่นเดียวกัน ซึ่งในเอกสาร 50 ทวิจะมีรูปแบบกำหนดมาโดยกรมสรรพากร สามารถนำข้อมูลไปกรอกได้เลย ทั้งนี้อย่าลืมตรวจสอบข้อมูลให้เรียบร้อยก่อนส่งมอบให้พนักงานเพื่อความถูกต้อง โดยในส่วนของวิธีการออก 50 ทวิ สามารถทำได้ผ่านโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับด้านการบริหารบุคคล ที่สามารถลงบันทึกบัญชีและออกเอกสาร 50 ทวิได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และสามารถส่งผ่านอีเมลได้อีกด้วย โดยปกติแล้วหากเป็นพนักงานอิสระ ผู้ประกอบการต้องออกหนังสือ 50 ทวิให้พนักงานทันทีหลังจากที่ทำการจ่ายเงินและหักภาษี ณ ที่จ่ายเรียบร้อยแล้วนั่นเอง หนังสือรับรองรายได้ต้องออกเมื่อไหร่ และใครเป็นผู้ออกหนังสือรับรองรายได้ หนังสือรับรองรายได้ ในกรณีที่เป็นหนังสือรับรองเงินเดือนออกให้พนักงานประจำสามารถออกได้เมื่อมีพนักงานขอ และเป็นหน้าที่ของผู้มีอำนาจในบริษัทสามารถเป็นฝ่ายบุคคล หรือฝ่ายบัญชีขึ้นอยู่กับการมอบหมาย โดยการออกหนังสือรับรองรายได้ ก็เป็นอีกหนึ่งเอกสารที่ต้องให้ความสำคัญในรายละเอียดความถูกต้อง และจำเป็นต้องลงลายมือชื่อของผู้มีอำนาจ หรือลงตราประทับทุกครั้ง เพราะหากมีการปลอมแปลงเอกสารเกิดขึ้น อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของบริษัทได้ นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้เอกสารทำให้พนักงานสามารถนำไปใช้ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น แต่ในส่วนของพนักงานอิสระ โดยปกติผู้ว่าจ้างต้องออกเอกสาร 50 ทวิให้หลังจากที่ทำการจ่ายเงินและหักภาษี​ ณ ที่จ่ายเสร็จสิ้น และในส่วนของผู้ออกเอกสารก็เป็นหน้าที่ของผู้ได้รับมอบหมาย ขึ้นอยู่กับการจัดการภายในของแต่ละธุรกิจ หลังจากออกเอกสารแล้วหนังสือรับรองรายได้มีอายุการใช้งานถึงเมื่อไหร่? รายได้ของพนักงานสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และรวมไปถึงการเปลี่ยนงานของพนักงานเช่นกัน ดังนั้นหนังสือรับรองเงินเดือนจึงมีการกำหนดอายุการใช้งาน ที่หนังสือแต่ละฉบับนั้นสามารถนำไปใช้ในการยื่นทำธุรกรรม หรือใช้เป็นหลักฐานได้ โดยอายุของหนังสือรับรองรายได้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน โดยสามารถแบ่งได้เป็นสามส่วนดังนี้ หนังสือรับรองรายได้สามารถนำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง? โดยส่วนใหญ่การขอหนังสือรับรองรายได้ของพนักงาน มักนำไปใช้ในวัตถุประสงค์ด้านการทำธุรกรรมการเงินกับธนาคาร เพราะหนังสือรับรองรายได้ใช้เป็นหลักฐานรายได้ของพนักงานว่ามีเงินรายเดือน สามารถชำระสินเชื่อหรือบัตรเครดิตได้จริงตามที่กำหนด รวมไปถึงวงเงินบัตรเครดิตที่ทางธนาคารจะให้ก็ขึ้นอยู่กับเงินเดือนในหนังสือรับรองรายได้ของพนักงานเช่นกัน ในส่วนของกรณีการยื่นขอวีซ่า หลายครั้งก็ใช้หนังสือรับรองรายได้เช่นเดียวกัน เพราะนอกจากช่วยแสดงความมั่นคงด้านการเงิน ก็ช่วยเป็นหลักฐานยืนยันได้ด้วยว่าบุคคลดังกล่าวมีอาชีพอยู่ในประเทศไทย เพิ่มโอกาสในการพิจารณาให้วีซ่าของประเทศนั้น ๆ ได้ นอกจากนี้อาจมีเอกสารอื่นประกอบ เช่น เอกสารรับรองการทำงาน ข้อควรระวังในการออกหนังสือรับรองรายได้ หนังสือรับรองรายได้มักใช้เป็นหลักฐานในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ของพนักงาน เพราะฉะนั้นในฐานะนายจ้างก็ควรที่จะต้องให้ความสำคัญกับรายละเอียดในเอกสาร เพื่อให้ข้อมูลได้อย่างถูกต้อง และพนักงานสามารถนำเอกสารดังกล่าวไปใช้เป็นหลักฐานตามจุดมุ่งหมายได้จริง ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ข้อควรระวังที่ผู้ประกอบการ หรือผู้มีอำนาจในการออกเอกสารควรให้ความสำคัญ คือ ข้อมูลในเอกสารที่ต้องใส่ให้ถูกต้องทั้งหมด และมีการลงนามอย่างชัดเจนเพื่อยืนยันความถูกต้องของเอกสารสามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานได้จริง ออกหนังสือรับรองรายได้อย่างไร ให้สะดวก รวดเร็วมากที่สุด การออกหนังสือรับรองรายได้ ถึงแม้จะดูไม่ใช่งานที่ใช้เวลาหรือซับซ้อนมาก แต่ถ้าจำเป็นต้องออกหลาย ๆ ครั้งก็กินเวลาการทำงานของผู้รับผิดชอบไปพอสมควร ดังนั้นเพื่อให้การออกเอกสารนี้ง่ายยิ่งขึ้นเราแนะนำให้มีการทำรูปแบบเตรียมไว้ สามารถกรอกข้อมูลและพิมพ์เอกสารได้สะดวกขึ้นนั้นเองในส่วนของธุรกิจที่มีการจ้างพนักงานอิสระต้องออกใบ 50 ทวิให้อยู่แล้ว และพนักงานอิสระสามารถนำเอกสารนี้ไปใช้เป็นหนังสือรับรองรายได้ แนะนำให้ใช้โปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ PEAK ที่มีฟีเจอร์ในการออกเอกสาร 50 ทวิได้อย่างรวดเร็ว พร้อมส่งผ่านอีเมลหรือพิมพ์ออกมาเป็นเอกสาร ช่วยลดขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยากเพื่อประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

27 ก.ย. 2025

PEAK Account

16 min

รวมวิธีออก ใบเสร็จรับเงิน เลือกใช้แบบไหนให้เหมาะกับธุรกิจ

วิธีการ ออกใบเสร็จรับเงิน สามารถทำได้หลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละวิธีก็เหมาะสมกับธุรกิจที่แตกต่างกันออกไป ในบทความนี้เรารวบรวมวิธีการทำใบเสร็จรับเงินที่หลายธุรกิจนิยมใช้ พร้อมแนะนำรูปแบบที่เหมาะสมกับธุรกิจในยุคปัจจุบัน ใบเสร็จรับเงิน คืออะไร? ใบเสร็จรับเงิน คือ เอกสารที่ผู้ประกอบการต้องออกให้แก่ลูกค้าเมื่อทำการขายสินค้า โดยใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐานยืนยันว่าผู้ขายได้รับเงินจากผู้ซื้อเรียบร้อยแล้ว ตัวอย่างใบเสร็จรับเงินในแต่ละรูปแบบ ใบเสร็จรับเงินมีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ถึงแม้ว่าจะมีวัตถุประสงค์เพื่อการใช้เป็นหลักฐาน แต่ในหลายครั้งใบเสร็จรับเงินก็มักใช้ร่วมกับเอกสารอื่น เช่น ใบกำกับภาษี โดยเห็นตัวอย่างได้จากใบเสร็จที่มีการเขียนกำกับในหัวเอกสารว่า “ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี” ซึ่งปกติแล้วจะมีเอกสารทั้งหมด 3 รูปแบบ  ซึ่งในรูปแบบที่ 2 และ 3 ที่เป็นใบเสร็จรับเงินและใบกำกับภาษี ผู้ประกอบการที่สามารถออกเอกสารได้ต้องเป็นผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ในส่วนของรูปแบบที่ 1 มักใช้ธุรกิจที่ยังไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือร้านค้าขนาดเล็ก ไม่ได้มีการใช้ระบบ POS หรือใช้โปรแกรมบัญชีในการออกเอกสาร ส่วนมากจะเขียนเอกสารด้วยมือ ซึ่งจะมีข้อควรระวังในด้านความถูกต้องของเอกสาร เพราะหากออกผิด ไม่ครบถ้วนตามกำหนด ใบเสร็จรับเงินดังกล่าวจะไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานการรับเงินได้ ดังนั้นแล้วสำหรับผู้ประกอบการ การออกใบเสร็จรับเงินจึงเป็นขั้นตอนที่ควรให้ความสำคัญไม่แพ้กับการออกเอกสารอื่น เช่น ใบแจ้งหนี้ หรือใบวางบิล ออกใบเสร็จรับเงิน รูปแบบไหนได้บ้าง? เพื่อลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดในการออกเอกสารของผู้ประกอบการ ในส่วนถัดมาเราจะแนะนำวิธีการสร้างใบเสร็จรับเงินทุกรูปแบบ เพื่อให้ผู้ประกอบการเลือกใช้รูปแบบที่ตอบโจทย์ และเหมาะสมกับธุรกิจ ซึ่งวิธีที่สะดวกที่สุดสามารถทำได้ 3 รูปแบบด้วยกันดังนี้ 1. เขียนด้วยมือ อันดับแรกการเขียนด้วยมือผ่านการใช้กระดาษคาร์บอน ที่มักใช้ในการทำบิลเงินสด วิธีการทำใบเสร็จรับเงินรูปแบบนี้จะมีขั้นตอนที่ง่าย เมื่อรับเงินเสร็จสามารถเขียนให้ลูกค้าได้ทันที แต่ก็มาพร้อมปัญหาที่อาจเกิดจากความผิดพลาดในการเขียนเอกสารจนทำให้ไม่สามารถใช้เอกสารเป็นหลักฐานได้  นอกจากนี้ยังมีขั้นตอนการเก็บรักษาที่ยุ่งยากเพราะเป็นกระดาษจริง ถ้าเก็บเอกสารไม่เป็นระเบียบอาจมีเอกสารสูญหาย หรือต้องใช้เวลานานในการค้นหา โดยเฉพาะในธุรกิจที่ต้องออกใบเสร็จรับเงินเป็นประจำ รวมไปถึงเรื่องของความน่าเชื่อถือของเอกสารที่อาจน้อยกว่ารูปแบบใบเสร็จรับเงินที่พิมพ์ขึ้นมา จึงไม่เหมาะกับธุรกิจที่มีการซื้อขายบ่อย ๆ เนื่องจากอาจทำได้ช้าและจำนวนของใบเสร็จจะมีเยอะมาก หรือแม้กระทั่งธุรกิจที่ต้องติดต่อซื้อขายกับธุรกิจด้วยกันเองบ่อย ความน่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญ การใช้เอกสารบิลเงินสดแบบเขียนมือก็อาจลดความน่าเชื่อถือ เสียโอกาสทางธุรกิจไปได้ 2. ใช้โปรแกรมสำนักงานทั่วไป หนึ่งในรูปแบบที่หลายคนมักใช้คือการออกเอกสารผ่านโปรแกรมสำนักงานทั่วไป เช่น Excel หรือ Word ที่สามารถออกเอกสารได้เช่นเดียวกัน ซึ่งจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าการเขียนบิลเงินสดด้วยมือ แต่ก็มักมาพร้อมความยุ่งยากเนื่องจากโปรแกรมเหล่านี้ไม่ได้ถูกคิดค้นมาเพื่อการออกเอกสารประเภทนี้โดยเฉพาะ และถึงแม้ว่าจะเป็นการทำเอกสารผ่านรูปแบบไฟล์ แต่ก็ยังยากในการบันทึกข้อมูล หรือเชื่อมข้อมูลของระบบบัญชี ทำให้อาจยังไม่เหมาะสำหรับการใช้ในธุรกิจมากเท่าที่ควร 3. ใช้โปรแกรมบัญชี โปรแกรมบัญชีเป็นวิธีการสร้างใบเสร็จรับเงินที่เหมาะสมสำหรับการทำธุรกิจมากที่สุด เพราะเป็นโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับด้านการเงินโดยเฉพาะอยู่แล้ว สามารถเชื่อมต่อข้อมูลกับระบบบัญชี นอกจากนี้คือหน้าตาของเอกสารที่สามารถใส่โลโก้ของธุรกิจของเราเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเอกสารได้ นอกจากนี้ในโปรแกรมบัญชีมักสามารถใช้ในการออกเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในขั้นตอนการทำธุรกรรมได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น ใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ ใบวางบิล นอกจากนี้หากต้องการออกเอกสารใบเสร็จรับเงินที่เป็นใบกำกับภาษีด้วยก็สามารถทำได้เช่นกัน ผู้ประกอบการ SME เลือกใช้วิธีไหนในการสร้างใบเสร็จรับเงินได้ดีที่สุด? น่าจะสามารถเดาได้ไม่ยากว่ารูปแบบที่เหมาะสมมากที่สุดคือการใช้ โปรแกรมบัญชี ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ SME ที่ทำธุรกิจแบบ B2B (Business to Business) หรือ B2C (Business to Customer) การมีโปรแกรมบัญชีที่ไม่เพียงแค่การสร้างใบเสร็จรับเงิน แต่ยังสามารถนำไปใช้การจัดการระบบบัญชีหลังบ้านที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจโดยเฉพาะก็เป็นเรื่องที่ ยิ่งธุรกิจที่อยู่ในช่วงเริ่มต้น หากมีระบบหลังบ้านที่แข็งแรง เตรียมความพร้อมสู่การเติบโตได้มั่นคงและยั่งยืนวิธีการปรับใช้โปรแกรมบัญชีในการสร้างใบเสร็จรับเงินสำหรับผู้ประกอบการ การปรับใช้โปรแกรมบัญชีในการสร้างใบเสร็จสำหรับธุรกิจเป็นขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อน เพราะโปรแกรมที่ดีมักออกแบบโดยผู้ที่เข้าใจการทำงานด้านบัญชีจริง ๆ และผ่านการออกแบบให้ผู้ประกอบการที่อาจไม่คุ้นเคยกับระบบของบัญชีสามารถเข้าใจได้ง่าย และนอกจากนี้โปรแกรมที่ดีควรมาพร้อมคู่มือการใช้งานที่ครบถ้วนเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปรับใช้ได้อย่างรวดเร็วมากที่สุด ในส่วนของขั้นตอนการสร้างใบเสร็จรับเงินผ่านโปรแกรมนั้นสามารถทำตามขั้นตอนได้ง่าย ๆ โดยเราขอยกตัวอย่างจากโปรแกรม PEAK ที่สามารถทำตามได้ดังนี้ วิธีการปรับใช้โปรแกรมบัญชีในการสร้างใบเสร็จรับเงินสำหรับผู้ประกอบการ การปรับใช้โปรแกรมบัญชีในการสร้างใบเสร็จสำหรับธุรกิจเป็นขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อน เพราะโปรแกรมที่ดีมักออกแบบโดยผู้ที่เข้าใจการทำงานด้านบัญชีจริง ๆ และผ่านการออกแบบให้ผู้ประกอบการที่อาจไม่คุ้นเคยกับระบบของบัญชีสามารถเข้าใจได้ง่าย และนอกจากนี้โปรแกรมที่ดีควรมาพร้อมคู่มือการใช้งานที่ครบถ้วนเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปรับใช้ได้อย่างรวดเร็วมากที่สุด ในส่วนของขั้นตอนการสร้างใบเสร็จรับเงินผ่านโปรแกรมนั้นสามารถทำตามขั้นตอนได้ง่าย ๆ โดยเราขอยกตัวอย่างจากโปรแกรม PEAK ที่สามารถทำตามได้ดังนี้ 1. สร้างใบเสร็จรับเงิน ขั้นตอนแรกสามารถคลิกสร้างใบเสร็จรับเงิน โดยการไปที่เมนู รายรับ > ใบเสร็จรับเงิน > +สร้าง 2. ระบุข้อมูลการซื้อขาย ถัดมาเป็นขั้นตอนการกรอกข้อมูลการซื้อขาย รวมไปถึงเลือกว่าต้องการให้ใบเสร็จรับเงินฉบับนั้นเป็น ใบกำกับภาษีด้วยหรือไม่ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการควรตรวจสอบข้อมูลการซื้อขายทั้ง ข้อมูลลูกค้า การออกใบกำกับภาษี รายการสินค้า/บริการ จำนวน และราคา ให้ถูกต้องเพื่อลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด 3. อนุมัติใบเสร็จรับเงิน เมื่อระบุข้อมูลและตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว หลังจากนั้นเลือกช่องทางการรับเงิน และกดอนุมัติใบเสร็จรับเงิน เพื่อทำการออกเอกสารได้เลย โดยข้อมูลของการออกใบเสร็จรับเงินจะบันทึกสู่ระบบ สามารถเรียกดูย้อนหลังได้ วิธีตรวจสอบความถูกต้องของใบเสร็จรับเงิน ความถูกต้องของใบเสร็จรับเงินเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ ในส่วนนี้เราพาผู้ประกอบการทุกท่านมาดูกันว่า ก่อนออกใบเสร็จรับเงิน ผู้ประกอบการควรตรวจสอบข้อมูลอะไรบ้าง 1. ข้อมูลผู้ซื้อ และผู้ขาย ไม่ว่าจะเป็นชื่อบริษัท ที่อยู่ หรือเลขประจำตัวผู้เสียภาษี เพราะเป็นข้อมูลที่ใช้ในการระบุถึงตัวตนระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ควรสอบถามข้อมูลที่อยู่ของผู้ซื้อให้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม หากเป็นการออกใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีอย่างย่อ ข้อมูลของผู้ซื้ออาจไม่จำเป็นต้องระบุในเอกสารส่วนนี้ 2. วัน เดือน ปี และลำดับที่ของเอกสาร วัน เดือน ปี และลำดับของเอกสาร เป็นข้อมูลที่หลายคนอาจมองข้าม แต่หากก็เป็นข้อมูลที่สามารถใช้อ้างอิงได้ในกรณีที่ต้องมีการตรวจสอบเอกสารเกิดขึ้น 3. รายละเอียดของสินค้า ในส่วนสำคัญของเอกสารใบเสร็จรับเงิน คือ รายละเอียดของสินค้าหรือบริการ ที่จะระบุถึงข้อมูลการซื้อขาย รวมไปถึงราคาของสินค้า และหากใบเสร็จรับเงินที่ออกเป็นใบกำกับภาษีด้วย ตรวจส่วนนี้ก็ต้องระบุจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยเช่นเดียวกัน โดยหลักแล้วข้อมูลที่จำเป็นในใบเสร็จรับเงินจะมีทั้งหมด 3 ส่วนด้วยกัน และผู้ประกอบการควรที่จะตรวจสอบทั้ง 3 ส่วนนี้ให้ละเอียด และถูกต้อง เพื่อให้เอกสารถูกต้องและสามารถนำไปใช้งานเป็นหลักฐานการรับเงินได้จริง ทั้งนี้หากเอกสารใบเสร็จรับเงินนั้นเป็นใบกำกับภาษีด้วย ก็จะมีรายละเอียดอื่น ๆ เช่น จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมไปถึงการระบุอย่างชัดเจนว่าเอกสารดังกล่าวเป็น ใบกำกับภาษี เริ่มต้นใช้โปรแกรมบัญชีในธุรกิจ เพื่อการออกใบเสร็จรับเงินและการจัดการระบบบัญชีที่ง่ายยิ่งขึ้น ตอนนี้ทุกท่านน่าจะมองเห็นถึงความน่าสนใจ และประโยชน์ของการใช้โปรแกรมบัญชีในการออกใบเสร็จรับเงินกันแล้ว ซึ่งความน่าสนใจคือ การปรับใช้โปรแกรมบัญชีในธุรกิจไม่เพียงแค่การออกใบเสร็จรับเงินเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดในการบันทึกบัญชี ไปจนถึงการจัดการเอกสารต่าง ๆ ซึ่งโปรแกรมบัญชี PEAK ก็เป็นหนึ่งในโปรแกรมแบบครบวงจรที่สามารถออกใบเสร็จรับเงิน จัดการระบบบัญชี สามารถปรับใช้ในองค์กรได้อย่างรวดเร็ว มาพร้อมคู่มือการใช้งานทุกขั้นตอน เริ่มต้นเตรียมความพร้อมให้ธุรกิจ ด้วยการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบเพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

26 ส.ค. 2025

PEAK Account

12 min

ใบเสร็จรับเงิน เอกสารสำคัญที่ต้องออกให้ลูกค้า

เวลาซื้อของหรือทานข้าวตามร้านในห้าง หรือร้านสะดวกซื้อ มักจะได้รับ ใบเสร็จรับเงิน อยู่เสมอไม่ว่าเราจะได้ขอจากพนักงานหรือไม่ ซึ่งใบเสร็จก็เป็นเอกสารสำคัญที่ต้องมีการออกให้ลูกค้าเสมอ และในฐานะผู้ประกอบการก็จำเป็นที่จะต้องรู้จัก และสามารถออกเอกสารนี้ได้อย่างถูกต้องให้แก่ลูกค้า ไม่ว่าจะทำธุรกิจขายสินค้าหรือบริการก็จำเป็น ในบทความนี้เราจึงจะมาแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับใบเสร็จมากขึ้น พร้อมแล้วมาติดตามกันเลย ใบเสร็จ (Receipt) คืออะไร? ใบเสร็จ หรือ Receipt คือ เอกสารที่ออกเพื่อเป็นหลักฐาน และเป็นการยืนยันว่าผู้ขายได้รับเงินจากผู้ซื้อเรียบร้อยแล้ว โดยจะเป็นเอกสารที่ผู้ขายต้องออกให้ผู้ซื้อทุกครั้งเมื่อมีการรับเงินที่มีมูลค่ามากกว่า 100 บาทขึ้นไป ไม่ว่าลูกค้าจะขอใบเสร็จหรือไม่ ใบเสร็จมีกี่รูปแบบ อะไรบ้าง? ถึงแม้ว่าการซื้อขายจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่มีการจ่ายเงินล่วงหน้าไปเรียบร้อยแล้วก็จะเป็นต้องออกใบเสร็จให้แก่ผู้จ่ายเงินด้วยเช่นกัน  ทั้งนี้ธุรกิจที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว และธุรกิจที่ยังไม่ได้จดจะออกใบเสร็จที่แตกต่างกันเล็กน้อย โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้ 1. ใบเสร็จรับเงินทั่วไป สำหรับธุรกิจที่ยังไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถออกเป็นรูปแบบใบเสร็จรับเงินธรรมดาที่มีข้อมูลของสินค้าหรือบริการ และรายละเอียดทั่วไปได้ 2. ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีอย่างย่อ ถัดมาเป็นใบเสร็จที่มักพบในชีวิตประจำวันจะเป็น ใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีอย่างย่อ ซึ่งก็คือใบเสร็จกระดาษใบเล็กที่จะได้รับหลังชำระเงินให้ร้านสะดวกซื้อ หรือร้านอาหารนั่นเอง โดยข้อมูลในใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีอย่างย่อ จะระบุข้อมูลที่อยู่ของผู้ขาย ข้อมูลสินค้าหรือบริการ และราคาไว้ แต่จะไม่ได้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ซื้อ ซึ่งผู้ประกอบการที่สามารถออกใบเสร็จประเภทนี้ได้ต้องเป็นผู้ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว และเป็นธุรกิจประเภทค้าปลีกและค้าขายกับลูกค้ารายย่อย ที่อาจมีจำนวนการซื้อขายต่อวันหลายครั้ง และลูกค้าไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ใบเสร็จรับเงินในการดำเนินการด้านเอกสาร 3. ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ทั้งนี้สำหรับผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจแบบ B2B (Business to Business) รูปแบบของใบเสร็จที่ออกอาจมีความแตกต่างออกไปเป็นรูปแบบ ใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป โดยจะเป็นรูปแบบที่มีข้อมูลละเอียดมากกว่าใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีอย่างย่อ มีการระบุข้อมูลของผู้ซื้อ ซึ่งธุรกิจที่ออกใบเสร็จประเภทนี้ก็จะเป็นต้องมีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเรียบร้อยแล้วเช่นกัน และโดยส่วนใหญ่จะออกให้กับลูกค้าที่เป็นกิจการ เพราะมักจะต้องใช้เอกสารนี้ในการดำเนินการด้านบัญชีต่อไป นอกจากประเภทของใบเสร็จทั้ง 3 รูปแบบที่เราได้ยกตัวอย่างมา ยังมีรูปแบบบิลเงินสดที่มีรายละเอียดน้อยมากที่สุด มักใช้กันในร้านขายของชำ ร้านขายของทั่วไป เขียนรายละเอียดด้วยมือ ซึ่งเป็นรูปแบบใบเสร็จที่มีความน่าเชื่อถือน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับรูปแบบอื่น โดยสรุปแล้วสำหรับผู้ประกอบการ ขึ้นอยู่กับว่าดำเนินธุรกิจประเภทไหนอยู่ หากทำธุรกิจที่เน้นการซื้อขายกับผู้ประกอบการด้วยกันเป็นหลักก็อาจมีโอกาสได้ใช้ใบเสร็จแบบใบกำกับภาษีเต็มรูปมากกว่า แต่ถ้าทำธุรกิจค้าปลีก ขายให้ลูกค้ารายย่อยเป็นหลักก็จะใช้ใบเสร็จแบบใบกำกับภาษีอย่างย่อบ่อยกว่านั่นเอง ทั้งนี้ควรมีระบบโปรแกรมบัญชีที่สามารถออกเอกสารได้ครบทุกรูปแบบจะดีมากที่สุด ข้อมูลที่ต้องมีบนใบเสร็จ สำหรับใบเสร็จทั้ง 3 รูปแบบนั้นมีข้อมูลที่ต้องระบุค่อนข้างใกล้เคียงกันต่างกันเพียงเล็กน้อยตามความละเอียดของแต่ละประเภท ซึ่งทั้ง 3 แบบมีข้อมูลสำคัญที่ต้องระบุดังนี้ 1. ข้อมูลในใบเสร็จรับเงินทั่วไป 2. ข้อมูลในใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป 3. ข้อมูลในใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีอย่างย่อ ใบเสร็จออกในกรณีไหนได้บ้าง โดยปกติใบเสร็จจะต้องออกทุกครั้งเมื่อ ได้รับเงินครบ ก็สามารถออกเอกสารฉบับนี้ออกมาเพื่อยืนยันเป็นหลักฐานการรับเงินได้เลย เพราะหากทำการซื้อขายเสร็จแล้ว แต่ทางผู้ขายไม่ออกเอกสารใบเสร็จรับเงินให้เรียบร้อยหลังจากที่ได้รับเงินแล้ว อาจมีบทลงโทษปรับเงินไม่เกิน 500 บาท จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ ออกใบเสร็จอย่างไรให้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ซึ่งการออกใบเสร็จเป็นขั้นตอนที่ธุรกิจที่มีการซื้อขายหลายครั้งในแต่ละเดือนจำเป็นต้องทำเป็นประจำ ซึ่งมาพร้อมกองเอกสารมากมายที่ต้องเก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐาน จากในอดีตที่ออกใบเสร็จกันด้วยวิธีการเขียนมือทุกรายการ ทำให้มีความยุ่งยากและเสียเวลา ทั้งยังมีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดสูง ไปจนถึงการต้องเตรียมพื้นที่สำหรับการจัดเก็บเอกสาร ในปัจจุบันจึงหันมานิยมใช้รูปแบบการพิมพ์ใบเสร็จผ่านโปรแกรมหน้าร้าน เช่น ระบบ POS ที่สามารถพิมพ์ใบเสร็จให้ลูกค้าเมื่อมีการจ่ายเงินได้ทันที ไม่จำเป็นต้องนั่งเขียนทีละรายการ นอกจากนี้ในกรณีที่พิมพ์ใบเสร็จแบบใบกำกับภาษีก็มีโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่เข้ามารองรับการใช้งานในส่วนนี้ ทำให้คุณสามารถพิมพ์เอกสารได้ง่ายขึ้น แถมบันทึกให้อัตโนมัติในระบบ สามารถเรียกดูได้ไม่ต้องพิมพ์ออกมาเป็นกระดาษ ที่สำคัญคือส่งให้ลูกค้าได้ง่ายผ่านรูปแบบไฟล์ได้เลย พื้นฐานของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักมาพร้อมกับระบบภายในที่จัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระเบียบ การปรับใช้เทคโนโลยีหรือโปรแกรมเหล่านี้ก็สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ตัวช่วยสร้างระบบที่ดีในองค์กร โปรแกรมบัญชี PEAK มาพร้อมระบบการจัดการด้านบัญชีอย่างครบวงจรเพื่อธุรกิจทุกขนาด ให้การทำงานเป็นระบบ ลดขั้นตอนอันยุ่งยาก และเพิ่ม Productivity ของพนักงาน เพื่อความสำเร็จขององค์กรในระยะยาว โดยโปรแกรม PEAK สามารถจัดทำใบเสร็จได้ทุกรูปแบบ รวมไปถึงการพิมพ์ใบเสนอราคา หรือใบแจ้งหนี้ที่มักใช้ในขั้นตอนการซื้อขายเช่นกัน ทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบ POS ที่ใช้ในการบริหารจัดการหน้าร้านได้อีกด้วย เริ่มต้นใช้วันนี้เพื่อการเติบโตขององค์กรในอนาคต ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

26 ส.ค. 2025

PEAK Account

11 min

ใบแจ้งหนี้ (Invoice) เอกสารสำคัญเอกสารสำคัญในขั้นตอนการซื้อขาย

ใบแจ้งหนี้ Invoice คือ? ใบแจ้งหนี้ หรือ Invoice คือ เอกสารทางบัญชีที่ผู้ขายสินค้าหรือบริการออกให้กับผู้ซื้อหลังจากที่มีการซื้อขายสินค้า/บริการเสร็จสิ้นแล้ว เป็นเอกสารที่ออกเพื่อแจ้งหนี้หรือยอดชำระให้ผู้ซื้อทราบอีกครั้ง โดยใบแจ้งหนี้ส่วนใหญ่จะมีช่วงเวลาการจ่ายเงินกำหนดไว้อย่างชัดเจน ไม่จำเป็นต้องจ่ายในทันทีที่ออกเอกสาร เอกสารประเภทนี้จึงมักใช้ร่วมกับการซื้อขายในรูปแบบ Business to Business (B2B) ที่แต่ละบริษัทมักจะมีกำหนดรอบวันจ่ายเงินที่ชัดเจนอยู่แล้วนั่นเอง ใครเป็นคนออกใบแจ้งหนี้ Invoice? ผู้ขายสินค้า/บริการ มีหน้าที่ต้องออกใบแจ้งหนี้ให้แก่ผู้ซื้อ โดยส่วนใหญ่จะเป็นหน้าที่ของพนักงานฝ่ายบัญชีในการออกเอกสารและประสานงานกับบริษัทที่ทำการซื้อขายด้วยกัน แต่ถ้าในธุรกิจยังมีพนักงานจำนวนไม่เยอะ ผู้ประกอบการก็สามารถออกเอกสารได้ด้วยการใช้โปรแกรมบัญชีที่จะมีเทมเพลตเอกสารใบแจ้งหนี้ให้อย่างเรียบร้อยครบถ้วน เพราะใบแจ้งหนี้ Invoice คือหนึ่งในเอกสารพื้นฐานที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจประเภท B2B เลยก็ว่าได้ ใบแจ้งหนี้ Invoice ต้องมีข้อมูลอะไรบ้าง? ใบแจ้งหนี้ Invoices คือเอกสารที่อยู่ในขั้นตอนการซื้อขายสินค้าหรือบริการ เช่นเดียวกับ ใบเสนอราคา Quotation แต่จะเป็นเอกสารที่ออกให้หลังจากซื้อขายเสร็จสิ้นแล้ว อย่างไรก็ตามข้อมูลในใบแจ้งหนี้กับใบเสนอราคาจะค่อนข้างใกล้เคียงกัน โดยระบุข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการซื้อขายในครั้งดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นข้อมูลผู้ซื้อ ผู้ขาย รายละเอียดสินค้า/บริการ ยอดชำระรวม และส่วนท้ายสำหรับลงลายมือชื่อทั้งสองฝั่ง ซึ่งข้อมูลจำเป็นสามารถแบ่งได้เป็น 3 ส่วนดังนี้ 1. ส่วนหัวกระดาษ ส่วนแรกด้านบนสุดของใบแจ้งหนี้ จะเป็นการระบุข้อมูลทั่วไปของผู้ซื้อและผู้ขาย พร้อมระบุ ‘ใบแจ้งนี้ Invoice’ ให้ชัดเจนเพื่อให้ทราบว่าเอกสารฉบับนี้เป็นเอกสารอะไร 2. รายละเอียดการซื้อขาย ถัดมาต่อจากส่วนหัวกระดาษที่เราได้ลงรายละเอียดของผู้ซื้อและผู้ขายไว้สำหรับเป็นข้อมูลแล้ว ต่อมาจะเป็นส่วนของรายละเอียดของสินค้าหรือบริการที่ได้ทำการซื้อขายของใบแจ้งหนี้นี้ โดยในส่วนของข้อมูลจะต้องระบุให้ละเอียดครบถ้วน พร้อมชี้แจงราคาของแต่ละส่วนอย่างชัดเจน  ทั้งนี้ในการทำธุรกิจที่เป็นการให้บริการอาจมีการจำแนกที่ค่อนข้างต่างจากการขายสินค้าแบบทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่ผู้ขายให้บริการด้านการทำการตลาดวางแผนกลยุทธิ์ และทำโฆษณาออนไลน์ ที่ซึ่งมักจะมีรายละเอียดค่อนข้างยิบย่อยกว่าการซื้อขายทั่วไป ในส่วนของรายละเอียดอาจจำแนกแต่ละค่าใช้จ่ายให้ชัดเจนดังนี้ ซึ่งรายละเอียดส่วนนี้จะต้องพูดคุยกันให้เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนเริ่มบริการ เพื่อให้เข้าใจตรงกันและลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้น 3. ส่วนท้ายของเอกสาร มาถึงส่วนสุดท้ายในใบเสนอราคา Invoices คือส่วนที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเป็นส่วนสำหรับการเซ็นต์เอกสารของทั้งสองฝ่ายที่จะทำให้เอกสารฉบับดังกล่าวสามารถนำไปใช้ได้จริงตามกฎหมายนั่นเอง โดยส่วนนี้จะประกอบไปด้วย ต้องออกใบแจ้งหนี้ Invoice เมื่อไหร่? สามารถออกเอกสารใบแจ้งหนี้ Invoice ได้ทันทีหลังจากที่ซื้อขาย หรือให้บริการเสร็จสิ้น อย่างไรก็ตามหากมีการตกลงรอบการจ่ายเงินไว้ก่อนหน้านี้ก็สามารถออกเอกสารให้ลูกค้าตามรอบที่กำหนดได้  วิธีการออกใบแจ้งหนี้ Invoice ใบแจ้งหนี้ คือ เอกสารใช้กันมานาน ในอดีตจะเป็นในรูปแบบของกระดาษคาร์บอนที่จะมีช่องสำหรับกรอกรายละเอียดอย่างครบถ้วน แต่ในปัจจุบันก็ได้รับความนิยมน้อยลงเพราะสามารถออกเอกสารแบบออนไลน์ผ่านโปรแกรมบัญชีได้ ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้มาพร้อมเทมเพลตใบแจ้งหนี้ สามารถออกเอกสารได้ง่าย และสามารถเก็บเอกสารได้ง่ายกว่าฉบับจริงเช่นเดียวกัน และส่วนใหญ่ทุกวันนี้ก็มักส่งเอกสารกันผ่านช่องทางออนไลน์ทำให้รูปแบบนี้สะดวก รวดเร็ว ลดขั้นตอนยุ่งยากลงไปได้ ใบแจ้งหนี้ Invoice, ใบวางบิล Billing Note, และใบเสร็จรับเงิน Receipt แตกต่างกันอย่างไรในธุรกิจ? หากไม่นับใบเสนอราคา ยังมีเอกสารอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงกับใบแจ้งหนี้และผู้ประกอบการหลายท่านมักสับสนว่าต้องออกเอกสารฉบับไหนให้ลูกค้าถึงจะถูกต้อง ในส่วนนี้เรามาแนะนำเอกสารอื่น ๆ อย่าง ใบวางบิล และใบเสร็จรับเงินให้รู้จักกันคร่าว ๆ เพื่อให้เห็นถึงความแตกต่างกัน ใบวางบิล Billing Note ใบวางบิล หรือ Billing เป็นเอกสารด้านบัญชีหนึ่งรูปแบบที่สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ เช่น สามารถใช้ใบวางบิลแทนใบแจ้งหนี้ หรือหากกิจการของเรามีการขายสินค้าให้ลูกค้าหลายครั้งในแต่ละเดือน สามารถออกใบวางบิลเพื่อรวมยอดจากใบแจ้งหนี้เพื่อเก็บเงินครั้งเดียวได้ นับเป็บการรวมยอดส่งเอกสารเรียกเก็บเงินจากลูกค้าทีเดียวนั้นเอง ใบเสร็จรับเงิน Receipt ในส่วนของ ใบเสร็จรับเงิน หรือ Receipt เป็นเอกสารที่ออกโดยผู้รับเงิน ซึ่งก็คือผู้ขายสินค้า/บริการนั่นเอง โดยจะเป็นการออกให้กับผู้ชำระเงินหลังจากที่ขั้นตอนการชำระเงินเสร็จสิ้น ได้รับเงินครบถ้วนเรียบร้อยตามใบแจ้งหนี้หรือใบวางบิล ซึ่งข้อมูลภายในเอกสารก็จะมีความใกล้เคียงกัน จากรายละเอียดข้างต้น จะเห็นได้ว่าเอกสารแต่ละรูปแบบนั้นมีโครงสร้างข้อมูลที่ใกล้เคียงกัน ต่างกันที่จุดประสงค์ในการออกเอกสาร หรือเงื่อนไขต่าง ๆ ที่แต่ละเอกสารนั้นต่างกันออกไปนั่นเอง เพื่อความถูกต้องแนะนำให้ผู้ประกอบการศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับเอกสารเหล่านี้ให้ครบถ้วน ออกใบแจ้งนี้ง่าย ๆ ด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ ใบแจ้งหนี้ คือ เอกสารที่สามารถออกได้ด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่ เพราะนับว่าเป็นหนึ่งในเอกสารทางธุรกิจจำเป็นต้องออกบ่อย โปรแกรมที่ดีจึงมักมาพร้อมเทมเพลตและรูปแบบการใช้งานที่สามารถทำได้ง่าย ช่วยให้การออกเอกสารกลายเป็นเรื่องง่าย ซึ่ง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ก็มาพร้อมฟีเจอร์ที่ครบถ้วน ไม่จำเป็นต้องเป็นนักบัญชีก็สามารถออกเอกสารได้ง่าย ๆ ผู้ประกอบการสามารถทำได้ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังสามารถออกเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น ใบเสนอราคา ใบวางบิล ใบเสร็จ รวมไปถึงใบแจ้งหนี้/ใบกำกับภาษีได้อีกด้วย ทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์อื่น ๆ มากมายที่จำเป็นเกี่ยวกับการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ อันเป็นพื้นฐานสำคัญของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ!  ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

25 ต.ค. 2025

PEAK Account

16 min

ต้นทุนแฝง (Hidden Cost) ค่าใช้จ่ายที่ไม่ควรมองข้าม

เจ้าของกิจการบางท่านอาจเคยเจอปัญหา สินค้าขายดีมาก แต่ทำไมกำไรไม่เคยเหลือ? หนึ่งในสาเหตุคือ ต้นทุนแฝง ที่ซ่อนอยู่ในต้นทุนแต่หลายคนไม่รู้ตัว! ในบทความนี้เราพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับภัยเงียบนี้ ที่อาจกำลังส่งผลร้ายต่อธุรกิจของคุณอยู่! ต้นทุนแฝง คืออะไร? ต้นทุนแฝง คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการดำเนินธุรกิจ แต่ไม่ได้ถูกบันทึกจำแนกประเภทออกมาอย่างชัดเจน จนทำให้เจ้าของกิจการอาจจะไม่เห็นค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นค่าใช้จ่ายเล็กน้อยที่เกิดขึ้น ซ่อนอยู่ในค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ ๆ จนไม่มีใครสังเกตเห็น และไม่ได้นับเป็นต้นทุนตอนวางแผนธุรกิจ ซึ่งต้นทุนแฝง มักจะเริ่มแสดงตัวออกมาเมื่อกำไรในแต่ละเดือนของธุรกิจน้อยกว่าที่คาดไว้ ทั้งที่มีการวางแผนค่าใช้จ่ายไว้ทั้งหมดแล้ว ปัญหานี้อาจส่งผลต่อการวางแผนการเงินของธุรกิจได้ ดังนั้นเพื่อให้เจ้าของกิจการสามารถเห็นตัวเลขของ ‘ต้นทุนจริง’ ในบทความนี้เราชวนทุกท่านมาทำความรู้จักต้นทุนแฝง ไปจนถึงวิธีป้องกันไม่เห็นเกิดปัญหานี้กัน สาเหตุของต้นทุนที่ซ่อนอยู่ สาเหตุของต้นทุนแฝงมักมาจากค่าใช้จ่ายเล็กที่มักเป็นค่าใช้จ่ายทั่วไปในการทำธุรกิจ มูลค่าต่อครั้งไม่สูง แต่หากเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ก็รวมกันเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ได้ไม่ยาก  ยกตัวอย่างเช่น พนักงานขายที่จำเป็นต้องออกไปพบลูกค้าบ่อย และหลายครั้งเพื่อสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าก็มักจะเลี้ยงกาแฟลูกค้าอยู่เสมอ ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยครั้งละ 300 บาท หากในหนึ่งเดือนต้องออกไปเจอลูกค้า 30 ครั้ง เท่ากับว่าค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะสูงถึง 9,000 บาท! ซึ่งในบริษัทที่ไม่ได้มีการบันทึกบัญชีแบบแยกประเภทค่าใช้จ่ายอย่างถูกต้อง ก็อาจจะไม่เห็นตัวเลขตรงนี้ชัดเจน ยิ่งถ้าในบริษัทมีพนักงานขายหลายคน ก็อาจมีต้นทุนแฝงตรงนี้หลายหมื่นบาทได้เลย จากตัวอย่างเจ้าของกิจการน่าจะพอมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นหากไม่มีการจัดการค่าใช้จ่ายเล็กน้อยส่วนนี้ หรือไม่ได้มีการบ่งชี้ให้ชัดเจน ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ต้นทุนแฝง มีอะไรบ้าง? ซึ่ง ต้นทุนแฝง มีหลายรูปแบบ หลายรายการ ไม่ใช่เพียงแค่ค่ากาแฟเลี้ยงลูกค้า แต่ยังมีส่วนอื่น ๆ ตามรายการต่อไปนี้ 1. ต้นทุนแฝงจากค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด ต้นทุนแฝงอันดับต้น ๆ ที่เจ้าของกิจการอาจไม่เคยทราบว่ากำลังเกิดขึ้น มักจะเป็นค่าใช้จ่ายเล็กน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่อย่างเงินเดือนพนักงาน หรือค่าเช่าออฟฟิศ ซึ่งค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดประกอบไปด้วย 2. ต้นทุนแฝงจากการติดต่อสื่อสารและการเดินทาง ในบริษัทที่มีพนักงานเดินทางไปติดต่อขายสินค้าหรือหาลูกค้าใหม่ ๆ ที่ต้องมีค่าเดินทางและค่าโทรศัพท์ให้พนักงานขาย หากไม่ได้มีระบบการบันทึก ก็อาจกลายเป็นค่าใช้จ่ายที่ซ่อนตัวอยู่เพิ่มขึ้นมา ที่เมื่อรวมแล้วก็เป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ได้เช่นกัน 3. ต้นทุนแฝงจากสินค้าคงคลัง (สต๊อก) สำหรับธุรกิจที่มีการสต๊อกสินค้า ต้องบริหารจัดการสต๊อกให้ดี ไม่เช่นนั้นอาจเกิดต้นทุนแฝง ได้โดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าพื้นที่จัดเก็บสินค้า หรือสินค้าที่ขายไม่ออกจนตกรุ่น ก็อาจกลายเป็นหนึ่งในต้นทุนแฝงก้อนโต 4. ต้นทุนแฝงในรูปแบบของ “เวลา” ต้นทุนที่แพงที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะเวลาไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ และยิ่งในยุคปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง ทุกนาทีมีค่า เพราะอาจเสียโอกาสสร้างยอดขายไปจากความผิดพลาด หรือระบบที่ไม่แข็งแรงมากพอ โอกาสเกิดต้นทุนแฝง นั้นมีมากไม่รู้จบ ถ้าไม่มีการบันทึกรายได้อย่างเป็นระบบ หากคิดออกมาเป็นเงิน ก็ถือว่าเป็นก้อนโตที่ต้องเสียไปในแต่ละปี เจ้าของกิจการควรหาวิธีคลายปมแก้ไขทีละจุด เพื่อช่วยลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจลงไปได้มหาศาล เจ้าของกิจการจะรู้ได้อย่างไรว่ามี ต้นทุนแฝง อะไรบ้าง? คำถามถัดมาคือ แล้วเจ้าของกิจการจะรู้ได้อย่างไรว่าธุรกิจมีต้นทุนแฝงอยู่ ซึ่งคำตอบอยู่ใน “งบกำไรขาดทุน” (Profit and Loss Statement) ของธุรกิจของคุณนั่นเอง เพราะในงบกำไรขาดทุนจะมีตัวเลขต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในรอบระยะเวลาหนึ่งแสดงอยู่ เจ้าของกิจการจะได้เห็นภาพรวมของธุรกิจว่าจริง ๆ แล้ว จากยอดขายต่อเดือนเยอะ ๆ นั้นได้ กำไร หรือ ขาดทุน อย่างไรก็ตามปัญหาส่วนใหญ่ของงบกำไรขาดทุนคือมีการจัดหมวดหมู่แบบคร่าว ๆ ไม่ได้มีการจัดหมวดหมู่ได้อย่างถูกต้องจริง ๆ ทำให้เจ้าของกิจการไม่ได้เห็นต้นทุนแฝง แบบชัดเจน เพราะฉะนั้นเมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ควรเริ่มต้นจัดกลุ่มค่าใช้จ่ายให้ถูกต้องอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถบริหารค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น ซึ่งโดยปกติจะมีหมวดหมู่ดังนี้ ซึ่งภายใต้ของทั้งสองหมวดก็จะมีประเภทแยกย่อยลงไปอีก เพื่อความชัดเจนของค่าใช้จ่ายแต่ละส่วน ข้อควรระวังในการทำงบการเงินของเจ้าของกิจการ ปัญหาของงบกำไรขาดทุน ที่นำไปสู่การเกิดต้นทุนแฝง โดยไม่รู้ตัว คือ การระบุหมวดหมู่ของค่าใช้จ่ายไม่ถูกต้อง เพราะสาเหตุของต้นทุนแฝงมักเกิดขึ้นจากค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ค่ากระดาษ ได้ถูกบันทึกในค่าใช้จ่ายของสำนักงานหรือไม่? หรือ สินค้าที่เสียหายหรือค้างสต๊อก ได้บันทึกเป็นค่าใช้จ่ายที่เสียไปหรือไม่? ค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้บันทึกหมวดหมู่ หรือบางครั้งถูกลืมปล่อยผ่านไปเฉย ๆ คือ สาเหตุของ ต้นทุนแฝง ที่อาจกำลังทำร้ายธุรกิจของเราอยู่อย่างเงียบ ๆ เพราะฉะนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดต้นทุนแฝง ควรย้อนกลับไปตั้งแต่การจัดการระบบการบันทึกงบกำไรขาดทุน ที่นอกจากกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน ควรจัดหมวดหมู่ให้ถูกต้องด้วยเช่นกัน เหตุผลสำคัญที่เจ้าของกิจการควรรู้ ต้นทุนแฝง ผลกระทบของ ต้นทุนแฝง นั้นมหาศาลมากกว่าที่เจ้าของกิจการหลายท่านอาจคิดไว้ การลงบันทึกในงบการเงินจึงเป็นข้อสำคัญที่เจ้าของกิจการควรดูเป็นประจำ เพื่อให้เห็นค่าใช้จ่ายที่อาจซ่อนอยู่ ซึ่งผลกระทบของการลงบันทึกผิดพลาด หรือไม่ละเอียดมากพอ สามารถส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้ดังนี้ หยุดวงจรต้นทุนแฝง ก่อนจะสายเกินไป! เจ้าของกิจการควรตั้งคำถามเสมอว่า ทุกวันนี้เราได้เห็นต้นทุนจริงของธุรกิจหรือยัง? หรือยังมีค่าใช้จ่ายอะไรที่แอบซ่อนอยู่หรือไม่? เพื่อคอยเตือนให้ย้อนกลับไปอ่านงบการเงินเพื่อตรวจสอบ และจัดหมวดหมู่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ดี เพื่อปิดโอกาสไม่ให้เกิดต้นทุนแฝง หรือปัญหา “ขายดี แต่ทำไมกำไรไม่เหลือ” เริ่มต้นก่อน จัดการได้ก่อน ลดต้นทุนเพื่อธุรกิจที่เติบโต เทคนิคการใช้ PEAK เพื่อจัดกลุ่มค่าใช้จ่ายให้เจ้าของกิจการดูง่ายด้วยตัวเอง โปรแกรมบัญชี PEAK เปิดโอกาสให้เจ้าของกิจการ หรือพนักงานบัญชีสามารถจัดกลุ่มค่าใช้จ่ายตามแต่ละประเภทที่ต้องการได้ด้วยตัวเอง เพราะในธุรกิจแต่ละประเภทค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกัน เช่น ธุรกิจที่เป็น Work From Home 100% อาจจะไม่มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวข้องกับสำนักงาน โดยฟีเจอร์การตั้งค่างบกำไร ขาดทุน ของ PEAK สามารถจัดกลุ่มได้สองรูปแบบด้วยกัน ข้อดีสำคัญคือ เจ้าของกิจการสามารถประชุมกับทีมบัญชีเพื่อตั้งค่ากลุ่มค่าใช้จ่ายเหล่านี้ให้เหมาะสมกับแนวทางการดำเนินธุรกิจขององค์กรได้ สามารถอ่านข้อมูลการใช้งานเพิ่มเติมได้ที่นี่ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

15 ต.ค. 2025

PEAK Account

11 min

ค่าขนส่งกับการบันทึกบัญชี สิ่งที่ผู้ประกอบการห้ามมอง

ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าทางออนไลน์ น่าจะคุ้นเคยกับการคิด ค่าขนส่งสินค้า สินค้ากันเป็นอย่างดี แต่ผู้ประกอบการหลายท่านอาจยังไม่ทราบว่า ค่าขนส่งที่เรียกเก็บจากลูกค้านั้น ถือเป็นเงินที่ต้องรับรู้เป็นรายได้อีกด้วย! ในบทความนี้เราจะพาคุณมาดูความเกี่ยวข้องกับค่าขนส่งสินค้าและการบันทึกบัญชีกัน ค่าขนส่งสินค้า คืออะไร ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ค่าขนส่งสินค้า คือ ค่าใช้จ่ายที่ผู้ส่งต้องจ่ายให้กับบริษัทขนส่ง เพื่อนำสินค้าไปให้ถึงมือลูกค้า การเรียกเก็บเงินค่าขนส่งจากลูกค้าเป็นหน้าที่ของผู้ขาย แต่ผู้ประกอบการหลายท่านอาจไม่ทราบว่า ค่าขนส่งสินค้า เหล่านี้ ไม่ว่าจะมาจากการสั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หรือสั่งกับร้านโดยตรง ถือเป็นรายได้ของบริษัท และจำเป็นต้องทำการบันทึกบัญชีอย่างชัดเจน ค่าขนส่งสินค้ากับการบันทึกบัญชี การบันทึกบัญชีของค่าขนส่งสินค้า จะมี 2 เรื่องหลักที่ผู้ประกอบการและนักบัญชีควรทราบดังนี้ เมื่อไหร่ที่ค่าขนส่ง จะนับเป็นรายได้ของเรา? ปัจจัยสำคัญในการใช้ดูว่า ค่าขนส่งสินค้า จะนับเป็นรายได้ของเราหรือของแพลตฟอร์มออนไลน์ ต้องดูว่าใครเป็นผู้ออกใบเสร็จค่าขนส่งสินค้าให้ลูกค้า  ค่าขนส่งสินค้า มี VAT หรือไม่? ในกรณีที่ธุรกิจทำการจด VAT เรียบร้อยแล้วก็จำเป็นที่จะต้องมีการออกใบกำกับภาษีรวมค่าขนส่งสินค้า และรับรู้ภาษีขายจากค่าขนส่งสินค้าที่เรานับว่าเป็นรายได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ในกรณีที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ก็ไม่จำเป็นต้องคำนวณภาษีขายเพิ่ม ตัวอย่างการบันทึกบัญชีกรณีที่มีค่าขนส่งสินค้า ยกตัวอย่างการบันทึกบัญชีกรณีที่มีการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และจำเป็นต้องมีการบันทึกค่าขนส่งสินค้าเป็นรายได้ในบัญชี บริษัท A ขายเก้าอี้ผ่านช่องทางออนไลน์ราคา 1,000 บาท โดยมีค่าขนส่งสินค้าโดยบริษัทขนส่ง 50 บาท เมื่อลูกค้าชำระเงินและทำการจัดส่งสินค้าถึงมือลูกค้าเรียบร้อยแล้ว สามารถบันทึกบัญชีแยกได้ดังนี้ ราคารวมที่ลูกค้าต้องจ่ายคือ 1,000 + 50 = 1,050 บาท ทั้งนี้ หากบริษัท A ทำการจด VAT เรียบร้อยแล้วต้องทำการออกใบกำกับภาษี และต้องทำการบันทึกเป็นภาษีขาย 73.50 บาทด้วย โดยคิดเป็นราคารวม 1,123.50 บาท ทำไมบิลเก็บเงินค่าขนส่งสินค้า จากแพลตฟอร์มไม่ได้รวม VAT แต่ร้านค้าต้องคิด VAT? อีกหนึ่งคำถามที่หลายท่านอาจสงสัยเกี่ยวกับการคำนวณ VAT ของค่าขนส่งสินค้าจากแพลตฟอร์มออนไลน์ เพราะถ้าเราดูตัวอย่างใบเสร็จจากหัวข้อก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่าไม่ได้มีการคิด VAT มาด้วย แต่ทำไมร้านค้าถึงต้องคิด VAT เข้าไปในค่าขนส่งสินค้า ซึ่งคำตอบแยกได้เป็นสองส่วนดังนี้ เกิดอะไรขึ้นหากไม่ได้บันทึกค่าขนส่งสินค้า ลงในบัญชีบริษัท หากผู้ประกอบการไม่ได้ทำการลงบันทึกค่าขนส่งสินค้าเป็นรายได้ของบริษัท อาจทำให้ตัวเลขในรายการธุรกรรมมีความคลาดเคลื่อน เช่นในใบเสนอราคามีการเรียกเก็บค่าขนส่งสินค้ารวมเป็นจำนวนเงินที่เรียกเก็บจากลูกค้า แต่ในบันทึกบัญชีกลับไม่ได้มีจำนวนเงินค่าขนส่งสินค้าในส่วนนี้ อาจเกิดปัญหาตอนกระทบยอดตรวจสอบบัญชี และอาจส่งผลต่อการจัดการเรื่องภาษีได้ด้วยเช่นเดียวกัน เคล็ดลับลดข้อผิดพลาดในการบันทึกบัญชีสำหรับผู้ประกอบการ ในส่วนถัดมาเรามีเคล็ดลับสำหรับผู้ประกอบการในการลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการบันทึกบัญชี ซึ่งนอกจากการทำตารางบัญชีให้เข้าใจง่าย และการบันทึกบัญชีตามลำดับ ไม่ข้ามไปมา ยังมีปัจจัยอื่นที่เป็นส่วนช่วยให้ทำได้ง่ายยิ่งขึ้น จะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกัน เก็บเอกสารให้เป็นระบบ การทำงานบัญชีมักมาพร้อมกับเอกสารมากมายที่ต้องเก็บและจัดระเบียบ ดังนั้นการออกแบบระบบการจัดเก็บเอกสารที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี เอกสารเหล่านี้ควรได้รับการจัดหมวดหมู่อย่างเป็นระบบ และอาจเก็บทั้งรูปแบบไฟล์ และรูปแบบเอกสารจริง ตรงส่วนนี้หากจำเป็นต้องมีการอ้างอิงถึงเอกสารที่เก็บ นักบัญชีอาจต้องมีการบันทึกในบัญชีตามหมวดหมู่และระบบที่จัดเก็บ เช่น รหัสของเอกสาร เพื่อให้สามารถหยิบเอกสารเหล่านั้นออกมาตรวจสอบได้รวดเร็วมากขึ้น ทำสรุปบัญชีเป็นประจำทุกเดือน การทำบัญชีจำเป็นต้องทำเป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้เห็นภาพรวมด้านการเงิน และบัญชีของธุรกิจ ตรงส่วนนี้จะเป็นตัวช่วยประกอบการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ เพราะผู้ประกอบการจะได้เห็นธุรกรรมทั้งหมดในแต่ละเดือน สามารถใช้คาดการณ์ วางแผน หรือปรับปรุงแนวทางการดำเนินธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ การทำบัญชีในปัจจุบันมีการใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์เข้ามาช่วย เพื่อให้สามารถทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้น ทั้งยังลดข้อผิดพลาดลงได้ เพราะโปรแกรมเหล่านี้มักมาพร้อมฟีเจอร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านการบันทึกค่าใช้จ่าย การออกเอกสารที่เกี่ยวข้องอย่างใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จ/ใบกำกับภาษี ทั้งยังสามารถจัดทำรายงานได้แบบเรียลไทม์ รวมไปถึงช่วยในเรื่องการจัดการเรื่องภาษีอีกด้วย ดังนั้นการปรับใช้โปรแกรมบัญชีในการทำงานก็เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้การบันทึกบัญชีง่ายขึ้น และลดข้อผิดพลาดลงไปได้ บันทึกบัญชีง่าย ๆ ด้วยโปรแกรม PEAK Account PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่พร้อมเป็นตัวช่วยในการบันทึกบัญชี ด้วยฟีเจอร์สมุดบัญชีรายวัน ให้การบันทึกบัญชีง่ายยิ่งขึ้น และลดข้อผิดพลาด นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ การจัดการด้านเอกสารทั้งรายรับ รายจ่าย จัดการด้านการเงินและบัญชี การจัดการภาษี รวมไปถึงสต๊อกสินค้า เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำบัญชี เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเตรียมความพร้อมสู่การเติบโตของธุรกิจ

10 ต.ค. 2025

PEAK Account

12 min

การเชื่อมต่อ API เคล็ดลับลดเวลางานบัญชี สำหรับธุรกิจขายออนไลน์

ทุกวันนี้การปรับใช้โปรแกรมในการทำงานเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเร่งการเติบโตของธุรกิจ เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถช่วยลดเวลาการทำงาน อำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจได้ไม่รู้จบ และหนึ่งในเทคโนโลยีที่ช่วยผู้ประกอบการให้ทำธุรกิจง่ายขึ้นคือ การเชื่อมต่อ API ที่จะทำให้หลายโปรแกรมทำงานด้วยกันได้อย่างราบรื่น ซึ่งผู้ประกอบการหลายท่านอาจสงสัยว่า API คืออะไร และมีประโยชน์อะไรบ้าง มาค้นหาคำตอบในบทความนี้กันได้เลย การเชื่อมต่อ API ในการบันทึกบัญชีคืออะไร? การเชื่อมต่อ API (Application Programming Interface) คือการเชื่อมต่อเพื่อให้ระหว่างสองโปรแกรมขึ้นไปสามารถสื่อสารกันได้ โดยการสื่อสารนี้รวมไปถึงการถ่าย โอน ย้าย แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือการใช้งานฟังก์ชันต่าง ๆ ของระหว่างโปรแกรม โดย API จะทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโปรแกรมให้สามารถทำงานร่วมกันได้ ยกตัวอย่างเช่น โปรแกรม A และโปรแกรม B ทั้งสองโปรแกรมสามารถเข้าสู่ระบบด้วย Gmail และเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูลโปรไฟล์ใหม่ หากต้องการสมัครสมาชิกของโปรแกรม B  ดังนั้นโปรแกรม B จึงสร้าง API ขึ้นมาเพื่อให้สามารถดึงข้อมูลโปรไฟล์จากโปรแกรม A ได้นั่นเอง ซึ่งการเชื่อมต่อ API นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เพราะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของโปรแกรม เพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้งาน หลายโปรแกรมที่ดีจึงมักมาพร้อมกับระบบ API ให้สามารถเชื่อมต่อกับหลาย ๆ โปรแกรมที่มักใช้งานควบคู่กัน ในมุมของผู้ประกอบการที่กำลังมองหาโปรแกรมสำหรับใช้ในกิจการ ก็ควรเลือกโปรแกรมที่สามารถเชื่อมต่อ API ได้หลากหลาย ครอบคลุมกับการใช้งานของเรา ถ้าเป็นในกรณีของโปรแกรมบัญชีก็แนะนำให้มองหาโปรแกรมที่สามารถเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ หรือธนาคารก็จะสะดวกต่อการใช้งานมากที่สุดนั่นเอง ทำไมร้านค้าออนไลน์ต้องใช้ระบบ การเชื่อมต่อ API เพื่อบันทึกบัญชีอัตโนมัติ สำหรับฟีเจอร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกได้อย่างมากเมื่อใช้โปรแกรมที่มีการเชื่อมต่อ API คือการบันทึกบัญชีอัตโนมัติจากจำนวนออเดอร์ที่เข้ามา เพราะในธุรกิจที่ขายออนไลน์เป็นหลัก มีจำนวนคำสั่งซื้อเข้ามาต่อวันนับไม่ถ้วน การต้องมาบันทึกบัญชีด้วยตัวเองทุกรายการก็ใช้เวลาและแรงกายแรงใจเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังอาจเกิดความผิดพลาดในการลงข้อมูล ช่วยประหยัดเวลาการทำงาน ให้ผู้ประกอบการสามารถโฟกัสในเรื่องของการเพิ่มยอดขายได้อย่างเต็มที่ ตรงส่วนนี้โปรแกรมบัญชีที่เชื่อมต่อ API ได้คือคำตอบ  ทุกเอกสารเชื่อมตรงเข้าสู่ระบบบัญชี PEAK ซึ่ง PEAK Account ก็เป็นโปรแกรมบัญชีที่มีการเชื่อมต่อ API ครบถ้วนทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์และธนาคาร ที่สามารถดึงข้อมูลมาจากแพลตฟอร์มที่ใช้งานได้โดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูลด้วยตัวเอง ข้อดีตรงนี้จะช่วยลดเวลาการทำงาน ลดข้อผิดพลาด ได้โฟกัสกับส่วนที่จำเป็นมากกว่า อีกหนึ่งข้อดีที่ทำให้ผู้ประกอบการควรหันมาใช้โปรแกรมบัญชีคือ การจัดเก็บไฟล์เอกสารต่าง ๆ ที่ล้วนอยู่ในโปรแกรมสามารถเรียกดูได้ง่าย หรือจะโหลดเก็บไว้ในเครื่องก็ได้เช่นกัน หากเน้นทำธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ระบบการจัดเก็บเหล่านี้จะช่วยลดภาระของผู้ประกอบการลงไปได้เยอะพอสมควรเลยทีเดียว ส่วนผู้ประกอบการท่านไหนที่มีปัญหาเรื่องการทำงบหรือยื่นภาษี ที่มองว่ายุ่งยากและใช้เวลา การใช้โปรแกรมบัญชีที่ทุกระบบเชื่อมต่อกันก็จะทำให้การจัดการภาษีกลายเป็นเรื่องง่ายมากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าเพียงแค่โปรแกรมเดียวก็ช่วยวางรากฐานของระบบบัญชีของธุรกิจให้แข็งแรงเตรียมความพร้อมสู่การเติบโตในอนาคต การเชื่อมต่อ API ของ PEAK กับแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์สามารถทำอะไรได้บ้าง หนึ่งในโปรแกรมที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเชื่อมต่อกับ PEAK คือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ที่สามารถทำได้ทั้งการออกเอกสาร และบันทึกบัญชีอัตโนมัติเมื่อทำการเชื่อมต่อกับแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งในปัจจุบันโปรแกรม PEAK สามารถทำการเชื่อมต่อ API กับแพลตฟอร์มสำหรับขายสินค้าออนไลน์ได้ถึง 4 โปรแกรม ซึ่งตารางด้านล่างจะเป็นรายละเอียดของแต่ละโปรแกรมว่าเมื่อเชื่อมต่อกับ PEAK และจะส่งข้อมูลอะไรมาที่ PEAK ได้บ้าง ด้านเอกสาร ด้านเอกสารนับเป็นส่วนที่ค่อนข้างมีรายละเอียด และยุ่งยากในการจัดการพอสมควร หากจำเป็นต้องทำด้วยตัวเอง ดังนั้นโปรแกรม PEAK ที่สามารถเชื่อมต่อ API กับแต่ละแพลตฟอร์มขายสินค้าได้ ก็จะเรียกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเอกสารต่าง ๆ สำหรับการนำมาเก็บไว้เพื่อใช้เป็นหลักฐาน รวมไปถึงในการบันทึกบัญชี ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มสามารถดึงข้อมูลได้แตกต่างกัน เอกสารที่สามารถส่งข้อมูลระหว่างแพลตฟอร์มได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโปรแกรมต้นทางว่าสามารถส่งข้อมูลอะไรมายัง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ได้บ้าง ตัวอย่างหากขายสินค้าผ่านหลายแพลตฟอร์ม PEAK สามารถรับข้อมูลทางบัญชีมาสร้างเอกสารสำคัญและเก็บไว้ครบถ้วน ไม่ต้องคีย์เองทีละออเดอร์ ด้านการบันทึกบัญชีรายได้ ระบบช่วยบันทึกยอดขายและจัดหมวดหมู่ให้อัตโนมัติ ชัดเจนและตรวจสอบง่าย ในส่วนของการบันทึกบัญชี แต่ละแพลตฟอร์มก็สามารถส่งข้อมูลตรงมายัง PEAK เพื่อทำการบันทึกบัญชีได้เช่นกัน ซึ่งทั้ง 4 แพลตฟอร์มสามารถส่งข้อมูลรายได้ทั้งหมด 3 ส่วนด้วยกัน ความน่าสนใจคือ รายได้ค่าขนส่งสินค้า ที่ผู้ประกอบการบางท่านอาจไม่ทราบว่าต้องทำการบันทึกบัญชีรายได้เป็นรายการแยกออกจากค่าสินค้าด้วย ซึ่งส่วนนี้โปรแกรม PEAK ที่เชื่อมต่อ API กับแพลตฟอร์มก็จะดึงข้อมูลและทำการบันทึกส่วนนี้ให้โดยอัตโนมัติ สะดวกและรวดเร็วกว่าการทำด้วยตัวเองอย่างแน่นอน ตัวอย่างสถานการณ์การใช้โปรแกรม PEAK ในธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ บริษัท A ขายเสื้อผ้าผ่านหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Shopee, Lazada, TikTok, หรือ Line Shopping และในปัจจุบันก็เป็นช่วงขาขึ้นขายสินค้าดีทุกช่องทาง มียอดขายเข้ามาไม่หยุดหย่อน โดยเฉลี่ยแล้ว 30 ออเดอร์ต่อแพลตฟอร์ม ซึ่งในการบันทึกบัญชีก็ต้องไปดูรายการแต่ละแพลตฟอร์มเพื่อทำการบันทึก ซึ่งอาจใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วโมงและมีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน แต่ถ้าบริษัท A เลือกใช้โปรแกรมบัญชีที่มีการเชื่อมต่อ API กับแพลตฟอร์มทั้ง 4 แพลตฟอร์มได้ ก็สามารถดึงข้อมูลออเดอร์ทั้ง 3 แพลตฟอร์มบันทึกบัญชีให้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาทำข้อมูลเอง เตรียมความพร้อมสู่การเติบโตด้วยโปรแกรมบัญชี PEAK Account ด้วยเหตุนี้ถ้าคุณกำลังทำธุรกิจขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เหล่านี้ การปรับใช้ PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่มีการเชื่อมต่อ API อีกทั้งยังมาพร้อมฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานบัญชีและภาษี ที่สามารถช่วยจัดการข้อมูลสินค้า จัดการรายรับ-รายจ่าย รวมไปถึงบริหารจัดการข้อมูลการเงินและบัญชีโปรแกรม PEAK จึงไม่ได้ช่วยเพียงแค่การบันทึกยอดขายอย่างเดียว แต่ยังช่วยจัดการเรื่องการเงินและบัญชีได้อย่างรอบด้าน ช่วยให้สามารถวางรากฐานระบบบัญชีของธุรกิจให้มั่นคง ลดระยะเวลาการทำงาน ให้ผู้ประกอบการสามารถโฟกัสกับส่วนที่จำเป็นต่อยอดขายหรือการเติบโตของกิจการได้อย่างเต็มที่ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

3 ต.ค. 2025

PEAK Account

17 min

หยุดความเสี่ยง! รู้จักบัญชีม้า กลโกงมิจฉาชีพ และวิธีป้องกันธุรกิจคุณ

ช่วงนี้หลายท่านอาจได้ยินคำว่าบัญชีม้ากันบ่อย ๆ แต่ไม่เคยเข้าใจว่ามันคืออะไร บางท่านอาจมีคนใกล้ตัวถูกหลอกให้เปิดบัญชีม้าจนถูกดำเนินคดี หรือผู้ประกอบการบางท่านอาจสงสัยว่ามีเงินโอนเข้าบ่อย ๆ จะถูกอายัดบัญชีหรือไม่ ในบทความนี้เรารวบรวมความรู้เกี่ยวกับ บัญชีม้า กลโกงของมิจฉาชีพ และวิธีป้องกันไว้ให้คุณ บัญชีม้า คืออะไร? บัญชีม้า คือ บัญชีเงินฝากที่เจ้าของชื่อบัญชีไม่ได้เปิดขึ้นมาเพื่อใช้งานบัญชีดังกล่าวด้วยตัวเอง แต่เปิดบัญชีเพื่อให้มิจฉาชีพใช้ในการโอนเงินผิดกฎหมาย หรือรับเงินที่ได้มาจากการหลอกลวง ไม่ว่าจะเป็นเงินจากการพนันผิดกฎหมาย แก๊งคอลเซนเตอร์ที่หลอกลวงเงินจากผู้อื่น หรือแม้กระทั่งการฟอกเงิน ก็มักใช้บัญชีม้าเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถติดตามไปจนถึงต้นตอผู้กระทำผิด เพราะไม่สามารถโยงเส้นทางการเงินไปหาตัวได้นั่นเอง นอกจากนี้ในบางครั้งผู้ที่เปิดบัญชีม้าก็ถูกหลอกจากมิจฉาชีพให้เปิดบัญชีม้ามาอีกที ทำให้หลายครั้งกระทำความผิดโดยไม่รู้ตัว แต่หากถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบก็นับว่ามีความผิดทางกฎหมายเช่นกัน ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันตนเองส่วนถัดไปของบทความนี้เราจะมาแนะนำวิธีป้องกันจากการถูกหลอก พร้อมแนวทางการจัดการเมื่อถูกหลอกเปิดบัญชีม้า หรือถูกอายัดบัญชีเนื่องจากเข้าข่ายเป็นต้องสงสัยกัน เหตุผลที่เรียกว่า บัญชีม้า แต่ก่อนอื่น หลายท่านน่าจะสงสัยว่า ทำไมเรียกบัญชีม้า ซึ่งเหตุผลก็เพราะว่า ม้า ในที่นี้เปรียบเสมือนยานพาหนะสำหรับการพาเงินที่ได้มาจากการโกงผู้อื่น หรือเงินผิดกฎหมายที่ได้จากผู้ถูกหลอกลวง ไปสู่บัญชีของตนเองนั่นเอง และเพื่อให้สามารถติดตามตรวจสอบได้ยาก จึงมีการใช้ ม้า หรือ บัญชีม้า มาเป็นตัวกลางนั่นเอง บัญชีม้า แต่ละสี/ประเภท ข้อบ่งชี้ระดับความเสี่ยงของบัญชี บัญชีม้านั้นมีหลายระดับ โดยสามารถแบ่งตามระดับความเสี่ยงของการเข้าข่ายเป็นบัญชีม้า โดยสามารถเรียงลำดับได้ดังนี้ บัญชีธุรกิจที่มีความเสี่ยงเป็นบัญชีต้องสงสัย เงื่อนไขการเข้าข่ายเป็นบัญชีม้านั้นมีหลายแบบ แต่ด้วยรูปแบบของการดำเนินธุรกิจบางครั้งอาจทำให้สุ่มเสี่ยงเป็นบัญชีม้ามากเป็นพิเศษ โดยสามารถแบ่งเงื่อนไขได้เป็นดังนี้ ดังนั้นผู้ประกอบการท่านไหนที่บัญชีของธุรกิจเข้าข่ายทั้ง 3 ข้อนี้ก็มีโอกาสโดนตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ ดังนั้นควรเตรียมเอกสารเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของเส้นทางการเงินให้ครบถ้วน เพราะหากถูกระงับบัญชีเพื่อตรวจสอบ ก็สามารถกู้คืนกลับมาได้เร็วยิ่งขึ้น โอนเงินเข้าออกหลายครั้ง เข้าข่ายเป็นบัญชีม้าหรือไม่? หากบัญชีของคุณมีการโอนเงินเข้าออกหลายครั้ง อาจจะยังไม่นับว่าเป็นบัญชีม้า แต่อาจถูกตรวจสอบโดยทางกฎหมายได้มีการกำหนดเงื่อนไขประเภทของบัญชีที่ต้องทำการชี้แจงที่มาของเงินดังนี้ หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่ต้องรับเงินเข้าบัญชีตัวเองหลายครั้งต่อปี แต่หากยังไม่ถึงกำหนดข้างต้นก็ไม่จำเป็นต้องกังวล แต่ทั้งนี้แนะนำให้เก็บเอกสารไว้ให้ครบถ้วนสำหรับการยื่นให้สรรพากรในกรณีที่มีการตรวจสอบ บทลงโทษของการเปิดบัญชีม้า หากชื่อบัญชีของคุณถูกนำไปใช้เป็นเส้นทางการเงินผิดกฎหมายหรือกลายเป็นบัญชีม้า ก็เข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมายที่มีบทลงโทษกำหนดไว้อย่างชัดเจน โดยผู้กระทำความผิดจะเป็นทั้งผู้ที่นำบัญชีม้าไปใช้ และชื่อของผู้เปิดบัญชีอีกด้วย ซึ่งข้อกฎหมายนี้อยู่ใน พระราชกำหนด มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ได้มีการระบุบทลงโทษไว้ว่าจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีและปรับไม่เกิน 300,000 บาท โดยผู้ที่เข้าข่ายจะรวมตั้งแต่การเปิดบัญชี หรือยินยอมให้ใช้บัญชีธนาคารในการรับเงินผิดกฎหมาย หรือชำระเงินเกี่ยวกับสิ่งที่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ข้อกฎหมายยังกำหนดครอบคลุมไปถึงบัญชีธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ บัตรเครดิต และบัตรเดบิต ในส่วนของผู้ที่จัดหาหรือโฆษณาเชิญชวนผู้อื่นให้เปิดบัญชีม้าก็มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2-5 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000 – 500,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับด้วยนั่นเอง เป็นอีกหนึ่งการกระทำความผิดที่มีบทลงโทษรุนแรง ผลกระทบจากการต้องสงสัยและถูกระงับบัญชี สำหรับผู้ประกอบการแล้ว หากบัญชีของธุรกิจถูกระงับเนื่องจากเข้าข่ายต้องสงสัยว่าเป็นบัญชีม้าต้องส่งผลกระทบร้ายแรงสำหรับการดำเนินกิจการในหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน ที่หากบัญชีถูกระงับหรืออยู่ในระหว่างการตรวจสอบ ห้ามทำธุรกรรม ก็อาจทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินเดือนพนักงาน ส่งผลต่อไปถึงความน่าเชื่อถือของบริษัท นอกจากนี้ในมุมที่เกี่ยวข้องกับคนนอกบริษัท หากบริษัทจำเป็นต้องชำระหนี้ทุกเดือน แต่ไม่สามารถโอนเงินออกจากบัญชีได้ก็ส่งผลกระทบในส่วนนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ ความไว้ใจในการทำธุรกิจระหว่างองค์กรด้วยเช่นเดียวกัน ในที่นี้ก็อาจรวมไปถึงการบริหารเงินภายในองค์กรเองด้วย ด้วยเหตุนี้นักบัญชีหรือผู้ประกอบการควรที่จะให้ความสำคัญ วางแผนล่วงหน้าหากธุรกิจของเราอาจถูกตรวจสอบ ด้วยการเตรียมเงินสดสำรอง รวมไปถึงการเตรียมเอกสารหลักฐานสำคัญที่ใช้ในการยืนยันความบริสุทธิ์ให้แก่เจ้าหน้าที่ เพื่อให้สามารถจัดการบัญชีให้กลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็วหากถูกตรวจสอบ วิธีป้องกันบัญชีบริษัทไม่ให้กลายเป็นบัญชีม้า ในส่วนนี้เราได้รวบรวมวิธีป้องกันเบื้องต้น ที่ช่วยให้บัญชีขององค์กรไม่ให้เข้าข่ายสุ่มเสี่ยงกลายเป็นบัญชีม้าโดยไม่รู้ตัว ซึ่งโดยหลักแล้วธุรกิจสามารถป้องกันได้ด้วยการจัดการระบบควบคุมภายใน (Internal Control) ขององค์กรให้ชัดเจน มีความเป็นระเบียบ แบ่งแยกหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง โดยสามารถทำได้ 3 ข้อดังนี้ 1. แบ่งแยกหน้าที่ระหว่างฝ่ายบัญชีและการเงินให้ชัดเจน (Segregation of Duties) เพราะการทำงานที่ทับซ้อนหรือไม่ชัดเจนอาจก่อให้เกิดความผิดพลาดในการจัดการระบบภายในองค์กรได้ หรือการแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจน และห้ามให้มีการผ่อนปรนอันเป็นโอกาสนำไปสู่ปัญหาได้ ซึ่ง Segregation of Duties หรือ SoD สามารถทำได้หลัก ๆ ดังนี้ ซึ่งการจัดการระบบภายในเหล่านี้จะช่วยให้ทำงานกันอย่างลื่นไหล เป็นระเบียบ ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด ซึ่งรวมไปถึงปิดช่องโหว่การฉ้อโกง เพิ่มความโปร่งใสในการทำงาน และลดโอกาสที่จะทำให้บัญชีเข้าข่ายต้องสงสัย หรือหากมีการตรวจสอบก็มีหลักฐานชัดเจน 2. ตรวจสอบรายการบัญชีเป็นประจำ เนื่องจากบัญชีม้ามีความเกี่ยวข้องกับการเดินบัญชี ดังนั้นการตรวจสอบรายการบัญชีของธุรกิจเป็นประจำอย่างต่อเนื่องสามารถช่วยป้องกันได้ระดับหนึ่ง หรืออาจดูจากจำนวนครั้งการโอน และยอดการโอนที่หากเข้าข่ายต้องได้รับการตรวจสอบจากกรมสรรพากร นักบัญชีอาจเตรียมเอกสารการชี้แจงต่าง ๆ ให้พร้อมเพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบเร็วยิ่งขึ้น 3. กำหนดผู้มีอำนาจในตรวจสอบอนุมัติ การทำธุรกรรมแต่ละครั้งควรมีผู้มีอำนาจไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการฝ่ายบัญชี หรือเจ้าของธุรกิจรับหน้าที่ตรวจสอบรายการธุรกรรมและเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีของบริษัท เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการโกงโดยพนักงาน หรือมีการโอนเงินที่ผิดปกติ 4. จัดเก็บเอกสารด้านบัญชีอย่างเป็นระบบ หากธุรกิจเข้าข่ายสุ่มเสี่ยงและถูกตรวจสอบจากผู้มีอำนาจ ผู้ประกอบการสามารถยืนยันความบริสุทธิ์ของเส้นทางการเงินบริษัทได้ด้วยการแสดงเอกสารต่าง ๆ เช่น ใบแจ้งหนี้ หรือใบเสร็จรับเงินที่สามารถใช้เป็นหลักฐานแสดงความบริสุทธิ์ได้ ดังนั้นนักบัญชีหรือผู้ประกอบการควรวางระบบภายในที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บเอกสาร เช่น การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ควบคู่กับการเก็บเอกสารฉบับจริง ก็สามารถช่วยให้จัดการเอกสารด้านบัญชีให้เป็นระเบียบ เรียกดูเอกสารแต่ละฉบับได้ง่ายมากขึ้นได้ Checklist เอกสารที่ต้องเตรียม เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเส้นทางการเงินบริษัท ในกรณีที่บริษัทถูกตรวจสอบจากผู้มีอำนาจ เนื่องจากเข้าข่ายเสี่ยงเป็นบัญชีม้า ผู้ประกอบการหรือนักบัญชีสามารถจัดเตรียมเอกสารให้เรียบร้อยสำหรับการยืนยันเส้นทางการเงิน เป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้องค์กร โดยมีเอกสารทั้งหมด 4 ส่วนดังนี้ ซึ่งเอกสารเหล่านี้สามารถใช้ในการยืนยันถึงเส้นทางการเงินของบริษัทได้ ดังนั้นผู้ประกอบการควรมีการวางระบบจัดการเอกสารให้ชัดเจน หากมีความจำเป็นต้องยื่นเอกสารเหล่านี้ประกอบก็สามารถทำได้รวดเร็วและถูกต้องมากยิ่งขึ้น โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ตัวช่วยจัดการเอกสารด้านบัญชีในองค์กร จากที่เราได้แนะนำก่อนหน้านี้ว่า การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ควบคู่ไปกับการจัดเก็บเอกสารฉบับจริง ก็ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการระบบเอกสารเหล่านี้ได้ดีมากยิ่งขึ้น สามารถเรียกดูได้ง่าย ลดโอกาสที่เอกสารจะสูญหาย รวมไปถึงสามารถดูข้อมูลได้อย่างชัดเจน ซึ่ง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ก็เป็นหนึ่งในโปรแกรมด้านบัญชีที่สามารถใช้ในการจัดการระบบบัญชีในองค์กร มาพร้อมฟีเจอร์ด้านบัญชีต่าง ๆ มากมาย ที่นอกจากช่วยการจัดการเอกสารในการยืนยันความบริสุทธิ์จากการเข้าข่ายเป็นบัญชีม้า ยังสามารถออกเอกสารบัญชี เรียกดูรายงาน เพื่อการวิเคราะห์ด้านการเงินของธุรกิจได้อย่างแม่นยำ! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

27 ก.ย. 2025

PEAK Account

13 min

หนังสือรับรองรายได้ คืออะไร? รวมทุกเรื่องที่ควรรู้

หนังสือรับรองรายได้ เป็นเอกสารจำเป็นที่ผู้ประกอบการต้องรู้ เพราะนับเป็นเอกสารสำคัญสำหรับพนักงานในการนำไปใช้ยื่นทำธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน หรือเพื่อเป็นการยืนยันสถานะพนักงาน แต่ถ้าผู้ประกอบการไม่รู้จักเอกสารนี้ดี ออกให้ผิด หรือข้อมูลไม่ครบถ้วน ก็อาจทำให้พนักงานไม่สามารถใช้เอกสารดังกล่าวได้ และเกิดปัญหาตามมา ในบทความนี้เราเลยขอพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับหนังสือรับรองรายได้ และข้อมูลสำคัญที่ต้องมี ทำความรู้จัก หนังสือรับรองรายได้ หนังสือรับรองรายได้ คือ หนังสือที่มักนำไปใช้เป็นหลักฐานในการยืนยันสถานะการเป็นพนักงาน หรือจำนวนเงินเดือนเพื่อแสดงสถานะความมั่นคงทางการเงิน เพราะในเอกสารจะระบุรายได้ของบุคคลดังกล่าวประกอบไปด้วย เงินเดือน เงินพิเศษ หรือโบนัส ซึ่งมักเป็นเอกสารที่จำเป็นต้องใช้เมื่อขอทำธุรกรรมทางการเงิน สมัครบัตรเครดิต กู้เงิน หรือในบางครั้งใช้เป็นหลักฐานประกอบเวลาขอวีซ่าเพื่อเดินทางไปต่างประเทศได้เช่นกัน ซึ่งหนังสือรับรองรายได้มักเป็นรูปแบบของหนังสือรับรองเงินเดือน สำหรับพนักงานประจำ หรือหนังสือรับรองการหักภาษี ณ​ ที่จ่ายสำหรับพนักงานอิสระ ข้อมูลที่ต้องมีในหนังสือรับรองรายได้ ข้อมูลในหนังสือรับรองรายได้มีความสำคัญและต้องระบุทั้งหมดให้ถูกต้องครบถ้วนเพื่อให้เอกสารนั้นสามารถใช้เป็นหลักฐานในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ของพนักงานได้ โดยเอกสารหนังสือรับรองรายได้ ในรูปแบบที่เป็น หนังสือรับรองเงินเดือน สำหรับออกให้พนักงานประจำต้องมีข้อมูลดังนี้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้นายจ้างสามารถทำเป็นร่างเอกสารที่เว้นพื้นที่สำหรับกรอกข้อมูลต่าง ๆ ได้ เพื่อเวลาที่ต้องออกเอกสารให้พนักงานจริง ๆ สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว ไม่ต้องพิมพ์เอกสารใหม่ทุกครั้ง โดยจากตัวอย่างจะเป็น หนังสือรับรองเงินเดือน ที่เป็นเอกสารรับรองรายได้สำหรับพนักงานประจำ แต่ในกรณีที่เป็นพนักงานอิสระก็สามารถออกเอกสารรับรองรายได้ให้ได้เช่นเดียวกัน หนังสือรับรองรายได้สำหรับพนักงานอิสระ บางบริษัทที่มีการว่าจ้างพนักงานอิสระ หรือ พนักงานฟรีแลนซ์ในการทำงาน โดยพนักงานอิสระที่บริษัทดังกล่าวว่าจ้างก็มีสิทธิ์ที่จะขอหนังสือรับรองรายได้ได้เช่นเดียวกัน โดยเอกสารนี้จะเป็นรูปแบบของเอกสาร 50 ทวิ หรือหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งสามารถใช้เป็นหลักฐานในการรับรองรายได้ของพนักงานฟรีแลนซ์ในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ใช้ในการจัดการด้านภาษี อย่างการยื่นขอคืนภาษีได้เช่นเดียวกัน ซึ่งในเอกสาร 50 ทวิจะมีรูปแบบกำหนดมาโดยกรมสรรพากร สามารถนำข้อมูลไปกรอกได้เลย ทั้งนี้อย่าลืมตรวจสอบข้อมูลให้เรียบร้อยก่อนส่งมอบให้พนักงานเพื่อความถูกต้อง โดยในส่วนของวิธีการออก 50 ทวิ สามารถทำได้ผ่านโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับด้านการบริหารบุคคล ที่สามารถลงบันทึกบัญชีและออกเอกสาร 50 ทวิได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และสามารถส่งผ่านอีเมลได้อีกด้วย โดยปกติแล้วหากเป็นพนักงานอิสระ ผู้ประกอบการต้องออกหนังสือ 50 ทวิให้พนักงานทันทีหลังจากที่ทำการจ่ายเงินและหักภาษี ณ ที่จ่ายเรียบร้อยแล้วนั่นเอง หนังสือรับรองรายได้ต้องออกเมื่อไหร่ และใครเป็นผู้ออกหนังสือรับรองรายได้ หนังสือรับรองรายได้ ในกรณีที่เป็นหนังสือรับรองเงินเดือนออกให้พนักงานประจำสามารถออกได้เมื่อมีพนักงานขอ และเป็นหน้าที่ของผู้มีอำนาจในบริษัทสามารถเป็นฝ่ายบุคคล หรือฝ่ายบัญชีขึ้นอยู่กับการมอบหมาย โดยการออกหนังสือรับรองรายได้ ก็เป็นอีกหนึ่งเอกสารที่ต้องให้ความสำคัญในรายละเอียดความถูกต้อง และจำเป็นต้องลงลายมือชื่อของผู้มีอำนาจ หรือลงตราประทับทุกครั้ง เพราะหากมีการปลอมแปลงเอกสารเกิดขึ้น อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของบริษัทได้ นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้เอกสารทำให้พนักงานสามารถนำไปใช้ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น แต่ในส่วนของพนักงานอิสระ โดยปกติผู้ว่าจ้างต้องออกเอกสาร 50 ทวิให้หลังจากที่ทำการจ่ายเงินและหักภาษี​ ณ ที่จ่ายเสร็จสิ้น และในส่วนของผู้ออกเอกสารก็เป็นหน้าที่ของผู้ได้รับมอบหมาย ขึ้นอยู่กับการจัดการภายในของแต่ละธุรกิจ หลังจากออกเอกสารแล้วหนังสือรับรองรายได้มีอายุการใช้งานถึงเมื่อไหร่? รายได้ของพนักงานสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และรวมไปถึงการเปลี่ยนงานของพนักงานเช่นกัน ดังนั้นหนังสือรับรองเงินเดือนจึงมีการกำหนดอายุการใช้งาน ที่หนังสือแต่ละฉบับนั้นสามารถนำไปใช้ในการยื่นทำธุรกรรม หรือใช้เป็นหลักฐานได้ โดยอายุของหนังสือรับรองรายได้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน โดยสามารถแบ่งได้เป็นสามส่วนดังนี้ หนังสือรับรองรายได้สามารถนำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง? โดยส่วนใหญ่การขอหนังสือรับรองรายได้ของพนักงาน มักนำไปใช้ในวัตถุประสงค์ด้านการทำธุรกรรมการเงินกับธนาคาร เพราะหนังสือรับรองรายได้ใช้เป็นหลักฐานรายได้ของพนักงานว่ามีเงินรายเดือน สามารถชำระสินเชื่อหรือบัตรเครดิตได้จริงตามที่กำหนด รวมไปถึงวงเงินบัตรเครดิตที่ทางธนาคารจะให้ก็ขึ้นอยู่กับเงินเดือนในหนังสือรับรองรายได้ของพนักงานเช่นกัน ในส่วนของกรณีการยื่นขอวีซ่า หลายครั้งก็ใช้หนังสือรับรองรายได้เช่นเดียวกัน เพราะนอกจากช่วยแสดงความมั่นคงด้านการเงิน ก็ช่วยเป็นหลักฐานยืนยันได้ด้วยว่าบุคคลดังกล่าวมีอาชีพอยู่ในประเทศไทย เพิ่มโอกาสในการพิจารณาให้วีซ่าของประเทศนั้น ๆ ได้ นอกจากนี้อาจมีเอกสารอื่นประกอบ เช่น เอกสารรับรองการทำงาน ข้อควรระวังในการออกหนังสือรับรองรายได้ หนังสือรับรองรายได้มักใช้เป็นหลักฐานในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ของพนักงาน เพราะฉะนั้นในฐานะนายจ้างก็ควรที่จะต้องให้ความสำคัญกับรายละเอียดในเอกสาร เพื่อให้ข้อมูลได้อย่างถูกต้อง และพนักงานสามารถนำเอกสารดังกล่าวไปใช้เป็นหลักฐานตามจุดมุ่งหมายได้จริง ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ข้อควรระวังที่ผู้ประกอบการ หรือผู้มีอำนาจในการออกเอกสารควรให้ความสำคัญ คือ ข้อมูลในเอกสารที่ต้องใส่ให้ถูกต้องทั้งหมด และมีการลงนามอย่างชัดเจนเพื่อยืนยันความถูกต้องของเอกสารสามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานได้จริง ออกหนังสือรับรองรายได้อย่างไร ให้สะดวก รวดเร็วมากที่สุด การออกหนังสือรับรองรายได้ ถึงแม้จะดูไม่ใช่งานที่ใช้เวลาหรือซับซ้อนมาก แต่ถ้าจำเป็นต้องออกหลาย ๆ ครั้งก็กินเวลาการทำงานของผู้รับผิดชอบไปพอสมควร ดังนั้นเพื่อให้การออกเอกสารนี้ง่ายยิ่งขึ้นเราแนะนำให้มีการทำรูปแบบเตรียมไว้ สามารถกรอกข้อมูลและพิมพ์เอกสารได้สะดวกขึ้นนั้นเองในส่วนของธุรกิจที่มีการจ้างพนักงานอิสระต้องออกใบ 50 ทวิให้อยู่แล้ว และพนักงานอิสระสามารถนำเอกสารนี้ไปใช้เป็นหนังสือรับรองรายได้ แนะนำให้ใช้โปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ PEAK ที่มีฟีเจอร์ในการออกเอกสาร 50 ทวิได้อย่างรวดเร็ว พร้อมส่งผ่านอีเมลหรือพิมพ์ออกมาเป็นเอกสาร ช่วยลดขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยากเพื่อประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก