เอกสารธุรกิจ

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

27 มิ.ย. 2025

PEAK Account

13 min

ใบสั่งซื้อ Purchase Order (PO) คืออะไร พร้อมตัวอย่าง

ใบสั่งซื้อ PO (Purchase Order): หัวใจสำคัญของการควบคุมต้นทุนและสร้างระบบให้ธุรกิจคุณ ในการดำเนินธุรกิจยุคใหม่ที่การแข่งขันสูง การบริหารจัดการต้นทุนและการควบคุมการจัดซื้อจัดจ้างอย่างมีระบบเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเอกสารสำคัญอย่าง ใบสั่งซื้อ (Purchase Order หรือ PO) ที่เป็นมากกว่าแค่กระดาษ แต่คือกลไกสำคัญในการบริหารจัดการการเงินและสร้างความโปร่งใสให้ธุรกิจของคุณ มาดูกันว่าทำไมใบ PO ถึงเป็นหัวใจสำคัญที่ทุกกิจการไม่ควรมองข้าม ใบสั่งซื้อ PO สำคัญอย่างไรกับธุรกิจของคุณ? การใช้ใบสั่งซื้อ PO อย่างถูกวิธี ไม่เพียงช่วยให้คุณจัดการเรื่องการจัดซื้อได้ง่ายขึ้น แต่ยังเสริมสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับการดำเนินงานโดยรวม ใบสั่งซื้อ PO คืออะไร แตกต่างจากใบขอซื้อ PR อย่างไร? ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง มีเอกสารสำคัญสองประเภทที่มักสร้างความสับสนให้กับผู้ประกอบการ นั่นคือ ใบสั่งซื้อ (PO) และ ใบขอซื้อ (PR) แม้จะมีความเกี่ยวข้องกัน แต่มีวัตถุประสงค์และการใช้งานที่แตกต่างกัน มาทำความเข้าใจความต่างนี้กัน ใบสั่งซื้อ (Purchase Order – PO) คือ ใบสั่งซื้อ (PO) เป็นเอกสารทางธุรกิจที่ออกโดย ฝ่ายจัดซื้อขององค์กร (ผู้ซื้อ) เพื่อ สั่งซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ขาย (Supplier) อย่างเป็นทางการ เปรียบเสมือนสัญญาซื้อขายที่มีผลผูกพันทางกฎหมายเมื่อผู้ขายตอบรับ ใบสั่งซื้อ PO จะถูกจัดทำขึ้น หลังจากที่ใบขอซื้อ (PR) ได้รับการอนุมัติแล้ว โดยจะมีรายละเอียดครบถ้วน เช่น: ใบขอซื้อ (Purchase Requisition – PR) คือ ใบขอซื้อ (PR) เป็นเอกสาร ภายในองค์กร ที่แผนกต่าง ๆ (เช่น แผนกผลิต, แผนกการตลาด) ใช้แจ้งความต้องการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการไปยัง ฝ่ายจัดซื้อ โดยระบุรายละเอียดสินค้าที่ต้องการ เหตุผลที่ต้องใช้ และงบประมาณที่เกี่ยวข้อง เอกสาร PR ต้องได้รับการตรวจสอบและอนุมัติจากหัวหน้าแผนกหรือผู้มีอำนาจก่อนที่จะส่งต่อไปยังฝ่ายจัดซื้อ เพื่อยืนยันความจำเป็นและความเหมาะสมของการจัดซื้อ ระบบ PR ช่วยควบคุมการใช้จ่าย ป้องกันการสั่งซื้อที่ไม่จำเป็น รวมถึงป้องกันการทุจริตของพนักงานและผู้ขาย สรุปความแตกต่างง่ายๆ: ข้อมูลสำคัญที่ต้องมีใน ใบสั่งซื้อ PO ใบสั่งซื้อ PO ที่สมบูรณ์และถูกต้อง ควรประกอบด้วยข้อมูลสำคัญเหล่านี้ เพื่อลดข้อผิดพลาดและข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต: ข้อมูลสำคัญที่ต้องมีในใบขอซื้อ PR ใบขอซื้อ (PR) แม้จะเป็นเอกสารภายใน แต่ก็มีความสำคัญไม่แพ้ใบสั่งซื้อ โดยข้อมูลที่ครบถ้วนในใบ PR จะช่วยให้ฝ่ายจัดซื้อดำเนินการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว: ตัวอย่างใบสั่งซื้อ PO และ ใบขอซื้อ PR เพื่อให้เข้าใจรูปแบบและองค์ประกอบของเอกสารทั้งสองประเภทได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ลองจินตนาการถึงโครงสร้างพื้นฐานดังนี้: ตัวอย่างโครงสร้างใบขอซื้อ PR ตัวอย่างใบขอซื้อ PO สรุปท้ายบทความ การมีระบบเอกสารการสั่งซื้อที่แข็งแกร่ง ไม่เพียงช่วยควบคุมค่าใช้จ่าย ป้องกันการทุจริต และสร้างความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อขององค์กรได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการบริหารจัดการธุรกิจในภาพรวม เจ้าของธุรกิจจึงควรเข้าใจและใช้ประโยชน์จากใบสั่งซื้อ PO อย่างเต็มที่ สำหรับธุรกิจยุคใหม่ การพึ่งพาระบบมือหรือเอกสารกระดาษอาจไม่เพียงพออีกต่อไป PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เข้ามาตอบโจทย์ตรงนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยฟังก์ชันที่รองรับการสร้างใบสั่งซื้อ (PO) ได้อย่างง่ายดาย คุณสามารถจัดการคำสั่งซื้อจากผู้จัดจำหน่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ PEAK ช่วยให้คุณบันทึกและติดตามข้อมูลการสั่งซื้อ สินค้า บันทึกซื้อสินค้า และเงื่อนไขการชำระเงินได้อย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งสามารถ เชื่อมโยงข้อมูลกับใบส่งสินค้าและใบแจ้งหนี้ได้ทันที ทำให้การจัดการบัญชีตั้งแต่การสั่งซื้อ การรับสินค้า ไปจนถึงการชำระเงินเป็นไปอย่างราบรื่น มีระบบ และแม่นยำมากยิ่งขึ้น ลดข้อผิดพลาด ประหยัดเวลา และช่วยให้คุณมีข้อมูลเชิงลึกสำหรับการตัดสินใจทางธุรกิจที่ดีขึ้นเสมอ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท คลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย) PEAK Call Center : 1485 LINE : @peakaccount สอบถามเพิ่มเติม คลิก

27 พ.ค. 2025

PEAK Account

5 min

รับของให้เป๊ะ เช็กบิลให้ชัวร์: รู้จักระบบ GR และ IR

1. ปัญหาที่เจ้าของธุรกิจ SMEs มักเจอ ถ้าคุณเคยเจอข้อใดข้อหนึ่ง ฟีเจอร์ใหม่จาก PEAK Premium อาจเป็นคำตอบที่ช่วยให้ขั้นตอนการจัดซื้อและจ่ายเงินของคุณเป็นระบบมากขึ้นด้วย 2 ระบบสำคัญคือ GR (Goods Receipt) และ IR (Invoice Receipt) 2. GR และ IR คืออะไร ? 3. GR (การรับสินค้า) : เช็กของให้ชัวร์ก่อนเก็บเข้าคลัง GR คืออะไร เวลาซัพพลายเออร์ส่งของมา เราอาจเคยชินกับการเซ็นรับแล้วเก็บของเข้าคลังทันทีแต่ GR คือการที่เรามีขั้นตอนชัดเจนในการตรวจสอบของ ณ จุดรับของ เช่น : เมื่อเช็กครบแล้ว ก็ทำเอกสาร GR Note เก็บไว้เป็นหลักฐาน แบบเดิม vs แบบใหม่ ประโยชน์ของ GR 4. IR (การรับแจ้งหนี้) : เช็กบิลให้ตรงก่อนจ่ายจริง IR คืออะไร หลังจากรับของแล้ว ซัพพลายเออร์จะส่งใบแจ้งหนี้มาเรียกเก็บเงิน ระบบ IR ก็คือขั้นตอนการตรวจสอบบิลอย่างละเอียดก่อนจ่ายเงิน โดยต้องตรวจสอบข้อมูลให้ทุกอย่างตรงกัน จึงอนุมัติจ่ายเงิน แบบเดิม vs แบบใหม่ ประโยชน์ของ IR 5. สรุปสั้นๆ : เข้าใจ GR & IR ง่ายๆ 6. ทำไมระบบนี้ถึงสำคัญต่อธุรกิจของคุณ แม้จะดูเหมือนเป็นการเพิ่มขั้นตอนแต่ GR และ IR คือการสร้างระบบตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดความผิดพลาด ป้องกันเงินรั่วไหล และทำให้เจ้าของธุรกิจมีภาพรวมของสต็อกและค่าใช้จ่ายที่แม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งสำคัญมากต่อการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว สนใจใช้งานแพ็กเกจ PEAK PREMIUM ต้องการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายขายติดต่อกลับ คลิกลงทะเบียน

27 พ.ค. 2025

PEAK Account

4 min

เช็กบิลให้เป๊ะ! ป้องกันธุรกิจจากการจ่ายเงินผิดด้วยระบบ IR

ลองนึกภาพตามนะครับ คุณจ่ายเงินให้ซัพพลายเออร์ไปแล้ว แต่เพิ่งมารู้ทีหลังว่าได้ของไม่ครบ หรือเผลอจ่ายบิลซ้ำ เพราะบิลหน้าตาเหมือนกันเป๊ะ หรือที่แย่กว่านั้นเงินหายไปจากระบบ โดยไม่มีใครรู้ว่าเกิดขึ้นตอนไหน ซึ่งปัญหาเหล่านี้ หลายครั้งมักเกิดจากการตรวจสอบใบแจ้งหนี้ที่ไม่รอบคอบก่อนจ่ายเงิน เรามารู้จักระบบ IR ตัวช่วยป้องกันธุรกิจจากการจ่ายเงินผิด แบบไม่รู้ตัวกันครับ ระบบ IR คืออะไร ? IR (Invoice Receipt) คือขั้นตอนการ “เช็กบิลก่อนจ่าย” อย่างเป็นระบบ เมื่อคุณได้รับใบแจ้งหนี้จากซัพพลายเออร์ ระบบ IR จะช่วยตรวจสอบว่า ถ้าไม่มี IR จะเกิดอะไรขึ้น ? IR ช่วยคุณอย่างไร ? สรุป ระบบ IR ไม่ใช่แค่การรับบิล แต่คือการป้องกันเงินรั่วไหล อาจดูเหมือนเพิ่มขั้นตอน แต่จริง ๆ แล้วคือ เกราะป้องกันสำคัญ ที่ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่า ทุกบิลที่จ่ายเป็นเงินที่ควรจ่ายจริง ๆ อยากให้ธุรกิจคุณจ่ายเงินอย่างมั่นใจ ลองใช้ระบบ IR กับ PEAK Premium แล้วคุณจะเห็นความแตกต่างตั้งแต่บิลแรกที่ตรวจ! สนใจเข้าร่วม DEMO สาธิตฟีเจอร์ใหม่ PEAK Premium ที่นี่!เจาะลึกทุกฟีเจอร์พร้อม Q&A ถาม-ตอบทุกข้อสงสัย – ฟรีออนไลน์ผ่าน Zoom คลิกลงทะเบียน สนใจใช้งานแพ็กเกจ PEAK PREMIUM ต้องการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายขายติดต่อกลับ คลิกลงทะเบียน

7 ม.ค. 2025

PEAK Account

8 min

รู้หรือไม่ PEAK ออก e-Tax Invoice ได้ พร้อมรองรับโครงการ Easy E-Receipt 2.0 

การใช้ e-Tax Invoice จะช่วยให้ธุรกิจ SMEs ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระเอกสาร และทำให้การจัดการภาษีเป็นเรื่องง่ายขึ้น หากคุณต้องการให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเปลี่ยนมาใช้ระบบ e-Tax Invoice จึงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าในระยะยาว โดย PEAK ออก e-Tax Invoice ได้ พร้อมทั้งสามารถใช้งานร่วมกับโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ซึ่งทำให้การจัดการเอกสารภาษีสะดวกและทันสมัยมากยิ่งขึ้น หากคุณสนใจระบบ e-Tax Invoice สามารถใช้งานได้ผ่าน PEAK ที่รองรับระบบการออกใบกำกับภาษีได้หลายรูปแบบ มาดูกันว่า PEAK รองรับระบบ e-Tax Invoice ได้กี่รูปแบบ e-Tax Invoice คืออะไร? e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เป็นเอกสารที่ออกและเก็บในรูปแบบดิจิทัล แทนการใช้กระดาษ โดยต้องเป็นไปตามมาตรฐานของกรมสรรพากร ซึ่งช่วยให้การทำธุรกรรมทางภาษีสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากขึ้น ประโยชน์ของ e-Tax Invoice สำหรับธุรกิจ SMEs e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ มีประโยชน์อย่างมากสำหรับธุรกิจ SMEs โดยช่วยให้การจัดการเอกสารทางบัญชีและภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้น มาดูรายละเอียดเพิ่มเติมของประโยชน์เหล่านี้กัน 1. ลดต้นทุนการจัดเก็บเอกสาร 2. ลดภาระงานเอกสาร 3. เพิ่มความแม่นยำ ลดข้อผิดพลาด 4. อำนวยความสะดวกในการตรวจสอบ ทำไมต้องใช้ PEAK ในการออก e-Tax Invoice? PEAK เป็นระบบบัญชีออนไลน์ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถออก e-Tax Invoice ได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐานกรมสรรพากร และรองรับโครงการ Easy E-Receipt อย่างสมบูรณ์ PEAK รองรับ Easy E-Receipt ทั้ง e-Tax Invoice by Time Stamp และ e-Tax Invoice & e-Receipt จุดเด่นของการที่ PEAK ออก e-Tax Invoice ได้ ร้านค้าจะเริ่มต้นใช้งานให้ PEAK ออก e-Tax Invoice ได้ อย่างไร? 1. ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt 2. สมัครใช้งานระบบ PEAK ผ่านเว็บไซต์ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ 3. ตั้งค่าระบบ e-Tax Invoice ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ 4. ออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ได้ทันที PEAK รองรับการออก e-Tax Invoice ครบทุกประเภท ทั้ง e-Tax Invoice & e-Receipt และ e-Tax Invoice by Timestamp ช่วยให้ธุรกิจ SMEs ลดภาระงานเอกสาร ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเชื่อมต่อกับกรมสรรพากรอย่างถูกต้อง หากต้องการระบบที่ช่วยให้การออกเอกสารภาษีง่ายขึ้น PEAK คือตัวเลือกที่ดีที่สุด ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

14 min

รู้จักแนวทางการทำงานแบบ Paperless วิธีช่วยลดต้นทุนกระดาษ

การทำงานแบบ Paperless กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับองค์กรยุคใหม่ที่ต้องการเพิ่มคุณภาพการทำงาน โดยการปรับเปลี่ยนสู่ระบบไร้กระดาษ ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนในการประหยัดทรัพยากรกระดาษเท่านั้น แต่ยังช่วยให้การจัดการเอกสารให้มีระบบมากขึ้น ลดพื้นที่จัดเก็บ และเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล เรามาทำความเข้าใจกับแนวคิด Paperless และประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับกัน การทำงานแบบ Paperless คืออะไร วิธีการทำงานแบบ Paperless คือ การลดการใช้กระดาษในกระบวนการทำงานโดยเปลี่ยนไปใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์แทน ระบบ Paperless ไม่ได้หมายถึงการไม่ใช้กระดาษเลย แต่เป็นการลดการใช้กระดาษให้น้อยที่สุดโดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วย เช่น การสแกนเอกสาร การจัดเก็บไฟล์ดิจิทัล และการใช้ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ การทำงานในรูปแบบนี้ช่วยให้องค์กรประหยัดทั้งพื้นที่จัดเก็บ เวลาในการค้นหา และค่าใช้จ่ายในการจัดการเอกสาร ระบบการทำงานแบบ Paperless มีข้อดีอย่างไร การนำระบบ Paperless มาใช้ในองค์กรมีข้อดีมากมาย ทั้งด้านการจัดการ ความปลอดภัย และการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงานและต้นทุนขององค์กร มาดูข้อดีที่สำคัญของการใช้ระบบ Paperless กัน เข้าถึงเอกสารได้จากทุกที่ทุกเวลา ระบบ Paperless ช่วยให้พนักงานสามารถเข้าถึงเอกสารได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะทำงานที่ออฟฟิศ ที่บ้าน หรือระหว่างเดินทาง เอกสารทั้งหมดถูกจัดเก็บในระบบคลาวด์ที่มีความปลอดภัยสูง ทำให้การค้นหาและเรียกดูเอกสารทำได้ง่ายและรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังสามารถแชร์เอกสารให้กับทีมงานได้ทันที ลดเวลาในการรอคอยและเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน เพิ่มความปลอดภัยในการจัดเก็บเอกสารได้ การจัดเก็บเอกสารในระบบ Paperless มีความปลอดภัยสูงกว่าการเก็บเอกสารกระดาษ ด้วยระบบการเข้ารหัสข้อมูล การกำหนดสิทธิ์การเข้าถึง และการติดตามประวัติการใช้งาน ทำให้มั่นใจได้ว่าเอกสารสำคัญจะไม่สูญหายหรือตกไปอยู่ในมือผู้ไม่หวังดี ระบบยังมีการสำรองข้อมูลอัตโนมัติ ป้องกันความเสียหายจากภัยพิบัติหรืออุบัติเหตุต่าง ๆ  นำข้อมูลไปใช้ต่อได้อย่างง่ายดาย เอกสารในระบบ Paperless สามารถนำไปใช้ต่อได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการคัดลอกข้อมูล การแก้ไข หรือการวิเคราะห์ ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในรูปแบบดิจิทัลที่พร้อมนำไปประมวลผลหรือใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์อื่น ๆ เช่น โปรแกรมบัญชี หรือระบบวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การทำงานแบบ Paperless ช่วยลดการใช้กระดาษ ซึ่งส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมโดยตรง นอกจากจะช่วยลดการตัดต้นไม้แล้ว ยังช่วยลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตกระดาษ การขนส่ง และการกำจัดของเสีย องค์กรที่ใช้ระบบนี้ จึงมีส่วนช่วยในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในด้านความรับผิดชอบต่อสังคม เทคโนโลยีและเครื่องมือที่ใช้ในระบบการทำงานแบบ Paperless มีอะไรบ้าง การดำเนินงานในรูปแบบ Paperless เป็นแนวทางที่องค์กรหลายแห่งนำมาใช้เพื่อลดการใช้กระดาษ ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และเสริมสร้างความคล่องตัวในการดำเนินงาน เทคโนโลยีและเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับระบบ Paperless ครอบคลุมตั้งแต่การสร้างเอกสาร การจัดเก็บ ไปจนถึงการแชร์และสำรองข้อมูล เพื่อให้การจัดการเอกสารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด 1. โปรแกรมสำหรับสร้างและจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โปรแกรมที่ช่วยสร้างและจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำงานแบบ Paperless โดยเฉพาะในด้านบัญชีและการเงิน โปรแกรมเหล่านี้ช่วยให้สามารถสร้างและจัดการเอกสารสำคัญ เช่น ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี และรายงานทางการเงิน ได้ในรูปแบบดิจิทัล ช่วยลดการพิมพ์เอกสาร ลดการใช้ทรัพยากร และเพิ่มความสะดวกในการค้นหาและเรียกใช้งาน นอกจากนี้ โปรแกรมบัญชีที่มีฟังก์ชันในการสร้างเอกสารดิจิทัลยังช่วยลดข้อผิดพลาดในการคีย์ข้อมูล ลดความซ้ำซ้อน และช่วยให้การดำเนินงานมีความถูกต้องมากขึ้น โปรแกรมที่ดีควรมีระบบอัตโนมัติที่สามารถช่วยสร้างเอกสารจากข้อมูลที่มีอยู่เดิม เช่น การสร้างใบเสร็จจากใบแจ้งหนี้โดยอัตโนมัติ รวมถึงรองรับการเชื่อมต่อกับระบบภายนอก เช่น ระบบภาษีของกรมสรรพากร เพื่อให้สามารถยื่นแบบภาษีออนไลน์ได้โดยตรง 2. สแกนเนอร์และเทคโนโลยี OCR สำหรับแปลงเอกสารเป็นดิจิทัล การเปลี่ยนจากการใช้เอกสารกระดาษเป็นระบบดิจิทัลจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ที่สามารถแปลงเอกสารทางกายภาพให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งก็คือเครื่องสแกนเอกสาร โดยเฉพาะเครื่องสแกนที่รองรับเทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) ซึ่งสามารถแปลงตัวอักษรที่อยู่บนเอกสารให้เป็นข้อความที่สามารถแก้ไขและนำไปใช้ต่อในซอฟต์แวร์อื่น ๆ ได้ สแกนเนอร์ที่มี OCR ช่วยให้สามารถค้นหาและเรียกดูเอกสารได้ง่ายขึ้น ลดเวลาที่ใช้ในการจัดเก็บและค้นหาเอกสาร อีกทั้งยังสามารถดึงข้อมูลจากใบเสร็จ หรือใบกำกับภาษีเข้าสู่ระบบบัญชีอัตโนมัติได้ ทำให้กระบวนการทำบัญชีมีความแม่นยำมากขึ้น 3. ระบบการเซ็นเอกสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Signature) ในระบบ Paperless การลงนามในเอกสารถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปจากการใช้ลายเซ็นบนกระดาษ ระบบ E-Signature หรือ ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยให้สามารถลงนามในเอกสารแบบดิจิทัลได้โดยไม่ต้องพิมพ์เอกสารออกมาเซ็นมือแล้วสแกนกลับเข้าไปใหม่ E-Signature สามารถช่วยลดเวลาและลดกระบวนการที่ไม่จำเป็น อีกทั้งยังเพิ่มความปลอดภัยให้กับเอกสาร เนื่องจากสามารถตรวจสอบและยืนยันตัวตนของผู้ลงนามได้ รวมถึงมีระบบเข้ารหัสที่ช่วยป้องกันการปลอมแปลงเอกสาร นอกจากนี้ ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังสามารถใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมายได้ ทำให้สามารถนำไปใช้ในเอกสารที่เป็นทางการ เช่น สัญญา หรือข้อตกลงทางธุรกิจได้อย่างมั่นใจ 4. ระบบจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ (Cloud Storage) การจัดเก็บเอกสารในรูปแบบดิจิทัลจำเป็นต้องมีพื้นที่จัดเก็บที่สามารถรองรับข้อมูลจำนวนมาก และสามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ทุกเวลา Cloud Storage จึงเป็นโซลูชันสำคัญที่ช่วยให้เอกสารสามารถจัดเก็บและเข้าถึงได้จากทุกอุปกรณ์ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ในองค์กร Cloud Storage มีข้อดีหลายประการ ได้แก่ บริการ Cloud Storage ที่นิยมใช้ในองค์กร เช่น Google Drive, Dropbox, OneDrive และ AWS S3 5. ระบบสำรองข้อมูล (Backup Storage) แม้ว่าการจัดเก็บเอกสารบนคลาวด์จะช่วยลดความเสี่ยงของการสูญหายของข้อมูล แต่เพื่อเพิ่มระดับความปลอดภัย องค์กรควรมีระบบสำรองข้อมูล (Backup Storage) ที่สามารถกู้คืนเอกสารได้ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ระบบล่ม ข้อมูลสูญหาย หรือถูกโจมตีจากมัลแวร์ ระบบสำรองข้อมูลที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้ องค์กรควรเลือกใช้ระบบ Backup ที่เหมาะสมกับปริมาณข้อมูลและความต้องการด้านความปลอดภัย เช่น การสำรองข้อมูลไปยัง Cloud Backup หรือการใช้เซิร์ฟเวอร์สำรองในสถานที่ห่างไกล 6. ระบบจัดการความรู้ภายในองค์กร (Knowledge Management System – KMS) ระบบจัดการความรู้เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการทำงานแบบ Paperless โดยช่วยให้สามารถรวบรวม จัดเก็บ และแชร์ความรู้ภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบ KMS ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้การบริหารจัดการเอกสารและองค์ความรู้ในองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความจำเป็นในการพิมพ์เอกสาร และช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้สะดวกขึ้น การเปลี่ยนผ่านสู่องค์กร Paperless เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาธุรกิจ โดยเฉพาะการใช้โปรแกรมบัญชีที่มีการทำงานแบบ Paperless ก็จะสามารถช่วยให้การจัดการเอกสารทางการเงินเป็นระบบ ลดการใช้กระดาษ และทำให้องค์กรประหยัดทั้งเวลาและต้นทุนได้ โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

ใบเสนอราคา (Quotation) คืออะไร ต้องออกเมื่อไหร่

การทำธุรกิจในปัจจุบันไม่ใช่แค่เรื่องของการซื้อขายเท่านั้น แต่ยังต้องมีเอกสารสำคัญที่ทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยเฉพาะใบเสนอราคาฟอร์มที่นอกจากจะช่วยให้ลูกค้าเข้าใจรายละเอียดสินค้า และบริการได้ชัดเจนแล้ว ยังเป็นหลักฐานสำคัญในการทำธุรกรรมที่เจ้าของธุรกิจทุกคนควรมีอีกด้วย ซึ่งแบบฟอร์มใบเสนอราคา ตั้งแต่ความหมาย ความสำคัญ จะมีองค์ประกอบที่จำเป็นอะไรบ้างไปดูกัน ใบเสนอราคาฟอร์มเอกสารธุรกิจ คืออะไร ใบเสนอราคาฟอร์มเอกสารทางธุรกิจที่ผู้ขายจัดทำขึ้นเพื่อแจ้งรายละเอียดสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้า โดยระบุข้อมูลสำคัญอย่างครบถ้วน ทั้งชื่อสินค้า จำนวน ราคาต่อหน่วย และยอดรวมทั้งหมด รวมถึงวิธีการส่งมอบสินค้าและชำระเงิน ซึ่งเอกสารนี้จะออกให้ลูกค้าเมื่อมีการสอบถามราคาสินค้าหรือบริการ เพื่อใช้ในการพิจารณาและตัดสินใจ โดยใบเสนอราคาจะต้องผ่านการอนุมัติทุกครั้งจากผู้มีอำนาจ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในอนาคตก่อนจะส่งให้ลูกค้า  ใบเสนอราคาสำคัญกับธุรกิจอย่างไร ในโลกธุรกิจการมีเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะใบเสนอราคาที่ไม่เพียงแต่แสดงรายละเอียดสินค้าและบริการ แต่ยังทำให้ผู้ประกอบการดูมืออาชีพอีกด้วย มาดูกันว่าใบเสนอราคามีความสำคัญอย่างไรบ้าง ช่วยสื่อสารกับลูกค้าได้ชัดเจนมากขึ้น การมีใบเสนอราคาที่ระบุรายละเอียดครบถ้วนช่วยลดความคลุมเครือในการสื่อสารระหว่างผู้ขายและลูกค้า เพราะทุกข้อมูลถูกระบุไว้อย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งคุณสมบัติสินค้า ราคา เงื่อนไขการชำระเงิน และการจัดส่ง ทำให้ลูกค้าเข้าใจและสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น พร้อมช่วยป้องกันความเข้าใจผิดในอนาคต ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อพิพาทระหว่างคู่ค้าได้ ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ การมีแบบฟอร์มใบเสนอราคาที่เป็นมาตรฐาน พร้อมตราสัญลักษณ์และข้อมูลบริษัทครบถ้วน ทำให้ธุรกิจดูมีความมืออาชีพ ทำให้ลูกค้ารู้สึกกล้าทำธุรกรรมกับธุรกิจเรา นอกจากนี้ การระบุรายละเอียดที่ชัดเจนยังสร้างความเชื่อถือว่าธุรกิจของเรามีความโปร่งใส ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความไว้วางใจจากลูกค้า ช่วยเพิ่มโอกาสซื้อสินค้าของลูกค้า การจัดทำใบเสนอราคาอย่างเป็นระบบ แสดงรายละเอียดสินค้าและบริการอย่างครบถ้วน พร้อมระบุสิทธิประโยชน์หรือโปรโมชันต่าง ๆ จะช่วยลูกค้าเห็นรายละเอียดสินค้าและบริการที่จะได้รับทั้งหมด ซึ่งจะช่วยลดความลังเลและเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น ใช้เป็นเอกสารอ้างอิงทางกฎหมาย แม้ว่าใบเสนอราคาจะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายโดยตรง แต่สามารถใช้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาในกรณีที่เกิดข้อพิพาทได้ โดยเฉพาะเมื่อมีการลงนามยอมรับเงื่อนไขข้อตกลงเบื้องต้นที่แสดงถึงเจตนาในการซื้อขายของเราและอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งสามารถใช้อ้างอิงในชั้นศาลได้หากเกิดปัญหาในภายหลัง ใบเสนอราคาต้องออกเมื่อไหร่ การออกใบเสนอราคาควรดำเนินการทันทีเมื่อลูกค้าแสดงความสนใจในสินค้าหรือบริการและต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่องราคาและเงื่อนไขต่าง ๆ ความรวดเร็วในการตอบสนองถือเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้ลูกค้าตัดสินใจตกลงซื้อขายได้เร็วขึ้น เนื่องจากลูกค้าอาจกำลังเปรียบเทียบราคากับคู่แข่งรายอื่น อย่างไรก็ตาม ความถูกต้องของข้อมูลในใบเสนอราคาให้ละเอียดก่อนส่งให้ลูกค้า เพื่อป้องกันปัญหในอนาคต แบบฟอร์มใบเสนอราคาต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง แบบฟอร์มใบเสนอราคาที่ดีควรมีองค์ประกอบครบถ้วน เพื่อให้ข้อมูลที่จำเป็นแก่ลูกค้าและใช้เป็นเอกสารอ้างอิงในอนาคต โดยองค์ประกอบสำคัญที่ควรมีในใบเสนอราคามี ดังนี้ การมีใบเสนอราคาฟอร์มเอกสารธุรกิจที่ครบถ้วนและเป็นระบบ จะช่วยทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือ ช่วยให้การทำธุรกิจไม่มีปัญหาและเติบโตได้ดี การจัดทำใบเสนอราคาอย่างมืออาชีพจึงเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจและให้ความสำคัญ  PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยให้การออก ใบเสนอราคา เป็นเรื่องง่ายและเป็นมืออาชีพ ด้วยระบบที่สามารถสร้างและปรับแต่งใบเสนอราคาได้อย่างรวดเร็ว รองรับการส่งเอกสารออนไลน์หรือดาวน์โหลดเป็น PDF พร้อมติดตามสถานะและเปลี่ยนเป็นใบแจ้งหนี้ได้ทันที ระบบยังจัดเก็บเอกสารอย่างเป็นระเบียบ เพิ่มความสะดวกและความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณในทุกขั้นตอน ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

E-Document เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ คืออะไร มีข้อดีกับองค์กรอย่างไร

E-Document หรือ เอกสารอิเล็กทรอนิกส์กลายเป็นระบบที่เหมาะกับการทำงานในองค์กรสมัยใหม่มาก ๆ โดยเฉพาะในธุรกิจที่ต้องจัดการเอกสารจำนวนมาก โดยการใช้ E-Document สามารถช่วยลดต้นทุนของบริษัทและยังช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน ซึ่ง E-Document จะสามารถทำอะไรได้บ้าง เราไปทำความรู้จักและดูจุดเด่นกัน E-Document คืออะไร E-Document หรือ เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ คือ ข้อมูลที่สามารถสร้างส่ง-รับ หรือเก็บรักษาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสามารถเข้าถึงและนำมาใช้อ้างอิงได้ในภายหลัง โดยเนื้อหาจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่การสร้างครั้งแรก ระบบ E-Document สามารถรองรับเอกสารได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารทางธุรกิจ สัญญา ใบแจ้งหนี้ หรือรายงานต่าง ๆ การทำงานด้วยระบบ E-Document ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการเอกสารได้อย่างเป็นระบบ มีความปลอดภัย และสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ตลอดเวลา ประเภทของ E-Document E-Document สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณะการใช้งานและความน่าเชื่อถือทางกฎหมาย โดยแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและการนำไปใช้ที่แตกต่างกัน องค์กรสามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับความต้องการและข้อกำหนดทางกฎหมายได้ E-Document ที่ไม่ลงลายมือชื่อ (Unsigned E-Document) Unsigned E-Document เป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ต้องลงลายมือชื่อรับรอง เหมาะสำหรับเอกสารภายในองค์กรที่ไม่ต้องการความน่าเชื่อถือทางกฎหมาย เช่น บันทึกภายใน รายงานการประชุม หรือเอกสารประกอบการทำงานทั่วไป ระบบจะบันทึกข้อมูลการสร้าง แก้ไข และเข้าถึงเอกสาร ทำให้สามารถตรวจสอบประวัติการทำงานได้ แม้จะไม่มีลายเซ็นรับรอง แต่ยังคงมีความปลอดภัยผ่านระบบการจัดการสิทธิ์และการเข้ารหัสข้อมูล E-Document ที่ลงลายมือชื่อ (Signed E-Document) Signed E-Document เป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการลงลายมือชื่อดิจิทัลเพื่อรับรองความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ ใช้สำหรับเอกสารที่ต้องการผลทางกฎหมาย เช่น สัญญา ใบแจ้งหนี้ หรือเอกสารทางการเงิน การลงลายมือชื่อดิจิทัลจะใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสที่มีความปลอดภัยสูง ทำให้ไม่สามารถปลอมแปลงหรือแก้ไขเอกสารได้หลังจากการลงนาม และสามารถตรวจสอบความถูกต้องของลายเซ็นได้ ข้อดีของ E-Document การนำระบบ E-Document มาใช้ในองค์กรมีประโยชน์มากมาย ทั้งด้านการจัดการ ความปลอดภัย และประสิทธิภาพการทำงาน มาดูข้อดีในการใช้ E-Document ในแต่ละด้านกัน จัดการเอกสารในองค์กรได้ง่ายขึ้น การใช้ระบบ E-Document ช่วยให้การจัดการเอกสารในองค์กรเป็นระบบมากขึ้น เพราะสามารถจัดเก็บเอกสารไว้ในระบบคลาวด์ ทำให้ค้นหาและเรียกดูได้ทุกที่ทุกเวลา ระบบยังมีการจัดหมวดหมู่และมีการจัดทำดรรชนีอัตโนมัติ (Automatic indexing) ทำให้สามารถช่วยลดเวลาในการค้นหาได้ นอกจากนี้ ยังสามารถกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษาเอกสารและทำลายเอกสารอัตโนมัติตามนโยบายขององค์กรได้อีกด้วย ทำงานกับระบบปฏิบัติการได้หลากหลาย ระบบ E-Document สามารถทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการและแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้อย่างยืดหยุ่น ไม่ว่าจะเป็น Windows, macOS, iOS หรือ Android ทำให้พนักงานสามารถเข้าถึงเอกสารได้จากทุกอุปกรณ์ การแชร์และทำงานร่วมกันบนเอกสารทำได้ง่าย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความเข้ากันได้ของระบบ นอกจากนี้ ยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบอื่น ๆ ในองค์กร เช่น ระบบ ERP หรือระบบ CRM เพื่อการทำงานที่ครบวงจร สามารถกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงเอกสารในองค์กร ระบบ E-Document มีระบบจัดการสิทธิ์ที่ยืดหยุ่น สามารถกำหนดได้ว่าใครมีสิทธิ์เข้าถึง ดู แก้ไข หรือแชร์เอกสารใดบ้าง ทำให้ข้อมูลสำคัญขององค์กรถูกจำกัดการเข้าถึงเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น โดยระบบจะบันทึกประวัติการเข้าถึงและการทำงานกับเอกสารทุกครั้ง ทำให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ว่าใครทำอะไรกับเอกสารบ้าง จึงสามารถเพิ่มความโปร่งใสในการทำงานได้ด้วย ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ การใช้ E-Document ช่วยลดต้นทุนในหลายด้าน ทั้งค่ากระดาษ ค่าหมึกพิมพ์ ค่าจัดเก็บเอกสาร และค่าขนส่งเอกสาร นอกจากนี้ ยังช่วยประหยัดเวลาในการค้นหาและจัดการเอกสาร ลดความผิดพลาดจากการทำงานด้วยมือ และเพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน พนักงานสามารถทำงานร่วมกันบนเอกสารเดียวกันได้พร้อมกัน ลดการทำงานซ้ำซ้อน เพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล ระบบ E-Document มีระบบรักษาความปลอดภัยหลายชั้น ทั้งการเข้ารหัสข้อมูล การยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัย และการบันทึกประวัติการใช้งาน ช่วยป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลและการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ ยังมีระบบสำรองข้อมูลอัตโนมัติ ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องเอกสารสูญหายหรือเสียหายจากภัยพิบัติต่าง ๆ ตัวอย่างรูปแบบการใช้งาน E-Document ระบบ E-Document สามารถประยุกต์ใช้ได้หลากหลายรูปแบบในองค์กร เช่น การจัดการเอกสารทางการเงิน สัญญา และเอกสารด้านทรัพยากรบุคคล การใช้ E-Document ในการออกใบแจ้งหนี้และใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ช่วยลดขั้นตอนและเวลาในการทำงาน รวมถึงการใช้ในกระบวนการอนุมัติเอกสารที่ต้องการความรวดเร็วและการติดตามสถานะที่ชัดเจน การนำระบบ E-Document มาใช้ในองค์กรถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาสู่องค์กรดิจิทัล เพราะช่วยลดต้นทุนในการทำงานทำให้องค์กรมีงบในการแข่งขันได้มากขึ้น ซึ่งสามารถเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน ช่วยทำให้การทำงานดีมากยิ่งขึ้น และข้อมูลของบริษัทจะมีความปลอดภัย โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

23 ส.ค. 2024

PEAK Account

6 min

เอกสารบัญชีและภาษี ต้องเก็บไว้กี่ปีถึงจะทำลายทิ้งได้

การจัดการเอกสารบัญชีและภาษีอย่างถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือใหญ่ การเก็บเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเงินและภาษีไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่ยังเป็นข้อกำหนดทางกฎหมายที่สำคัญด้วย เอกสารบัญชีและภาษี ต้องเก็บไว้กี่ปี สิ่งที่นักบัญชีหรือผู้ประกอบการต้องสงสัยเป็นแน่ว่าเหล่าเอกสารบัญชีต่างๆ ที่ได้รับมา หรือที่จัดทำระหว่างปี พอเราปิดงบการเงินเสร็จแล้ว จะทิ้งได้เลยไหม? หรือต้องเก็บต่อไปอีกกี่ปี? จะได้ไม่มีปัญหากับสรรพากร หน่วยงานอื่นๆ ในภายหลัง วันนี้ผมจะพาทุกคนมาดูกันว่าในประเทศเรามีข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดเก็บเอกสารไว้อย่างไรครับ ก่อนที่เราจะไปอ้างอิงตัวกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ผมอยากขออธิบายเป็นภาษาที่ง่ายๆ คือ เราต้องเก็บเอกสารทางบัญชีไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่บางหน่วยงานก็มีอำนาจสั่งขยายระยะเวลาในการจัดเก็บเอกสารได้ ทำให้เรามีหน้าที่ในการจัดเก็บเอกสารที่นานขึ้น ตัวกฎหมายที่ให้อำนาจนั้นมีอะไรบ้าง มาดูกันต่อครับ เริ่มแรกจากพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 มาตรา 14 ได้กำหนดให้ผู้ประกอบการต้องเก็บบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไม่น้อยกว่า 5 ปีนับแต่วันปิดบัญชี แต่อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าสามารถสั่งขยายระยะเวลาให้เกิน 5 ปีแต่ต้องไม่เกิน 7 ปีได้ ตัวถัดมาคือการเก็บเอกสารภาษี ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 87/3 ที่กำหนดเอกสาร 5 ประเภท ได้แก่  1.ต้นฉบับใบกำกับภาษีซื้อ 2.สำเนาใบกำกับภาษีขาย 3.รายงานภาษีซื้อ 4.รายงานภาษีขาย5.รายงานสินค้าและวัตถุดิบ ต้องเก็บรักษาไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปีนับแต่วันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือวันทำรายงานแล้วแต่กรณี แต่อธิบดีกรมสรรพากรสามารถสั่งขยายระยะเวลาให้เกิน 5 ปีแต่ต้องไม่เกิน 7 ปีได้ PEAK ขอเล่า : และตัวสุดท้าย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30-31 จะถูกนำมาใช้เมื่อกฎหมายใดๆ ให้สิทธิเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเรียกตรวจเอกสาร แต่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ จะให้มีอายุความสูงถึง 10 ปี เท่ากับว่าผู้ประกอบการมีสิทธิโดนเรียกตรวจเอกสารย้อนหลังได้สูงถึง 10 ปีเลยครับ ตัวอย่างเช่น อายุความการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะไม่ได้มีบัญญัติไว้โดยเฉพาะในประมวลรัษฎากร หรือกรณีที่บุคคลธรรมดามีเงินได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีแต่ไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภายในกำหนดเวลา เจ้าพนักงานจึงออกหมายเรียกแต่ก็ไม่ได้มีบัญญัติไว้โดยเฉพาะในประมวลรัษฎากรเช่นกัน เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจออกหมายเรียกและประเมินภาษีได้ภายในอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/31 สรุปแล้ว ทั้งกฎหมายบัญชีและภาษีพูดตรงกันคือให้ผู้ประกอบการจัดเก็บบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีและภาษีไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่ก็สามารถขยายระยะเวลาเป็น 7 ปีได้ แต่ถ้ากฎหมายใดไม่ได้มีการกำหนดระยะเวลาจัดเก็บเอกสารหรืออายุความการประเมินภาษีไว้ ก็ยังมีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กำหนดอายุความสูงถึง 10 ปี ดังนั้นการเก็บเอกสารทางบัญชีและภาษีแบบระมัดระวังที่สุดก็ควรจัดเก็บที่ 10 ปีครับ หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว หากคุณต้องการสอบถามเพิ่มเติม หรืออยากได้คนที่ช่วยให้คำปรึกษาในเรื่องการจัดเก็บเอกสาร ที่ PEAK เรามีพันธมิตรสำนักงานบัญชีมากกว่า 1,200 แห่งทั่วประเทศ พร้อมช่วยดูแลคุณ สนใจ คลิก

17 พ.ค. 2024

PEAK Account

10 min

ตัวอย่างใบเสร็จรับเงินรูปแบบต่างๆ ที่มีรายละเอียดถูกต้องครบถ้วน

ในการซื้อขายสินค้าหรือบริการ หนึ่งในเอกสารสำคัญที่ร้านค้าจะต้องออกเพื่อยืนยันการซื้อขายสินค้าหรือบริการ คือ “ใบเสร็จรับเงิน” ในบทความนี้เราจะมาทบทวนกันว่าใบเสร็จรับเงินนั้นมีกี่รูปแบบ และการออกใบเสร็จรับเงินมีข้อมูลใดที่สำคัญบ้าง? เพื่อการนำไปใช้อย่างถูกต้อง และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง พร้อมขั้นตอนการออกใบเสร็จรับเงินด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ที่ช่วยให้จัดการเอกสารทางธุรกิจได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ใบเสร็จรับเงินคืออะไร? ใบเสร็จรับเงิน คือ เอกสารที่ผู้รับเงินออกให้แก่ผู้จ่ายเงินเมื่อมีการซื้อขายสินค้าหรือบริการ เพื่อเป็นหลักฐานแสดงว่าได้รับการชำระเงินเรียบร้อยแล้ว โดยใบเสร็จรับเงินมักใช้เป็นหลักฐานทางบัญชีและภาษีสำหรับการตรวจสอบการทำธุรกรรมที่เกิดขึ้น ใบเสร็จรับเงินแตกต่างจากบิลเงินสดอย่างไร? หลายคนมักมีข้อสงสัยเกี่ยวกับบิลเงินสดและใบเสร็จรับเงินว่าเอกสารทั้งสองประเภทนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งข้อสังเกตง่ายๆ นั้นมีอยู่ดังนี้ ใบเสร็จรับเงินมีกี่รูปแบบ อะไรบ้าง? ใบเสร็จรับเงินที่ใช้กันโดยทั่วไปนั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบ ดังนี้ 1. ใบเสร็จรับเงิน (ทั่วไป) ใบเสร็จรับเงิน สามารถออกได้สำหรับทุกประเภทธุรกิจในการยืนยันการรับชำระเงินระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งจะพบเห็นในธุรกิจที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) เช่น ธุรกิจที่รายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี หรือธุรกิจที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม อาทิ ขายเนื้อสัตว์ พืชผลทางการเกษตร เป็นต้น  ตัวอย่างใบเสร็จรับเงิน (ทั่วไป) ที่ออกโดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ 2. ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป สามารถออกได้เฉพาะธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) เพื่อยืนยันการรับชำระเงินระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายพร้อมออกใบกำกับภาษีทันทีเมื่อได้รับชำระเงิน โดยเอกสารจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมจากใบเสร็จรับเงินทั่วไปเพราะต้องแสดงข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่มเติมด้วย ตัวอย่างใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป 3. ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีแบบย่อ ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีอย่างย่อ มีความหมายเหมือนใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีแบบย่อ แต่แตกต่างในเรื่องข้อมูลในเอกสารจะแสดงน้อยกว่า เนื่องจากธุรกิจที่จะออกใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีแบบย่อได้จะต้องเป็นธุรกิจขายสินค้าแบบปลีกหรือธุรกิจบริการให้ลูกค้ารายย่อยเท่านั้น เพราะลูกค้าของธุรกิจเหล่านี้มักเป็นบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้มีความต้องการใช้เอกสารดังกล่าว จึงย่อข้อมูลที่แสดงเอกสารให้น้อยลงได้ ตัวอย่างใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีแบบย่อ ใบเสร็จรับเงินต้องประกอบด้วยข้อมูลอะไรบ้าง? ใบเสร็จรับเงินประกอบไปด้วยข้อมูลที่สำคัญดังต่อไปนี้1. ชื่อ ที่อยู่ เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้รับเงิน2. หมายเลขลำดับของเล่มและของใบเสร็จรับเงิน3. วัน เดือน ปี ที่ออกใบเสร็จรับเงิน4. รายการ ชื่อ จำนวนเงินของสินค้า/บริการ กรณีออกใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีต้องมีรายการเหล่านี้เพิ่มเติม1. คำว่า “ใบกำกับภาษี” ในที่ที่เห็นได้เด่นชัด2. ชื่อ ที่อยู่ของผู้จ่ายเงิน (ไม่ต้องระบุใบใบกำกับภาษีอย่างย่อ)3. หมายเลขลำดับของเล่ม(ถ้ามี)และของใบกำกับภาษี4. จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่ม ตัวอย่างข้อมูลที่อยู่ในใบเสร็จรับเงิน ตัวอย่างใบเสร็จรับเงินรูปแบบต่างๆ 1. ตัวอย่างบิลเงินสดที่ถูกต้อง ใช้เป็นหลักฐานการจ่ายเงินได้ 2. ตัวอย่างบิลเงินสด กรณีไม่ถูกต้อง ใช้เป็นหลักฐานการจ่ายเงินไม่ได้ หากไม่ออกใบเสร็จรับเงินให้ลูกค้า มีบทลงโทษอย่างไร? ในกรณีผู้ขาย หรือเจ้าของกิจการ ไม่ยอมออกใบกำกับภาษีหรือใบเสร็จรับเงินให้กับลูกค้า ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับตามมาตรา 127 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร การสร้างใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี ด้วยโปรแกรม PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK สามารถออกใบเสร็จรับเงินได้อย่างมืออาชีพในไม่กี่ขั้นตอน พบกับขั้นตอนการออกใบเสร็จรับเงินและตัวอย่างใบเสร็จรับเงินที่สร้างจากโปรแกรม PEAK ได้ที่ การสร้างใบเสร็จรับเงิน สรุป ใบเสร็จรับเงินเป็นเอกสารสำคัญทางธุรกิจที่ต้องจัดทำอย่างถูกต้อง เนื่องจากใบเสร็จรับเงินเป็นเอกสารที่ใช้ในการยืนยันการชำระเงินของเจ้าของธุรกิจ ควรทำการตรวจสอบข้อมูลในใบเสร็จรับเงินและเก็บใบเสร็จรับเงินไว้อย่างครบถ้วน ถูกต้อง เพื่อป้องกันการกระทำผิดกฎหมายและสร้างความน่าเชื่อถือของธุรกิจอีกด้วย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ออกบิลเงินสด, ใบเสร็จรับเงิน และเอกสารบัญชีต่างๆ ได้อย่าง สะดวก รวดเร็ว ในไม่กี่ขั้นตอน สร้างเอกสารทางธุรกิจ ครบถ้วน ถูกต้อง แม่นยำ ป้องกันปัญหาอย่างมืออาชีพ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

13 พ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

ตัวอย่างแบบฟอร์มใบเสนอราคา และรายละเอียดที่ต้องมีในเอกสาร

ใบเสนอราคา เป็นเอกสารที่ผู้ขายออกให้กับลูกค้า หรือผู้ที่สนใจสินค้าหรือบริการนั้น ๆ เพื่อแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าและบริการก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับใบเสนอราคากันว่ามีความสำคัญอย่างไร และองค์ประกอบสำคัญของใบเสนอราคานั้นมีอะไรบ้าง นอกจากนั้น จะมีการนำเสนอตัวอย่างใบเสนอราคาที่มีรายละเอียดครบถ้วน เพื่อการนำไปใช้งานอย่างถูกต้องอีกด้วย ทำความรู้จัก ใบเสนอราคาบุคคลธรรมดา ใบเสนอราคาบุคคลธรรมดาเป็นเอกสารที่ผู้ขายออกให้กับลูกค้าหรือผู้ที่สนใจสินค้าหรือบริการนั้น ๆ เพื่อแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าและบริการก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ ซึ่งข้อมูลที่ควรมีในใบเสนอราคาบุคคลธรรมดาจะประกอบไปด้วยรายการสินค้าและบริการที่ชัดเจน มีรายละเอียดเงื่อนไข ค่าใช้จ่าย ครบถ้วน เพื่อให้ผู้สนใจนำข้อมูลไปประกอบการพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อ อีกทั้งยังช่วยส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของธุรกิจอีกด้วย ความสำคัญของใบเสนอราคาบุคคลธรรมดา ใบเสนอราคาบุคคลธรรมดาจะนำเสนอข้อมูลของสินค้าและบริการ เพื่อให้ลูกค้าได้ศึกษารายละเอียด เงื่อนไข และราคา เพื่อเปรียบเทียบความเหมาะสมก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ และที่สำคัญใบเสนอราคาจะทำให้ผู้ซื้อรู้ว่ากำลังซื้อของอยู่กับใคร มีช่องทางการติดต่ออย่างไร ซึ่งหากกิจการมีการออกใบเสนอราคาที่ถูกต้อง มีรายละเอียดครบถ้วน ก็จะเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจได้ รูปแบบการทำฟอร์มใบเสนอราคาบุคคลธรรมดา การจัดทำใบเสนอราคาบุคคลธรรมดา โดยทั่วไปสามารถทำได้ 2 วิธี ซึ่งแต่ละรูปแบบมีความยืดหยุ่นและเหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจและความสะดวกของผู้ประกอบการ ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้ 1. การจัดทำแบบฟอร์มใบเสนอราคาแบบ Manual 2. การจัดทำแบบฟอร์มใบเสนอราคาผ่านระบบบัญชี รายละเอียดที่ต้องมีในฟอร์มใบเสนอราคาบุคคลธรรมดา ใบเสนอราคาประกอบด้วยรายละเอียดสำคัญหลายส่วน ที่ช่วยให้การเสนอขายเป็นไปอย่างชัดเจน ทำให้กิจการน่าเชื่อถือ โดยใบเสนอราคาประกอบไปด้วย 3 ส่วนใหญ่ ๆ ได้แก่ ส่วน Header ประกอบด้วย ส่วน Description ประกอบด้วย ส่วน Footer ประกอบด้วย  ตัวอย่างเอกสารฟอร์มใบเสนอราคาบุคคลธรรมดา สำหรับคนที่ยังนึกไม่ออกว่าฟอร์มใบเสนอราคาบุคคลธรรมดาเป็นอย่างไร เรามีตัวอย่างฟอร์มใบเสนอราคาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษมาให้ดูกัน  ฟอร์มใบเสนอราคาภาษาไทย ฟอร์มใบเสนอราคาภาษาอังกฤษ การสร้างใบเสนอราคา ด้วยโปรแกรม PEAK PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ สามารถสร้างใบเสนอราคาได้ง่ายๆ ในไม่กี่นาที ครบถ้วน ถูกต้องในทุกรายละเอียด พบกับขั้นตอนสร้างใบเสนอราคาจากโปรแกรม PEAK ได้ที่ การสร้างใบเสนอราคา สรุป ใบเสนอราคาเป็นเอกสารสำคัญทางธุรกิจที่ออกให้กับลูกค้าเพื่อแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าและบริการก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ ซึ่งข้อมูลในใบเสนอราคาควรมีการตรวจสอบข้อมูลอย่างครบถ้วน ถูกต้อง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือของธุรกิจอีกด้วย  PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ออกบิลเงินสด, ใบเสร็จรับเงิน และเอกสารบัญชีต่างๆ ได้อย่าง สะดวก รวดเร็ว ในไม่กี่ขั้นตอน สร้างเอกสารทางธุรกิจ ครบถ้วน ถูกต้อง แม่นยำ ป้องกันปัญหาอย่างมืออาชีพ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท คลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย) PEAK Call Center : 1485 LINE : @peakaccount สอบถามเพิ่มเติม

10 พ.ค. 2024

PEAK Account

11 min

ความสำคัญของใบแจ้งหนี้คืออะไร? ต่างจากใบวางบิลอย่างไร?

ประเด็นสำคัญ ก่อนอื่นต้องขอแนะนำใบวางบิล และใบแจ้งหนี้ก่อน… ใบวางบิลและใบแจ้งหนี้ คือ เอกสารที่ผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ รวมไปถึงบริษัทต่างๆ จัดทำขึ้นเพื่อแจ้งยอดของสินค้าหรือบริการให้ลูกค้าทราบถึงจำนวนเงินที่ต้องจ่ายและกำหนดวันที่ลูกค้าต้องจ่ายชำระกับทางบริษัท ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจ ใบวางบิลและใบแจ้งหนี้นี้ส่วนใหญ่มักจะใช้กับบริษัทที่มีขนาดใหญ่ หรือธุรกิจที่มีการใช้เครดิตในการชำระเงิน รวมไปถึงพ่อค้า – แม่ค้าที่มีธุรกิจขายส่งสินค้าจำนวนมาก เพื่อให้ร้านค้ามีความน่าเชื่อถือ ใบแจ้งหนี้คืออะไร? ใบแจ้งหนี้ (Invoice) คือ เอกสารสำคัญทางด้านบัญชีและภาษีที่จัดทำขึ้นเมื่อมีการซื้อสินค้าหรือบริการเรียบร้อยแล้ว บริษัทหรือผู้ประกอบการจะออกใบแจ้งหนี้ทุกครั้ง เพื่อแจ้งให้ลูกค้าทราบว่ามีสินค้าที่ซื้อไปทั้งหมดเท่าไหร่? ต้องชำระเงินเท่าไหร่? และกำหนดชำระเงินเมื่อไหร่? พูดง่ายๆ ใบแจ้งหนี้ก็เปรียบเสมือนใบสรุปรายการ เมื่อมีการซื้อ – ขายเกิดขึ้น ใบแจ้งหนี้จะบอกรายละเอียดต่างๆ เพื่อให้ผู้ขาย และลูกค้าเข้าใจตรงกัน โดยไม่เกิดความเข้าใจผิด ใบวางบิลคืออะไร? ใบวางบิล (Billing Note) คือ เอกสารสำคัญทางด้านบัญชีและภาษีที่จัดทำขึ้นเมื่อมีใบแจ้งหนี้ แจ้งค่าใช้จ่าย และระยะเวลากำหนดวันที่เรียกเก็บเงินแล้ว ใบวางบิลจะถูกออกเมื่อถึงกำหนดชำระเงินตามที่ใบแจ้งหนี้ได้บอกไว้ โดยจะรวมยอดคงเหลือที่ต้องชำระทั้งหมด และสรุปค่าใช้จ่ายรายการสินค้าต่างๆ ดังนั้นหลายบริษัทมักใช้ใบวางบิลและใบแจ้งหนี้เป็นใบเดียวกัน เพื่อความชัดเจน และความสะดวกในการใช้งาน ใบแจ้งหนี้และใบวางบิลต่างกันอย่างไร? “ใบแจ้งหนี้” และ “ใบวางบิล” เป็นเอกสารที่ระบุยอดชำระให้แก่คู่ค้าเช่นเดียวกัน แต่ “ใบแจ้งหนี้” เป็นเอกสารที่เราแจ้งให้คู่ค้าทราบหลังจบงาน โดยมีรายละเอียดค่าใช้จ่ายว่ามีค่าสินค้า ค่าบริการอะไรบ้าง เป็นจำนวนเท่าไหร่ และคู่ค้าควรชำระเมื่อใด ส่วน “ใบวางบิล” จะออกมาเมื่อถึงเวลาชำระเงิน โดยจะรวมยอดคงค้างทั้งหมด และสรุปว่ามีรายการค่าใช้จ่ายใดบ้าง และเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ ซึ่งบางทีบริษัทคู่ค้าจะแจ้งมาว่าต้องการให้ออกใบวางบิลโดยรวมค่าใช้จ่ายใดบ้าง ทั้งนี้ขึ้นกับการตกลงของเราและคู่ค้าด้วย  ข้อควรระวังเกี่ยวกับใบแจ้งหนี้และใบวางบิล สิ่งที่สำคัญมากๆ ของการออกใบวางบิลและใบแจ้งหนี้ คือ ความชัดเจน และความถูกต้อง สิ่งที่มักจะผิดพลาดในการออกเอกสารนี้คือ การกรอกรายละเอียดต่างๆ ไม่ครบถ้วน ไม่ตรงตามใบเสนอราคา จนต้องนำกลับไปแก้ไขใหม่ รวมไปถึงเรื่องของการลืมส่งเอกสาร ทำให้ลูกค้าได้รับเงินล่าช้ากว่ากำหนด จะทำให้มีปัญหาในการชำระเงิน และอีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่หลายบริษัทมักจะพบเจอกันบ่อยๆ คือ วันรับวางบิลของลูกค้า ใบวางบิลต้องไปถึงมือลูกค้าในช่วงเวลาที่บริษัทของลูกค้ามีกำหนดการวางบิล หากล่าช้า หรือติดวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ อาจจะทำให้บริษัทไม่ได้รับเงินจากลูกค้าในเดือนนั้นๆ ทำให้ต้องรออีก 1 เดือน หรือจนกว่าจะถึงรอบวางบิลใหม่  และแน่นอนมันต้องมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นตามมา เช่น กำหนดวางบิลของลูกค้าคือวันที่ 1 – 5 ของทุกเดือน แต่เอกสารวางบิลของเราใส่รายละเอียดผิด ต้องนำไปแก้ไขแล้วส่งถึงมือลูกค้าในวันที่ 6 ก็จำเป็นที่จะต้องรอลูกค้าทำเรื่องชำระอีกทีในช่วงวันที่ 1 – 5 ของเดือนต่อไป แล้วค่าสินค้า ค่าพนักงาน ค่าภาษี ค่าบริการที่ลูกค้าได้รับหรือใช้ไปแล้วล่ะ ใครจะเป็นคนจ่ายก่อน? แน่นอนว่าคำตอบก็คือเรา ถ้าวางบิลไม่ทันค่าใช้จ่ายต่างๆ เราต้องเป็นคนจัดการรับผิดชอบออกไปก่อนทั้งหมด และนั้นอาจจะทำให้บริษัทของเราเกิดปัญหสทางการเงินได้ ดังนั้นเรื่องระยะเวลา และความถูกต้องในใบวางบิลเป็นเรื่องที่สำคัญมาก   เช็กให้ชัวร์ก่อนออกใบวางบิล และใบแจ้งหนี้ ข้อมูลต้องชัวร์! ข้อมูลผู้ออกใบวางบิลและใบแจ้งหนี้ ข้อมูลผู้รับใบวางบิลและใบแจ้งหนี้ 5 สิ่งที่ต้องจัดเตรียมในขั้นตอนของการออกใบวางบิล และใบแจ้งหนี้ทั้งหมด การสร้างใบแจ้งหนี้/ใบวางบิล ด้วยโปรแกรม PEAK PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ สามารถออกใบเสร็จรับเงินได้อย่างมืออาชีพในไม่กี่ขั้นตอน พบกับขั้นตอนการออกใบแจ้งหนี้/ใบวางบิล ด้วยโปรแกรม PEAK ได้ที่การสร้างใบแจ้งหนี้  และการสร้างใบวางบิล “ออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปได้ง่ายๆ ด้วยระบบ PEAK“ สรุป ใบแจ้งหนี้และใบวางบิล เอกสารสำคัญที่ผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ จัดทำขึ้นเพื่อแจ้งยอดราคาของสินค้า หรือบริการ ให้ลูกค้าทราบถึงจำนวนเงินและวันครบกำหนดที่ต้องจ่าย ดังนั้นในการจัดทำใบแจ้งหนี้และใบวางบิล จึงควรตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องก่อนส่งมอบให้กับลูกค้า เพื่อความน่าเชื่อถือของธุรกิจอีกด้วย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ออกบิลเงินสด, ใบเสร็จรับเงิน และเอกสารบัญชีต่างๆ ได้อย่าง สะดวก รวดเร็ว ในไม่กี่ขั้นตอน สร้างเอกสารทางธุรกิจ ครบถ้วน ถูกต้อง แม่นยำ ป้องกันปัญหาอย่างมืออาชีพ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท คลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย) PEAK Call Center : 1485 LINE : @peakaccount สอบถามเพิ่มเติม

15 มี.ค. 2022

PEAK Account

3 min

การพิมพ์เอกสารใบเสร็จรับเงิน,ใบสำคัญรับ,บิลเงินสด (NR019)

บิลเงินสดออนไลน์ฟรี คือ บิลเงินสดเป็นเอกสารที่ใช้เพื่อยืนยันการชำระเงินสดในการซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ขาย หรือการชำระหนี้ที่เกิดจากการขายสินค้า โดยสามารถสร้างบิลเงินสดออนไลน์ฟรีได้เองแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ทั้งทำในเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน เพียงกรอกข้อมูลต่าง ๆ เช่น ชื่อหรือที่อยู่ผู้ซื้อและผู้ขาย ชื่อรุ่นสินค้าหรือบริการที่ขายออกไป ราคาสินค้าต่อหน่วย ปริมาณ รวมทั้งยอดรวมที่ต้องชำระ จากนั้นสามารถบันทึกหรือส่งบิลนั้นทางอีเมลหรือดาวน์โหลดเป็นไฟล์ PDF ได้อย่างสะดวก ข้อดีของการใช้บิลเงินสดออนไลน์ฟรี ขั้นตอนการพิมพ์บิลเงินสดออนไลน์ฟรีไม่จำกัดด้วยโปรแกรมจาก Peak Account ให้เลือกใบเสร็จรับเงินที่ต้องการ โดยไปที่เมนูรายรับ > ใบเสร็จรับเงิน > ดูทั้งหมด จากนั้นหารายการใบเสร็จที่เราต้องการพิมพ์ กดที่รหัสเลขที่เอกสาร “สีฟ้า” จากนั้นเมื่อเข้ามาถึงหน้ารายการที่ต้องการ กดที่ “ลูกศร (drop down)” จากนั้นเลือกรูปแบบการพิมพ์ที่ต้องการ เมื่อกดเข้ามาเเล้วหน้าจอจะปรากฎเอกสารที่จะพิมพ์ สามารถพิมพ์เอกสารโดยการ กดที่ “ลูกศร (drop down)” เลือก “พิมพ์ PDF” ตัวอย่างการพิมพ์ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี – -จบขั้นตอนการพิมพ์เอกสารใบเสร็จรับเงิน,ใบสำคัญรับ,บิลเงินสด-

27 มิ.ย. 2025

PEAK Account

13 min

ใบสั่งซื้อ Purchase Order (PO) คืออะไร พร้อมตัวอย่าง

ใบสั่งซื้อ PO (Purchase Order): หัวใจสำคัญของการควบคุมต้นทุนและสร้างระบบให้ธุรกิจคุณ ในการดำเนินธุรกิจยุคใหม่ที่การแข่งขันสูง การบริหารจัดการต้นทุนและการควบคุมการจัดซื้อจัดจ้างอย่างมีระบบเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเอกสารสำคัญอย่าง ใบสั่งซื้อ (Purchase Order หรือ PO) ที่เป็นมากกว่าแค่กระดาษ แต่คือกลไกสำคัญในการบริหารจัดการการเงินและสร้างความโปร่งใสให้ธุรกิจของคุณ มาดูกันว่าทำไมใบ PO ถึงเป็นหัวใจสำคัญที่ทุกกิจการไม่ควรมองข้าม ใบสั่งซื้อ PO สำคัญอย่างไรกับธุรกิจของคุณ? การใช้ใบสั่งซื้อ PO อย่างถูกวิธี ไม่เพียงช่วยให้คุณจัดการเรื่องการจัดซื้อได้ง่ายขึ้น แต่ยังเสริมสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับการดำเนินงานโดยรวม ใบสั่งซื้อ PO คืออะไร แตกต่างจากใบขอซื้อ PR อย่างไร? ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง มีเอกสารสำคัญสองประเภทที่มักสร้างความสับสนให้กับผู้ประกอบการ นั่นคือ ใบสั่งซื้อ (PO) และ ใบขอซื้อ (PR) แม้จะมีความเกี่ยวข้องกัน แต่มีวัตถุประสงค์และการใช้งานที่แตกต่างกัน มาทำความเข้าใจความต่างนี้กัน ใบสั่งซื้อ (Purchase Order – PO) คือ ใบสั่งซื้อ (PO) เป็นเอกสารทางธุรกิจที่ออกโดย ฝ่ายจัดซื้อขององค์กร (ผู้ซื้อ) เพื่อ สั่งซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ขาย (Supplier) อย่างเป็นทางการ เปรียบเสมือนสัญญาซื้อขายที่มีผลผูกพันทางกฎหมายเมื่อผู้ขายตอบรับ ใบสั่งซื้อ PO จะถูกจัดทำขึ้น หลังจากที่ใบขอซื้อ (PR) ได้รับการอนุมัติแล้ว โดยจะมีรายละเอียดครบถ้วน เช่น: ใบขอซื้อ (Purchase Requisition – PR) คือ ใบขอซื้อ (PR) เป็นเอกสาร ภายในองค์กร ที่แผนกต่าง ๆ (เช่น แผนกผลิต, แผนกการตลาด) ใช้แจ้งความต้องการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการไปยัง ฝ่ายจัดซื้อ โดยระบุรายละเอียดสินค้าที่ต้องการ เหตุผลที่ต้องใช้ และงบประมาณที่เกี่ยวข้อง เอกสาร PR ต้องได้รับการตรวจสอบและอนุมัติจากหัวหน้าแผนกหรือผู้มีอำนาจก่อนที่จะส่งต่อไปยังฝ่ายจัดซื้อ เพื่อยืนยันความจำเป็นและความเหมาะสมของการจัดซื้อ ระบบ PR ช่วยควบคุมการใช้จ่าย ป้องกันการสั่งซื้อที่ไม่จำเป็น รวมถึงป้องกันการทุจริตของพนักงานและผู้ขาย สรุปความแตกต่างง่ายๆ: ข้อมูลสำคัญที่ต้องมีใน ใบสั่งซื้อ PO ใบสั่งซื้อ PO ที่สมบูรณ์และถูกต้อง ควรประกอบด้วยข้อมูลสำคัญเหล่านี้ เพื่อลดข้อผิดพลาดและข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต: ข้อมูลสำคัญที่ต้องมีในใบขอซื้อ PR ใบขอซื้อ (PR) แม้จะเป็นเอกสารภายใน แต่ก็มีความสำคัญไม่แพ้ใบสั่งซื้อ โดยข้อมูลที่ครบถ้วนในใบ PR จะช่วยให้ฝ่ายจัดซื้อดำเนินการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว: ตัวอย่างใบสั่งซื้อ PO และ ใบขอซื้อ PR เพื่อให้เข้าใจรูปแบบและองค์ประกอบของเอกสารทั้งสองประเภทได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ลองจินตนาการถึงโครงสร้างพื้นฐานดังนี้: ตัวอย่างโครงสร้างใบขอซื้อ PR ตัวอย่างใบขอซื้อ PO สรุปท้ายบทความ การมีระบบเอกสารการสั่งซื้อที่แข็งแกร่ง ไม่เพียงช่วยควบคุมค่าใช้จ่าย ป้องกันการทุจริต และสร้างความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อขององค์กรได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการบริหารจัดการธุรกิจในภาพรวม เจ้าของธุรกิจจึงควรเข้าใจและใช้ประโยชน์จากใบสั่งซื้อ PO อย่างเต็มที่ สำหรับธุรกิจยุคใหม่ การพึ่งพาระบบมือหรือเอกสารกระดาษอาจไม่เพียงพออีกต่อไป PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เข้ามาตอบโจทย์ตรงนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยฟังก์ชันที่รองรับการสร้างใบสั่งซื้อ (PO) ได้อย่างง่ายดาย คุณสามารถจัดการคำสั่งซื้อจากผู้จัดจำหน่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ PEAK ช่วยให้คุณบันทึกและติดตามข้อมูลการสั่งซื้อ สินค้า บันทึกซื้อสินค้า และเงื่อนไขการชำระเงินได้อย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งสามารถ เชื่อมโยงข้อมูลกับใบส่งสินค้าและใบแจ้งหนี้ได้ทันที ทำให้การจัดการบัญชีตั้งแต่การสั่งซื้อ การรับสินค้า ไปจนถึงการชำระเงินเป็นไปอย่างราบรื่น มีระบบ และแม่นยำมากยิ่งขึ้น ลดข้อผิดพลาด ประหยัดเวลา และช่วยให้คุณมีข้อมูลเชิงลึกสำหรับการตัดสินใจทางธุรกิจที่ดีขึ้นเสมอ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท คลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย) PEAK Call Center : 1485 LINE : @peakaccount สอบถามเพิ่มเติม คลิก

27 พ.ค. 2025

PEAK Account

5 min

รับของให้เป๊ะ เช็กบิลให้ชัวร์: รู้จักระบบ GR และ IR

1. ปัญหาที่เจ้าของธุรกิจ SMEs มักเจอ ถ้าคุณเคยเจอข้อใดข้อหนึ่ง ฟีเจอร์ใหม่จาก PEAK Premium อาจเป็นคำตอบที่ช่วยให้ขั้นตอนการจัดซื้อและจ่ายเงินของคุณเป็นระบบมากขึ้นด้วย 2 ระบบสำคัญคือ GR (Goods Receipt) และ IR (Invoice Receipt) 2. GR และ IR คืออะไร ? 3. GR (การรับสินค้า) : เช็กของให้ชัวร์ก่อนเก็บเข้าคลัง GR คืออะไร เวลาซัพพลายเออร์ส่งของมา เราอาจเคยชินกับการเซ็นรับแล้วเก็บของเข้าคลังทันทีแต่ GR คือการที่เรามีขั้นตอนชัดเจนในการตรวจสอบของ ณ จุดรับของ เช่น : เมื่อเช็กครบแล้ว ก็ทำเอกสาร GR Note เก็บไว้เป็นหลักฐาน แบบเดิม vs แบบใหม่ ประโยชน์ของ GR 4. IR (การรับแจ้งหนี้) : เช็กบิลให้ตรงก่อนจ่ายจริง IR คืออะไร หลังจากรับของแล้ว ซัพพลายเออร์จะส่งใบแจ้งหนี้มาเรียกเก็บเงิน ระบบ IR ก็คือขั้นตอนการตรวจสอบบิลอย่างละเอียดก่อนจ่ายเงิน โดยต้องตรวจสอบข้อมูลให้ทุกอย่างตรงกัน จึงอนุมัติจ่ายเงิน แบบเดิม vs แบบใหม่ ประโยชน์ของ IR 5. สรุปสั้นๆ : เข้าใจ GR & IR ง่ายๆ 6. ทำไมระบบนี้ถึงสำคัญต่อธุรกิจของคุณ แม้จะดูเหมือนเป็นการเพิ่มขั้นตอนแต่ GR และ IR คือการสร้างระบบตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดความผิดพลาด ป้องกันเงินรั่วไหล และทำให้เจ้าของธุรกิจมีภาพรวมของสต็อกและค่าใช้จ่ายที่แม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งสำคัญมากต่อการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว สนใจใช้งานแพ็กเกจ PEAK PREMIUM ต้องการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายขายติดต่อกลับ คลิกลงทะเบียน

27 พ.ค. 2025

PEAK Account

4 min

เช็กบิลให้เป๊ะ! ป้องกันธุรกิจจากการจ่ายเงินผิดด้วยระบบ IR

ลองนึกภาพตามนะครับ คุณจ่ายเงินให้ซัพพลายเออร์ไปแล้ว แต่เพิ่งมารู้ทีหลังว่าได้ของไม่ครบ หรือเผลอจ่ายบิลซ้ำ เพราะบิลหน้าตาเหมือนกันเป๊ะ หรือที่แย่กว่านั้นเงินหายไปจากระบบ โดยไม่มีใครรู้ว่าเกิดขึ้นตอนไหน ซึ่งปัญหาเหล่านี้ หลายครั้งมักเกิดจากการตรวจสอบใบแจ้งหนี้ที่ไม่รอบคอบก่อนจ่ายเงิน เรามารู้จักระบบ IR ตัวช่วยป้องกันธุรกิจจากการจ่ายเงินผิด แบบไม่รู้ตัวกันครับ ระบบ IR คืออะไร ? IR (Invoice Receipt) คือขั้นตอนการ “เช็กบิลก่อนจ่าย” อย่างเป็นระบบ เมื่อคุณได้รับใบแจ้งหนี้จากซัพพลายเออร์ ระบบ IR จะช่วยตรวจสอบว่า ถ้าไม่มี IR จะเกิดอะไรขึ้น ? IR ช่วยคุณอย่างไร ? สรุป ระบบ IR ไม่ใช่แค่การรับบิล แต่คือการป้องกันเงินรั่วไหล อาจดูเหมือนเพิ่มขั้นตอน แต่จริง ๆ แล้วคือ เกราะป้องกันสำคัญ ที่ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่า ทุกบิลที่จ่ายเป็นเงินที่ควรจ่ายจริง ๆ อยากให้ธุรกิจคุณจ่ายเงินอย่างมั่นใจ ลองใช้ระบบ IR กับ PEAK Premium แล้วคุณจะเห็นความแตกต่างตั้งแต่บิลแรกที่ตรวจ! สนใจเข้าร่วม DEMO สาธิตฟีเจอร์ใหม่ PEAK Premium ที่นี่!เจาะลึกทุกฟีเจอร์พร้อม Q&A ถาม-ตอบทุกข้อสงสัย – ฟรีออนไลน์ผ่าน Zoom คลิกลงทะเบียน สนใจใช้งานแพ็กเกจ PEAK PREMIUM ต้องการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายขายติดต่อกลับ คลิกลงทะเบียน

7 ม.ค. 2025

PEAK Account

8 min

รู้หรือไม่ PEAK ออก e-Tax Invoice ได้ พร้อมรองรับโครงการ Easy E-Receipt 2.0 

การใช้ e-Tax Invoice จะช่วยให้ธุรกิจ SMEs ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระเอกสาร และทำให้การจัดการภาษีเป็นเรื่องง่ายขึ้น หากคุณต้องการให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเปลี่ยนมาใช้ระบบ e-Tax Invoice จึงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าในระยะยาว โดย PEAK ออก e-Tax Invoice ได้ พร้อมทั้งสามารถใช้งานร่วมกับโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ซึ่งทำให้การจัดการเอกสารภาษีสะดวกและทันสมัยมากยิ่งขึ้น หากคุณสนใจระบบ e-Tax Invoice สามารถใช้งานได้ผ่าน PEAK ที่รองรับระบบการออกใบกำกับภาษีได้หลายรูปแบบ มาดูกันว่า PEAK รองรับระบบ e-Tax Invoice ได้กี่รูปแบบ e-Tax Invoice คืออะไร? e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เป็นเอกสารที่ออกและเก็บในรูปแบบดิจิทัล แทนการใช้กระดาษ โดยต้องเป็นไปตามมาตรฐานของกรมสรรพากร ซึ่งช่วยให้การทำธุรกรรมทางภาษีสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากขึ้น ประโยชน์ของ e-Tax Invoice สำหรับธุรกิจ SMEs e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ มีประโยชน์อย่างมากสำหรับธุรกิจ SMEs โดยช่วยให้การจัดการเอกสารทางบัญชีและภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้น มาดูรายละเอียดเพิ่มเติมของประโยชน์เหล่านี้กัน 1. ลดต้นทุนการจัดเก็บเอกสาร 2. ลดภาระงานเอกสาร 3. เพิ่มความแม่นยำ ลดข้อผิดพลาด 4. อำนวยความสะดวกในการตรวจสอบ ทำไมต้องใช้ PEAK ในการออก e-Tax Invoice? PEAK เป็นระบบบัญชีออนไลน์ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถออก e-Tax Invoice ได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐานกรมสรรพากร และรองรับโครงการ Easy E-Receipt อย่างสมบูรณ์ PEAK รองรับ Easy E-Receipt ทั้ง e-Tax Invoice by Time Stamp และ e-Tax Invoice & e-Receipt จุดเด่นของการที่ PEAK ออก e-Tax Invoice ได้ ร้านค้าจะเริ่มต้นใช้งานให้ PEAK ออก e-Tax Invoice ได้ อย่างไร? 1. ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt 2. สมัครใช้งานระบบ PEAK ผ่านเว็บไซต์ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ 3. ตั้งค่าระบบ e-Tax Invoice ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ 4. ออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ได้ทันที PEAK รองรับการออก e-Tax Invoice ครบทุกประเภท ทั้ง e-Tax Invoice & e-Receipt และ e-Tax Invoice by Timestamp ช่วยให้ธุรกิจ SMEs ลดภาระงานเอกสาร ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเชื่อมต่อกับกรมสรรพากรอย่างถูกต้อง หากต้องการระบบที่ช่วยให้การออกเอกสารภาษีง่ายขึ้น PEAK คือตัวเลือกที่ดีที่สุด ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

14 min

รู้จักแนวทางการทำงานแบบ Paperless วิธีช่วยลดต้นทุนกระดาษ

การทำงานแบบ Paperless กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับองค์กรยุคใหม่ที่ต้องการเพิ่มคุณภาพการทำงาน โดยการปรับเปลี่ยนสู่ระบบไร้กระดาษ ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนในการประหยัดทรัพยากรกระดาษเท่านั้น แต่ยังช่วยให้การจัดการเอกสารให้มีระบบมากขึ้น ลดพื้นที่จัดเก็บ และเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล เรามาทำความเข้าใจกับแนวคิด Paperless และประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับกัน การทำงานแบบ Paperless คืออะไร วิธีการทำงานแบบ Paperless คือ การลดการใช้กระดาษในกระบวนการทำงานโดยเปลี่ยนไปใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์แทน ระบบ Paperless ไม่ได้หมายถึงการไม่ใช้กระดาษเลย แต่เป็นการลดการใช้กระดาษให้น้อยที่สุดโดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วย เช่น การสแกนเอกสาร การจัดเก็บไฟล์ดิจิทัล และการใช้ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ การทำงานในรูปแบบนี้ช่วยให้องค์กรประหยัดทั้งพื้นที่จัดเก็บ เวลาในการค้นหา และค่าใช้จ่ายในการจัดการเอกสาร ระบบการทำงานแบบ Paperless มีข้อดีอย่างไร การนำระบบ Paperless มาใช้ในองค์กรมีข้อดีมากมาย ทั้งด้านการจัดการ ความปลอดภัย และการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงานและต้นทุนขององค์กร มาดูข้อดีที่สำคัญของการใช้ระบบ Paperless กัน เข้าถึงเอกสารได้จากทุกที่ทุกเวลา ระบบ Paperless ช่วยให้พนักงานสามารถเข้าถึงเอกสารได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะทำงานที่ออฟฟิศ ที่บ้าน หรือระหว่างเดินทาง เอกสารทั้งหมดถูกจัดเก็บในระบบคลาวด์ที่มีความปลอดภัยสูง ทำให้การค้นหาและเรียกดูเอกสารทำได้ง่ายและรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังสามารถแชร์เอกสารให้กับทีมงานได้ทันที ลดเวลาในการรอคอยและเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน เพิ่มความปลอดภัยในการจัดเก็บเอกสารได้ การจัดเก็บเอกสารในระบบ Paperless มีความปลอดภัยสูงกว่าการเก็บเอกสารกระดาษ ด้วยระบบการเข้ารหัสข้อมูล การกำหนดสิทธิ์การเข้าถึง และการติดตามประวัติการใช้งาน ทำให้มั่นใจได้ว่าเอกสารสำคัญจะไม่สูญหายหรือตกไปอยู่ในมือผู้ไม่หวังดี ระบบยังมีการสำรองข้อมูลอัตโนมัติ ป้องกันความเสียหายจากภัยพิบัติหรืออุบัติเหตุต่าง ๆ  นำข้อมูลไปใช้ต่อได้อย่างง่ายดาย เอกสารในระบบ Paperless สามารถนำไปใช้ต่อได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการคัดลอกข้อมูล การแก้ไข หรือการวิเคราะห์ ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในรูปแบบดิจิทัลที่พร้อมนำไปประมวลผลหรือใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์อื่น ๆ เช่น โปรแกรมบัญชี หรือระบบวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การทำงานแบบ Paperless ช่วยลดการใช้กระดาษ ซึ่งส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมโดยตรง นอกจากจะช่วยลดการตัดต้นไม้แล้ว ยังช่วยลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตกระดาษ การขนส่ง และการกำจัดของเสีย องค์กรที่ใช้ระบบนี้ จึงมีส่วนช่วยในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในด้านความรับผิดชอบต่อสังคม เทคโนโลยีและเครื่องมือที่ใช้ในระบบการทำงานแบบ Paperless มีอะไรบ้าง การดำเนินงานในรูปแบบ Paperless เป็นแนวทางที่องค์กรหลายแห่งนำมาใช้เพื่อลดการใช้กระดาษ ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และเสริมสร้างความคล่องตัวในการดำเนินงาน เทคโนโลยีและเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับระบบ Paperless ครอบคลุมตั้งแต่การสร้างเอกสาร การจัดเก็บ ไปจนถึงการแชร์และสำรองข้อมูล เพื่อให้การจัดการเอกสารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด 1. โปรแกรมสำหรับสร้างและจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โปรแกรมที่ช่วยสร้างและจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำงานแบบ Paperless โดยเฉพาะในด้านบัญชีและการเงิน โปรแกรมเหล่านี้ช่วยให้สามารถสร้างและจัดการเอกสารสำคัญ เช่น ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี และรายงานทางการเงิน ได้ในรูปแบบดิจิทัล ช่วยลดการพิมพ์เอกสาร ลดการใช้ทรัพยากร และเพิ่มความสะดวกในการค้นหาและเรียกใช้งาน นอกจากนี้ โปรแกรมบัญชีที่มีฟังก์ชันในการสร้างเอกสารดิจิทัลยังช่วยลดข้อผิดพลาดในการคีย์ข้อมูล ลดความซ้ำซ้อน และช่วยให้การดำเนินงานมีความถูกต้องมากขึ้น โปรแกรมที่ดีควรมีระบบอัตโนมัติที่สามารถช่วยสร้างเอกสารจากข้อมูลที่มีอยู่เดิม เช่น การสร้างใบเสร็จจากใบแจ้งหนี้โดยอัตโนมัติ รวมถึงรองรับการเชื่อมต่อกับระบบภายนอก เช่น ระบบภาษีของกรมสรรพากร เพื่อให้สามารถยื่นแบบภาษีออนไลน์ได้โดยตรง 2. สแกนเนอร์และเทคโนโลยี OCR สำหรับแปลงเอกสารเป็นดิจิทัล การเปลี่ยนจากการใช้เอกสารกระดาษเป็นระบบดิจิทัลจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ที่สามารถแปลงเอกสารทางกายภาพให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งก็คือเครื่องสแกนเอกสาร โดยเฉพาะเครื่องสแกนที่รองรับเทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) ซึ่งสามารถแปลงตัวอักษรที่อยู่บนเอกสารให้เป็นข้อความที่สามารถแก้ไขและนำไปใช้ต่อในซอฟต์แวร์อื่น ๆ ได้ สแกนเนอร์ที่มี OCR ช่วยให้สามารถค้นหาและเรียกดูเอกสารได้ง่ายขึ้น ลดเวลาที่ใช้ในการจัดเก็บและค้นหาเอกสาร อีกทั้งยังสามารถดึงข้อมูลจากใบเสร็จ หรือใบกำกับภาษีเข้าสู่ระบบบัญชีอัตโนมัติได้ ทำให้กระบวนการทำบัญชีมีความแม่นยำมากขึ้น 3. ระบบการเซ็นเอกสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Signature) ในระบบ Paperless การลงนามในเอกสารถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปจากการใช้ลายเซ็นบนกระดาษ ระบบ E-Signature หรือ ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยให้สามารถลงนามในเอกสารแบบดิจิทัลได้โดยไม่ต้องพิมพ์เอกสารออกมาเซ็นมือแล้วสแกนกลับเข้าไปใหม่ E-Signature สามารถช่วยลดเวลาและลดกระบวนการที่ไม่จำเป็น อีกทั้งยังเพิ่มความปลอดภัยให้กับเอกสาร เนื่องจากสามารถตรวจสอบและยืนยันตัวตนของผู้ลงนามได้ รวมถึงมีระบบเข้ารหัสที่ช่วยป้องกันการปลอมแปลงเอกสาร นอกจากนี้ ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังสามารถใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมายได้ ทำให้สามารถนำไปใช้ในเอกสารที่เป็นทางการ เช่น สัญญา หรือข้อตกลงทางธุรกิจได้อย่างมั่นใจ 4. ระบบจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ (Cloud Storage) การจัดเก็บเอกสารในรูปแบบดิจิทัลจำเป็นต้องมีพื้นที่จัดเก็บที่สามารถรองรับข้อมูลจำนวนมาก และสามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ทุกเวลา Cloud Storage จึงเป็นโซลูชันสำคัญที่ช่วยให้เอกสารสามารถจัดเก็บและเข้าถึงได้จากทุกอุปกรณ์ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ในองค์กร Cloud Storage มีข้อดีหลายประการ ได้แก่ บริการ Cloud Storage ที่นิยมใช้ในองค์กร เช่น Google Drive, Dropbox, OneDrive และ AWS S3 5. ระบบสำรองข้อมูล (Backup Storage) แม้ว่าการจัดเก็บเอกสารบนคลาวด์จะช่วยลดความเสี่ยงของการสูญหายของข้อมูล แต่เพื่อเพิ่มระดับความปลอดภัย องค์กรควรมีระบบสำรองข้อมูล (Backup Storage) ที่สามารถกู้คืนเอกสารได้ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ระบบล่ม ข้อมูลสูญหาย หรือถูกโจมตีจากมัลแวร์ ระบบสำรองข้อมูลที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้ องค์กรควรเลือกใช้ระบบ Backup ที่เหมาะสมกับปริมาณข้อมูลและความต้องการด้านความปลอดภัย เช่น การสำรองข้อมูลไปยัง Cloud Backup หรือการใช้เซิร์ฟเวอร์สำรองในสถานที่ห่างไกล 6. ระบบจัดการความรู้ภายในองค์กร (Knowledge Management System – KMS) ระบบจัดการความรู้เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการทำงานแบบ Paperless โดยช่วยให้สามารถรวบรวม จัดเก็บ และแชร์ความรู้ภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบ KMS ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้การบริหารจัดการเอกสารและองค์ความรู้ในองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความจำเป็นในการพิมพ์เอกสาร และช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้สะดวกขึ้น การเปลี่ยนผ่านสู่องค์กร Paperless เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาธุรกิจ โดยเฉพาะการใช้โปรแกรมบัญชีที่มีการทำงานแบบ Paperless ก็จะสามารถช่วยให้การจัดการเอกสารทางการเงินเป็นระบบ ลดการใช้กระดาษ และทำให้องค์กรประหยัดทั้งเวลาและต้นทุนได้ โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

ใบเสนอราคา (Quotation) คืออะไร ต้องออกเมื่อไหร่

การทำธุรกิจในปัจจุบันไม่ใช่แค่เรื่องของการซื้อขายเท่านั้น แต่ยังต้องมีเอกสารสำคัญที่ทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยเฉพาะใบเสนอราคาฟอร์มที่นอกจากจะช่วยให้ลูกค้าเข้าใจรายละเอียดสินค้า และบริการได้ชัดเจนแล้ว ยังเป็นหลักฐานสำคัญในการทำธุรกรรมที่เจ้าของธุรกิจทุกคนควรมีอีกด้วย ซึ่งแบบฟอร์มใบเสนอราคา ตั้งแต่ความหมาย ความสำคัญ จะมีองค์ประกอบที่จำเป็นอะไรบ้างไปดูกัน ใบเสนอราคาฟอร์มเอกสารธุรกิจ คืออะไร ใบเสนอราคาฟอร์มเอกสารทางธุรกิจที่ผู้ขายจัดทำขึ้นเพื่อแจ้งรายละเอียดสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้า โดยระบุข้อมูลสำคัญอย่างครบถ้วน ทั้งชื่อสินค้า จำนวน ราคาต่อหน่วย และยอดรวมทั้งหมด รวมถึงวิธีการส่งมอบสินค้าและชำระเงิน ซึ่งเอกสารนี้จะออกให้ลูกค้าเมื่อมีการสอบถามราคาสินค้าหรือบริการ เพื่อใช้ในการพิจารณาและตัดสินใจ โดยใบเสนอราคาจะต้องผ่านการอนุมัติทุกครั้งจากผู้มีอำนาจ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในอนาคตก่อนจะส่งให้ลูกค้า  ใบเสนอราคาสำคัญกับธุรกิจอย่างไร ในโลกธุรกิจการมีเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะใบเสนอราคาที่ไม่เพียงแต่แสดงรายละเอียดสินค้าและบริการ แต่ยังทำให้ผู้ประกอบการดูมืออาชีพอีกด้วย มาดูกันว่าใบเสนอราคามีความสำคัญอย่างไรบ้าง ช่วยสื่อสารกับลูกค้าได้ชัดเจนมากขึ้น การมีใบเสนอราคาที่ระบุรายละเอียดครบถ้วนช่วยลดความคลุมเครือในการสื่อสารระหว่างผู้ขายและลูกค้า เพราะทุกข้อมูลถูกระบุไว้อย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งคุณสมบัติสินค้า ราคา เงื่อนไขการชำระเงิน และการจัดส่ง ทำให้ลูกค้าเข้าใจและสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น พร้อมช่วยป้องกันความเข้าใจผิดในอนาคต ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อพิพาทระหว่างคู่ค้าได้ ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ การมีแบบฟอร์มใบเสนอราคาที่เป็นมาตรฐาน พร้อมตราสัญลักษณ์และข้อมูลบริษัทครบถ้วน ทำให้ธุรกิจดูมีความมืออาชีพ ทำให้ลูกค้ารู้สึกกล้าทำธุรกรรมกับธุรกิจเรา นอกจากนี้ การระบุรายละเอียดที่ชัดเจนยังสร้างความเชื่อถือว่าธุรกิจของเรามีความโปร่งใส ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความไว้วางใจจากลูกค้า ช่วยเพิ่มโอกาสซื้อสินค้าของลูกค้า การจัดทำใบเสนอราคาอย่างเป็นระบบ แสดงรายละเอียดสินค้าและบริการอย่างครบถ้วน พร้อมระบุสิทธิประโยชน์หรือโปรโมชันต่าง ๆ จะช่วยลูกค้าเห็นรายละเอียดสินค้าและบริการที่จะได้รับทั้งหมด ซึ่งจะช่วยลดความลังเลและเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น ใช้เป็นเอกสารอ้างอิงทางกฎหมาย แม้ว่าใบเสนอราคาจะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายโดยตรง แต่สามารถใช้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาในกรณีที่เกิดข้อพิพาทได้ โดยเฉพาะเมื่อมีการลงนามยอมรับเงื่อนไขข้อตกลงเบื้องต้นที่แสดงถึงเจตนาในการซื้อขายของเราและอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งสามารถใช้อ้างอิงในชั้นศาลได้หากเกิดปัญหาในภายหลัง ใบเสนอราคาต้องออกเมื่อไหร่ การออกใบเสนอราคาควรดำเนินการทันทีเมื่อลูกค้าแสดงความสนใจในสินค้าหรือบริการและต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่องราคาและเงื่อนไขต่าง ๆ ความรวดเร็วในการตอบสนองถือเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้ลูกค้าตัดสินใจตกลงซื้อขายได้เร็วขึ้น เนื่องจากลูกค้าอาจกำลังเปรียบเทียบราคากับคู่แข่งรายอื่น อย่างไรก็ตาม ความถูกต้องของข้อมูลในใบเสนอราคาให้ละเอียดก่อนส่งให้ลูกค้า เพื่อป้องกันปัญหในอนาคต แบบฟอร์มใบเสนอราคาต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง แบบฟอร์มใบเสนอราคาที่ดีควรมีองค์ประกอบครบถ้วน เพื่อให้ข้อมูลที่จำเป็นแก่ลูกค้าและใช้เป็นเอกสารอ้างอิงในอนาคต โดยองค์ประกอบสำคัญที่ควรมีในใบเสนอราคามี ดังนี้ การมีใบเสนอราคาฟอร์มเอกสารธุรกิจที่ครบถ้วนและเป็นระบบ จะช่วยทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือ ช่วยให้การทำธุรกิจไม่มีปัญหาและเติบโตได้ดี การจัดทำใบเสนอราคาอย่างมืออาชีพจึงเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจและให้ความสำคัญ  PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยให้การออก ใบเสนอราคา เป็นเรื่องง่ายและเป็นมืออาชีพ ด้วยระบบที่สามารถสร้างและปรับแต่งใบเสนอราคาได้อย่างรวดเร็ว รองรับการส่งเอกสารออนไลน์หรือดาวน์โหลดเป็น PDF พร้อมติดตามสถานะและเปลี่ยนเป็นใบแจ้งหนี้ได้ทันที ระบบยังจัดเก็บเอกสารอย่างเป็นระเบียบ เพิ่มความสะดวกและความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณในทุกขั้นตอน ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก