บันทึกบัญชี

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

15 ต.ค. 2025

PEAK Account

11 min

ค่าขนส่งกับการบันทึกบัญชี สิ่งที่ผู้ประกอบการห้ามมอง

ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าทางออนไลน์ น่าจะคุ้นเคยกับการคิด ค่าขนส่งสินค้า สินค้ากันเป็นอย่างดี แต่ผู้ประกอบการหลายท่านอาจยังไม่ทราบว่า ค่าขนส่งที่เรียกเก็บจากลูกค้านั้น ถือเป็นเงินที่ต้องรับรู้เป็นรายได้อีกด้วย! ในบทความนี้เราจะพาคุณมาดูความเกี่ยวข้องกับค่าขนส่งสินค้าและการบันทึกบัญชีกัน ค่าขนส่งสินค้า คืออะไร ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ค่าขนส่งสินค้า คือ ค่าใช้จ่ายที่ผู้ส่งต้องจ่ายให้กับบริษัทขนส่ง เพื่อนำสินค้าไปให้ถึงมือลูกค้า การเรียกเก็บเงินค่าขนส่งจากลูกค้าเป็นหน้าที่ของผู้ขาย แต่ผู้ประกอบการหลายท่านอาจไม่ทราบว่า ค่าขนส่งสินค้า เหล่านี้ ไม่ว่าจะมาจากการสั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หรือสั่งกับร้านโดยตรง ถือเป็นรายได้ของบริษัท และจำเป็นต้องทำการบันทึกบัญชีอย่างชัดเจน ค่าขนส่งสินค้ากับการบันทึกบัญชี การบันทึกบัญชีของค่าขนส่งสินค้า จะมี 2 เรื่องหลักที่ผู้ประกอบการและนักบัญชีควรทราบดังนี้ เมื่อไหร่ที่ค่าขนส่ง จะนับเป็นรายได้ของเรา? ปัจจัยสำคัญในการใช้ดูว่า ค่าขนส่งสินค้า จะนับเป็นรายได้ของเราหรือของแพลตฟอร์มออนไลน์ ต้องดูว่าใครเป็นผู้ออกใบเสร็จค่าขนส่งสินค้าให้ลูกค้า  ค่าขนส่งสินค้า มี VAT หรือไม่? ในกรณีที่ธุรกิจทำการจด VAT เรียบร้อยแล้วก็จำเป็นที่จะต้องมีการออกใบกำกับภาษีรวมค่าขนส่งสินค้า และรับรู้ภาษีขายจากค่าขนส่งสินค้าที่เรานับว่าเป็นรายได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ในกรณีที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ก็ไม่จำเป็นต้องคำนวณภาษีขายเพิ่ม ตัวอย่างการบันทึกบัญชีกรณีที่มีค่าขนส่งสินค้า ยกตัวอย่างการบันทึกบัญชีกรณีที่มีการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และจำเป็นต้องมีการบันทึกค่าขนส่งสินค้าเป็นรายได้ในบัญชี บริษัท A ขายเก้าอี้ผ่านช่องทางออนไลน์ราคา 1,000 บาท โดยมีค่าขนส่งสินค้าโดยบริษัทขนส่ง 50 บาท เมื่อลูกค้าชำระเงินและทำการจัดส่งสินค้าถึงมือลูกค้าเรียบร้อยแล้ว สามารถบันทึกบัญชีแยกได้ดังนี้ ราคารวมที่ลูกค้าต้องจ่ายคือ 1,000 + 50 = 1,050 บาท ทั้งนี้ หากบริษัท A ทำการจด VAT เรียบร้อยแล้วต้องทำการออกใบกำกับภาษี และต้องทำการบันทึกเป็นภาษีขาย 73.50 บาทด้วย โดยคิดเป็นราคารวม 1,123.50 บาท ทำไมบิลเก็บเงินค่าขนส่งสินค้า จากแพลตฟอร์มไม่ได้รวม VAT แต่ร้านค้าต้องคิด VAT? อีกหนึ่งคำถามที่หลายท่านอาจสงสัยเกี่ยวกับการคำนวณ VAT ของค่าขนส่งสินค้าจากแพลตฟอร์มออนไลน์ เพราะถ้าเราดูตัวอย่างใบเสร็จจากหัวข้อก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่าไม่ได้มีการคิด VAT มาด้วย แต่ทำไมร้านค้าถึงต้องคิด VAT เข้าไปในค่าขนส่งสินค้า ซึ่งคำตอบแยกได้เป็นสองส่วนดังนี้ เกิดอะไรขึ้นหากไม่ได้บันทึกค่าขนส่งสินค้า ลงในบัญชีบริษัท หากผู้ประกอบการไม่ได้ทำการลงบันทึกค่าขนส่งสินค้าเป็นรายได้ของบริษัท อาจทำให้ตัวเลขในรายการธุรกรรมมีความคลาดเคลื่อน เช่นในใบเสนอราคามีการเรียกเก็บค่าขนส่งสินค้ารวมเป็นจำนวนเงินที่เรียกเก็บจากลูกค้า แต่ในบันทึกบัญชีกลับไม่ได้มีจำนวนเงินค่าขนส่งสินค้าในส่วนนี้ อาจเกิดปัญหาตอนกระทบยอดตรวจสอบบัญชี และอาจส่งผลต่อการจัดการเรื่องภาษีได้ด้วยเช่นเดียวกัน เคล็ดลับลดข้อผิดพลาดในการบันทึกบัญชีสำหรับผู้ประกอบการ ในส่วนถัดมาเรามีเคล็ดลับสำหรับผู้ประกอบการในการลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการบันทึกบัญชี ซึ่งนอกจากการทำตารางบัญชีให้เข้าใจง่าย และการบันทึกบัญชีตามลำดับ ไม่ข้ามไปมา ยังมีปัจจัยอื่นที่เป็นส่วนช่วยให้ทำได้ง่ายยิ่งขึ้น จะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกัน เก็บเอกสารให้เป็นระบบ การทำงานบัญชีมักมาพร้อมกับเอกสารมากมายที่ต้องเก็บและจัดระเบียบ ดังนั้นการออกแบบระบบการจัดเก็บเอกสารที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี เอกสารเหล่านี้ควรได้รับการจัดหมวดหมู่อย่างเป็นระบบ และอาจเก็บทั้งรูปแบบไฟล์ และรูปแบบเอกสารจริง ตรงส่วนนี้หากจำเป็นต้องมีการอ้างอิงถึงเอกสารที่เก็บ นักบัญชีอาจต้องมีการบันทึกในบัญชีตามหมวดหมู่และระบบที่จัดเก็บ เช่น รหัสของเอกสาร เพื่อให้สามารถหยิบเอกสารเหล่านั้นออกมาตรวจสอบได้รวดเร็วมากขึ้น ทำสรุปบัญชีเป็นประจำทุกเดือน การทำบัญชีจำเป็นต้องทำเป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้เห็นภาพรวมด้านการเงิน และบัญชีของธุรกิจ ตรงส่วนนี้จะเป็นตัวช่วยประกอบการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ เพราะผู้ประกอบการจะได้เห็นธุรกรรมทั้งหมดในแต่ละเดือน สามารถใช้คาดการณ์ วางแผน หรือปรับปรุงแนวทางการดำเนินธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ การทำบัญชีในปัจจุบันมีการใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์เข้ามาช่วย เพื่อให้สามารถทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้น ทั้งยังลดข้อผิดพลาดลงได้ เพราะโปรแกรมเหล่านี้มักมาพร้อมฟีเจอร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านการบันทึกค่าใช้จ่าย การออกเอกสารที่เกี่ยวข้องอย่างใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จ/ใบกำกับภาษี ทั้งยังสามารถจัดทำรายงานได้แบบเรียลไทม์ รวมไปถึงช่วยในเรื่องการจัดการเรื่องภาษีอีกด้วย ดังนั้นการปรับใช้โปรแกรมบัญชีในการทำงานก็เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้การบันทึกบัญชีง่ายขึ้น และลดข้อผิดพลาดลงไปได้ บันทึกบัญชีง่าย ๆ ด้วยโปรแกรม PEAK Account PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่พร้อมเป็นตัวช่วยในการบันทึกบัญชี ด้วยฟีเจอร์สมุดบัญชีรายวัน ให้การบันทึกบัญชีง่ายยิ่งขึ้น และลดข้อผิดพลาด นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ การจัดการด้านเอกสารทั้งรายรับ รายจ่าย จัดการด้านการเงินและบัญชี การจัดการภาษี รวมไปถึงสต๊อกสินค้า เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำบัญชี เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเตรียมความพร้อมสู่การเติบโตของธุรกิจ

15 พ.ค. 2024

PEAK Account

13 min

ทําบัญชีรายรับรายจ่ายร้านค้าได้ง่ายๆ สำหรับพ่อค้าแม่ค้ามือใหม่

ประเด็นสำคัญ : บัญชีรายรับรายจ่ายคืออะไร? บัญชีรายรับรายจ่าย คือ กระบวนการบันทึกข้อมูลรายรับและรายจ่ายสำหรับกิจการที่มีการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญ 2 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ เหตุผลที่ร้านค้าควรทำบัญชีรายรับรายจ่าย การเปิดร้านค้าเป็นของตนเองไม่ว่าจะร้านค้าที่มีหน้าร้านหรือการเปิดร้านค้าออนไลน์ การจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้เห็นผลประกอบการระหว่างรายได้และค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง เมื่อทางร้านค้าเห็นตัวเลขบัญชีที่เกิดขึ้นจะทำให้วางแผนธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพได้ว่าค่าใช้จ่ายใดควรลดลงเพื่อประหยัดต้นทุน สร้างผลกำไรสูงขึ้น หรือควรไปลงทุนกับสินค้าใดจึงจะได้กำไรเพิ่มขึ้น เป็นต้น การทำบัญชีรายรับรายจ่ายร้านค้ามีประโยชน์อย่างไร? เมื่อร้านค้ามีการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างถูกต้อง จะส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจในหลายๆ ประการ ดังนี้ ควรเริ่มต้นทำบัญชีรายรับรายจ่ายร้านค้าอย่างไร? สิ่งแรกที่ต้องมีในการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายร้านค้า ก็คือ “แบบฟอร์มรายงานเงินสดรับ-จ่าย” ซึ่งเป็นแบบฟอร์มตามรูปแบบที่กรมสรรพากรกำหนด ซึ่งการจัดทำรายงานเงินสดรับ-จ่ายตามข้อกำหนดของกรมสรรพากรนั้นประกอบไปด้วย “ออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปได้ง่ายๆ ด้วยระบบ PEAK“ รายละเอียดในแบบฟอร์มรายงานเงินสดรายรับ-รายจ่าย แบบฟอร์มรายงานเงินสดรับ-จ่าย ประกอบไปด้วยรายละเอียดที่สำคัญ ดังนี้  ตัวอย่างการใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ทำบัญชีรายรับรายจ่ายร้านค้าแพลตฟอร์มต่างๆ การทำบัญชีรายรับรายจ่ายสำหรับการขายผ่านช่องทาง e-Commerce e-Commerce คือ การขายสินค้าหรือบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นการขายผ่านเว็บไซต์ แพลตฟอร์ม หรือแอปพลิเคชันต่างๆ ซึ่งการใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่ดีจะช่วยสร้างความสะดวกให้ผู้ประกอบการธุรกิจ e-Commerce หลายๆ ประการ เช่น “ข้อมูลเยอะมาก นักบัญชีทำไม่ทัน ลองเชื่อมระบบดู” การทำบัญชีรายรับรายจ่ายสำหรับการขายผ่านช่องทาง Marketplace Marketplace ก็คือ แพลตฟอร์มที่เป็นสื่อกลางในการติดต่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าจำนวนมาก ที่ผู้ซื้อและผู้ขายจะได้มาเจอกัน ตัวอย่าง Marketplace ยอดนิยมที่เรารู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ก็คือ Shopee Lazada  โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ให้คนขายของออนไลน์ออกใบเสร็จรับเงินได้ง่ายๆ จัดการงานบัญชีได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำบัญชีรายรับรายจ่ายสำหรับการขายผ่านช่องทาง Social Commerce Social Commerce เป็นการซื้อขายสินค้า-บริการผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น Facebook, Instagram และ LINE Shopping เป็นต้น การขายในลักษณะนี้ลูกค้าจะได้ปฏิสัมพันธ์กับทางร้านค้าโดยตรง ทำให้ธุรกิจสามารถทราบความต้องการ และเก็บข้อมูลลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว  PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์มีการเชื่อมต่อหลากหลายโปรแกรมพันธมิตร เพื่อจัดการงานขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการรายการสั่งซื้อ การบันทึกบัญชี หรือการจัดการสต็อกสินค้า เป็นต้น  ต้องการนักบัญชีช่วยทำรายรับรายจ่ายส่งกรมสรรพากร? สำหรับร้านค้าที่ต้องการนักบัญชีเข้ามาช่วยทำรายรับรายจ่ายส่งกรมสรรพากร PEAK ให้บริการรับทำบัญชีที่แตกต่าง เน้นการทำงานร่วมกับผู้ประกอบการ เพื่อให้ธุรกิจมีบัญชีที่เป็นระบบ สามารถใช้ข้อมูลงบการเงินเพื่อการตัดสินใจได้ และประสบความสำเร็จในระยะยาว เราดูแลงานจดทะเบียนบริษัท งานจัดการภาษี และการทำบัญชีที่ถูกต้อง เพื่อเป็นรากฐาน สำหรับการเติบโตของธุรกิจคุณ พร้อมทั้งช่วยให้คุณเข้าถึงสินเชื่อและแหล่งเงินทุนได้ง่ายมากยิ่งขึ้น “ให้คุณได้โฟกัสกับธุรกิจของคุณ แล้วให้เราดูแลเรื่องบัญชี“ สรุป การทำบัญชีรายรับรายจ่ายมีความสำคัญกับธุรกิจร้านค้า ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ช่วยให้ได้เห็นสถานะทางการเงิน ซึ่งจะนำไปสู่การต่อยอดธุรกิจในระยะยาว หรือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ดังนั้นการทำบัญชีรายรับรายจ่ายจึงเป็นสิ่งที่ร้านค้าไม่ควรละเลย ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท คลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย) PEAK Call Center : 1485 LINE : @peakaccount สอบถามเพิ่มเติม

24 ต.ค. 2023

PEAK Account

12 min

บุคคลธรรมดากับการจัดทำบัญชีเงินสดรับจ่าย

ปกติบุคคลธรรมดาไม่ต้องจัดทำบัญชี แต่ในทางภาษีถ้าใครที่มีที่มีรายได้ประเภท 40(5)-(8) จะถูกกำหนดให้ต้องจัดทำ “รายงานเงินสดรับ-จ่าย” ตามรูปแบบที่กรมสรรพากรกำหนดเพื่อเป็นหลักฐานในการยื่นภาษี ทั้งนี้หากผู้ประกอบการไม่จัดทำรายงานดังกล่าวจะมีค่าปรับไม่เกิน 2,000 บาท รู้หรือไม่ผู้ประกอบการที่เป็นบุคคลธรรมดาก็ต้องจัดทำบัญชีเหมือนกัน ถ้าใครยังไม่รู้ก็ไม่แปลก เพราะจริงๆ กฎหมายบัญชีก็ไม่ได้กำหนดให้บุคคลธรรมดาทำบัญชี แต่จริงๆ แล้วทางภาษีจะมีการกำหนดให้ผู้ประกอบการที่เป็นบุคคลที่มีรายได้บางประเภทต้องจัดทำรายงานเงินสดรับ-จ่ายด้วยครับ ก่อนอื่นเราลองมาทำความรู้จักกับ 2 หน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องกับการทำบัญชีกันก่อน คือ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (Department of Business Development: DBD) และกรมสรรพากร (Revenue Department: RD) ซึ่งแต่ละหน่วยงานจะมีข้อกำหนดเกี่ยวกับผู้ที่มีหน้าที่จัดทำบัญชีแตกต่างกัน ดังนี้ครับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (The Department of Business Development :DBD) พรบ.การบัญชี พ.ศ. 2543 ไม่ได้กำหนดให้บุคคลธรรมดาต้องจัดทำบัญชี แต่อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าสามารถกำหนดเพิ่มเติมได้ว่าอยากให้บุคคลธรรมดาประเภทใดที่ต้องจัดทำบัญชี ในปัจจุบันมีกำหนดขึ้นมาเพียง 2 ประเภทเท่านั้น โดยมีรายละเอียดดังนี้ ดังนั้นบุคคลที่ไม่ได้ประกอบธุรกิจข้างต้น จึงไม่มีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชีใดๆ เพื่อส่งให้ DBD ครับ กรมสรรพากร (The Revenue Department :RD) ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 161) กำหนดให้บุคคลธรรมดาที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือพูดง่ายๆ ว่าคนที่ไม่ได้จด VAT ที่มีรายได้ประเภท 40(5) – (8) เช่น รายได้จากค่าเช่าทรัพย์สิน วิชาชีพอิสระ รับเหมาก่อสร้าง หรือธุรกิจพาณิชย์อื่นๆ ต้องจัดทำบัญชีหรือรายงานที่แสดงรายได้และรายจ่ายเป็นประจำวัน ที่เรียกว่า “รายงานเงินสดรับ-จ่าย” โดย คนที่เคยยื่นภาษีบุคคลธรรมดาแล้ว จะคุ้นชินกับการเลือกหักรายจ่ายหักตามจริงและหักแบบเหมา และอาจคิดว่าถ้าหักแบบเหมาไม่ต้องทำรายงานนี้ได้ บอกเลยไม่ว่าเราจะเลือกหักค่าใช้จ่ายแบบใด ก็ต้องจัดทำรายงานเงินสดรับ-จ่ายเหมือนกัน แต่ข้อแตกต่างคือถ้าหักรายจ่ายตามจริงต้องมีเอกสารหลักฐานประกอบทุกรายการที่จ่ายเงิน แต่ถ้าหักแบบเหมาไม่จำเป็นต้องมีเอกสารหลักฐานประกอบทุกรายการก็ได้ครับ สรุปแล้ว ในทางภาษีได้กำหนดให้คนที่มี รายได้ประเภท 40(5) – (8) ต้องจัดทำรายงานแสดงรายรับ-รายจ่ายเก็บไว้ แต่ไม่ต้องกังวลว่าการจัดทำรายงานต้องทำอย่างไร จะยุ่งยากหรือไม่นะครับ เพราะทางกรมสรรพากรก็ได้ให้แบบฟอร์ม และตัวอย่างการกรอกมาให้เราด้วยครับ คำอธิบายการกรอกรายละเอียด 1. วัน/ เดือน/ปี : บันทึกวันที่เกิดรายการรับเงินหรือจ่ายเงิน 2. รายการ : บันทึกรายละเอียด เช่น ยอดขายสินค้า ค่าซื้อสินค้า ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า เงินเดือน เป็นต้น 3. รายรับ : บันทึก “จำนวนเงิน” ที่ได้รับเข้ามาตามรายละเอียดในช่องรายการ 4. รายจ่ายซื้อสินค้า : บันทึก “จำนวนเงิน” ที่จ่ายซื้อสินค้า กรณีขายเชื่อให้อธิบายเพิ่มในช่องหมายเหตุ 5. รายจ่ายค่าใช้จ่ายอื่น : ใช้บันทึก “จำนวนเงิน” ที่จ่ายค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการ เราจะเห็นได้ว่าการจัดทำรายงานเงินสดรับ-จ่ายค่อนข้างเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน เพราะบันทึกตามเกณฑ์เงินสด ส่วนเหตุผลที่ต้องจัดทำ ก็เพื่อเป็นรายละเอียดประกอบการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตัวรายงานนี้ไม่ถูกกำหนดให้นำส่งกรมสรรพากร แต่ต้องจัดทำและเก็บไว้เพื่อการเรียกตรวจสอบประเมินของ เจ้าหน้าที่กรมสรรพากร อย่างไรก็ตามหากผู้ประกอบไม่จัดทำรายงานแสดงรายได้-รายจ่าย จะมีค่าปรับไม่เกิน 2,000 บาทครับ อีกด้านหนึ่งการทำรายงานรับ-จ่ายไม่ใช่แค่เพียงเอื้ออำนวยการยื่นภาษีเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อผู้ประกอบการที่จะได้ประโยชน์ทางอ้อมไปด้วย ข้อดีของทำรายงานเงินสดรับ-จ่าย  สรุปแล้วบุคคลธรรมดาต้องทำบัญชีหรือไม่? ผู้ประกอบการที่เป็นบุคคลธรรมดาถ้ามีรายได้จากการทำธุรกิจตาม 40(5)-(8) เช่น รายได้จากค่าเช่าทรัพย์สิน วิชาชีพอิสระ รับเหมาก่อสร้าง หรือธุรกิจพาณิชย์อื่นๆ มีหน้าที่ต้องจัดทำรายงานเงินสดรับ-จ่ายประจำวันจัดเก็บไว้ และการทำรายงานดังกล่าวจะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของธุรกิจได้ว่าในแต่ละเดือน เรามีกำไรหรือขาดทุนจากการทำธุรกิจกันแน่ เพราะผู้ประกอบการหลายคนมักคิดว่าตัวเองทำธุรกิจมีกำไรทั้งๆที่ขายขาดทุนมาตลอด นอกจากนี้เราจะรู้ว่ารายได้ส่วนใหญ่ของเรามาจากการขายสินค้าหรือให้บริการตัวไหน และเห็นรายละเอียดค่าใช้จ่ายเพื่อนำมาวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ได้ว่าต้นทุนไหนที่สามารถลดได้เพื่อเพิ่มกำไรในระยะยาวได้ครับ หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว คุณยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นทำบัญชีอย่างไร และอยากได้คนที่ช่วยให้คำปรึกษาที่ PEAK เรามีพันธมิตรสำนักงานบัญชีมากกว่า 1,200 แห่งทั่วประเทศ พร้อมช่วยดูแลคุณ สนใจ คลิก ที่มา: ??ู่มือ-การจัดบันทึกเงินสดรับ-จ่าย.pdf จักรพงษ์ ทรงกำพลพันธุ์ PEAK’s Assistant to CEO นักบัญชี ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต(CPA) และผู้สอบบัญชีภาษีอากร(TA) ประสบการณ์สอบบัญชีจาก Big4 เพื่อต่อยอดและถ่ายทอดความรู้บัญชี ภาษีที่ถูกต้องให้แก่นักบัญชี ผู้สอบบัญชี รวมถึงผู้ประกอบการที่ใช้ข้อมูลการเงินเพื่อการตัดสินใจทางธุรกิจ

5 ต.ค. 2023

PEAK Account

11 min

การเลือกโปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ให้เหมาะสมกับองค์กร

ในยุคที่ HR หลายๆ คน ได้รู้จักกับโปรแกรมเงินเดือนออนไลน์กันแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าองค์กรหรือบริษัท ต้องเลือกใช้โปรแกรมเงินเดือนอันไหนดี เพราะการเลือกใช้โปรแกรมเงินเดือนนั้นเป็นเรื่องสำคัญในการบริหารจัดการเงินเดือนและการบริหารจัดการข้อมูลพนักงานขององค์กร และในปัจจุบัน ก็มีโปรแกรมให้เลือกใช้มากมาย หลากหลายรูปแบบอีกด้วย จึงต้องพิจารณาจากปัจจัยสำคัญต่างๆ เพื่อให้ได้โปรแกรมที่เหมาะสมทั้งในด้านการใช้งานและงบประมาณขององค์กร โดยวิธีการเลือกนั้น มีหลักการสำคัญๆ ดังนี้ 1. ค้นหาเป้าหมายในการใช้งาน ขั้นแรกในการตามหาโปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ที่เหมาะสมกับองค์กร HR จะต้องทราบปัญหาในการทำงานต่างๆ พร้อมกับ List ปัญหานั้นๆ ไว้เป็นข้อๆ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการคิดเงินเดือน การสรรหา หรือการบริหารจัดการด้านต่างๆ เช่น       จาก List ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ทราบว่า องค์กรนี้ต้องการโปรแกรมเงินเดือนแบบไหน มีฟังก์ชันที่สามารถรองรับปัญหาต่างๆ นี้ได้ครบถ้วนหรือไม่ เพื่อให้โปรแกรมที่เลือกใช้ตอบโจทย์และคุ้มค่าให้มากที่สุด 2. ความเหมาะสมกับขนาดและรูปแบบธุรกิจ โปรแกรมเงินเดือนที่ดีที่สุด ไม่ได้แปลว่าจะเหมาะกับทุกๆ องค์กรหรือธุรกิจเสมอไป เพราะในแต่ละองค์กรจะมีรูปแบบการบริหารจัดการที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านวัฒนธรรม ขนาดองค์กร หรือรูปแบบธุรกิจ ทำให้ความเหมาะสมในการใช้งานโปรแกรมเงินเดือนนั้น แตกต่างกันไป เช่น องค์กรที่มีขนาดเล็ก ก็จะมีการใช้งานที่ไม่ซับซ้อนเท่ากับองค์กรใหญ่ๆ จึงไม่จำเป็นต้องเลือกใช้โปรแกรมเงินเดือนที่มีฟังก์ชันหลากหลายจนใช้งานได้ไม่คุ้มค่า หรือเป็นองค์กรที่มีพนักงานเป็นวัยสูงอายุ ก็ควรเลือกโปรแกรมที่เน้นความใช้งานง่าย รูปแบบสบายตา เป็นต้น 3. ความสามารถในการปรับแต่ง  เพราะมีระบบการจัดการที่แตกต่างกัน โปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ที่เลือกใช้ควรมีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งตามข้อจำกัด เงื่อนไขและสิ่งแวดล้อมภายในธุรกิจ เช่น มีการคำนวณเบี้ยขยันแบบพิเศษ การแบ่งงวดคำนวณเงินเดือนหลายงวด เป็นต้น และที่สำคัญคือ การปรับแต่งในรูปแบบต่างๆ นั้น มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหรือไม่ จะได้มีการวางแผนการใช้งานให้คุ้มค่ามากที่สุด 4. ความปลอดภัย หนึ่งในเรื่องสำคัญของทุกๆ องค์กร คือเรื่องความปลอดภัยของโปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ เพราะข้อมูลเงินเดือนและข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน จึงควรเลือกโปรแกรมที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง อยู่บนระบบที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันการรั่วไหลข้อมูลสำคัญขององค์กร 5. การบริการหลังการขาย สำหรับการใช้โปรแกรมต่างๆ รวมถึงโปรแกรมเงินเดือนนั้น หากมีปัญหาระหว่างการใช้งาน ก็จำเป็นต้องมีช่องทางให้ติดต่อสำหรับช่วยแก้ปัญหาหรือขอคำแนะนำต่างๆ อยู่ตลอดเวลา  ดังนั้น การบริการหลังการขายจึงเป็นอีกเรื่องที่สำคัญ เพราะหาก HR ติดปัญหาในการใช้งานแล้ว อาจเพิ่มปัญหาด้านอื่นๆ ในองค์กรตามมาได้เช่นกัน จึงควรเลือกโปรแกรมเงินเดือนที่มีบริการหลังการขายที่ดี มีช่องทางให้ติดต่อง่าย สะดวก และมีความเป็นมืออาชีพในการให้บริการ 6. งบประมาณ เรื่องสำคัญอีกเรื่องในการเลือกโปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ คือ เรื่องงบประมาณในการซื้อโปรแกรมนั่นเอง ควรพิจารณาความเหมาะสมของราคาและค่าใช้จ่ายรวมทั้งความคุ้มค่าของบริการ เพื่อให้เลือกโปรแกรมที่มีคุณภาพ บริการดีและไม่เกินจากงบประมาณตั้งไว้ แต่ก็ไม่ควรใช้ราคาเป็นตัวตั้งในการเลือกโปรแกรมเพียงอย่างเดียว เพราะอาจทำให้ได้โปรแกรมที่ไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร ไม่สามารถแก้ปัญหารการทำงานบางอย่างได้ สุดท้ายก็จะทำให้การใช้งานโปรแกรมไม่คุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไปในที่สุด 7. การพัฒนาอยู่เสมอ เรื่องสุดท้ายที่ต้องคำนึงถึงในการเลือกโปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ นั่นคือ ควรเลือกโปรแกรมที่มีการปรับปรุงหรือพัฒนาอย่างต่อเนื่องอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงตามคำแนะนำจากลูกค้า หรือการพัฒนาต่อยอดเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เพราะโลกใบนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และทุกองค์กร ทุกบริษัทก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อก้าวไปข้างอยู่เสมอเช่นเดียวกัน สรุปการเลือกโปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ การเลือกใช้โปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ที่เหมาะสม และตอบโจทย์จะช่วยให้การบริหารองค์กรดำเนินไปตามเป้าหมายได้อย่างราบรื่น ดังนั้นการเลือกโปรแกรมเงินเดือนจึงเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน เพื่อให้ได้โปรแกรมที่ตรงตามความต้องการ และสามารถช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ในการทำงานของ HR ได้จริง เช่น HumanSoft โปรแกรมบริหารงานบุคคล ที่เป็นระบบออนไลน์ 100% รองรับการใช้งานครอบคลุมทุกการทำงานของ HR มีความยืดหยุ่นสูง ทำงานบนระบบที่มีความปลอดภัยระดับโลก  มีบริการหลังการขาย และพัฒนาโปรแกรมอยู่เสมอ อีกทั้งยังสามารถเลือกราคาเป็นแพ็คเก็จเพื่อแยกการใช้สำหรับแต่ละองค์กรได้ ทำให้ได้ใช้โปรแกรมที่เหมาะสม ในราคาที่แสนจะคุ้มค่าอีกด้วย นอกจากนี้ HumanSoft ยังสามารถทำงานเชื่อมต่อกับ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ทำให้จัดการงานด้านภาษีได้อย่างสะดวก รวดเร็วมากขึ้นไปอีก โดยเมื่อองค์กรจ่ายเงินเดือนจากระบบ HumanSoft ข้อมูลต่างๆ จะถูกส่งมายัง PEAK โดยอัตโนมัติ ทำให้สามารถบันทึกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับเงินเดือนได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ โปรโมชั่น สุด wow! สำหรับลูกค้าปัจจุบันที่ใช้งาน โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK สมัครใช้งาน โปรแกรมคิดเงินเดือน HumanSoft วันนี้ เฉพาะผู้ที่สมัครแพ็กเกจ Professional แบบรายปี มูลค่ามากกว่า 49,000 บาท ( รายละเอียดแพ็กเกจ เพิ่มเติม  nbsp;) คุ้ม 3 ต่อ ต่อที่ 1 รับเครื่องสแกนลายนิ้วมือและใบหน้า รุ่นใหม่ล่าสุด มูลค่า 11,900 บาท ทันที ต่อที่ 2 ทดลองใช้งาน โปรแกรม HumanSoft ฟรี 30 วัน ครบทุกฟังก์ชัน ต่อที่ 3 แถมฟรี ฟังก์ชั่น E-learning & E-library จำนวน 5 บทเรียน เงื่อนไขการรับสิทธิ์ 1. สิทธิพิเศษนี้ สำหรับลูกค้าปัจจุบัน ของโปรแกรม PEAK เท่านั้น 2. ลูกค้า 1 ท่าน สามารถใช้สิทธิ์ได้ 1 ครั้งเท่านั้น 3. ไม่สามารถใช้ร่วมกับส่วนลดอื่นๆ ได้ 4. ส่วนลดไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ 5. บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนด และเงื่อนไขโดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ธันวาคม 2566 นี้เท่านั้น หรือจนกว่าสินค้าจะหมด

15 ต.ค. 2025

PEAK Account

11 min

ค่าขนส่งกับการบันทึกบัญชี สิ่งที่ผู้ประกอบการห้ามมอง

ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าทางออนไลน์ น่าจะคุ้นเคยกับการคิด ค่าขนส่งสินค้า สินค้ากันเป็นอย่างดี แต่ผู้ประกอบการหลายท่านอาจยังไม่ทราบว่า ค่าขนส่งที่เรียกเก็บจากลูกค้านั้น ถือเป็นเงินที่ต้องรับรู้เป็นรายได้อีกด้วย! ในบทความนี้เราจะพาคุณมาดูความเกี่ยวข้องกับค่าขนส่งสินค้าและการบันทึกบัญชีกัน ค่าขนส่งสินค้า คืออะไร ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ค่าขนส่งสินค้า คือ ค่าใช้จ่ายที่ผู้ส่งต้องจ่ายให้กับบริษัทขนส่ง เพื่อนำสินค้าไปให้ถึงมือลูกค้า การเรียกเก็บเงินค่าขนส่งจากลูกค้าเป็นหน้าที่ของผู้ขาย แต่ผู้ประกอบการหลายท่านอาจไม่ทราบว่า ค่าขนส่งสินค้า เหล่านี้ ไม่ว่าจะมาจากการสั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หรือสั่งกับร้านโดยตรง ถือเป็นรายได้ของบริษัท และจำเป็นต้องทำการบันทึกบัญชีอย่างชัดเจน ค่าขนส่งสินค้ากับการบันทึกบัญชี การบันทึกบัญชีของค่าขนส่งสินค้า จะมี 2 เรื่องหลักที่ผู้ประกอบการและนักบัญชีควรทราบดังนี้ เมื่อไหร่ที่ค่าขนส่ง จะนับเป็นรายได้ของเรา? ปัจจัยสำคัญในการใช้ดูว่า ค่าขนส่งสินค้า จะนับเป็นรายได้ของเราหรือของแพลตฟอร์มออนไลน์ ต้องดูว่าใครเป็นผู้ออกใบเสร็จค่าขนส่งสินค้าให้ลูกค้า  ค่าขนส่งสินค้า มี VAT หรือไม่? ในกรณีที่ธุรกิจทำการจด VAT เรียบร้อยแล้วก็จำเป็นที่จะต้องมีการออกใบกำกับภาษีรวมค่าขนส่งสินค้า และรับรู้ภาษีขายจากค่าขนส่งสินค้าที่เรานับว่าเป็นรายได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ในกรณีที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ก็ไม่จำเป็นต้องคำนวณภาษีขายเพิ่ม ตัวอย่างการบันทึกบัญชีกรณีที่มีค่าขนส่งสินค้า ยกตัวอย่างการบันทึกบัญชีกรณีที่มีการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และจำเป็นต้องมีการบันทึกค่าขนส่งสินค้าเป็นรายได้ในบัญชี บริษัท A ขายเก้าอี้ผ่านช่องทางออนไลน์ราคา 1,000 บาท โดยมีค่าขนส่งสินค้าโดยบริษัทขนส่ง 50 บาท เมื่อลูกค้าชำระเงินและทำการจัดส่งสินค้าถึงมือลูกค้าเรียบร้อยแล้ว สามารถบันทึกบัญชีแยกได้ดังนี้ ราคารวมที่ลูกค้าต้องจ่ายคือ 1,000 + 50 = 1,050 บาท ทั้งนี้ หากบริษัท A ทำการจด VAT เรียบร้อยแล้วต้องทำการออกใบกำกับภาษี และต้องทำการบันทึกเป็นภาษีขาย 73.50 บาทด้วย โดยคิดเป็นราคารวม 1,123.50 บาท ทำไมบิลเก็บเงินค่าขนส่งสินค้า จากแพลตฟอร์มไม่ได้รวม VAT แต่ร้านค้าต้องคิด VAT? อีกหนึ่งคำถามที่หลายท่านอาจสงสัยเกี่ยวกับการคำนวณ VAT ของค่าขนส่งสินค้าจากแพลตฟอร์มออนไลน์ เพราะถ้าเราดูตัวอย่างใบเสร็จจากหัวข้อก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่าไม่ได้มีการคิด VAT มาด้วย แต่ทำไมร้านค้าถึงต้องคิด VAT เข้าไปในค่าขนส่งสินค้า ซึ่งคำตอบแยกได้เป็นสองส่วนดังนี้ เกิดอะไรขึ้นหากไม่ได้บันทึกค่าขนส่งสินค้า ลงในบัญชีบริษัท หากผู้ประกอบการไม่ได้ทำการลงบันทึกค่าขนส่งสินค้าเป็นรายได้ของบริษัท อาจทำให้ตัวเลขในรายการธุรกรรมมีความคลาดเคลื่อน เช่นในใบเสนอราคามีการเรียกเก็บค่าขนส่งสินค้ารวมเป็นจำนวนเงินที่เรียกเก็บจากลูกค้า แต่ในบันทึกบัญชีกลับไม่ได้มีจำนวนเงินค่าขนส่งสินค้าในส่วนนี้ อาจเกิดปัญหาตอนกระทบยอดตรวจสอบบัญชี และอาจส่งผลต่อการจัดการเรื่องภาษีได้ด้วยเช่นเดียวกัน เคล็ดลับลดข้อผิดพลาดในการบันทึกบัญชีสำหรับผู้ประกอบการ ในส่วนถัดมาเรามีเคล็ดลับสำหรับผู้ประกอบการในการลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการบันทึกบัญชี ซึ่งนอกจากการทำตารางบัญชีให้เข้าใจง่าย และการบันทึกบัญชีตามลำดับ ไม่ข้ามไปมา ยังมีปัจจัยอื่นที่เป็นส่วนช่วยให้ทำได้ง่ายยิ่งขึ้น จะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกัน เก็บเอกสารให้เป็นระบบ การทำงานบัญชีมักมาพร้อมกับเอกสารมากมายที่ต้องเก็บและจัดระเบียบ ดังนั้นการออกแบบระบบการจัดเก็บเอกสารที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี เอกสารเหล่านี้ควรได้รับการจัดหมวดหมู่อย่างเป็นระบบ และอาจเก็บทั้งรูปแบบไฟล์ และรูปแบบเอกสารจริง ตรงส่วนนี้หากจำเป็นต้องมีการอ้างอิงถึงเอกสารที่เก็บ นักบัญชีอาจต้องมีการบันทึกในบัญชีตามหมวดหมู่และระบบที่จัดเก็บ เช่น รหัสของเอกสาร เพื่อให้สามารถหยิบเอกสารเหล่านั้นออกมาตรวจสอบได้รวดเร็วมากขึ้น ทำสรุปบัญชีเป็นประจำทุกเดือน การทำบัญชีจำเป็นต้องทำเป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้เห็นภาพรวมด้านการเงิน และบัญชีของธุรกิจ ตรงส่วนนี้จะเป็นตัวช่วยประกอบการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ เพราะผู้ประกอบการจะได้เห็นธุรกรรมทั้งหมดในแต่ละเดือน สามารถใช้คาดการณ์ วางแผน หรือปรับปรุงแนวทางการดำเนินธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ การทำบัญชีในปัจจุบันมีการใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์เข้ามาช่วย เพื่อให้สามารถทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้น ทั้งยังลดข้อผิดพลาดลงได้ เพราะโปรแกรมเหล่านี้มักมาพร้อมฟีเจอร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านการบันทึกค่าใช้จ่าย การออกเอกสารที่เกี่ยวข้องอย่างใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จ/ใบกำกับภาษี ทั้งยังสามารถจัดทำรายงานได้แบบเรียลไทม์ รวมไปถึงช่วยในเรื่องการจัดการเรื่องภาษีอีกด้วย ดังนั้นการปรับใช้โปรแกรมบัญชีในการทำงานก็เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้การบันทึกบัญชีง่ายขึ้น และลดข้อผิดพลาดลงไปได้ บันทึกบัญชีง่าย ๆ ด้วยโปรแกรม PEAK Account PEAK Account โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่พร้อมเป็นตัวช่วยในการบันทึกบัญชี ด้วยฟีเจอร์สมุดบัญชีรายวัน ให้การบันทึกบัญชีง่ายยิ่งขึ้น และลดข้อผิดพลาด นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ การจัดการด้านเอกสารทั้งรายรับ รายจ่าย จัดการด้านการเงินและบัญชี การจัดการภาษี รวมไปถึงสต๊อกสินค้า เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำบัญชี เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเตรียมความพร้อมสู่การเติบโตของธุรกิจ

15 พ.ค. 2024

PEAK Account

13 min

ทําบัญชีรายรับรายจ่ายร้านค้าได้ง่ายๆ สำหรับพ่อค้าแม่ค้ามือใหม่

ประเด็นสำคัญ : บัญชีรายรับรายจ่ายคืออะไร? บัญชีรายรับรายจ่าย คือ กระบวนการบันทึกข้อมูลรายรับและรายจ่ายสำหรับกิจการที่มีการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญ 2 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ เหตุผลที่ร้านค้าควรทำบัญชีรายรับรายจ่าย การเปิดร้านค้าเป็นของตนเองไม่ว่าจะร้านค้าที่มีหน้าร้านหรือการเปิดร้านค้าออนไลน์ การจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้เห็นผลประกอบการระหว่างรายได้และค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง เมื่อทางร้านค้าเห็นตัวเลขบัญชีที่เกิดขึ้นจะทำให้วางแผนธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพได้ว่าค่าใช้จ่ายใดควรลดลงเพื่อประหยัดต้นทุน สร้างผลกำไรสูงขึ้น หรือควรไปลงทุนกับสินค้าใดจึงจะได้กำไรเพิ่มขึ้น เป็นต้น การทำบัญชีรายรับรายจ่ายร้านค้ามีประโยชน์อย่างไร? เมื่อร้านค้ามีการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างถูกต้อง จะส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจในหลายๆ ประการ ดังนี้ ควรเริ่มต้นทำบัญชีรายรับรายจ่ายร้านค้าอย่างไร? สิ่งแรกที่ต้องมีในการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายร้านค้า ก็คือ “แบบฟอร์มรายงานเงินสดรับ-จ่าย” ซึ่งเป็นแบบฟอร์มตามรูปแบบที่กรมสรรพากรกำหนด ซึ่งการจัดทำรายงานเงินสดรับ-จ่ายตามข้อกำหนดของกรมสรรพากรนั้นประกอบไปด้วย “ออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปได้ง่ายๆ ด้วยระบบ PEAK“ รายละเอียดในแบบฟอร์มรายงานเงินสดรายรับ-รายจ่าย แบบฟอร์มรายงานเงินสดรับ-จ่าย ประกอบไปด้วยรายละเอียดที่สำคัญ ดังนี้  ตัวอย่างการใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ทำบัญชีรายรับรายจ่ายร้านค้าแพลตฟอร์มต่างๆ การทำบัญชีรายรับรายจ่ายสำหรับการขายผ่านช่องทาง e-Commerce e-Commerce คือ การขายสินค้าหรือบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นการขายผ่านเว็บไซต์ แพลตฟอร์ม หรือแอปพลิเคชันต่างๆ ซึ่งการใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่ดีจะช่วยสร้างความสะดวกให้ผู้ประกอบการธุรกิจ e-Commerce หลายๆ ประการ เช่น “ข้อมูลเยอะมาก นักบัญชีทำไม่ทัน ลองเชื่อมระบบดู” การทำบัญชีรายรับรายจ่ายสำหรับการขายผ่านช่องทาง Marketplace Marketplace ก็คือ แพลตฟอร์มที่เป็นสื่อกลางในการติดต่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าจำนวนมาก ที่ผู้ซื้อและผู้ขายจะได้มาเจอกัน ตัวอย่าง Marketplace ยอดนิยมที่เรารู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ก็คือ Shopee Lazada  โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ให้คนขายของออนไลน์ออกใบเสร็จรับเงินได้ง่ายๆ จัดการงานบัญชีได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำบัญชีรายรับรายจ่ายสำหรับการขายผ่านช่องทาง Social Commerce Social Commerce เป็นการซื้อขายสินค้า-บริการผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น Facebook, Instagram และ LINE Shopping เป็นต้น การขายในลักษณะนี้ลูกค้าจะได้ปฏิสัมพันธ์กับทางร้านค้าโดยตรง ทำให้ธุรกิจสามารถทราบความต้องการ และเก็บข้อมูลลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว  PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์มีการเชื่อมต่อหลากหลายโปรแกรมพันธมิตร เพื่อจัดการงานขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการรายการสั่งซื้อ การบันทึกบัญชี หรือการจัดการสต็อกสินค้า เป็นต้น  ต้องการนักบัญชีช่วยทำรายรับรายจ่ายส่งกรมสรรพากร? สำหรับร้านค้าที่ต้องการนักบัญชีเข้ามาช่วยทำรายรับรายจ่ายส่งกรมสรรพากร PEAK ให้บริการรับทำบัญชีที่แตกต่าง เน้นการทำงานร่วมกับผู้ประกอบการ เพื่อให้ธุรกิจมีบัญชีที่เป็นระบบ สามารถใช้ข้อมูลงบการเงินเพื่อการตัดสินใจได้ และประสบความสำเร็จในระยะยาว เราดูแลงานจดทะเบียนบริษัท งานจัดการภาษี และการทำบัญชีที่ถูกต้อง เพื่อเป็นรากฐาน สำหรับการเติบโตของธุรกิจคุณ พร้อมทั้งช่วยให้คุณเข้าถึงสินเชื่อและแหล่งเงินทุนได้ง่ายมากยิ่งขึ้น “ให้คุณได้โฟกัสกับธุรกิจของคุณ แล้วให้เราดูแลเรื่องบัญชี“ สรุป การทำบัญชีรายรับรายจ่ายมีความสำคัญกับธุรกิจร้านค้า ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ช่วยให้ได้เห็นสถานะทางการเงิน ซึ่งจะนำไปสู่การต่อยอดธุรกิจในระยะยาว หรือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ดังนั้นการทำบัญชีรายรับรายจ่ายจึงเป็นสิ่งที่ร้านค้าไม่ควรละเลย ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท คลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย) PEAK Call Center : 1485 LINE : @peakaccount สอบถามเพิ่มเติม

24 ต.ค. 2023

PEAK Account

12 min

บุคคลธรรมดากับการจัดทำบัญชีเงินสดรับจ่าย

ปกติบุคคลธรรมดาไม่ต้องจัดทำบัญชี แต่ในทางภาษีถ้าใครที่มีที่มีรายได้ประเภท 40(5)-(8) จะถูกกำหนดให้ต้องจัดทำ “รายงานเงินสดรับ-จ่าย” ตามรูปแบบที่กรมสรรพากรกำหนดเพื่อเป็นหลักฐานในการยื่นภาษี ทั้งนี้หากผู้ประกอบการไม่จัดทำรายงานดังกล่าวจะมีค่าปรับไม่เกิน 2,000 บาท รู้หรือไม่ผู้ประกอบการที่เป็นบุคคลธรรมดาก็ต้องจัดทำบัญชีเหมือนกัน ถ้าใครยังไม่รู้ก็ไม่แปลก เพราะจริงๆ กฎหมายบัญชีก็ไม่ได้กำหนดให้บุคคลธรรมดาทำบัญชี แต่จริงๆ แล้วทางภาษีจะมีการกำหนดให้ผู้ประกอบการที่เป็นบุคคลที่มีรายได้บางประเภทต้องจัดทำรายงานเงินสดรับ-จ่ายด้วยครับ ก่อนอื่นเราลองมาทำความรู้จักกับ 2 หน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องกับการทำบัญชีกันก่อน คือ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (Department of Business Development: DBD) และกรมสรรพากร (Revenue Department: RD) ซึ่งแต่ละหน่วยงานจะมีข้อกำหนดเกี่ยวกับผู้ที่มีหน้าที่จัดทำบัญชีแตกต่างกัน ดังนี้ครับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (The Department of Business Development :DBD) พรบ.การบัญชี พ.ศ. 2543 ไม่ได้กำหนดให้บุคคลธรรมดาต้องจัดทำบัญชี แต่อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าสามารถกำหนดเพิ่มเติมได้ว่าอยากให้บุคคลธรรมดาประเภทใดที่ต้องจัดทำบัญชี ในปัจจุบันมีกำหนดขึ้นมาเพียง 2 ประเภทเท่านั้น โดยมีรายละเอียดดังนี้ ดังนั้นบุคคลที่ไม่ได้ประกอบธุรกิจข้างต้น จึงไม่มีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชีใดๆ เพื่อส่งให้ DBD ครับ กรมสรรพากร (The Revenue Department :RD) ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 161) กำหนดให้บุคคลธรรมดาที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือพูดง่ายๆ ว่าคนที่ไม่ได้จด VAT ที่มีรายได้ประเภท 40(5) – (8) เช่น รายได้จากค่าเช่าทรัพย์สิน วิชาชีพอิสระ รับเหมาก่อสร้าง หรือธุรกิจพาณิชย์อื่นๆ ต้องจัดทำบัญชีหรือรายงานที่แสดงรายได้และรายจ่ายเป็นประจำวัน ที่เรียกว่า “รายงานเงินสดรับ-จ่าย” โดย คนที่เคยยื่นภาษีบุคคลธรรมดาแล้ว จะคุ้นชินกับการเลือกหักรายจ่ายหักตามจริงและหักแบบเหมา และอาจคิดว่าถ้าหักแบบเหมาไม่ต้องทำรายงานนี้ได้ บอกเลยไม่ว่าเราจะเลือกหักค่าใช้จ่ายแบบใด ก็ต้องจัดทำรายงานเงินสดรับ-จ่ายเหมือนกัน แต่ข้อแตกต่างคือถ้าหักรายจ่ายตามจริงต้องมีเอกสารหลักฐานประกอบทุกรายการที่จ่ายเงิน แต่ถ้าหักแบบเหมาไม่จำเป็นต้องมีเอกสารหลักฐานประกอบทุกรายการก็ได้ครับ สรุปแล้ว ในทางภาษีได้กำหนดให้คนที่มี รายได้ประเภท 40(5) – (8) ต้องจัดทำรายงานแสดงรายรับ-รายจ่ายเก็บไว้ แต่ไม่ต้องกังวลว่าการจัดทำรายงานต้องทำอย่างไร จะยุ่งยากหรือไม่นะครับ เพราะทางกรมสรรพากรก็ได้ให้แบบฟอร์ม และตัวอย่างการกรอกมาให้เราด้วยครับ คำอธิบายการกรอกรายละเอียด 1. วัน/ เดือน/ปี : บันทึกวันที่เกิดรายการรับเงินหรือจ่ายเงิน 2. รายการ : บันทึกรายละเอียด เช่น ยอดขายสินค้า ค่าซื้อสินค้า ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า เงินเดือน เป็นต้น 3. รายรับ : บันทึก “จำนวนเงิน” ที่ได้รับเข้ามาตามรายละเอียดในช่องรายการ 4. รายจ่ายซื้อสินค้า : บันทึก “จำนวนเงิน” ที่จ่ายซื้อสินค้า กรณีขายเชื่อให้อธิบายเพิ่มในช่องหมายเหตุ 5. รายจ่ายค่าใช้จ่ายอื่น : ใช้บันทึก “จำนวนเงิน” ที่จ่ายค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการ เราจะเห็นได้ว่าการจัดทำรายงานเงินสดรับ-จ่ายค่อนข้างเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน เพราะบันทึกตามเกณฑ์เงินสด ส่วนเหตุผลที่ต้องจัดทำ ก็เพื่อเป็นรายละเอียดประกอบการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตัวรายงานนี้ไม่ถูกกำหนดให้นำส่งกรมสรรพากร แต่ต้องจัดทำและเก็บไว้เพื่อการเรียกตรวจสอบประเมินของ เจ้าหน้าที่กรมสรรพากร อย่างไรก็ตามหากผู้ประกอบไม่จัดทำรายงานแสดงรายได้-รายจ่าย จะมีค่าปรับไม่เกิน 2,000 บาทครับ อีกด้านหนึ่งการทำรายงานรับ-จ่ายไม่ใช่แค่เพียงเอื้ออำนวยการยื่นภาษีเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อผู้ประกอบการที่จะได้ประโยชน์ทางอ้อมไปด้วย ข้อดีของทำรายงานเงินสดรับ-จ่าย  สรุปแล้วบุคคลธรรมดาต้องทำบัญชีหรือไม่? ผู้ประกอบการที่เป็นบุคคลธรรมดาถ้ามีรายได้จากการทำธุรกิจตาม 40(5)-(8) เช่น รายได้จากค่าเช่าทรัพย์สิน วิชาชีพอิสระ รับเหมาก่อสร้าง หรือธุรกิจพาณิชย์อื่นๆ มีหน้าที่ต้องจัดทำรายงานเงินสดรับ-จ่ายประจำวันจัดเก็บไว้ และการทำรายงานดังกล่าวจะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของธุรกิจได้ว่าในแต่ละเดือน เรามีกำไรหรือขาดทุนจากการทำธุรกิจกันแน่ เพราะผู้ประกอบการหลายคนมักคิดว่าตัวเองทำธุรกิจมีกำไรทั้งๆที่ขายขาดทุนมาตลอด นอกจากนี้เราจะรู้ว่ารายได้ส่วนใหญ่ของเรามาจากการขายสินค้าหรือให้บริการตัวไหน และเห็นรายละเอียดค่าใช้จ่ายเพื่อนำมาวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ได้ว่าต้นทุนไหนที่สามารถลดได้เพื่อเพิ่มกำไรในระยะยาวได้ครับ หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว คุณยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นทำบัญชีอย่างไร และอยากได้คนที่ช่วยให้คำปรึกษาที่ PEAK เรามีพันธมิตรสำนักงานบัญชีมากกว่า 1,200 แห่งทั่วประเทศ พร้อมช่วยดูแลคุณ สนใจ คลิก ที่มา: ??ู่มือ-การจัดบันทึกเงินสดรับ-จ่าย.pdf จักรพงษ์ ทรงกำพลพันธุ์ PEAK’s Assistant to CEO นักบัญชี ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต(CPA) และผู้สอบบัญชีภาษีอากร(TA) ประสบการณ์สอบบัญชีจาก Big4 เพื่อต่อยอดและถ่ายทอดความรู้บัญชี ภาษีที่ถูกต้องให้แก่นักบัญชี ผู้สอบบัญชี รวมถึงผู้ประกอบการที่ใช้ข้อมูลการเงินเพื่อการตัดสินใจทางธุรกิจ

5 ต.ค. 2023

PEAK Account

11 min

การเลือกโปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ให้เหมาะสมกับองค์กร

ในยุคที่ HR หลายๆ คน ได้รู้จักกับโปรแกรมเงินเดือนออนไลน์กันแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าองค์กรหรือบริษัท ต้องเลือกใช้โปรแกรมเงินเดือนอันไหนดี เพราะการเลือกใช้โปรแกรมเงินเดือนนั้นเป็นเรื่องสำคัญในการบริหารจัดการเงินเดือนและการบริหารจัดการข้อมูลพนักงานขององค์กร และในปัจจุบัน ก็มีโปรแกรมให้เลือกใช้มากมาย หลากหลายรูปแบบอีกด้วย จึงต้องพิจารณาจากปัจจัยสำคัญต่างๆ เพื่อให้ได้โปรแกรมที่เหมาะสมทั้งในด้านการใช้งานและงบประมาณขององค์กร โดยวิธีการเลือกนั้น มีหลักการสำคัญๆ ดังนี้ 1. ค้นหาเป้าหมายในการใช้งาน ขั้นแรกในการตามหาโปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ที่เหมาะสมกับองค์กร HR จะต้องทราบปัญหาในการทำงานต่างๆ พร้อมกับ List ปัญหานั้นๆ ไว้เป็นข้อๆ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการคิดเงินเดือน การสรรหา หรือการบริหารจัดการด้านต่างๆ เช่น       จาก List ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ทราบว่า องค์กรนี้ต้องการโปรแกรมเงินเดือนแบบไหน มีฟังก์ชันที่สามารถรองรับปัญหาต่างๆ นี้ได้ครบถ้วนหรือไม่ เพื่อให้โปรแกรมที่เลือกใช้ตอบโจทย์และคุ้มค่าให้มากที่สุด 2. ความเหมาะสมกับขนาดและรูปแบบธุรกิจ โปรแกรมเงินเดือนที่ดีที่สุด ไม่ได้แปลว่าจะเหมาะกับทุกๆ องค์กรหรือธุรกิจเสมอไป เพราะในแต่ละองค์กรจะมีรูปแบบการบริหารจัดการที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านวัฒนธรรม ขนาดองค์กร หรือรูปแบบธุรกิจ ทำให้ความเหมาะสมในการใช้งานโปรแกรมเงินเดือนนั้น แตกต่างกันไป เช่น องค์กรที่มีขนาดเล็ก ก็จะมีการใช้งานที่ไม่ซับซ้อนเท่ากับองค์กรใหญ่ๆ จึงไม่จำเป็นต้องเลือกใช้โปรแกรมเงินเดือนที่มีฟังก์ชันหลากหลายจนใช้งานได้ไม่คุ้มค่า หรือเป็นองค์กรที่มีพนักงานเป็นวัยสูงอายุ ก็ควรเลือกโปรแกรมที่เน้นความใช้งานง่าย รูปแบบสบายตา เป็นต้น 3. ความสามารถในการปรับแต่ง  เพราะมีระบบการจัดการที่แตกต่างกัน โปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ที่เลือกใช้ควรมีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งตามข้อจำกัด เงื่อนไขและสิ่งแวดล้อมภายในธุรกิจ เช่น มีการคำนวณเบี้ยขยันแบบพิเศษ การแบ่งงวดคำนวณเงินเดือนหลายงวด เป็นต้น และที่สำคัญคือ การปรับแต่งในรูปแบบต่างๆ นั้น มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหรือไม่ จะได้มีการวางแผนการใช้งานให้คุ้มค่ามากที่สุด 4. ความปลอดภัย หนึ่งในเรื่องสำคัญของทุกๆ องค์กร คือเรื่องความปลอดภัยของโปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ เพราะข้อมูลเงินเดือนและข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน จึงควรเลือกโปรแกรมที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง อยู่บนระบบที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันการรั่วไหลข้อมูลสำคัญขององค์กร 5. การบริการหลังการขาย สำหรับการใช้โปรแกรมต่างๆ รวมถึงโปรแกรมเงินเดือนนั้น หากมีปัญหาระหว่างการใช้งาน ก็จำเป็นต้องมีช่องทางให้ติดต่อสำหรับช่วยแก้ปัญหาหรือขอคำแนะนำต่างๆ อยู่ตลอดเวลา  ดังนั้น การบริการหลังการขายจึงเป็นอีกเรื่องที่สำคัญ เพราะหาก HR ติดปัญหาในการใช้งานแล้ว อาจเพิ่มปัญหาด้านอื่นๆ ในองค์กรตามมาได้เช่นกัน จึงควรเลือกโปรแกรมเงินเดือนที่มีบริการหลังการขายที่ดี มีช่องทางให้ติดต่อง่าย สะดวก และมีความเป็นมืออาชีพในการให้บริการ 6. งบประมาณ เรื่องสำคัญอีกเรื่องในการเลือกโปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ คือ เรื่องงบประมาณในการซื้อโปรแกรมนั่นเอง ควรพิจารณาความเหมาะสมของราคาและค่าใช้จ่ายรวมทั้งความคุ้มค่าของบริการ เพื่อให้เลือกโปรแกรมที่มีคุณภาพ บริการดีและไม่เกินจากงบประมาณตั้งไว้ แต่ก็ไม่ควรใช้ราคาเป็นตัวตั้งในการเลือกโปรแกรมเพียงอย่างเดียว เพราะอาจทำให้ได้โปรแกรมที่ไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร ไม่สามารถแก้ปัญหารการทำงานบางอย่างได้ สุดท้ายก็จะทำให้การใช้งานโปรแกรมไม่คุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไปในที่สุด 7. การพัฒนาอยู่เสมอ เรื่องสุดท้ายที่ต้องคำนึงถึงในการเลือกโปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ นั่นคือ ควรเลือกโปรแกรมที่มีการปรับปรุงหรือพัฒนาอย่างต่อเนื่องอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงตามคำแนะนำจากลูกค้า หรือการพัฒนาต่อยอดเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เพราะโลกใบนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และทุกองค์กร ทุกบริษัทก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อก้าวไปข้างอยู่เสมอเช่นเดียวกัน สรุปการเลือกโปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ การเลือกใช้โปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ที่เหมาะสม และตอบโจทย์จะช่วยให้การบริหารองค์กรดำเนินไปตามเป้าหมายได้อย่างราบรื่น ดังนั้นการเลือกโปรแกรมเงินเดือนจึงเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน เพื่อให้ได้โปรแกรมที่ตรงตามความต้องการ และสามารถช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ในการทำงานของ HR ได้จริง เช่น HumanSoft โปรแกรมบริหารงานบุคคล ที่เป็นระบบออนไลน์ 100% รองรับการใช้งานครอบคลุมทุกการทำงานของ HR มีความยืดหยุ่นสูง ทำงานบนระบบที่มีความปลอดภัยระดับโลก  มีบริการหลังการขาย และพัฒนาโปรแกรมอยู่เสมอ อีกทั้งยังสามารถเลือกราคาเป็นแพ็คเก็จเพื่อแยกการใช้สำหรับแต่ละองค์กรได้ ทำให้ได้ใช้โปรแกรมที่เหมาะสม ในราคาที่แสนจะคุ้มค่าอีกด้วย นอกจากนี้ HumanSoft ยังสามารถทำงานเชื่อมต่อกับ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ทำให้จัดการงานด้านภาษีได้อย่างสะดวก รวดเร็วมากขึ้นไปอีก โดยเมื่อองค์กรจ่ายเงินเดือนจากระบบ HumanSoft ข้อมูลต่างๆ จะถูกส่งมายัง PEAK โดยอัตโนมัติ ทำให้สามารถบันทึกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับเงินเดือนได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ โปรโมชั่น สุด wow! สำหรับลูกค้าปัจจุบันที่ใช้งาน โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK สมัครใช้งาน โปรแกรมคิดเงินเดือน HumanSoft วันนี้ เฉพาะผู้ที่สมัครแพ็กเกจ Professional แบบรายปี มูลค่ามากกว่า 49,000 บาท ( รายละเอียดแพ็กเกจ เพิ่มเติม  nbsp;) คุ้ม 3 ต่อ ต่อที่ 1 รับเครื่องสแกนลายนิ้วมือและใบหน้า รุ่นใหม่ล่าสุด มูลค่า 11,900 บาท ทันที ต่อที่ 2 ทดลองใช้งาน โปรแกรม HumanSoft ฟรี 30 วัน ครบทุกฟังก์ชัน ต่อที่ 3 แถมฟรี ฟังก์ชั่น E-learning & E-library จำนวน 5 บทเรียน เงื่อนไขการรับสิทธิ์ 1. สิทธิพิเศษนี้ สำหรับลูกค้าปัจจุบัน ของโปรแกรม PEAK เท่านั้น 2. ลูกค้า 1 ท่าน สามารถใช้สิทธิ์ได้ 1 ครั้งเท่านั้น 3. ไม่สามารถใช้ร่วมกับส่วนลดอื่นๆ ได้ 4. ส่วนลดไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ 5. บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนด และเงื่อนไขโดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ธันวาคม 2566 นี้เท่านั้น หรือจนกว่าสินค้าจะหมด