ความรู้บัญชี

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

6 ก.พ. 2025

PEAK Account

7 min

สำนักงานบัญชี ประหยัดเวลาการทำบัญชีด้วยการใช้ AI

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ การใช้ AI ได้กลายเป็นตัวช่วยสำคัญในการยกระดับการทำงานของสำนักงานบัญชี ทำให้กระบวนการต่างๆ รวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับข้อดีของการใช้ AI ในการทำบัญชีและวิธีการนำมาใช้เพื่อช่วยประหยัดเวลาในงานของคุณ ทำไมการทำบัญชีด้วยการใช้ AI ถึงสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชี? นำ AI มาปรับใช้ในงานของสำนักงานบัญชีได้อย่างไร 1. การบันทึกบัญชีด้วยระบบ AI ระบบบัญชีที่มี AI ช่วยแนะนำ รายการบันทึกบัญชีที่ใช้บ่อย จะช่วยให้นักบัญชีทำงานได้รวดเร็วและสะดวกขึ้น เพราะ AI จะเรียนรู้พฤติกรรมการบันทึกข้อมูลของผู้ใช้งาน และเสนอรายการบัญชีที่เกี่ยวข้องแบบอัตโนมัติ ลดเวลาการค้นหารายการบัญชีที่ซับซ้อนหรือใช้บ่อย ตัวอย่างเช่น ข้อดี 2. การวิเคราะห์งบการเงินและคาดการณ์แนวโน้มธุรกิจ PEAK ใช้ AI วิเคราะห์งบกำไรขาดทุน ช่วยให้นักบัญชีและเจ้าของธุรกิจเห็นภาพรวมผลประกอบการได้ชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมทั้งคาดการณ์แนวโน้มทางการเงินในอนาคต AI จะดึงข้อมูลในระบบมาคำนวณและสรุปเป็นกราฟหรือรายงานแบบเข้าใจง่าย เช่น ข้อดี 3. การตรวจสอบความผิดพลาดในการทำบัญชี AI สามารถ ตรวจสอบความถูกต้องของงบทดลอง (Trial Balance) ได้อัตโนมัติ หากพบข้อผิดพลาดหรือยอดไม่ตรง ระบบจะแสดง สัญลักษณ์ธงสี (Flag) เพื่อแจ้งเตือนผู้ใช้งานทันที เช่น ข้อดี ข้อดีของการทำบัญชีด้วยการใช้ AI ลดต้นทุนการดำเนินงาน ลดเวลาและทรัพยากรที่ใช้ในกระบวนการบัญชี ทำให้สำนักงานบัญชีสามารถลดต้นทุนได้ เพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้า เวลาที่ประหยัดได้จากการใช้ AI สามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์และให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์แก่ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น รองรับการขยายตัวของธุรกิจ สำนักงานบัญชีสามารถรองรับลูกค้าใหม่ได้มากขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มทีมงานหรือทรัพยากรเพิ่มเติม PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยสำนักงานบัญชีและธุรกิจประหยัดเวลาและเพิ่มความแม่นยำด้วยระบบ AI ที่สามารถแนะนำรายการบันทึกบัญชีที่ใช้บ่อยๆได้ เพราะ PEAK ตระหนักเห็นถึงความสำคัญในการนำ AI มาปรับใช้ในสำนักงานบัญชีไม่เพียงช่วยประหยัดเวลา แต่ยังช่วยเพิ่มคุณภาพและความแม่นยำในการทำงาน ช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

8 min

สเตทเม้น คืออะไร เรื่องที่คนทั่วไปและเจ้าของธุรกิจควรรู้

สเตทเม้น คือ รายงานการเคลื่อนไหวทางการเงินที่แสดงรายละเอียดการทำธุรกรรมในบัญชี ซึ่งสถาบันการเงินจัดทำให้กับลูกค้าเป็นประจำทุกเดือน และเป็นเอกสารสำคัญที่ช่วยให้เรารู้และควบคุมการใช้จ่ายได้ รวมถึงยังรู้ว่ารายการเดินบัญชีมีความถูกต้องหรือไม่ ทำให้เราสามารถบริหารจัดการการเงินได้ง่ายและดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งสเตทเม้นเอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง และจะสามารถขอสเตทเม้นได้อย่างไรไปดูกัน สเตทเม้น คืออะไร สเตทเม้น คือ เอกสารทางการเงินที่แสดงรายการเดินบัญชีทั้งหมดในช่วงเวลาหนึ่ง โดยปกติจะเป็นรายเดือน ซึ่งจะระบุรายละเอียดของรายการฝาก ถอน โอน หรือชำระเงินต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบัญชี พร้อมทั้งแสดงยอดเงินคงเหลือ ณ สิ้นเดือน สามารถใช้อ้างอิงการทำธุรกรรมทางการเงิน การจัดทำบัญชี และการยื่นภาษีได้ นอกจากนี้ ยังเป็นตัวช่วยในการวางแผนการเงิน และตรวจสอบว่ารายการเดินบัญชีมีความผิดปกติหรือไม่ รายละเอียดสำคัญที่ปรากฏในสเตทเม้น เอกสารที่รวบรวมข้อมูลสำคัญในการทำธุรกรรมทางการเงินของเรา ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลหลายส่วนที่จะช่วยบริหารการเงินได้ทั้งส่วนบุคคลและธุรกิจ ดังนี้ สเตทเม้นสามารถนำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง สเตทเม้น คือ ตัวช่วยในการบริหารการเงินที่มีประโยชน์หลายด้าน สามารถใช้ในการติดตามรายรับรายจ่าย การวางแผนการเงิน การจัดทำบัญชี การยื่นภาษี และการขอสินเชื่อ นอกจากนี้ ยังช่วยตรวจสอบรายการเดินบัญชีและการทำงบประมาณว่ามีความผิดปกติหรือไม่ และการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่าย ทำให้สามารถควบคุมการเงินได้ดีมากขึ้น ทำบัญชีรายรับรายจ่ายส่วนบุคคล สเตทเม้นเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายส่วนบุคคล ทำให้รู้ว่าตอนนี้จ่ายไปกับอะไรและจ่ายเท่าไหร่บ้าง เพื่อนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงินของตัวเองและปรับปรุงนิสัยการใช้จ่ายเกินความจำเป็นของเราได้ นอกจากนี้ ยังนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนการออม การลงทุน รวมถึงการจัดการหนี้สินต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้น  จัดทำบัญชีธุรกิจ สเตทเม้นเป็นเอกสารสำคัญในการจัดทำบัญชีธุรกิจ ใช้เป็นหลักฐานประกอบการบันทึกรายได้และจัดทำงบการเงิน รวมถึงการคำนวณภาษี ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามกระแสเงินสด ตรวจสอบและวิเคราะห์รายการได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ การขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน สเตทเม้นเป็นเอกสารที่สถาบันการเงินใช้ประกอบในการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของเรา โดยจะพิจารณาจากความสม่ำเสมอของรายได้ พฤติกรรมการใช้จ่าย การออม และประวัติการชำระเงินต่าง ๆ  การมีสเตทเม้นที่แสดงถึงความมั่นคงทางการเงินจะเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อ การสมัครบัตรเครดิต สเตทเม้นเป็นหลักฐานสำคัญในการสมัครบัตรเครดิต โดยธนาคารจะดูว่าเรามีรายรับเท่าไหร่ เพื่อพิจารณาวงเงินบัตรเครดิต และดูว่าเราสามารถจ่ายหนี้ได้มากหรือน้อยขนาดไหน โดยจะดูจากรายได้เฉลี่ยต่อเดือนว่ามีจำนวนเท่าไหร่และมีความสม่ำเสมอไหม รวมถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านบัญชีนั้นด้วย วิธีขอสเตทเม้น การขอสเตทเม้นสามารถเลือกทำจากช่องทางต่าง ๆ ได้ตามความสะดวกและบริการของแต่ละธนาคาร โดยช่องทางหลัก ๆ ได้แก่ การขอผ่านแอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ ซึ่งสามารถดาวน์โหลดสเตทเม้นย้อนหลังได้ฟรีโดยไม่มีค่าธรรมเนียม หรือเป็นการขอที่ตู้ ATM โดยใช้บัตร ATM/Debit ให้กดเลือกบริการพิมพ์รายการเดินบัญชี หรือการติดต่อที่สาขาธนาคารโดยตรงพร้อมบัตรประชาชนและสมุดบัญชี ทั้งนี้ การขอสเตทเม้นย้อนหลังเกิน 6 เดือนอาจมีค่าธรรมเนียมตามที่แต่ละธนาคารกำหนด และระยะเวลาในการขอย้อนหลังอาจแตกต่างกันไปตามนโยบายของแต่ละธนาคาร สเตทเม้นคือเอกสารสำคัญมาก ๆ ในการนำมาทำบัญชีธุรกิจ นำมาใช้ขอสินเชื่อและการทำธุรกรรมต่าง ๆ โดยเราสามารถขอได้ตามความสะดวกที่เราแนะนำไปข้างต้นได้เลย แต่สำหรับผู้ที่มีเงินเข้าออกหลายทางการทำบัญชีอย่างละเอียดยังคงมีความสำคัญมาก ๆ  โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

11 min

Audit คืออะไร? สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องรู้เพื่อเตรียมพร้อม

คำว่า ‘Audit’ คำนี้หลายคนคงได้ยินกันบ่อย ๆ และมีความสำคัญกับธุรกิจอย่างมาก เพราะการ Audit คือ การตรวจสอบและประเมินข้อมูลบัญชีทางการเงินว่ามีความถูกต้องหรือไม่ และประเมินว่าพนักงานและบริษัทได้ทำตามกฎระเบียบขององค์กรและกฎหมายจริง ๆ โดยผู้เชี่ยวชาญอิสระ ซึ่งการ Audit นั้นจะมีความสำคัญกับธุรกิจอย่างไร ทำไมธุรกิจต้องตรวจสอบบัญชีเราไปดูกัน  Audit คืออะไร สำคัญสำหรับธุรกิจอย่างไร Audit คือกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้การทำธุรกิจโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ โดยมีบทบาทสำคัญในหลายด้าน ทั้งการสร้างความน่าเชื่อถือ การทำตามกฎหมาย การป้องกันการทุจริต และการสนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจ การตรวจสอบบัญชี หรือ Audit คือสิ่งสำคัญสำหรับทุกธุรกิจ สร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ การตรวจสอบบัญชี หรือ Audit คือกลไกในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร โดยผู้ตรวจสอบอิสระที่มีความเชี่ยวชาญ จะทำให้งบการเงินของบริษัทน่าเชื่อถือมากขึ้น จนนักลงทุนและสถาบันการเงินมั่นใจในการลงทุนหรือร่วมงานกับองค์กร นอกจากนี้ ยังช่วยทำให้ธุรกิจมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาคนทั่วไป ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับ Audit เป็นตัวช่วยให้องค์กรและคนทั่วไปมั่นใจว่าบริษัททำตามข้อบังคับและกฎหมายจริง ๆ ทั้งด้านการเงินและภาษี เพื่อช่วยป้องกันการถูกปรับจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย รวมถึงช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงการการทำงานต่าง ๆ ได้สอดคล้องกับข้อกำหนดต่าง ๆ อย่างทันท่วงที ป้องกันการทุจริตและข้อผิดพลาด Audit เป็นกระบวนการที่ช่วยค้นหาข้อผิดพลาดในการทำธุรกิจ และป้องกันปัญหาทุจริตที่อาจจะเกิดจขึ้น ผ่านการตรวจสอบภายในและรายการต่าง ๆ อย่างละเอียด ซึ่งถ้าบริษัทมีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ธุรกิจสามารถรู้จุดอ่อนของตัวเอง และปรับปรุงได้ก่อนที่จะเกิดความเสียหายรุนแรง เพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ Audit เป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ โดยเฉพาะการตรวจสอบงบการเงินที่จะเพิ่มความน่าเชื่อถือจากนักลงทุนและจากสถาบันการเงิน นอกจากนี้ ยังช่วยให้การวางแผนและตัดสินใจทางธุรกิจ จากข้อมูลทางการเงินที่มีความถูกต้องได้ง่ายและรอบคอบมากขึ้น อาชีพ Audit คือ อะไร มีกี่ประเภท อาชีพ Audit หรือการสอบบัญชี เป็นการตรวจสอบและประเมินข้อมูลทางการเงินและกระบวนการต่าง ๆ ขององค์กร เพื่อให้แน่ใจว่ามีความถูกต้อง ครบถ้วน และปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง การสอบบัญชีช่วยให้ผู้บริหาร เจ้าของธุรกิจ และนักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลที่เชื่อถือได้ นอกจากนี้ยังช่วยในการตรวจสอบความมีประสิทธิภาพของระบบการควบคุมภายในองค์กรและการป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจ เราจึงจะขอพาไปทำความรู้จักกับอาชีพ Audit ว่ามีประเภทอะไรบ้าง และมีหน้าที่ตรวจสอบธุรกิจส่วนไหน เพื่อให้เจ้าของธุรกิจ พนักงานบัญชี และบุคคลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถเตรียมพร้อมรับการตรวจสอบได้อย่างราบรื่น Financial Audit คือ Financial Audit คือการตรวจสอบรายงานทางการเงินที่จัดทำขึ้นโดยองค์กรหรือธุรกิจ โดยผู้สอบบัญชีอิสระ (External Auditor) เพื่อให้ความมั่นใจว่าข้อมูลทางการเงินมีความถูกต้องและเชื่อถือได้ตามมาตรฐานการบัญชีที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เช่น มาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ (IFRS) หรือมาตรฐานการบัญชีของประเทศนั้น ๆ ซึ่งการตรวจสอบนี้มีเป้าหมายหลักในการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับรายงานทางการเงินที่ใช้ประกอบการตัดสินใจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นของผู้บริหาร นักลงทุน หรือเจ้าหนี้ การตรวจสอบ Financial Audit จะครอบคลุมการตรวจสอบรายการบัญชีทั้งหมด รวมถึงเอกสารประกอบต่าง ๆ เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี รายการรายได้และค่าใช้จ่าย รวมไปถึงการตรวจสอบยอดเงินในบัญชีธนาคารและการเคลื่อนไหวของเงินสดในบริษัท เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการบิดเบือนข้อมูลหรือการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามหลักการบัญชี การสอบบัญชีการเงินมักจะดำเนินการในช่วงเวลาสิ้นปีหรือตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้ข้อมูลทางการเงินที่ออกมาในรายงานการเงินมีความถูกต้องและสามารถนำไปใช้งานได้ โดยผู้สอบบัญชีจะทำการวิเคราะห์ ตรวจสอบ เรียกเก็บข้อมูล และสอบถามบุคคลที่เกี่ยวข้องในองค์กร เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่าองค์กรนั้นมีการจัดทำบัญชีและการรายงานทางการเงินอย่างถูกต้องหรือไม่ Internal Audit Internal Audit คือการตรวจสอบภายในที่ดำเนินการโดยพนักงานขององค์กรเอง ซึ่งมักจะเป็นแผนกหรือทีมงานที่มีความเป็นอิสระจากหน่วยงานปฏิบัติงานในองค์กร การตรวจสอบนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อประเมินประสิทธิภาพในการดำเนินงานของระบบต่าง ๆ ภายในองค์กร รวมถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงในกระบวนการทำธุรกิจที่อาจส่งผลกระทบต่อเป้าหมายขององค์กร บทบาทของ Internal Audit มีความสำคัญในการช่วยให้องค์กรสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามนโยบายที่กำหนดไว้ การตรวจสอบนี้ครอบคลุมหลายด้าน เช่น การตรวจสอบการควบคุมภายใน (Internal Controls) เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการกระทำผิดกฎหมาย การทุจริต หรือความผิดพลาดในระบบการทำงาน รวมไปถึงการตรวจสอบการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ และการประเมินความเสี่ยงที่อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ทีมงาน Internal Audit จะทำการประเมินผลกระทบของการดำเนินงานที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ตรงตามเป้าหมายที่กำหนด IT Audit IT Audit คือการตรวจสอบระบบเทคโนโลยีสารสนเทศภายในองค์กร โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อประเมินและตรวจสอบความปลอดภัยของระบบข้อมูล เทคโนโลยีที่ใช้ และการปฏิบัติตามนโยบายด้านความปลอดภัยของข้อมูล การตรวจสอบนี้ช่วยให้มั่นใจว่าองค์กรมีการควบคุมระบบ IT ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยจากความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการโจมตีทางไซเบอร์ การรั่วไหลของข้อมูล หรือการใช้ระบบที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน การตรวจสอบใน IT Audit จะครอบคลุมหลายด้าน เช่น การเข้าถึงข้อมูล (Access Control) ว่าผู้ใช้งานได้รับสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลอย่างเหมาะสมหรือไม่, การป้องกันข้อมูลจากการสูญหายหรือการถูกโจรกรรม (Data Protection) และการตรวจสอบกระบวนการในการป้องกันภัยคุกคามทางเทคโนโลยี (Cybersecurity Measures) เช่น การใช้ไฟร์วอลล์ (Firewall) หรือระบบการเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) ที่มีมาตรฐาน การตรวจสอบบัญชี หรือ Audit เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน โดยการสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือให้กับบริษัท ผู้ประกอบการจึงต้องมีการตรวจสอบบัญชีเพื่อการพัฒนาธุรกิจอย่างมั่นคง โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

30 ม.ค. 2025

PEAK Account

21 min

5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ

การทำบัญชีอาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของธุรกิจให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก แต่ความจริงแล้ว ความผิดพลาดทางบัญชีสามารถสร้างปัญหาใหญ่กว่าที่คุณคิด ตั้งแต่กระแสเงินสดที่ไม่สมดุล ไปจนถึงปัญหาภาษีและความน่าเชื่อถือของธุรกิจ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จัก “5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ” เพื่อให้คุณสามารถบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงทางการเงิน และสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน 5 ความผิดพลาดทางบัญชี ที่ ธุรกิจ SMEs มักมองข้าม! ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 1 : การไม่แยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว การบริหารการเงินที่ดีเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในธุรกิจ หนึ่งในหลักการพื้นฐานที่เจ้าของธุรกิจต้องให้ความสำคัญคือ การแยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว อย่างชัดเจน การใช้บัญชีเดียวกันอาจทำให้เกิดความสับสน เสียเวลา และส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจทางการเงินของธุรกิจ ดังนั้นในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจว่าทำไมการแยกบัญชีจึงเป็นเรื่องสำคัญ พร้อมแนวทางปฏิบัติที่คุณสามารถนำไปใช้ได้จริง ทำไมต้องแยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว? 1.1 ช่วยให้บริหารการเงินได้ง่ายขึ้น ลองนึกภาพว่าคุณต้องนั่งไล่ดูรายการเดินบัญชีเพื่อแยกว่าเงินไหนเป็นรายรับธุรกิจ เงินไหนเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว หากคุณใช้บัญชีเดียวกัน คุณอาจต้องเสียเวลานั่งไล่ดูทีละรายการ ซึ่งไม่คุ้มค่าเลย การแยกบัญชีช่วยให้คุณสามารถติดตามรายรับและรายจ่ายของธุรกิจได้อย่างแม่นยำ ลดความยุ่งยากในการทำบัญชี และช่วยให้การทำงบการเงินเป็นไปอย่างถูกต้อง 1.2 ป้องกันความผิดพลาดทางภาษี ช่วงยื่นภาษีทีไรต้องปวดหัว เพราะมีรายการใช้จ่ายที่ปะปนกันจนไม่รู้ว่าอันไหนใช้กับธุรกิจ อันไหนเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าคุณเผลอเอาค่าใช้จ่ายส่วนตัวมาคิดเป็นค่าใช้จ่ายธุรกิจโดยไม่ได้ตั้งใจ อาจทำให้มีปัญหากับกรมสรรพากรได้ หรือในทางตรงกันข้าม หลายครั้งที่นักบัญชีปิดงบปลายปีให้ผู้ประกอบการ และเมื่อเจอรายการเงินออกที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมอะไรของธุรกิจ กลายเป็นว่าค่าใช้จ่ายนั้นก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้าม หรือค่าใช้จ่ายบวกกลับทางภาษีของกิจการไป ทำให้ต้องเสียเงินภาษีเยอะขึ้นโดยไม่จำเป็น แต่ถ้าแยกบัญชีชัดเจน การคำนวณภาษีจะง่ายขึ้นและมีความถูกต้องมากขึ้น 1.3 สร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือให้ธุรกิจ ลองนึกถึงกรณีที่คุณต้องการขอสินเชื่อจากธนาคารหรือดึงดูดนักลงทุน หากบัญชีธุรกิจของคุณปะปนกับบัญชีส่วนตัว ธนาคารอาจมองว่าธุรกิจของคุณไม่มีระบบที่ดีพอ ทำให้โอกาสได้รับอนุมัติน้อยลง การมีบัญชีธุรกิจแยกจากบัญชีส่วนตัวช่วยให้ลูกค้า คู่ค้า และธนาคารมองว่าธุรกิจของคุณเป็นองค์กรที่มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ช่วยเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อ หรือเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น 1.4 ควบคุมกระแสเงินสดได้ดีขึ้น ถ้าใช้บัญชีเดียวกัน บางครั้งคุณอาจเผลอใช้เงินธุรกิจไปกับเรื่องส่วนตัวโดยไม่รู้ตัว เมื่อถึงเวลาต้องจ่ายค่าซัพพลายเออร์หรือพนักงาน อาจเจอปัญหาเงินสดขาดมือ การแยกบัญชีช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของกระแสเงินสดธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น และบริหารเงินได้ดีกว่าเดิม ช่วยทำให้คุณมองเห็น และเข้าใจเงินทุนหมุนเวียนของกิจการได้ดีขึ้น แนวทางปฏิบัติในการแยกบัญชีธุรกิจและบัญชีส่วนตัว 1.1 เปิดบัญชีธุรกิจแยกต่างหาก เริ่มต้นด้วยการเปิดบัญชีธุรกิจโดยเฉพาะ เลือกธนาคารที่ให้บริการด้านบัญชีธุรกิจที่เหมาะสมกับคุณ เช่น มีระบบจ่ายเงินออนไลน์ หรือค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม หรืออย่างน้อยที่สุด คุณสามารถใช้บัญชีธนาคารเพื่อกิจการก็ได้ในชื่อของคุณ เป็นบัญชีบุคคลธรรมดา แต่ที่สำคัญคือคุณต้องแยกบัญชีกัน 1.2 กำหนดเงินเดือนให้ตัวเอง อย่าคิดว่าเงินธุรกิจเป็นของตัวเอง! กำหนดเงินเดือนให้ตัวเองและใช้จ่ายในส่วนที่ได้รับเท่านั้น วิธีนี้ช่วยให้คุณควบคุมการใช้จ่ายส่วนตัวได้ดีขึ้น และป้องกันการนำเงินธุรกิจไปใช้เกินความจำเป็น และเงินเดือนของคุณ ก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทด้วย สามารถช่วยลดภาระภาษีของบริษัทไปได้ แน่นอนว่ามันจะกลายเป็นรายได้บุคคลธรรมดาของคุณ แต่ถ้าคุณจัดการภาษีบุคคลได้ดี คุณจะสามารถนำเงินเดือนเป็นเครื่องนึงในการประหยัดภาษีได้ (หากคุณต้องการจัดการเงินเดือน เราก็มีโปรแกรมที่ช่วยจัดการเงินเดือนให้คุณได้) 1.3 ใช้บัตรเครดิตธุรกิจและบัตรเครดิตส่วนตัวแยกจากกัน เช่นเดียวกับการเปิดบัญชีธนาคารแยก คุณสามารถมีบัตรเครดิตบุคคลในชื่อคุณได้ แต่ใช้เพื่อบริษัทเพียงอย่างเดียว อย่าใช้บัตรใบนั้นไปรูดซื้อของใช้ส่วนตัว เพราะจะทำให้การติดตามค่าใช้จ่ายยุ่งยาก หรือบริษัทของคุณมีความน่าเชื่อถือที่มากพอ คุณสามารถขอเปิดบัตรเครดิตในนามนิติบุคคลได้ โดยติดต่อธนาคารต่างๆ อย่างไรก็ตาม เดี๋ยวนี้ผู้ให้บริการชำระเงินหลายแห่งมีบริการ virtual card เพื่อให้คุณสามารถใช้บัตรเครดิตในบริษัทได้หลากหลายใบ โดยที่สามารถจัดการจากระบบหลังบ้านได้ 1.4 บันทึกและตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินเป็นประจำ อย่าปล่อยให้รายการเดินบัญชีสะสมเป็นเดือนๆ แล้วค่อยมาเช็ก ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะทำงบประมาณ หรือ budget ควรตรวจสอบธุรกรรมเป็นประจำทุกสัปดาห์เพื่อให้แน่ใจว่าเงินเข้า-ออกตรงตามแผน และไม่มีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น 1.5 หลีกเลี่ยงการโอนเงินระหว่างบัญชีโดยไม่จำเป็น หากต้องโอนเงินระหว่างบัญชี ควรมีบันทึกที่ชัดเจน เช่น หากคุณนำเงินส่วนตัวมาใช้ในธุรกิจ ควรลงบัญชีว่าเป็น “เงินกู้” หรือ “จ่ายเพื่ออะไร” เพื่อให้สามารถติดตามได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเดี๋ยวนี้คุณสามารถเพิ่มบันทึกสาเหตุรายการเหล่านั้นเข้าไปได้ในมือถือตอนที่ทำการจ่ายโอนเลย มันง่ายมากๆแล้ว ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 2 : การไม่จัดทำบัญชีอย่างสม่ำเสมอ การทำบัญชีเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะเล็กหรือใหญ่ การบันทึกบัญชีอย่างสม่ำเสมอช่วยให้คุณติดตามสถานะทางการเงินของธุรกิจได้อย่างถูกต้อง แต่หลายคนมักเลื่อนการบันทึกบัญชีออกไปเพราะคิดว่าไม่มีเวลาหรือไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน จนกลายเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบใหญ่กว่าที่คิด! ทำไมการไม่บันทึกบัญชีเป็นประจำถึงเป็นปัญหา? 2.1 ข้อมูลการเงินไม่ถูกต้อง ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด ลองนึกภาพว่าคุณต้องการขยายธุรกิจ แต่เมื่อดูตัวเลขทางบัญชีแล้วกลับพบว่ามีข้อมูลขาดหาย หรือไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าธุรกิจมีกำไรจริงหรือไม่ สิ่งนี้ทำให้คุณตัดสินใจทางการเงินผิดพลาด เช่น ลงทุนเกินตัว หรือคิดว่ามีเงินสดมากพอแต่กลับมีหนี้ที่ไม่ได้บันทึก ในตอนที่ผมทำบัญชีให้กับลูกค้า มีเคสนึงน่าสนใจ ร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่บันทึกบัญชีทุกวัน แต่จดยอดขายเฉพาะวันที่พนักงานมีเวลาว่าง ส่งผลให้เจ้าของเข้าใจผิดว่าธุรกิจมีกำไรดี เพราะไม่ได้บันทึกต้นทุนวัตถุดิบที่ซื้อมา และไม่ได้ตัดเครื่องปรุงเครื่องใช้ออกเลย เจ้าของตัดสินใจขยายพื้นที่ร้านเพิ่ม และสั่งของมาเพิ่มอีก แต่เมื่อถึงเวลาตรวจสอบจริง พบว่ามีค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้ถูกบันทึก มีวัตถุดิบที่หมดอายุเพราะสั่งมาเกิน มีเครื่องปรุงที่หมดไปแล้วมีไม่พอทำให้เสียโอกาสในการขาย ทำให้เงินสดขาดมือและต้องกู้เงินเพิ่มโดยไม่จำเป็น ปัญหาเหล่านี้ เกิดขึ้นจากการที่เจ้าของขาดข้อมูลที่แท้จริงในการตัดสินใจ 2.2 ปัญหาด้านภาษีและค่าปรับที่ไม่คาดคิด หากไม่มีการบันทึกบัญชีอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้คุณพลาดการยื่นภาษีที่ถูกต้อง และอาจต้องเสียค่าปรับจากกรมสรรพากรโดยไม่จำเป็น การไม่มีข้อมูลบัญชีที่ชัดเจนยังทำให้คุณไม่สามารถใช้สิทธิหักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้เต็มที่ 2.3 เสียเวลาและเพิ่มภาระงานตอนท้ายปี การสะสมงานบัญชีไว้จนถึงสิ้นเดือนหรือสิ้นปี ทำให้ต้องเสียเวลามากในการตามหาข้อมูลย้อนหลัง หากคุณปล่อยให้บัญชีไม่อัปเดตเป็นเวลานาน คุณอาจต้องใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ในการจัดการข้อมูลแทนที่จะใช้เวลานั้นในการพัฒนาธุรกิจ ซึ่งเหตุการณ์นี้ผมคิดว่าหลายกิจการก็น่าจะเจอเหมือนกัน ตอนที่ผมทำบัญชีผมเจอบริษัทหลายแห่งเลยที่ไม่ได้บันทึกค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน พอถึงสิ้นปีต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือนๆในการไล่หาบิลและเอกสารบัญชี ทำให้การปิดงบล่าช้าและส่งผลกระทบต่อการยื่นภาษีและโดยค่าปรับยื่นแบบล่าช้าอีก แนวทางปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการบันทึกบัญชีล่าช้า 2.1 กำหนดเวลาในการบันทึกบัญชีเป็นประจำ ตั้งเวลาให้แน่นอน เช่น บันทึกบัญชีทุกวันหรืออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้องและอัปเดตอยู่เสมอ 2.2 ใช้ซอฟต์แวร์บัญชีช่วยจัดการ เลือกใช้ซอฟต์แวร์บัญชีที่ช่วยให้คุณสามารถบันทึกข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและอัตโนมัติ เช่น บันทึกยอดขาย ค่าใช้จ่าย และเงินสดเข้าออกโดยไม่ต้องทำมือทั้งหมด แน่นอนว่าตัวที่เราแนะนำก็คือโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK นี่เอง คุณสามารถทดลองใช้งานได้ฟรี 2.3 มอบหมายหน้าที่ให้พนักงานหรือนักบัญชี หากคุณไม่มีเวลาทำเอง อาจมอบหมายให้พนักงานที่มีความสามารถรับผิดชอบ หรือจ้างนักบัญชีภายนอกเพื่อช่วยดูแลการเงินของธุรกิจ ซึ่งที่ PEAK เองก็มีบริการแนะนำนักบัญชีที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการใช้โปรแกรม PEAK มาช่วยดูแลบัญชีให้คุณ ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 3 : ขาดการวางแผนภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ การวางแผนภาษีเป็นเรื่องที่เจ้าของธุรกิจหลายคนมักมองข้าม หรือเลื่อนออกไปจนถึงช่วงสิ้นปี ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดพลาด เสียโอกาสในการลดภาระภาษี และส่งผลต่อกระแสเงินสดของธุรกิจ การวางแผนภาษีที่ดีควรเริ่มตั้งแต่ต้นปีเพื่อให้สามารถบริหารจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง วิธีหลีกเลี่ยง การศึกษากฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม การเตรียมตัวสำหรับการชำระภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ และการจัดสรรเงินสำรองสำหรับการชำระภาษีจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการชำระภาษีล่าช้าและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น และควรเริ่มเลยตั้งแต่กลางๆปี ไม่ควรรอไปถึงสิ้นปีแล้วค่อยคิด เพราะว่าการดำเนินการต่างๆอาจจะไม่ทันปีภาษีได้ ผมอยากแนะนำให้ลองดูบทความนี้ครับ 6 กลยุทธ์การวางแผนภาษีธุรกิจ SMEs ปี 2568 ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 4 : การไม่ใช้เทคโนโลยีช่วยในงานบัญชี ในยุคดิจิทัล การทำบัญชีด้วยวิธีดั้งเดิม เช่น การใช้สมุดจดหรือ Excel อาจไม่เพียงพอสำหรับการบริหารธุรกิจที่เติบโตขึ้น โปรแกรมบัญชี สามารถช่วยให้เจ้าของธุรกิจบริหารการเงินได้ง่ายขึ้น แม่นยำขึ้น และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำบัญชีด้วยตนเอง ข้อดีของการใช้โปรแกรมบัญชี ✅ ลดข้อผิดพลาดในการคำนวณ – ระบบช่วยให้การบันทึกบัญชีและคำนวณภาษีถูกต้องอัตโนมัติ✅ ประหยัดเวลา – ไม่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงทำบัญชีเอง สามารถโฟกัสกับการบริหารธุรกิจได้เต็มที่ ด้วยเทคโนโลยี API ที่เชื่อมต่อกับระบบต่างๆ ทำให้ข้อมูลไหลไปเป็นอัตโนมัติ✅ ช่วยบริหารกระแสเงินสด – ติดตามรายรับ-รายจ่ายได้แบบเรียลไทม์ ทำให้เห็นภาพรวมการเงินของธุรกิจ✅ พร้อมสำหรับการตรวจสอบภาษี – ข้อมูลบัญชีครบถ้วน ลดความเสี่ยงจากปัญหาภาษีและค่าปรับที่ไม่จำเป็น✅ ใช้งานง่าย – ซอฟต์แวร์บัญชีในปัจจุบันสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ผ่านระบบคลาวด์ ช่วยให้การจัดการบัญชีสะดวกขึ้น ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 5 : การไม่เก็บเอกสารทางการเงินอย่างเป็นระบบ การเก็บรักษาเอกสารทางการเงิน เช่น ใบเสร็จและใบแจ้งหนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น และยังช่วยให้การทำบัญชีและการยื่นภาษีเป็นไปอย่างถูกต้องและง่ายขึ้น ลองทำตามคำแนะนำเหล่านี้เพื่อจัดการเอกสารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ เก็บเอกสารให้เป็นระบบ – แยกประเภทเอกสารเป็นหมวดหมู่ เช่น รายรับ ค่าใช้จ่าย เงินเดือน และภาษี ใช้แฟ้ม หรือโฟลเดอร์ดิจิทัลเพื่อให้ค้นหาได้ง่าย และต้องจัดเก็บไว้ให้ได้ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดด้วย ✅ ใช้ซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันช่วยจัดการ – บันทึกและสแกนใบเสร็จ/ใบแจ้งหนี้เก็บไว้ในระบบออนไลน์ เพื่อลดความเสี่ยงจากเอกสารสูญหาย และสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ โดยที่ PEAK เองเรามีระบบคลังเอกสาร ที่คุณสามารถถ่ายรูปจากมือถือ แล้วเก็บเอกสารเข้าไปในระบบได้เลย ✅ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางบัญชี – หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับการจัดเก็บเอกสารหรือข้อกำหนดทางภาษี ให้ปรึกษานักบัญชีเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง เราสามารถช่วยแนะนำคุณได้ ผมหวังว่าบทความ “5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ” นี้จะช่วยเป็นแนวทางให้เพื่อนๆ ผู้ประกอบการ หลีกเลี่ยงความผิดพลาดได้ และสามารถดำเนินธุรกิจโดยมีพื้นฐานด้านบัญชีที่แข็งแรง เพื่อรองรับการเติบโตของคุณได้ในอนาคตครับ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ คือ ทางเลือกที่จะช่วยให้คุณบริหารธุรกิจได้อย่างมีระบบ ด้วยการใช้งานที่ง่ายและฟีเจอร์ที่ครบครัน โปรแกรมนี้ช่วยให้คุณเห็นกำไร-ขาดทุนแบบ Real-Time และจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่ารอช้าที่จะนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาธุรกิจของคุณให้เติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

24 ม.ค. 2025

PEAK Account

23 min

เคล็ด(ไม่)ลับ เป็นนักบัญชีขั้นเทพกับ 6 ความรู้พื้นฐานบัญชีที่ต้องรู้

นักบัญชีของกิจการเป็นหัวใจหลักในการบริหารงานหลังบ้านให้ราบรื่นไม่แพ้งานหน้าบ้านอย่างการขายสินค้าหรือให้บริการ การมีความรู้และทักษะทางบัญชี ภาษีที่ดีจะช่วยให้นักบัญชีสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้จะพาผู้อ่านทุกท่านไปค้นหาว่าทักษะพื้นฐานใดของนักบัญชีที่มีความจำเป็นต่อสายอาชีพ และทักษะที่ถ้ามีเพิ่มเติมแล้วอาจจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่องค์กรได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีเกณฑ์ในการคัดนักบัญชีที่เหมาะสมได้ มาเริ่มกันเลย 6 ความรู้พื้นฐานที่นักบัญชีต้องรู้ 1. เข้าใจสมการบัญชี พื้นฐานการทำบัญชีเริ่มต้นจากการเข้าใจสมการทางบัญชี เนื่องจากถ้าไม่สามารถอธิบายได้ จะลงบัญชีไม่ถูกต้อง และงบการเงินไม่น่าเชื่อถือ โดยทั่วไปหลักของสมการ คือ ตัวเลขทางด้านซ้ายต้องเท่ากับตัวเลขทางด้านขวา ซึ่งสมการทางบัญชีก็เช่นกัน ดังนี้ สมการบัญชีกำหนดว่าสินทรัพย์จะต้องเท่ากับหนี้สินบวกด้วยทุนเสมอ เช่น กิจการนำเงินสดมาเปิดกิจการ 1,000 บาท สมการบัญชีจะเป็นดังนี้ สินทรัพย์(Assets) = หนี้สิน(Liabilities) + ส่วนของเจ้าของ(Owner’s Equity)1,000(เงินสด) = 0(ไม่มีหนี้) + 1,000(เงินลงทุน) และต่อมากิจการมีการกู้ยืมเงินจากธนาคารจำนวน 500 บาท โดยได้รับเงินเป็นเงินสด สมการบัญชีจะเปลี่ยนไป ดังนี้ สินทรัพย์(Assets) = หนี้สิน(Liabilities) + ส่วนของเจ้าของ(Owner’s Equity)1,500(เงินสด) = 500(เงินกู้) + 1,000(เงินลงทุน) สมการบัญชีเป็นจุดเริ่มต้นของงบการเงินที่ถูกต้อง ถ้านักบัญชีสามารถอธิบายสมการได้ ก็คาดเดาได้ว่าจะบันทึกบัญชี(การบันทึกบัญชีอาจเรียกว่าการเดบิต เครดิตก็ได้)จะถูกต้องในระดับหนึ่งแล้ว 2. เข้าใจเกณฑ์คงค้าง เกณฑ์การจัดทำบัญชีเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ของงบการเงินของนิติบุคคล เช่น ห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือบริษัทจำกัด เพราะถ้าไม่เข้าใจ ผลที่เกิดคือ อาจบันทึกรายได้หรือค่าใช้จ่ายผิดปีได้เลย การทำบัญชีมักจะบันทึกอยู่บนเกณฑ์ยอดนิยม 2 เกณฑ์ คือ เกณฑ์เงินสด (Cash Basis) และเกณฑ์คงค้าง(Accrual Basis) ซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้ เกณฑ์เงินสด (Cash Basis) คือ การบันทึกบัญชีเมื่อได้รับเงินแล้วเท่านั้น ซึ่งในทางบัญชีและภาษีมักใช้เกณฑ์กับการรับรู้รายรับ และรายจ่ายของบุคคลธรรมดา เพราะเข้าใจง่าย ใครๆ ก็ทำได้บนกระดาษ เกณฑ์คงค้าง(Accrual Basis) คือ การบันทึกบัญชีเมื่อธุรกรรมนั้นเกิดขึ้นแล้ว เช่น มีการขายสินค้าหรือให้บริการแล้ว โดยไม่สนใจว่าจะได้รับเงินสดแล้วหรือไม่ ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ใช้ทำบัญชีและยื่นภาษีของนิติบุคคล จึงเป็นเกณฑ์ที่สำคัญมากที่นักบัญชีต้องรู้ ตัวอย่างเช่น กิจการทำธุรกิจขายสบู่ ได้ขายสบู่ให้แก่ลูกค้าในปี 2566 แต่ได้รับชำระเงินในปี 2568 การบันทึกบัญชีของแต่ละเกณฑ์จะเป็นดังนี้ เกณฑ์เงินสด เกณฑ์คงค้าง ปีที่บันทึกบัญชีขายสินค้า – ปี 2566 ปีที่บันทึกบัญชีรับชำระเงิน ปี 2568 ปี 2568 จะเห็นว่าเกณฑ์เงินสดจะบันทึกบัญชีแค่ครั้งเดียว ทำได้ง่าย แต่ไม่ค่อยสะท้อนให้เห็นความเป็นจริงว่ารายได้ที่แท้จริงเกิดขึ้นปีไหน ทั้งๆที่รายได้เกิดในปี 2566 แต่บันทึกในปี 2568 ซึ่งนานถึง 2 ปี มักใช้กับการทำบัญชีของบุคคลธรรมดาเพราะไม่ต้องการข้อมูลที่ละเอียดมาก และง่ายต้องการจัดทำ ส่วนเกณฑ์คงค้างจะบันทึกบัญชีหลายครั้งแต่ช่วยให้เห็นข้อมูลที่ถูกต้องมากขึ้นว่าแท้จริงแล้วรายได้เกิดปี 2566 แต่มารับเงินในปี 2568 จึงเป็นเกณฑ์ที่นำมาใช้ในการบันทึกบัญชีและทำภาษีของนิติบุคคลนั่นเอง 3. แยกระหว่างสินทรัพย์และค่าใช้จ่ายได้ ถ้ากิจการซื้อแก้วน้ำมา 1 ใบ ถือว่าเป็นสินทรัพย์หรือค่าใช้จ่ายของกิจการ? คำตอบ คือ สามารถเป็นได้ทั้ง 2 อย่างขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้แก้วน้ำนั้น โดยหลักการพิจารณาว่าเป็นสินทรัพย์หรือค่าใช้จ่ายนั้นต้องอิงตามหลักการบัญชี คือ การดูว่าสิ่งของนั้นกิจการตั้งใจใช้งานเกินกว่า 1 ปีหรือไม่ ถ้าใช้แล้วหมดไปภายใน 1 ปีจะถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการ แต่ถ้าใช้ได้มากกว่า 1 ปี เช่น 2 ปี จะถือเป็นสินทรัพย์ของกิจการและค่อยๆ ทยอยตัดเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละปี ตัวอย่างเช่น กิจการซื้อแก้วน้ำพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งแบบนี้จะถือเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการ แต่ถ้ากิจการซื้อแก้วน้ำเก็บความเย็นซึ่งสามารถใช้งานได้มากกว่า 1 ปี จะต้องบันทึกเป็นสินทรัพย์และทยอยตัดเป็นค่าใช้จ่ายตามจำนวนปีที่ต้องการใช้งาน การแยกประเภทสินทรัพย์และค่าใช้จ่ายที่ถูกต้องนั้น จะช่วยให้งบการเงินของกิจการสะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น กล่าวคือ ค่าใช้จ่ายไม่สูงเกินไป หรือสินทรัพย์ไม่สูงเกินไป 4. เข้าใจเอกสารค้าขาย เอกสารที่เกิดขึ้นในการค้าขายมีหลายประเภท เช่น ใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี หรือใบเสร็จรับเงิน เป็นต้น การที่เราต้องเข้าใจเอกสารแต่ละประเภทจะช่วยให้เราตัดสินใจว่าสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร  ตัวอย่างเช่น 5. เข้าใจภาษีพื้นฐาน นอกจากเรื่องบัญชีแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่นักบัญชีต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องภาษีธุรกิจ เพราะเมื่อรายการทางบัญชีเกิดขึ้น ภาระทางภาษีมักจะเกิดขึ้นเสมอเหมือนเป็นเงาตามตัวผู้ประกอบการ ทำให้นักบัญชีต้องเข้าใจเรื่องภาษีและวิธียื่นและนำส่งภาษีเพื่อป้องกันค่าปรับจากการปฏิบัติทางภาษีผิดพลาด ตัวอย่างเช่น  6. รู้จักประเภทของเงินได้และความแตกต่างของเงินได้ สรรพากรเรียก “เงินได้” ว่า “รายได้” โดยกำหนดไว้อยู่ 8 ประเภท สาเหตุที่ต้องเข้าใจว่าเงินได้ทั้ง 8 ประเภทนั้น เพราะมีผลต่อการคำนวณภาษีที่ต้องเสีย เช่น การเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายว่าต้องหักกี่ % จะขึ้นอยู่กับประเภทเงินได้  สรุปเงินได้ 8 ประเภท นอกจาก 6 ความรู้พื้นฐานดังกล่าวมาแล้ว การเข้าใจธุรกิจที่เราทำทำบัญชีให้อยู่นั้นก็ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะทำให้นักบัญชีมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น เพราะการเข้าใจบริบทของธุรกิจที่เราทำบัญชีให้ เนื่องจากมีผลต่อการบันทึกบัญชีสูงมาก ค่าใช้จ่ายประเภทเดียวกันแต่อยู่ในแต่ละธุรกิจอาจบันทึกบัญชีไม่เหมือนกัน หรือพูดง่ายๆ คือ คนละขั้วกันนั้นเอง ลองมาดูตัวอย่างข้างล่างกันครับ ตัวอย่างเช่น กิจการซื้อแก้วพลาสติกมา 100 บาท ถ้าเป็นกิจการที่ซื้อมาเพื่อใช้ในออฟฟิศให้ลูกค้ากินแบบนี้จะถือว่าเป็นค่าใช้จ่าย แต่ถ้ากิจการที่ทำธุรกิจขายแก้วพลาสติก การจ่ายเงินนี้ไม่ถือว่าเป็นค่าใช้จ่าย แต่จะถือว่าเป็นสินทรัพย์ ก็คือ “สินค้า” เพราะกิจการซื้อมาเพื่อขายไม่ได้ซื้อมาเพื่อใช้ นี้เป็นเพียงตัวอย่างเดียว จริงๆ รายได้และค่าใช้จ่ายในแต่ละธุรกิจมีบริบทที่แตกต่างกัน การที่เรารับนักบัญชีเก่งๆ มาหนึ่งแม้จะเก่งบัญชีและภาษีมากแค่ไหน แต่ถ้าไม่เข้าใจธุรกิจที่ทำงานให้อยู่จริงๆ โอกาสทำบัญชีผิดพลาดมีสูงมากๆ ครับ การเข้าใจลักษณะและกระบวนการทำงานของธุรกิจที่ตนเองทำบัญชีอยู่จะช่วยให้นักบัญชีสามารถให้คำแนะนำและจัดการทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3 ทักษะด้านอื่นๆ ยิ่งมี ยิ่งดี นอกจากเรื่องบัญชี ภาษี และการเข้าใจธุรกิจเป็นสิ่งที่สำคัญที่บอกได้ว่าใครเป็นนักบัญชีที่เก่งแล้ว ถ้านักบัญชีมีทักษะด้านอื่นๆ เพิ่มเติมจะช่วยยกศักยภาพให้สูงได้ ดังนี้ 1. ทำประมาณการรายได้-ค่าใช้จ่ายได้ ปกตินักบัญชีจะค่อนข้างอยู่กับข้อมูลในอดีต เช่น การบันทึกเอกสารก็เป็นเอกสารที่เกิดขึ้นไปแล้ว และนำมาบันทึกให้ทีหลัง ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้านักบัญชีจะไม่สามารถทำงบประมาณรายรับ-รายจ่ายในอนาคตได้ถนัด เพราะต้องใช้อีกทักษะอื่นๆ และข้อมูลอื่นๆ ในการจัดทำด้วย เช่น อัตราเงินเฟ้อ กระแสเงินสดรับ-จ่ายที่จะเข้ามา แนวโน้มยอดขาย เป็นต้น การทำงบประมาณต้องได้รับความร่วมมือจากหลายแผนกในการให้ข้อมูลและพูดคุย และนำข้อมูลต่างๆ มาจัดทำเป็นงบประมาณเพื่อเป็นเป้าให้แก่ฝ่ายต่างๆในกิจการ ถ้านักบัญชีสามารถมีทักษะนี้ได้ จะช่วยให้เราสามารถนำข้อมูลในอดีตมาวิเคราะห์ และจัดทำประมาณการตัวเลขในอนาคตให้กิจการได้อีกด้วย การจัดทำประมาณการรายได้-ค่าใช้จ่าย มีข้อดีมากมาย เช่น ทำให้ทราบสภาพคล่องที่แท้จริงทางการเงิน ทราบแหล่งที่มาของรายได้อย่างชัดเจน วางแผนประหยัดค่าใช้จ่ายและภาษีเงินได้ รวมถึงเป็นตัวกำหนดตัวชี้วัดผลงาน(KPI) ของแผนกต่างๆได้อีกด้วย 2. เข้าใจบัญชีบริหาร ที่เราพูดถึงเรื่องการบันทึกบัญชีต่างๆ มาเราจะเรียกกันว่า “บัญชีการเงิน” เป็นการบันทึกบัญชีตามสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอนาคต แต่มีอีกศาสตร์หนึ่งที่เรียกว่า “บัญชีบริหาร” คือ การนำข้อมูลทางบัญชีไปใช้ในการตัดสินใจบางอย่าง ตัวอย่างเช่น กิจการพึ่งเปิดธุรกิจมาได้ 1 ปี ที่ผ่านมาต้องเช่าโรงงานของคนอื่นเพื่อผลิตสินค้า อยากถามว่าในปีหน้ากิจการควรเช่าโรงงานต่อ หรือสร้างโรงงานเป็นของตัวเองดี? หรือ กิจการผลิตสินค้าและขายเป็นปกติอยู่แล้วแต่มีกำลังการผลิตเหลือ พอดีมีคนมาเสนอให้ผลิตสินค้าแบรนด์อื่น กิจการควรรับงานนี้หรือไม่? สังเกตว่าคำถามข้างต้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถตอบได้ในทันที และไม่สามารถใช้ข้อมูลในอดีตมาใช้ในการตอบได้อย่างเพียงพอ สิ่งเหล่านี้จะเป็นการประยุกต์ใช้โดยการนำข้อมูลในอดีตผสมกับแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ เช่น ต้นทุนค่าเสียโอกาส เพราะการเลือกทำหรือไม่ทำจะต้องมีต้นทุนค่าเสียโอกาสอยู่เสมอ ถ้านักบัญชีมีทักษะนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กิจการได้มหาศาลเลยครับ 3. วางแผนภาษีได้ บางคนอาจสงสัยว่าการรู้เรื่องภาษีเป็นสิ่งพื้นฐานแล้ว ทำไมในหัวข้อนี้ภาษีจึงเป็นทักษะอื่นๆ นั้นเพราะภาษีที่พูดก่อนหน้านี้เป็นพื้นฐาน เช่น รู้ว่าภาษีแต่ละประเภทคืออะไร เกี่ยวข้องกับกิจการยังไง คำนวณยังไง ใช้แบบภาษีชื่ออะไร และยื่นเมื่อไหร่ มีวัตถุประสงค์เพื่อทำตามที่กฎหมายกำหนดให้ทำทุกเดือนหรือทุกปี แต่การวางแผนภาษีจะเป็นเรื่องของการรวบรวมประสบการณ์และองค์ความรู้ในข้อกฎหมายภาษี (ที่เรียกกันว่า “ประมวลรัษฏากร”) มาใช้ประหยัดภาษีของกิจการ ซึ่งผู้ประกอบการหลายมักคนมักคิดว่านักบัญชีทุกคนต้องรู้เรื่องการวางแผนภาษีเป็นอย่างดี แต่จริงๆ แล้วเรื่องภาษีเป็นเรื่องของกฎหมายล้วนๆ ซึ่งต้องใช้ทั้งประสบการณ์และองค์ความรู้ในระดับหนึ่งเลย ตัวอย่างเช่น ตอนนี้เราได้รู้กันแล้วว่า 6 ความรู้พื้นฐานที่นักบัญชีต้องมี เริ่มตั้งแต่ เข้าใจสมการบัญชี เข้าใจเกณฑ์คงค้าง เข้าใจเอกสารค้าขาย เข้าใจภาษีพื้นฐาน รู้จักประเภทเงินได้ แยกสินทรัพย์กับหนี้สินได้ และสุดท้ายต้องเข้าใจธุรกิจที่ทำบัญชีให้ นอกจากนี้ถ้านักบัญชีมี 3 ทักษะนี้เพิ่มเติมจะช่วยมูลค่าในตัวเองได้มากขึ้น ได้แก่ ทำงบประมาณรายได้ค่าใช้จ่ายได้ เข้าใจบัญชีบริหาร และวางแผนภาษี แต่ขอบอกว่าทักษะอื่นๆ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สามทักษะนี้นะครับ นักบัญชีสามารถเก่งในด้านอื่นๆ ได้เช่นกัน กล่าวคือ เก่งอะไรก็ได้ที่ช่วยให้กิจการดีขึ้นและเติบโตไปพร้อมๆ กับนักบัญชี ท้ายนี้ผมขอบคุณทุกท่านมากๆ ที่ติดตาม 10 กฎพื้นฐานด้านการเงินสำหรับ SMEs ตั้งแต่ EP แรกจนถึงตอนสุดท้ายนี้ หวังเหลือเกินผู้อ่านทุกท่านจะได้ประโยชน์และสาระดีๆ จากบทความของผม เพื่อไปปรับประยุกต์ใช้กับกิจการของท่านครับ โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

7 ม.ค. 2025

PEAK Account

8 min

รู้หรือไม่ PEAK ออก e-Tax Invoice ได้ พร้อมรองรับโครงการ Easy E-Receipt 2.0 

การใช้ e-Tax Invoice จะช่วยให้ธุรกิจ SMEs ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระเอกสาร และทำให้การจัดการภาษีเป็นเรื่องง่ายขึ้น หากคุณต้องการให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเปลี่ยนมาใช้ระบบ e-Tax Invoice จึงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าในระยะยาว โดย PEAK ออก e-Tax Invoice ได้ พร้อมทั้งสามารถใช้งานร่วมกับโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ซึ่งทำให้การจัดการเอกสารภาษีสะดวกและทันสมัยมากยิ่งขึ้น หากคุณสนใจระบบ e-Tax Invoice สามารถใช้งานได้ผ่าน PEAK ที่รองรับระบบการออกใบกำกับภาษีได้หลายรูปแบบ มาดูกันว่า PEAK รองรับระบบ e-Tax Invoice ได้กี่รูปแบบ e-Tax Invoice คืออะไร? e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เป็นเอกสารที่ออกและเก็บในรูปแบบดิจิทัล แทนการใช้กระดาษ โดยต้องเป็นไปตามมาตรฐานของกรมสรรพากร ซึ่งช่วยให้การทำธุรกรรมทางภาษีสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากขึ้น ประโยชน์ของ e-Tax Invoice สำหรับธุรกิจ SMEs e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ มีประโยชน์อย่างมากสำหรับธุรกิจ SMEs โดยช่วยให้การจัดการเอกสารทางบัญชีและภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้น มาดูรายละเอียดเพิ่มเติมของประโยชน์เหล่านี้กัน 1. ลดต้นทุนการจัดเก็บเอกสาร 2. ลดภาระงานเอกสาร 3. เพิ่มความแม่นยำ ลดข้อผิดพลาด 4. อำนวยความสะดวกในการตรวจสอบ ทำไมต้องใช้ PEAK ในการออก e-Tax Invoice? PEAK เป็นระบบบัญชีออนไลน์ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถออก e-Tax Invoice ได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐานกรมสรรพากร และรองรับโครงการ Easy E-Receipt อย่างสมบูรณ์ PEAK รองรับ Easy E-Receipt ทั้ง e-Tax Invoice by Time Stamp และ e-Tax Invoice & e-Receipt จุดเด่นของการที่ PEAK ออก e-Tax Invoice ได้ ร้านค้าจะเริ่มต้นใช้งานให้ PEAK ออก e-Tax Invoice ได้ อย่างไร? 1. ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt 2. สมัครใช้งานระบบ PEAK ผ่านเว็บไซต์ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ 3. ตั้งค่าระบบ e-Tax Invoice ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ 4. ออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ได้ทันที PEAK รองรับการออก e-Tax Invoice ครบทุกประเภท ทั้ง e-Tax Invoice & e-Receipt และ e-Tax Invoice by Timestamp ช่วยให้ธุรกิจ SMEs ลดภาระงานเอกสาร ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเชื่อมต่อกับกรมสรรพากรอย่างถูกต้อง หากต้องการระบบที่ช่วยให้การออกเอกสารภาษีง่ายขึ้น PEAK คือตัวเลือกที่ดีที่สุด ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

14 min

รู้จักแนวทางการทำงานแบบ Paperless วิธีช่วยลดต้นทุนกระดาษ

การทำงานแบบ Paperless กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับองค์กรยุคใหม่ที่ต้องการเพิ่มคุณภาพการทำงาน โดยการปรับเปลี่ยนสู่ระบบไร้กระดาษ ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนในการประหยัดทรัพยากรกระดาษเท่านั้น แต่ยังช่วยให้การจัดการเอกสารให้มีระบบมากขึ้น ลดพื้นที่จัดเก็บ และเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล เรามาทำความเข้าใจกับแนวคิด Paperless และประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับกัน การทำงานแบบ Paperless คืออะไร วิธีการทำงานแบบ Paperless คือ การลดการใช้กระดาษในกระบวนการทำงานโดยเปลี่ยนไปใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์แทน ระบบ Paperless ไม่ได้หมายถึงการไม่ใช้กระดาษเลย แต่เป็นการลดการใช้กระดาษให้น้อยที่สุดโดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วย เช่น การสแกนเอกสาร การจัดเก็บไฟล์ดิจิทัล และการใช้ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ การทำงานในรูปแบบนี้ช่วยให้องค์กรประหยัดทั้งพื้นที่จัดเก็บ เวลาในการค้นหา และค่าใช้จ่ายในการจัดการเอกสาร ระบบการทำงานแบบ Paperless มีข้อดีอย่างไร การนำระบบ Paperless มาใช้ในองค์กรมีข้อดีมากมาย ทั้งด้านการจัดการ ความปลอดภัย และการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงานและต้นทุนขององค์กร มาดูข้อดีที่สำคัญของการใช้ระบบ Paperless กัน เข้าถึงเอกสารได้จากทุกที่ทุกเวลา ระบบ Paperless ช่วยให้พนักงานสามารถเข้าถึงเอกสารได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะทำงานที่ออฟฟิศ ที่บ้าน หรือระหว่างเดินทาง เอกสารทั้งหมดถูกจัดเก็บในระบบคลาวด์ที่มีความปลอดภัยสูง ทำให้การค้นหาและเรียกดูเอกสารทำได้ง่ายและรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังสามารถแชร์เอกสารให้กับทีมงานได้ทันที ลดเวลาในการรอคอยและเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน เพิ่มความปลอดภัยในการจัดเก็บเอกสารได้ การจัดเก็บเอกสารในระบบ Paperless มีความปลอดภัยสูงกว่าการเก็บเอกสารกระดาษ ด้วยระบบการเข้ารหัสข้อมูล การกำหนดสิทธิ์การเข้าถึง และการติดตามประวัติการใช้งาน ทำให้มั่นใจได้ว่าเอกสารสำคัญจะไม่สูญหายหรือตกไปอยู่ในมือผู้ไม่หวังดี ระบบยังมีการสำรองข้อมูลอัตโนมัติ ป้องกันความเสียหายจากภัยพิบัติหรืออุบัติเหตุต่าง ๆ  นำข้อมูลไปใช้ต่อได้อย่างง่ายดาย เอกสารในระบบ Paperless สามารถนำไปใช้ต่อได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการคัดลอกข้อมูล การแก้ไข หรือการวิเคราะห์ ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในรูปแบบดิจิทัลที่พร้อมนำไปประมวลผลหรือใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์อื่น ๆ เช่น โปรแกรมบัญชี หรือระบบวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การทำงานแบบ Paperless ช่วยลดการใช้กระดาษ ซึ่งส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมโดยตรง นอกจากจะช่วยลดการตัดต้นไม้แล้ว ยังช่วยลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตกระดาษ การขนส่ง และการกำจัดของเสีย องค์กรที่ใช้ระบบนี้ จึงมีส่วนช่วยในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในด้านความรับผิดชอบต่อสังคม เทคโนโลยีและเครื่องมือที่ใช้ในระบบการทำงานแบบ Paperless มีอะไรบ้าง การดำเนินงานในรูปแบบ Paperless เป็นแนวทางที่องค์กรหลายแห่งนำมาใช้เพื่อลดการใช้กระดาษ ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และเสริมสร้างความคล่องตัวในการดำเนินงาน เทคโนโลยีและเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับระบบ Paperless ครอบคลุมตั้งแต่การสร้างเอกสาร การจัดเก็บ ไปจนถึงการแชร์และสำรองข้อมูล เพื่อให้การจัดการเอกสารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด 1. โปรแกรมสำหรับสร้างและจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โปรแกรมที่ช่วยสร้างและจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำงานแบบ Paperless โดยเฉพาะในด้านบัญชีและการเงิน โปรแกรมเหล่านี้ช่วยให้สามารถสร้างและจัดการเอกสารสำคัญ เช่น ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี และรายงานทางการเงิน ได้ในรูปแบบดิจิทัล ช่วยลดการพิมพ์เอกสาร ลดการใช้ทรัพยากร และเพิ่มความสะดวกในการค้นหาและเรียกใช้งาน นอกจากนี้ โปรแกรมบัญชีที่มีฟังก์ชันในการสร้างเอกสารดิจิทัลยังช่วยลดข้อผิดพลาดในการคีย์ข้อมูล ลดความซ้ำซ้อน และช่วยให้การดำเนินงานมีความถูกต้องมากขึ้น โปรแกรมที่ดีควรมีระบบอัตโนมัติที่สามารถช่วยสร้างเอกสารจากข้อมูลที่มีอยู่เดิม เช่น การสร้างใบเสร็จจากใบแจ้งหนี้โดยอัตโนมัติ รวมถึงรองรับการเชื่อมต่อกับระบบภายนอก เช่น ระบบภาษีของกรมสรรพากร เพื่อให้สามารถยื่นแบบภาษีออนไลน์ได้โดยตรง 2. สแกนเนอร์และเทคโนโลยี OCR สำหรับแปลงเอกสารเป็นดิจิทัล การเปลี่ยนจากการใช้เอกสารกระดาษเป็นระบบดิจิทัลจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ที่สามารถแปลงเอกสารทางกายภาพให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งก็คือเครื่องสแกนเอกสาร โดยเฉพาะเครื่องสแกนที่รองรับเทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) ซึ่งสามารถแปลงตัวอักษรที่อยู่บนเอกสารให้เป็นข้อความที่สามารถแก้ไขและนำไปใช้ต่อในซอฟต์แวร์อื่น ๆ ได้ สแกนเนอร์ที่มี OCR ช่วยให้สามารถค้นหาและเรียกดูเอกสารได้ง่ายขึ้น ลดเวลาที่ใช้ในการจัดเก็บและค้นหาเอกสาร อีกทั้งยังสามารถดึงข้อมูลจากใบเสร็จ หรือใบกำกับภาษีเข้าสู่ระบบบัญชีอัตโนมัติได้ ทำให้กระบวนการทำบัญชีมีความแม่นยำมากขึ้น 3. ระบบการเซ็นเอกสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Signature) ในระบบ Paperless การลงนามในเอกสารถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปจากการใช้ลายเซ็นบนกระดาษ ระบบ E-Signature หรือ ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยให้สามารถลงนามในเอกสารแบบดิจิทัลได้โดยไม่ต้องพิมพ์เอกสารออกมาเซ็นมือแล้วสแกนกลับเข้าไปใหม่ E-Signature สามารถช่วยลดเวลาและลดกระบวนการที่ไม่จำเป็น อีกทั้งยังเพิ่มความปลอดภัยให้กับเอกสาร เนื่องจากสามารถตรวจสอบและยืนยันตัวตนของผู้ลงนามได้ รวมถึงมีระบบเข้ารหัสที่ช่วยป้องกันการปลอมแปลงเอกสาร นอกจากนี้ ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังสามารถใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมายได้ ทำให้สามารถนำไปใช้ในเอกสารที่เป็นทางการ เช่น สัญญา หรือข้อตกลงทางธุรกิจได้อย่างมั่นใจ 4. ระบบจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ (Cloud Storage) การจัดเก็บเอกสารในรูปแบบดิจิทัลจำเป็นต้องมีพื้นที่จัดเก็บที่สามารถรองรับข้อมูลจำนวนมาก และสามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ทุกเวลา Cloud Storage จึงเป็นโซลูชันสำคัญที่ช่วยให้เอกสารสามารถจัดเก็บและเข้าถึงได้จากทุกอุปกรณ์ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ในองค์กร Cloud Storage มีข้อดีหลายประการ ได้แก่ บริการ Cloud Storage ที่นิยมใช้ในองค์กร เช่น Google Drive, Dropbox, OneDrive และ AWS S3 5. ระบบสำรองข้อมูล (Backup Storage) แม้ว่าการจัดเก็บเอกสารบนคลาวด์จะช่วยลดความเสี่ยงของการสูญหายของข้อมูล แต่เพื่อเพิ่มระดับความปลอดภัย องค์กรควรมีระบบสำรองข้อมูล (Backup Storage) ที่สามารถกู้คืนเอกสารได้ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ระบบล่ม ข้อมูลสูญหาย หรือถูกโจมตีจากมัลแวร์ ระบบสำรองข้อมูลที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้ องค์กรควรเลือกใช้ระบบ Backup ที่เหมาะสมกับปริมาณข้อมูลและความต้องการด้านความปลอดภัย เช่น การสำรองข้อมูลไปยัง Cloud Backup หรือการใช้เซิร์ฟเวอร์สำรองในสถานที่ห่างไกล 6. ระบบจัดการความรู้ภายในองค์กร (Knowledge Management System – KMS) ระบบจัดการความรู้เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการทำงานแบบ Paperless โดยช่วยให้สามารถรวบรวม จัดเก็บ และแชร์ความรู้ภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบ KMS ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้การบริหารจัดการเอกสารและองค์ความรู้ในองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความจำเป็นในการพิมพ์เอกสาร และช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้สะดวกขึ้น การเปลี่ยนผ่านสู่องค์กร Paperless เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาธุรกิจ โดยเฉพาะการใช้โปรแกรมบัญชีที่มีการทำงานแบบ Paperless ก็จะสามารถช่วยให้การจัดการเอกสารทางการเงินเป็นระบบ ลดการใช้กระดาษ และทำให้องค์กรประหยัดทั้งเวลาและต้นทุนได้ โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

นายจ้างควรรู้! ขั้นตอนและช่องทางการส่งเงินสมทบประกันสังคม

การส่งเงินสมทบประกันสังคมเป็นสิ่งที่นายจ้างต้องทำทุกเดือน ปัจจุบันสำนักงานประกันสังคมได้พัฒนาระบบการส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ เพื่อให้นายจ้างสามารถทำได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น ซึ่งวิธีการส่งเงินสมทบประกันสังคมผ่านระบบออนไลน์มีขั้นตอนการสมัครและการชำระเงินอะไรบ้างไปดูกัน การจ่ายเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์คืออะไร การส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ คือ ระบบการชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ที่สำนักงานประกันสังคมพัฒนาขึ้นเพื่อให้นายจ้างส่งงินสมทบได้ง่ายขึ้น ลดขั้นตอนยุ่งยาก และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง นายจ้างสามารถทำรายการผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของธนาคารที่ร่วมให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ข้อดีของการจ่ายเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ การชำระเงินผ่านระบบออนไลน์มีข้อดีจะช่วยให้นายจ้างส่งเงินสมทบประกันสังคมได้ดีมากขึ้นหลายข้อ ซึ่งมีข้อดีอะไรบ้างมาดูกัน ความสะดวกสบายและประหยัดเวลา การส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางไปสำนักงานประกันสังคมหรือธนาคาร ระบบจะคำนวณยอดเงินที่ต้องชำระให้อัตโนมัติ ทำให้ไม่ต้องคำนวณเองที่อาจเกิดข้อผิดพลาดได้ และสามารถทำรายการได้รวดเร็วภายในไม่กี่นาที นอกจากนี้ ยังตั้งเวลาการชำระเงินล่วงหน้าและได้ ชำระได้ทุกที่ทุกเวลา ระบบเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีหยุดหรือเวลาทำการ ทำได้ทุกที่เพียงมีอินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟน นายจ้างจึงสามารถเลือกได้เองตามความสะดวก ตรวจสอบสถานะได้อย่างง่ายดาย ระบบจะเก็บประวัติการทำรายการทั้งหมด ทำให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ง่าย มีใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถดาวน์โหลดได้ทันที และสามารถติดตามสถานะการจ่ายเงินได้แบบเรียลไทม์ ยืดหยุ่นในการชำระเงิน สามารถเลือกวิธีการจ่ายเงินได้ตามความสะดวก ทั้งการหักผ่านบัญชีธนาคาร บัตรเครดิต หรือช่องทางอื่น ๆ ที่ธนาคารให้บริการ ช่วยให้นายจ้างบริหารกระแสเงินสดได้ดีมากขึ้น ทำไมบริษัทต้องส่งเงินสมทบประกันสังคม การส่งเงินสมทบประกันสังคมเป็นภาระหน้าที่ของบริษัทตามที่กฎหมายกำหนดไว้ใน พระราชบัญญัติประกันสังคม ซึ่งมีขึ้นเพื่อสร้างระบบสวัสดิการสำหรับลูกจ้างให้ได้รับความคุ้มครองในกรณีต่าง ๆ โดยบริษัทมีหน้าที่ในการสนับสนุนและรับผิดชอบในการส่งเงินสมทบ 5% ของค่าจ้างลูกจ้าง สูงสุดไม่เกินฐานเงินเดือน 15,000 บาท  หากไม่ส่งเงินสมทบประกันสังคมมีโทษไหม การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายประกันสังคมมีบทลงโทษที่รุนแรง โดยแบ่งเป็นสองกรณี ดังนี้  ขั้นตอนการส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ e-Payment การส่งเงินสมทบประกันสังคมผ่านระบบ e-Payment ทำได้ด้วยตนเองง่าย ๆ โดยมีขั้นตอน ดังนี้  การส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ช่วยให้นายจ้างบริหารจัดการได้สะดวกและง่ายมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการเสียค่าปรับจากการส่งเงินสมทบล่าช้า และสามารถตรวจสอบได้ PEAK Payroll ช่วยให้การส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์เป็นเรื่องง่ายและสะดวกสำหรับนายจ้าง ด้วยระบบที่สามารถคำนวณและส่งข้อมูลการชำระเงินสมทบได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาทำเอกสารหรือเดินทางไปที่สำนักงานประกันสังคม โดย PEAK Payroll รองรับการชำระเงินผ่าน e-Payment ที่ปลอดภัย พร้อมทั้งสามารถตรวจสอบสถานะการส่งเงินสมทบได้ตลอดเวลา ช่วยลดความเสี่ยงจากการล่าช้าและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการชำระเงินไม่ตรงเวลา ทั้งยังช่วยให้ธุรกิจของคุณบริหารจัดการการเงินและข้อมูลพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

แจกขั้นตอนยื่นภาษีออนไลน์ ภ.ง.ด. 91 พร้อมลิสต์เอกสารที่ต้องใช้

ใกล้ถึงเวลายื่นภาษีประจำปีแล้ว หลายคนอาจกังวลเรื่องการเตรียมเอกสารและขั้นตอนการยื่นภาษี โดยเฉพาะการยื่น ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ ที่แม้จะสะดวกกว่าการเดินทางไปสรรพากร แต่ก็มีข้อมูลที่เราต้องรอบคอบก่อนทำการยื่นภาษีอยู่ด้วย ซึ่งก่อนที่เราจะทำการยื่นภาษีออนไลน์กันนั้น เราไปรายละเอียดของดูเอกสาร ขั้นตอน และข้อควรระวังต่าง ๆ กัน การยื่นภาษี ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ คืออะไร การยื่น ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ เป็นช่องทางที่กรมสรรพากรทำให้การยื่นภาษีสะดวกมากขึ้น โดยสามารถยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องเดินทางไปสำนักงานสรรพากร ระบบจะช่วยคำนวณภาษีให้อัตโนมัติ ไม่ต้องกังวลเรื่องความผิดพลาด และยังสามารถบันทึกข้อมูลไว้ใช้อ้างอิงในปีถัดไปได้ นอกจากนี้ ยังช่วยประหยัดทรัพยากรและลดการใช้กระดาษ ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผู้ที่ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.91 ผู้มีหน้าที่ยื่น ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ คือผู้ที่มีรายได้จากการจ้างแรงงานเพียงประเภทเดียว โดยแบ่งเป็นสองกรณี คือ กรณีโสดที่มีรายได้เกิน 120,000 บาทต่อปี และกรณีสมรสที่มีรายได้รวมกันเกิน 220,000 บาทต่อปี ทั้งนี้ รายได้ดังกล่าวต้องเป็นเงินเดือน ค่าจ้าง หรือค่าตอบแทนจากการทำงานให้นายจ้างเท่านั้น ไม่รวมรายได้จากแหล่งอื่น เอกสารที่ต้องใช้ในการยื่นภาษี ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ ก่อนเริ่มยื่น ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ เราควรเตรียมเอกสารให้พร้อม เพื่อความสะดวกในการกรอกข้อมูลและป้องกันความผิดพลาด โดยเอกสารจะแตกต่างกันระหว่างผู้ที่มีสถานะโสดและสมรส มาดูกันว่าแต่ละกลุ่มต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง คนโสด สำหรับผู้มีสถานะโสด เอกสารหลักที่ต้องเตรียมคือหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) จากนายจ้าง ซึ่งแสดงรายได้และภาษีที่ถูกหักไว้ตลอดปี ซึ่งหากเรามีตัวช่วยลดหย่อนภาษีในด้านต่าง ๆ ต้องเตรียมหลักฐานประกอบ เช่น ใบเสร็จค่าเบี้ยประกันชีวิตและสุขภาพ หนังสือรับรองการซื้อกองทุน RMF/SSF/SSFX หลักฐานการบริจาค และใบเสร็จจากโครงการช้อปดีมีคืน รวมถึงหนังสือรับรองดอกเบี้ยเงินกู้จากสถาบันการเงินกรณีผ่อนบ้าน ทั้งนี้ควรจัดเก็บเอกสารในรูปแบบไฟล์ดิจิทัลเพื่อความสะดวกในการอัพโหลด คนมีคู่ ผู้ที่สมรสแล้วต้องเตรียมเอกสารเพิ่มเติมนอกเหนือจากหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) คือ ทะเบียนสมรสและใบสูติบัตรบุตร(ถ้ามี) สำหรับการลดหย่อน ส่วนเอกสารการลดหย่อนอื่น ๆ เหมือนกับคนโสด ได้แก่ ใบเสร็จค่าเบี้ยประกัน หลักฐานการลงทุนในกองทุน หลักฐานการบริจาค ใบเสร็จช้อปดีมีคืน และหนังสือรับรองดอกเบี้ยเงินกู้ โดยสามารถนำค่าลดหย่อนของคู่สมรสมารวมในการคำนวณภาษีได้ ขั้นตอนการยื่นภาษีออนไลน์ ภ.ง.ด. 91 ยื่นภาษีไม่ทันหรือชำระภาษีไม่ทันทำอย่างไรดี กรณีที่ไม่สามารถยื่น ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ หรือชำระภาษีได้ทันตามกำหนด จะมีบทลงโทษตามกฎหมาย โดยหากมีภาษีที่ต้องชำระ จะต้องเสียเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือน นับจากวันที่เลยเวลาจ่าย และต้องเสียค่าปรับอีกหนึ่งเท่าของภาษีที่ต้องชำระ ส่วนกรณีที่ไม่มีภาษีต้องชำระแต่ยื่นแบบล่าช้า จะถูกปรับ 1,000 บาท ดังนั้นควรวางแผนยื่นภาษีล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับและเงินเพิ่ม การยื่นภ.ง.ด.91 ออนไลน์ทำให้การจัดการภาษีง่ายมากขึ้น เพียงเตรียมเอกสารให้พร้อมและทำความเข้าใจขั้นตอนการยื่นแบบผ่านระบบออนไลน์ ทั้งนี้ควรวางแผนยื่นล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับและเงินเพิ่ม โดยสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร หรือโทรสอบถามที่ 1161  PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ รองรับการทำ ภ.ง.ด. 91 (ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี) โดยช่วยคำนวณภาษีและจัดทำรายงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ระบบสามารถบันทึกและสรุปข้อมูลรายได้ ค่าใช้จ่าย และการหักภาษี ณ ที่จ่าย พร้อมทั้งสร้างแบบฟอร์มภ.ง.ด. 91 ที่สามารถยื่นผ่านระบบออนไลน์ได้ทันที ช่วยให้การยื่นภาษีเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว และถูกต้อง ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

ใบสั่งซื้อ Purchase Order (PO) คืออะไร พร้อมตัวอย่าง

ในการดำเนินธุรกิจการควบคุมการสั่งซื้อสินค้าและบริการให้มีระบบ ธุรกิจจะสามารถบริหารต้นทุนได้ดีมากขึ้น โดยเฉพาะระบบเอกสารอย่างใบสั่งซื้อ หรือ PO ที่มีรายละเอียดในการสั่งซื้อชัดเจนสามารถตรวจสอบได้ง่าย ทำให้วางแผนควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น ซึ่งเอกสารสำคัญนี้จะมีรายละเอียดอะไรบ้างเราไปดูตัวอย่างที่จะช่วยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นกัน ใบสั่งซื้อ PO สำคัญอย่างไรกับธุรกิจ การแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุนและการควบคุมการจัดซื้อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการใช้ใบสั่งซื้อ PO ที่เป็นวิธีการควบคุมค่าใช้จ่ายให้ง่ายขึ้น มาดูกันว่าใบสั่งซื้อมีความสำคัญต่อธุรกิจอย่างไรบ้าง ช่วยควบคุมงบประมาณ ใบสั่งซื้อ PO ช่วยให้องค์กรรู้ที่มาของค่าใช้จ่าย และควบคุมการใช้จ่ายของบริษัทได้ดีขึ้น เนื่องจากทุกการสั่งซื้อจะต้องได้รับการอนุมัติและตรวจสอบตามขั้นตอน ทำให้สามารถป้องกันการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและเกินงบประมาณได้ นอกจากนี้ ยังช่วยในการวางแผนการเงินและการจัดการกระแสเงินสดขององค์กร สร้างความโปร่งใส ใบสั่งซื้อ PO ทำให้กระบวนการจัดซื้อมีความโปร่งใส และลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากทุกรายการมีการบันทึกและตรวจสอบได้ อีกทั้ง ยังเป็นหลักฐานการตรวจสอบบัญชีภายในอีกด้วย เพิ่มประสิทธิภาพการจัดซื้อ ใบสั่งซื้อ PO ช่วยให้กระบวนการจัดซื้อมีระบบและมาตรฐาน ทำให้การติดต่อกับผู้ขายมีความชัดเจน เปรียบเทียบราคากับผู้ขายรายต่างๆ ได้ ทำให้การสั่งซื้อมีความผิดพลาดน้อยลง และช่วยให้การจัดส่งสินค้าเป็นไปตามกำหนดเวลา  ใบสั่งซื้อ PO คืออะไร แตกต่างจากขอซื้อ PR อย่างไร ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง มีเอกสารสำคัญสองประเภทที่มักสร้างความสับสนให้กับผู้ประกอบการ นั่นคือใบสั่งซื้อ (PO) และใบขอซื้อ (PR) แม้จะมีความเกี่ยวข้องกัน แต่มีวัตถุประสงค์และการใช้งานที่แตกต่างกัน มาทำความเข้าใจแต่ละประเภทกัน ใบสั่งซื้อ PO คือ ใบสั่งซื้อหรือ Purchase Order (PO) เป็นเอกสารทางธุรกิจที่ออกโดยฝ่ายจัดซื้อขององค์กร เพื่อสั่งซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ขาย (Supplier) อย่างเป็นทางการ ใบสั่งซื้อ PO จะถูกจัดทำขึ้นหลังจากที่ใบขอซื้อ (PR) ได้รับการอนุมัติแล้ว โดยจะมีรายละเอียด เช่น ราคา การชำระเงิน ชนิดสินค้า จำนวนและการจัดส่ง เมื่อผู้ขายได้รับใบสั่งซื้อ PO และยอมรับเงื่อนไข สัญญานี้จะมีผลตามกฎหมายที่ต้องปฏิบัติตาม การออกใบสั่งซื้อ PO ผู้มีอำนาจต้องอนุมัติก่อน เพื่อควบคุมการใช้จ่ายและป้องกันการทุจริต ใบขอซื้อ PR คือ ใบขอซื้อหรือ Purchase Requisition (PR) เป็นเอกสารภายในองค์กรที่แผนกต่าง ๆ ใช้แจ้งความต้องการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการไปยังฝ่ายจัดซื้อ โดยระบุรายละเอียดสินค้าที่ต้องการ เหตุผล และงบประมาณที่ต้องใช้ เอกสาร PR หัวหน้าแผนกหรือผู้มีอำนาจจะต้องตรวจสอบและอนุมัติก่อน เพื่อยืนยันความจำเป็นและความเหมาะสมของการจัดซื้อ ระบบ PR ช่วยควบคุมการใช้จ่ายและป้องกันการสั่งซื้อที่ไม่จำเป็น รวมถึงป้องกันการทุจริตของพนักงานและผู้ขาย ข้อมูลที่ต้องมีในใบสั่งซื้อ ใบสั่งซื้อ PO ที่สมบูรณ์ต้องประกอบด้วยข้อมูลสำคัญที่ครบถ้วน เริ่มจากข้อมูลพื้นฐานของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ได้แก่ ชื่อบริษัท ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษี รายละเอียดการสั่งซื้อต้องระบุชนิดสินค้า คุณสมบัติ จำนวน ราคาต่อหน่วย และราคารวม นอกจากนี้ ยังต้องมีเงื่อนไขการชำระเงิน กำหนดการจัดส่ง และลายเซ็นผู้มีอำนาจอนุมัติ การระบุข้อมูลให้ครบถ้วนช่วยลดข้อผิดพลาดและข้อพิพาทในอนาคต ตัวอย่างใบสั่งซื้อ และ ตัวอย่างใบขอซื้อ เพื่อให้เข้าใจรูปแบบและองค์ประกอบของเอกสารทั้งสองประเภทได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราได้รวบรวมตัวอย่างใบสั่งซื้อ PO และใบขอซื้อ PR ที่มีการใช้งานจริงในองค์กรมาให้ดูกัน การจัดการระบบเอกสารการสั่งซื้อที่มีประสิทธิภาพ ช่วยควบคุมการใช้จ่าย ป้องกันการทุจริต และสร้างความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อขององค์กรได้ดีขึ้น เจ้าของธุรกิจจึงควรเข้าใจและใช้ประโยชน์จากใบสั่งซื้อ PO อย่างเต็มที่ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ รองรับการสร้าง ใบสั่งซื้อ (PO) ได้อย่างง่ายดาย ช่วยให้คุณจัดการคำสั่งซื้อจากผู้จัดจำหน่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบสามารถบันทึกและติดตามข้อมูลการสั่งซื้อ สินค้า และเงื่อนไขการชำระเงิน พร้อมทั้งสามารถเชื่อมโยงกับใบส่งสินค้าและใบแจ้งหนี้ได้ทันที ทำให้การจัดการธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่นและมีระบบมากยิ่งขึ้น ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

ใบเสนอราคา (Quotation) คืออะไร ต้องออกเมื่อไหร่

การทำธุรกิจในปัจจุบันไม่ใช่แค่เรื่องของการซื้อขายเท่านั้น แต่ยังต้องมีเอกสารสำคัญที่ทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยเฉพาะใบเสนอราคาฟอร์มที่นอกจากจะช่วยให้ลูกค้าเข้าใจรายละเอียดสินค้า และบริการได้ชัดเจนแล้ว ยังเป็นหลักฐานสำคัญในการทำธุรกรรมที่เจ้าของธุรกิจทุกคนควรมีอีกด้วย ซึ่งแบบฟอร์มใบเสนอราคา ตั้งแต่ความหมาย ความสำคัญ จะมีองค์ประกอบที่จำเป็นอะไรบ้างไปดูกัน ใบเสนอราคาฟอร์มเอกสารธุรกิจ คืออะไร ใบเสนอราคาฟอร์มเอกสารทางธุรกิจที่ผู้ขายจัดทำขึ้นเพื่อแจ้งรายละเอียดสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้า โดยระบุข้อมูลสำคัญอย่างครบถ้วน ทั้งชื่อสินค้า จำนวน ราคาต่อหน่วย และยอดรวมทั้งหมด รวมถึงวิธีการส่งมอบสินค้าและชำระเงิน ซึ่งเอกสารนี้จะออกให้ลูกค้าเมื่อมีการสอบถามราคาสินค้าหรือบริการ เพื่อใช้ในการพิจารณาและตัดสินใจ โดยใบเสนอราคาจะต้องผ่านการอนุมัติทุกครั้งจากผู้มีอำนาจ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในอนาคตก่อนจะส่งให้ลูกค้า  ใบเสนอราคาสำคัญกับธุรกิจอย่างไร ในโลกธุรกิจการมีเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะใบเสนอราคาที่ไม่เพียงแต่แสดงรายละเอียดสินค้าและบริการ แต่ยังทำให้ผู้ประกอบการดูมืออาชีพอีกด้วย มาดูกันว่าใบเสนอราคามีความสำคัญอย่างไรบ้าง ช่วยสื่อสารกับลูกค้าได้ชัดเจนมากขึ้น การมีใบเสนอราคาที่ระบุรายละเอียดครบถ้วนช่วยลดความคลุมเครือในการสื่อสารระหว่างผู้ขายและลูกค้า เพราะทุกข้อมูลถูกระบุไว้อย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งคุณสมบัติสินค้า ราคา เงื่อนไขการชำระเงิน และการจัดส่ง ทำให้ลูกค้าเข้าใจและสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น พร้อมช่วยป้องกันความเข้าใจผิดในอนาคต ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อพิพาทระหว่างคู่ค้าได้ ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ การมีแบบฟอร์มใบเสนอราคาที่เป็นมาตรฐาน พร้อมตราสัญลักษณ์และข้อมูลบริษัทครบถ้วน ทำให้ธุรกิจดูมีความมืออาชีพ ทำให้ลูกค้ารู้สึกกล้าทำธุรกรรมกับธุรกิจเรา นอกจากนี้ การระบุรายละเอียดที่ชัดเจนยังสร้างความเชื่อถือว่าธุรกิจของเรามีความโปร่งใส ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความไว้วางใจจากลูกค้า ช่วยเพิ่มโอกาสซื้อสินค้าของลูกค้า การจัดทำใบเสนอราคาอย่างเป็นระบบ แสดงรายละเอียดสินค้าและบริการอย่างครบถ้วน พร้อมระบุสิทธิประโยชน์หรือโปรโมชันต่าง ๆ จะช่วยลูกค้าเห็นรายละเอียดสินค้าและบริการที่จะได้รับทั้งหมด ซึ่งจะช่วยลดความลังเลและเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น ใช้เป็นเอกสารอ้างอิงทางกฎหมาย แม้ว่าใบเสนอราคาจะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายโดยตรง แต่สามารถใช้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาในกรณีที่เกิดข้อพิพาทได้ โดยเฉพาะเมื่อมีการลงนามยอมรับเงื่อนไขข้อตกลงเบื้องต้นที่แสดงถึงเจตนาในการซื้อขายของเราและอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งสามารถใช้อ้างอิงในชั้นศาลได้หากเกิดปัญหาในภายหลัง ใบเสนอราคาต้องออกเมื่อไหร่ การออกใบเสนอราคาควรดำเนินการทันทีเมื่อลูกค้าแสดงความสนใจในสินค้าหรือบริการและต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่องราคาและเงื่อนไขต่าง ๆ ความรวดเร็วในการตอบสนองถือเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้ลูกค้าตัดสินใจตกลงซื้อขายได้เร็วขึ้น เนื่องจากลูกค้าอาจกำลังเปรียบเทียบราคากับคู่แข่งรายอื่น อย่างไรก็ตาม ความถูกต้องของข้อมูลในใบเสนอราคาให้ละเอียดก่อนส่งให้ลูกค้า เพื่อป้องกันปัญหในอนาคต แบบฟอร์มใบเสนอราคาต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง แบบฟอร์มใบเสนอราคาที่ดีควรมีองค์ประกอบครบถ้วน เพื่อให้ข้อมูลที่จำเป็นแก่ลูกค้าและใช้เป็นเอกสารอ้างอิงในอนาคต โดยองค์ประกอบสำคัญที่ควรมีในใบเสนอราคามี ดังนี้ การมีใบเสนอราคาฟอร์มเอกสารธุรกิจที่ครบถ้วนและเป็นระบบ จะช่วยทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือ ช่วยให้การทำธุรกิจไม่มีปัญหาและเติบโตได้ดี การจัดทำใบเสนอราคาอย่างมืออาชีพจึงเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจและให้ความสำคัญ  PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยให้การออก ใบเสนอราคา เป็นเรื่องง่ายและเป็นมืออาชีพ ด้วยระบบที่สามารถสร้างและปรับแต่งใบเสนอราคาได้อย่างรวดเร็ว รองรับการส่งเอกสารออนไลน์หรือดาวน์โหลดเป็น PDF พร้อมติดตามสถานะและเปลี่ยนเป็นใบแจ้งหนี้ได้ทันที ระบบยังจัดเก็บเอกสารอย่างเป็นระเบียบ เพิ่มความสะดวกและความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณในทุกขั้นตอน ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

ทะเบียนพาณิชย์คืออะไร สำคัญกับธุรกิจอย่างไร

ทะเบียนพาณิชย์ คือ เอกสารสำคัญที่ใช้รับรองการประกอบธุรกิจการค้าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นต้องดำเนินการจดทะเบียนพาณิชย์ก่อนเริ่มประกอบกิจการ เพื่อแสดงตัวตนทางการค้าและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ ซึ่งจะมีกิจการไหนบ้างต้องจดทะเบียนนี้ และวิธีการจดทะเบียนพาณิชย์ต้องทำอย่างไรบ้างไปดูกัน การจดทะเบียนพาณิชย์ คืออะไร? ทะเบียนพาณิชย์ คือ การจดแจ้งการประกอบธุรกิจการค้ากับหน่วยงานราชการตามที่กฎหมายกำหนด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมและส่งเสริมการประกอบธุรกิจให้เป็นไปอย่างถูกต้อง การจดทะเบียนพาณิชย์จะทำให้ธุรกิจมีตัวตนทางกฎหมาย สามารถทำธุรกรรมทางการเงิน การค้า และการภาษีได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคู่ค้าและลูกค้า รวมถึงเป็นประโยชน์ในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ทะเบียนพาณิชย์คืออะไร สำคัญกับธุรกิจอย่างไร ทะเบียนพาณิชย์มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจหลายด้าน เป็นหลักฐานแสดงการมีตัวตนของกิจการที่ถูกต้องตามกฎหมาย ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมทางการค้า การติดต่อกับหน่วยงานราชการ และการทำสัญญากับคู่ค้า นอกจากนี้ ทะเบียนพาณิชย์ยังเป็นเอกสารสำคัญในการขอสินเชื่อธุรกิจ การเปิดบัญชีธุรกิจ และการเข้าร่วมประมูลงานต่าง ๆ กิจการไหนบ้างที่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ กฎหมายกำหนดให้ผู้ประกอบการทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่ประกอบกิจการในประเทศไทยต้องจดทะเบียนพาณิชย์ โดยแบ่งตามประเภทของผู้ประกอบการ ดังนี้ จดทะเบียนพาณิชย์สำหรับบุคคลธรรมดา บุคคลธรรมดาที่ประกอบกิจการค้าด้วยทุนทรัพย์เกิน 20,000 บาท หรือมีกำไรขั้นต้นประจำปีเกิน 1,000 บาท ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ รวมถึงกิจการค้าปลีก ค้าส่ง การผลิตสินค้า การให้บริการ และการประกอบธุรกิจออนไลน์ การจดทะเบียนพาณิชย์จะช่วยให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือและสามารถดำเนินกิจการได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย จดทะเบียนพาณิชย์สำหรับนิติบุคคล นิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย เช่น บริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด ต้องจดทะเบียนพาณิชย์เมื่อเริ่มประกอบกิจการ โดยไม่คำนึงถึงจำนวนทุนหรือรายได้ การจดทะเบียนพาณิชย์จะทำให้นิติบุคคลสามารถดำเนินธุรกรรมทางการค้าและการเงินได้อย่างถูกต้อง กิจการไหนบ้างที่ได้รับยกเว้นจดทะเบียนพาณิชย์ กิจการบางประเภทได้รับการยกเว้นไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ เช่น การค้าเร่ การค้าแผงลอย กิจการของกระทรวง ทบวง กรม การค้าของสหกรณ์ การค้าของมูลนิธิ สมาคม สโมสรที่จดทะเบียนตามกฎหมาย และการประกอบอาชีพอิสระ เช่น แพทย์ ทนายความ สถาปนิก ที่ทำงานโดยใช้วิชาชีพส่วนตัว เอกสารที่ต้องใช้ในการจดทะเบียนพาณิชย์ การเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนจะช่วยให้การจดทะเบียนพาณิชย์ไม่มีปัญหาและทำให้ได้รับเอกสารเร็วขึ้น โดยเอกสารที่ต้องเตรียมมีดังนี้  วิธีการจดทะเบียนพาณิชย์ การจดทะเบียนพาณิชย์เป็นขั้นตอนสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นทำธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทย โดยการจดทะเบียนพาณิชย์นี้สามารถทำได้ทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อความสะดวกของผู้ประกอบการ โดยมีขั้นตอนดังนี้  บทลงโทษถ้าไม่จดทะเบียนพาณิชย์ ผู้ประกอบการที่ไม่จดทะเบียนพาณิชย์ตามที่กฎหมายกำหนดจะมีความผิดตามพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ มีโทษปรับตั้งแต่ 500 ถึง 5,000 บาท และปรับต่อเนื่องอีกวันละไม่เกิน 100 บาทจนกว่าจะได้จดทะเบียน นอกจากนี้ ยังอาจมีผลกระทบต่อการทำธุรกรรมทางการเงินและความน่าเชื่อถือของธุรกิจ ทะเบียนพาณิชย์คือขั้นตอนสำคัญในการเริ่มต้นธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและโอกาสทางธุรกิจ ผู้ประกอบการควรศึกษาข้อมูลและเตรียมเอกสารให้พร้อมก่อนดำเนินการจดทะเบียน เพื่อให้การจดทะเบียนเป็นไปอย่างถูกต้องและไม่มีปัญหา โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

6 ก.พ. 2025

PEAK Account

7 min

สำนักงานบัญชี ประหยัดเวลาการทำบัญชีด้วยการใช้ AI

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ การใช้ AI ได้กลายเป็นตัวช่วยสำคัญในการยกระดับการทำงานของสำนักงานบัญชี ทำให้กระบวนการต่างๆ รวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับข้อดีของการใช้ AI ในการทำบัญชีและวิธีการนำมาใช้เพื่อช่วยประหยัดเวลาในงานของคุณ ทำไมการทำบัญชีด้วยการใช้ AI ถึงสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชี? นำ AI มาปรับใช้ในงานของสำนักงานบัญชีได้อย่างไร 1. การบันทึกบัญชีด้วยระบบ AI ระบบบัญชีที่มี AI ช่วยแนะนำ รายการบันทึกบัญชีที่ใช้บ่อย จะช่วยให้นักบัญชีทำงานได้รวดเร็วและสะดวกขึ้น เพราะ AI จะเรียนรู้พฤติกรรมการบันทึกข้อมูลของผู้ใช้งาน และเสนอรายการบัญชีที่เกี่ยวข้องแบบอัตโนมัติ ลดเวลาการค้นหารายการบัญชีที่ซับซ้อนหรือใช้บ่อย ตัวอย่างเช่น ข้อดี 2. การวิเคราะห์งบการเงินและคาดการณ์แนวโน้มธุรกิจ PEAK ใช้ AI วิเคราะห์งบกำไรขาดทุน ช่วยให้นักบัญชีและเจ้าของธุรกิจเห็นภาพรวมผลประกอบการได้ชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมทั้งคาดการณ์แนวโน้มทางการเงินในอนาคต AI จะดึงข้อมูลในระบบมาคำนวณและสรุปเป็นกราฟหรือรายงานแบบเข้าใจง่าย เช่น ข้อดี 3. การตรวจสอบความผิดพลาดในการทำบัญชี AI สามารถ ตรวจสอบความถูกต้องของงบทดลอง (Trial Balance) ได้อัตโนมัติ หากพบข้อผิดพลาดหรือยอดไม่ตรง ระบบจะแสดง สัญลักษณ์ธงสี (Flag) เพื่อแจ้งเตือนผู้ใช้งานทันที เช่น ข้อดี ข้อดีของการทำบัญชีด้วยการใช้ AI ลดต้นทุนการดำเนินงาน ลดเวลาและทรัพยากรที่ใช้ในกระบวนการบัญชี ทำให้สำนักงานบัญชีสามารถลดต้นทุนได้ เพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้า เวลาที่ประหยัดได้จากการใช้ AI สามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์และให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์แก่ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น รองรับการขยายตัวของธุรกิจ สำนักงานบัญชีสามารถรองรับลูกค้าใหม่ได้มากขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มทีมงานหรือทรัพยากรเพิ่มเติม PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยสำนักงานบัญชีและธุรกิจประหยัดเวลาและเพิ่มความแม่นยำด้วยระบบ AI ที่สามารถแนะนำรายการบันทึกบัญชีที่ใช้บ่อยๆได้ เพราะ PEAK ตระหนักเห็นถึงความสำคัญในการนำ AI มาปรับใช้ในสำนักงานบัญชีไม่เพียงช่วยประหยัดเวลา แต่ยังช่วยเพิ่มคุณภาพและความแม่นยำในการทำงาน ช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

8 min

สเตทเม้น คืออะไร เรื่องที่คนทั่วไปและเจ้าของธุรกิจควรรู้

สเตทเม้น คือ รายงานการเคลื่อนไหวทางการเงินที่แสดงรายละเอียดการทำธุรกรรมในบัญชี ซึ่งสถาบันการเงินจัดทำให้กับลูกค้าเป็นประจำทุกเดือน และเป็นเอกสารสำคัญที่ช่วยให้เรารู้และควบคุมการใช้จ่ายได้ รวมถึงยังรู้ว่ารายการเดินบัญชีมีความถูกต้องหรือไม่ ทำให้เราสามารถบริหารจัดการการเงินได้ง่ายและดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งสเตทเม้นเอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง และจะสามารถขอสเตทเม้นได้อย่างไรไปดูกัน สเตทเม้น คืออะไร สเตทเม้น คือ เอกสารทางการเงินที่แสดงรายการเดินบัญชีทั้งหมดในช่วงเวลาหนึ่ง โดยปกติจะเป็นรายเดือน ซึ่งจะระบุรายละเอียดของรายการฝาก ถอน โอน หรือชำระเงินต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบัญชี พร้อมทั้งแสดงยอดเงินคงเหลือ ณ สิ้นเดือน สามารถใช้อ้างอิงการทำธุรกรรมทางการเงิน การจัดทำบัญชี และการยื่นภาษีได้ นอกจากนี้ ยังเป็นตัวช่วยในการวางแผนการเงิน และตรวจสอบว่ารายการเดินบัญชีมีความผิดปกติหรือไม่ รายละเอียดสำคัญที่ปรากฏในสเตทเม้น เอกสารที่รวบรวมข้อมูลสำคัญในการทำธุรกรรมทางการเงินของเรา ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลหลายส่วนที่จะช่วยบริหารการเงินได้ทั้งส่วนบุคคลและธุรกิจ ดังนี้ สเตทเม้นสามารถนำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง สเตทเม้น คือ ตัวช่วยในการบริหารการเงินที่มีประโยชน์หลายด้าน สามารถใช้ในการติดตามรายรับรายจ่าย การวางแผนการเงิน การจัดทำบัญชี การยื่นภาษี และการขอสินเชื่อ นอกจากนี้ ยังช่วยตรวจสอบรายการเดินบัญชีและการทำงบประมาณว่ามีความผิดปกติหรือไม่ และการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่าย ทำให้สามารถควบคุมการเงินได้ดีมากขึ้น ทำบัญชีรายรับรายจ่ายส่วนบุคคล สเตทเม้นเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายส่วนบุคคล ทำให้รู้ว่าตอนนี้จ่ายไปกับอะไรและจ่ายเท่าไหร่บ้าง เพื่อนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงินของตัวเองและปรับปรุงนิสัยการใช้จ่ายเกินความจำเป็นของเราได้ นอกจากนี้ ยังนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนการออม การลงทุน รวมถึงการจัดการหนี้สินต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้น  จัดทำบัญชีธุรกิจ สเตทเม้นเป็นเอกสารสำคัญในการจัดทำบัญชีธุรกิจ ใช้เป็นหลักฐานประกอบการบันทึกรายได้และจัดทำงบการเงิน รวมถึงการคำนวณภาษี ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามกระแสเงินสด ตรวจสอบและวิเคราะห์รายการได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ การขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน สเตทเม้นเป็นเอกสารที่สถาบันการเงินใช้ประกอบในการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของเรา โดยจะพิจารณาจากความสม่ำเสมอของรายได้ พฤติกรรมการใช้จ่าย การออม และประวัติการชำระเงินต่าง ๆ  การมีสเตทเม้นที่แสดงถึงความมั่นคงทางการเงินจะเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อ การสมัครบัตรเครดิต สเตทเม้นเป็นหลักฐานสำคัญในการสมัครบัตรเครดิต โดยธนาคารจะดูว่าเรามีรายรับเท่าไหร่ เพื่อพิจารณาวงเงินบัตรเครดิต และดูว่าเราสามารถจ่ายหนี้ได้มากหรือน้อยขนาดไหน โดยจะดูจากรายได้เฉลี่ยต่อเดือนว่ามีจำนวนเท่าไหร่และมีความสม่ำเสมอไหม รวมถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านบัญชีนั้นด้วย วิธีขอสเตทเม้น การขอสเตทเม้นสามารถเลือกทำจากช่องทางต่าง ๆ ได้ตามความสะดวกและบริการของแต่ละธนาคาร โดยช่องทางหลัก ๆ ได้แก่ การขอผ่านแอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ ซึ่งสามารถดาวน์โหลดสเตทเม้นย้อนหลังได้ฟรีโดยไม่มีค่าธรรมเนียม หรือเป็นการขอที่ตู้ ATM โดยใช้บัตร ATM/Debit ให้กดเลือกบริการพิมพ์รายการเดินบัญชี หรือการติดต่อที่สาขาธนาคารโดยตรงพร้อมบัตรประชาชนและสมุดบัญชี ทั้งนี้ การขอสเตทเม้นย้อนหลังเกิน 6 เดือนอาจมีค่าธรรมเนียมตามที่แต่ละธนาคารกำหนด และระยะเวลาในการขอย้อนหลังอาจแตกต่างกันไปตามนโยบายของแต่ละธนาคาร สเตทเม้นคือเอกสารสำคัญมาก ๆ ในการนำมาทำบัญชีธุรกิจ นำมาใช้ขอสินเชื่อและการทำธุรกรรมต่าง ๆ โดยเราสามารถขอได้ตามความสะดวกที่เราแนะนำไปข้างต้นได้เลย แต่สำหรับผู้ที่มีเงินเข้าออกหลายทางการทำบัญชีอย่างละเอียดยังคงมีความสำคัญมาก ๆ  โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

11 min

Audit คืออะไร? สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องรู้เพื่อเตรียมพร้อม

คำว่า ‘Audit’ คำนี้หลายคนคงได้ยินกันบ่อย ๆ และมีความสำคัญกับธุรกิจอย่างมาก เพราะการ Audit คือ การตรวจสอบและประเมินข้อมูลบัญชีทางการเงินว่ามีความถูกต้องหรือไม่ และประเมินว่าพนักงานและบริษัทได้ทำตามกฎระเบียบขององค์กรและกฎหมายจริง ๆ โดยผู้เชี่ยวชาญอิสระ ซึ่งการ Audit นั้นจะมีความสำคัญกับธุรกิจอย่างไร ทำไมธุรกิจต้องตรวจสอบบัญชีเราไปดูกัน  Audit คืออะไร สำคัญสำหรับธุรกิจอย่างไร Audit คือกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้การทำธุรกิจโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ โดยมีบทบาทสำคัญในหลายด้าน ทั้งการสร้างความน่าเชื่อถือ การทำตามกฎหมาย การป้องกันการทุจริต และการสนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจ การตรวจสอบบัญชี หรือ Audit คือสิ่งสำคัญสำหรับทุกธุรกิจ สร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ การตรวจสอบบัญชี หรือ Audit คือกลไกในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร โดยผู้ตรวจสอบอิสระที่มีความเชี่ยวชาญ จะทำให้งบการเงินของบริษัทน่าเชื่อถือมากขึ้น จนนักลงทุนและสถาบันการเงินมั่นใจในการลงทุนหรือร่วมงานกับองค์กร นอกจากนี้ ยังช่วยทำให้ธุรกิจมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาคนทั่วไป ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับ Audit เป็นตัวช่วยให้องค์กรและคนทั่วไปมั่นใจว่าบริษัททำตามข้อบังคับและกฎหมายจริง ๆ ทั้งด้านการเงินและภาษี เพื่อช่วยป้องกันการถูกปรับจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย รวมถึงช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงการการทำงานต่าง ๆ ได้สอดคล้องกับข้อกำหนดต่าง ๆ อย่างทันท่วงที ป้องกันการทุจริตและข้อผิดพลาด Audit เป็นกระบวนการที่ช่วยค้นหาข้อผิดพลาดในการทำธุรกิจ และป้องกันปัญหาทุจริตที่อาจจะเกิดจขึ้น ผ่านการตรวจสอบภายในและรายการต่าง ๆ อย่างละเอียด ซึ่งถ้าบริษัทมีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ธุรกิจสามารถรู้จุดอ่อนของตัวเอง และปรับปรุงได้ก่อนที่จะเกิดความเสียหายรุนแรง เพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ Audit เป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ โดยเฉพาะการตรวจสอบงบการเงินที่จะเพิ่มความน่าเชื่อถือจากนักลงทุนและจากสถาบันการเงิน นอกจากนี้ ยังช่วยให้การวางแผนและตัดสินใจทางธุรกิจ จากข้อมูลทางการเงินที่มีความถูกต้องได้ง่ายและรอบคอบมากขึ้น อาชีพ Audit คือ อะไร มีกี่ประเภท อาชีพ Audit หรือการสอบบัญชี เป็นการตรวจสอบและประเมินข้อมูลทางการเงินและกระบวนการต่าง ๆ ขององค์กร เพื่อให้แน่ใจว่ามีความถูกต้อง ครบถ้วน และปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง การสอบบัญชีช่วยให้ผู้บริหาร เจ้าของธุรกิจ และนักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลที่เชื่อถือได้ นอกจากนี้ยังช่วยในการตรวจสอบความมีประสิทธิภาพของระบบการควบคุมภายในองค์กรและการป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจ เราจึงจะขอพาไปทำความรู้จักกับอาชีพ Audit ว่ามีประเภทอะไรบ้าง และมีหน้าที่ตรวจสอบธุรกิจส่วนไหน เพื่อให้เจ้าของธุรกิจ พนักงานบัญชี และบุคคลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถเตรียมพร้อมรับการตรวจสอบได้อย่างราบรื่น Financial Audit คือ Financial Audit คือการตรวจสอบรายงานทางการเงินที่จัดทำขึ้นโดยองค์กรหรือธุรกิจ โดยผู้สอบบัญชีอิสระ (External Auditor) เพื่อให้ความมั่นใจว่าข้อมูลทางการเงินมีความถูกต้องและเชื่อถือได้ตามมาตรฐานการบัญชีที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เช่น มาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ (IFRS) หรือมาตรฐานการบัญชีของประเทศนั้น ๆ ซึ่งการตรวจสอบนี้มีเป้าหมายหลักในการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับรายงานทางการเงินที่ใช้ประกอบการตัดสินใจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นของผู้บริหาร นักลงทุน หรือเจ้าหนี้ การตรวจสอบ Financial Audit จะครอบคลุมการตรวจสอบรายการบัญชีทั้งหมด รวมถึงเอกสารประกอบต่าง ๆ เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี รายการรายได้และค่าใช้จ่าย รวมไปถึงการตรวจสอบยอดเงินในบัญชีธนาคารและการเคลื่อนไหวของเงินสดในบริษัท เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการบิดเบือนข้อมูลหรือการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามหลักการบัญชี การสอบบัญชีการเงินมักจะดำเนินการในช่วงเวลาสิ้นปีหรือตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้ข้อมูลทางการเงินที่ออกมาในรายงานการเงินมีความถูกต้องและสามารถนำไปใช้งานได้ โดยผู้สอบบัญชีจะทำการวิเคราะห์ ตรวจสอบ เรียกเก็บข้อมูล และสอบถามบุคคลที่เกี่ยวข้องในองค์กร เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่าองค์กรนั้นมีการจัดทำบัญชีและการรายงานทางการเงินอย่างถูกต้องหรือไม่ Internal Audit Internal Audit คือการตรวจสอบภายในที่ดำเนินการโดยพนักงานขององค์กรเอง ซึ่งมักจะเป็นแผนกหรือทีมงานที่มีความเป็นอิสระจากหน่วยงานปฏิบัติงานในองค์กร การตรวจสอบนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อประเมินประสิทธิภาพในการดำเนินงานของระบบต่าง ๆ ภายในองค์กร รวมถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงในกระบวนการทำธุรกิจที่อาจส่งผลกระทบต่อเป้าหมายขององค์กร บทบาทของ Internal Audit มีความสำคัญในการช่วยให้องค์กรสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามนโยบายที่กำหนดไว้ การตรวจสอบนี้ครอบคลุมหลายด้าน เช่น การตรวจสอบการควบคุมภายใน (Internal Controls) เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการกระทำผิดกฎหมาย การทุจริต หรือความผิดพลาดในระบบการทำงาน รวมไปถึงการตรวจสอบการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ และการประเมินความเสี่ยงที่อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ทีมงาน Internal Audit จะทำการประเมินผลกระทบของการดำเนินงานที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ตรงตามเป้าหมายที่กำหนด IT Audit IT Audit คือการตรวจสอบระบบเทคโนโลยีสารสนเทศภายในองค์กร โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อประเมินและตรวจสอบความปลอดภัยของระบบข้อมูล เทคโนโลยีที่ใช้ และการปฏิบัติตามนโยบายด้านความปลอดภัยของข้อมูล การตรวจสอบนี้ช่วยให้มั่นใจว่าองค์กรมีการควบคุมระบบ IT ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยจากความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการโจมตีทางไซเบอร์ การรั่วไหลของข้อมูล หรือการใช้ระบบที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน การตรวจสอบใน IT Audit จะครอบคลุมหลายด้าน เช่น การเข้าถึงข้อมูล (Access Control) ว่าผู้ใช้งานได้รับสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลอย่างเหมาะสมหรือไม่, การป้องกันข้อมูลจากการสูญหายหรือการถูกโจรกรรม (Data Protection) และการตรวจสอบกระบวนการในการป้องกันภัยคุกคามทางเทคโนโลยี (Cybersecurity Measures) เช่น การใช้ไฟร์วอลล์ (Firewall) หรือระบบการเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) ที่มีมาตรฐาน การตรวจสอบบัญชี หรือ Audit เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน โดยการสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือให้กับบริษัท ผู้ประกอบการจึงต้องมีการตรวจสอบบัญชีเพื่อการพัฒนาธุรกิจอย่างมั่นคง โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

30 ม.ค. 2025

PEAK Account

21 min

5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ

การทำบัญชีอาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของธุรกิจให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก แต่ความจริงแล้ว ความผิดพลาดทางบัญชีสามารถสร้างปัญหาใหญ่กว่าที่คุณคิด ตั้งแต่กระแสเงินสดที่ไม่สมดุล ไปจนถึงปัญหาภาษีและความน่าเชื่อถือของธุรกิจ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จัก “5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ” เพื่อให้คุณสามารถบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงทางการเงิน และสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน 5 ความผิดพลาดทางบัญชี ที่ ธุรกิจ SMEs มักมองข้าม! ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 1 : การไม่แยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว การบริหารการเงินที่ดีเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในธุรกิจ หนึ่งในหลักการพื้นฐานที่เจ้าของธุรกิจต้องให้ความสำคัญคือ การแยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว อย่างชัดเจน การใช้บัญชีเดียวกันอาจทำให้เกิดความสับสน เสียเวลา และส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจทางการเงินของธุรกิจ ดังนั้นในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจว่าทำไมการแยกบัญชีจึงเป็นเรื่องสำคัญ พร้อมแนวทางปฏิบัติที่คุณสามารถนำไปใช้ได้จริง ทำไมต้องแยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว? 1.1 ช่วยให้บริหารการเงินได้ง่ายขึ้น ลองนึกภาพว่าคุณต้องนั่งไล่ดูรายการเดินบัญชีเพื่อแยกว่าเงินไหนเป็นรายรับธุรกิจ เงินไหนเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว หากคุณใช้บัญชีเดียวกัน คุณอาจต้องเสียเวลานั่งไล่ดูทีละรายการ ซึ่งไม่คุ้มค่าเลย การแยกบัญชีช่วยให้คุณสามารถติดตามรายรับและรายจ่ายของธุรกิจได้อย่างแม่นยำ ลดความยุ่งยากในการทำบัญชี และช่วยให้การทำงบการเงินเป็นไปอย่างถูกต้อง 1.2 ป้องกันความผิดพลาดทางภาษี ช่วงยื่นภาษีทีไรต้องปวดหัว เพราะมีรายการใช้จ่ายที่ปะปนกันจนไม่รู้ว่าอันไหนใช้กับธุรกิจ อันไหนเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าคุณเผลอเอาค่าใช้จ่ายส่วนตัวมาคิดเป็นค่าใช้จ่ายธุรกิจโดยไม่ได้ตั้งใจ อาจทำให้มีปัญหากับกรมสรรพากรได้ หรือในทางตรงกันข้าม หลายครั้งที่นักบัญชีปิดงบปลายปีให้ผู้ประกอบการ และเมื่อเจอรายการเงินออกที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมอะไรของธุรกิจ กลายเป็นว่าค่าใช้จ่ายนั้นก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้าม หรือค่าใช้จ่ายบวกกลับทางภาษีของกิจการไป ทำให้ต้องเสียเงินภาษีเยอะขึ้นโดยไม่จำเป็น แต่ถ้าแยกบัญชีชัดเจน การคำนวณภาษีจะง่ายขึ้นและมีความถูกต้องมากขึ้น 1.3 สร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือให้ธุรกิจ ลองนึกถึงกรณีที่คุณต้องการขอสินเชื่อจากธนาคารหรือดึงดูดนักลงทุน หากบัญชีธุรกิจของคุณปะปนกับบัญชีส่วนตัว ธนาคารอาจมองว่าธุรกิจของคุณไม่มีระบบที่ดีพอ ทำให้โอกาสได้รับอนุมัติน้อยลง การมีบัญชีธุรกิจแยกจากบัญชีส่วนตัวช่วยให้ลูกค้า คู่ค้า และธนาคารมองว่าธุรกิจของคุณเป็นองค์กรที่มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ช่วยเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อ หรือเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น 1.4 ควบคุมกระแสเงินสดได้ดีขึ้น ถ้าใช้บัญชีเดียวกัน บางครั้งคุณอาจเผลอใช้เงินธุรกิจไปกับเรื่องส่วนตัวโดยไม่รู้ตัว เมื่อถึงเวลาต้องจ่ายค่าซัพพลายเออร์หรือพนักงาน อาจเจอปัญหาเงินสดขาดมือ การแยกบัญชีช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของกระแสเงินสดธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น และบริหารเงินได้ดีกว่าเดิม ช่วยทำให้คุณมองเห็น และเข้าใจเงินทุนหมุนเวียนของกิจการได้ดีขึ้น แนวทางปฏิบัติในการแยกบัญชีธุรกิจและบัญชีส่วนตัว 1.1 เปิดบัญชีธุรกิจแยกต่างหาก เริ่มต้นด้วยการเปิดบัญชีธุรกิจโดยเฉพาะ เลือกธนาคารที่ให้บริการด้านบัญชีธุรกิจที่เหมาะสมกับคุณ เช่น มีระบบจ่ายเงินออนไลน์ หรือค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม หรืออย่างน้อยที่สุด คุณสามารถใช้บัญชีธนาคารเพื่อกิจการก็ได้ในชื่อของคุณ เป็นบัญชีบุคคลธรรมดา แต่ที่สำคัญคือคุณต้องแยกบัญชีกัน 1.2 กำหนดเงินเดือนให้ตัวเอง อย่าคิดว่าเงินธุรกิจเป็นของตัวเอง! กำหนดเงินเดือนให้ตัวเองและใช้จ่ายในส่วนที่ได้รับเท่านั้น วิธีนี้ช่วยให้คุณควบคุมการใช้จ่ายส่วนตัวได้ดีขึ้น และป้องกันการนำเงินธุรกิจไปใช้เกินความจำเป็น และเงินเดือนของคุณ ก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทด้วย สามารถช่วยลดภาระภาษีของบริษัทไปได้ แน่นอนว่ามันจะกลายเป็นรายได้บุคคลธรรมดาของคุณ แต่ถ้าคุณจัดการภาษีบุคคลได้ดี คุณจะสามารถนำเงินเดือนเป็นเครื่องนึงในการประหยัดภาษีได้ (หากคุณต้องการจัดการเงินเดือน เราก็มีโปรแกรมที่ช่วยจัดการเงินเดือนให้คุณได้) 1.3 ใช้บัตรเครดิตธุรกิจและบัตรเครดิตส่วนตัวแยกจากกัน เช่นเดียวกับการเปิดบัญชีธนาคารแยก คุณสามารถมีบัตรเครดิตบุคคลในชื่อคุณได้ แต่ใช้เพื่อบริษัทเพียงอย่างเดียว อย่าใช้บัตรใบนั้นไปรูดซื้อของใช้ส่วนตัว เพราะจะทำให้การติดตามค่าใช้จ่ายยุ่งยาก หรือบริษัทของคุณมีความน่าเชื่อถือที่มากพอ คุณสามารถขอเปิดบัตรเครดิตในนามนิติบุคคลได้ โดยติดต่อธนาคารต่างๆ อย่างไรก็ตาม เดี๋ยวนี้ผู้ให้บริการชำระเงินหลายแห่งมีบริการ virtual card เพื่อให้คุณสามารถใช้บัตรเครดิตในบริษัทได้หลากหลายใบ โดยที่สามารถจัดการจากระบบหลังบ้านได้ 1.4 บันทึกและตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินเป็นประจำ อย่าปล่อยให้รายการเดินบัญชีสะสมเป็นเดือนๆ แล้วค่อยมาเช็ก ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะทำงบประมาณ หรือ budget ควรตรวจสอบธุรกรรมเป็นประจำทุกสัปดาห์เพื่อให้แน่ใจว่าเงินเข้า-ออกตรงตามแผน และไม่มีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น 1.5 หลีกเลี่ยงการโอนเงินระหว่างบัญชีโดยไม่จำเป็น หากต้องโอนเงินระหว่างบัญชี ควรมีบันทึกที่ชัดเจน เช่น หากคุณนำเงินส่วนตัวมาใช้ในธุรกิจ ควรลงบัญชีว่าเป็น “เงินกู้” หรือ “จ่ายเพื่ออะไร” เพื่อให้สามารถติดตามได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเดี๋ยวนี้คุณสามารถเพิ่มบันทึกสาเหตุรายการเหล่านั้นเข้าไปได้ในมือถือตอนที่ทำการจ่ายโอนเลย มันง่ายมากๆแล้ว ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 2 : การไม่จัดทำบัญชีอย่างสม่ำเสมอ การทำบัญชีเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะเล็กหรือใหญ่ การบันทึกบัญชีอย่างสม่ำเสมอช่วยให้คุณติดตามสถานะทางการเงินของธุรกิจได้อย่างถูกต้อง แต่หลายคนมักเลื่อนการบันทึกบัญชีออกไปเพราะคิดว่าไม่มีเวลาหรือไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน จนกลายเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบใหญ่กว่าที่คิด! ทำไมการไม่บันทึกบัญชีเป็นประจำถึงเป็นปัญหา? 2.1 ข้อมูลการเงินไม่ถูกต้อง ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด ลองนึกภาพว่าคุณต้องการขยายธุรกิจ แต่เมื่อดูตัวเลขทางบัญชีแล้วกลับพบว่ามีข้อมูลขาดหาย หรือไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าธุรกิจมีกำไรจริงหรือไม่ สิ่งนี้ทำให้คุณตัดสินใจทางการเงินผิดพลาด เช่น ลงทุนเกินตัว หรือคิดว่ามีเงินสดมากพอแต่กลับมีหนี้ที่ไม่ได้บันทึก ในตอนที่ผมทำบัญชีให้กับลูกค้า มีเคสนึงน่าสนใจ ร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่บันทึกบัญชีทุกวัน แต่จดยอดขายเฉพาะวันที่พนักงานมีเวลาว่าง ส่งผลให้เจ้าของเข้าใจผิดว่าธุรกิจมีกำไรดี เพราะไม่ได้บันทึกต้นทุนวัตถุดิบที่ซื้อมา และไม่ได้ตัดเครื่องปรุงเครื่องใช้ออกเลย เจ้าของตัดสินใจขยายพื้นที่ร้านเพิ่ม และสั่งของมาเพิ่มอีก แต่เมื่อถึงเวลาตรวจสอบจริง พบว่ามีค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้ถูกบันทึก มีวัตถุดิบที่หมดอายุเพราะสั่งมาเกิน มีเครื่องปรุงที่หมดไปแล้วมีไม่พอทำให้เสียโอกาสในการขาย ทำให้เงินสดขาดมือและต้องกู้เงินเพิ่มโดยไม่จำเป็น ปัญหาเหล่านี้ เกิดขึ้นจากการที่เจ้าของขาดข้อมูลที่แท้จริงในการตัดสินใจ 2.2 ปัญหาด้านภาษีและค่าปรับที่ไม่คาดคิด หากไม่มีการบันทึกบัญชีอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้คุณพลาดการยื่นภาษีที่ถูกต้อง และอาจต้องเสียค่าปรับจากกรมสรรพากรโดยไม่จำเป็น การไม่มีข้อมูลบัญชีที่ชัดเจนยังทำให้คุณไม่สามารถใช้สิทธิหักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้เต็มที่ 2.3 เสียเวลาและเพิ่มภาระงานตอนท้ายปี การสะสมงานบัญชีไว้จนถึงสิ้นเดือนหรือสิ้นปี ทำให้ต้องเสียเวลามากในการตามหาข้อมูลย้อนหลัง หากคุณปล่อยให้บัญชีไม่อัปเดตเป็นเวลานาน คุณอาจต้องใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ในการจัดการข้อมูลแทนที่จะใช้เวลานั้นในการพัฒนาธุรกิจ ซึ่งเหตุการณ์นี้ผมคิดว่าหลายกิจการก็น่าจะเจอเหมือนกัน ตอนที่ผมทำบัญชีผมเจอบริษัทหลายแห่งเลยที่ไม่ได้บันทึกค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน พอถึงสิ้นปีต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือนๆในการไล่หาบิลและเอกสารบัญชี ทำให้การปิดงบล่าช้าและส่งผลกระทบต่อการยื่นภาษีและโดยค่าปรับยื่นแบบล่าช้าอีก แนวทางปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการบันทึกบัญชีล่าช้า 2.1 กำหนดเวลาในการบันทึกบัญชีเป็นประจำ ตั้งเวลาให้แน่นอน เช่น บันทึกบัญชีทุกวันหรืออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้องและอัปเดตอยู่เสมอ 2.2 ใช้ซอฟต์แวร์บัญชีช่วยจัดการ เลือกใช้ซอฟต์แวร์บัญชีที่ช่วยให้คุณสามารถบันทึกข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและอัตโนมัติ เช่น บันทึกยอดขาย ค่าใช้จ่าย และเงินสดเข้าออกโดยไม่ต้องทำมือทั้งหมด แน่นอนว่าตัวที่เราแนะนำก็คือโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK นี่เอง คุณสามารถทดลองใช้งานได้ฟรี 2.3 มอบหมายหน้าที่ให้พนักงานหรือนักบัญชี หากคุณไม่มีเวลาทำเอง อาจมอบหมายให้พนักงานที่มีความสามารถรับผิดชอบ หรือจ้างนักบัญชีภายนอกเพื่อช่วยดูแลการเงินของธุรกิจ ซึ่งที่ PEAK เองก็มีบริการแนะนำนักบัญชีที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการใช้โปรแกรม PEAK มาช่วยดูแลบัญชีให้คุณ ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 3 : ขาดการวางแผนภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ การวางแผนภาษีเป็นเรื่องที่เจ้าของธุรกิจหลายคนมักมองข้าม หรือเลื่อนออกไปจนถึงช่วงสิ้นปี ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดพลาด เสียโอกาสในการลดภาระภาษี และส่งผลต่อกระแสเงินสดของธุรกิจ การวางแผนภาษีที่ดีควรเริ่มตั้งแต่ต้นปีเพื่อให้สามารถบริหารจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง วิธีหลีกเลี่ยง การศึกษากฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม การเตรียมตัวสำหรับการชำระภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ และการจัดสรรเงินสำรองสำหรับการชำระภาษีจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการชำระภาษีล่าช้าและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น และควรเริ่มเลยตั้งแต่กลางๆปี ไม่ควรรอไปถึงสิ้นปีแล้วค่อยคิด เพราะว่าการดำเนินการต่างๆอาจจะไม่ทันปีภาษีได้ ผมอยากแนะนำให้ลองดูบทความนี้ครับ 6 กลยุทธ์การวางแผนภาษีธุรกิจ SMEs ปี 2568 ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 4 : การไม่ใช้เทคโนโลยีช่วยในงานบัญชี ในยุคดิจิทัล การทำบัญชีด้วยวิธีดั้งเดิม เช่น การใช้สมุดจดหรือ Excel อาจไม่เพียงพอสำหรับการบริหารธุรกิจที่เติบโตขึ้น โปรแกรมบัญชี สามารถช่วยให้เจ้าของธุรกิจบริหารการเงินได้ง่ายขึ้น แม่นยำขึ้น และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำบัญชีด้วยตนเอง ข้อดีของการใช้โปรแกรมบัญชี ✅ ลดข้อผิดพลาดในการคำนวณ – ระบบช่วยให้การบันทึกบัญชีและคำนวณภาษีถูกต้องอัตโนมัติ✅ ประหยัดเวลา – ไม่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงทำบัญชีเอง สามารถโฟกัสกับการบริหารธุรกิจได้เต็มที่ ด้วยเทคโนโลยี API ที่เชื่อมต่อกับระบบต่างๆ ทำให้ข้อมูลไหลไปเป็นอัตโนมัติ✅ ช่วยบริหารกระแสเงินสด – ติดตามรายรับ-รายจ่ายได้แบบเรียลไทม์ ทำให้เห็นภาพรวมการเงินของธุรกิจ✅ พร้อมสำหรับการตรวจสอบภาษี – ข้อมูลบัญชีครบถ้วน ลดความเสี่ยงจากปัญหาภาษีและค่าปรับที่ไม่จำเป็น✅ ใช้งานง่าย – ซอฟต์แวร์บัญชีในปัจจุบันสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ผ่านระบบคลาวด์ ช่วยให้การจัดการบัญชีสะดวกขึ้น ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 5 : การไม่เก็บเอกสารทางการเงินอย่างเป็นระบบ การเก็บรักษาเอกสารทางการเงิน เช่น ใบเสร็จและใบแจ้งหนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น และยังช่วยให้การทำบัญชีและการยื่นภาษีเป็นไปอย่างถูกต้องและง่ายขึ้น ลองทำตามคำแนะนำเหล่านี้เพื่อจัดการเอกสารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ เก็บเอกสารให้เป็นระบบ – แยกประเภทเอกสารเป็นหมวดหมู่ เช่น รายรับ ค่าใช้จ่าย เงินเดือน และภาษี ใช้แฟ้ม หรือโฟลเดอร์ดิจิทัลเพื่อให้ค้นหาได้ง่าย และต้องจัดเก็บไว้ให้ได้ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดด้วย ✅ ใช้ซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันช่วยจัดการ – บันทึกและสแกนใบเสร็จ/ใบแจ้งหนี้เก็บไว้ในระบบออนไลน์ เพื่อลดความเสี่ยงจากเอกสารสูญหาย และสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ โดยที่ PEAK เองเรามีระบบคลังเอกสาร ที่คุณสามารถถ่ายรูปจากมือถือ แล้วเก็บเอกสารเข้าไปในระบบได้เลย ✅ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางบัญชี – หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับการจัดเก็บเอกสารหรือข้อกำหนดทางภาษี ให้ปรึกษานักบัญชีเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง เราสามารถช่วยแนะนำคุณได้ ผมหวังว่าบทความ “5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ” นี้จะช่วยเป็นแนวทางให้เพื่อนๆ ผู้ประกอบการ หลีกเลี่ยงความผิดพลาดได้ และสามารถดำเนินธุรกิจโดยมีพื้นฐานด้านบัญชีที่แข็งแรง เพื่อรองรับการเติบโตของคุณได้ในอนาคตครับ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ คือ ทางเลือกที่จะช่วยให้คุณบริหารธุรกิจได้อย่างมีระบบ ด้วยการใช้งานที่ง่ายและฟีเจอร์ที่ครบครัน โปรแกรมนี้ช่วยให้คุณเห็นกำไร-ขาดทุนแบบ Real-Time และจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่ารอช้าที่จะนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาธุรกิจของคุณให้เติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

24 ม.ค. 2025

PEAK Account

23 min

เคล็ด(ไม่)ลับ เป็นนักบัญชีขั้นเทพกับ 6 ความรู้พื้นฐานบัญชีที่ต้องรู้

นักบัญชีของกิจการเป็นหัวใจหลักในการบริหารงานหลังบ้านให้ราบรื่นไม่แพ้งานหน้าบ้านอย่างการขายสินค้าหรือให้บริการ การมีความรู้และทักษะทางบัญชี ภาษีที่ดีจะช่วยให้นักบัญชีสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้จะพาผู้อ่านทุกท่านไปค้นหาว่าทักษะพื้นฐานใดของนักบัญชีที่มีความจำเป็นต่อสายอาชีพ และทักษะที่ถ้ามีเพิ่มเติมแล้วอาจจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่องค์กรได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีเกณฑ์ในการคัดนักบัญชีที่เหมาะสมได้ มาเริ่มกันเลย 6 ความรู้พื้นฐานที่นักบัญชีต้องรู้ 1. เข้าใจสมการบัญชี พื้นฐานการทำบัญชีเริ่มต้นจากการเข้าใจสมการทางบัญชี เนื่องจากถ้าไม่สามารถอธิบายได้ จะลงบัญชีไม่ถูกต้อง และงบการเงินไม่น่าเชื่อถือ โดยทั่วไปหลักของสมการ คือ ตัวเลขทางด้านซ้ายต้องเท่ากับตัวเลขทางด้านขวา ซึ่งสมการทางบัญชีก็เช่นกัน ดังนี้ สมการบัญชีกำหนดว่าสินทรัพย์จะต้องเท่ากับหนี้สินบวกด้วยทุนเสมอ เช่น กิจการนำเงินสดมาเปิดกิจการ 1,000 บาท สมการบัญชีจะเป็นดังนี้ สินทรัพย์(Assets) = หนี้สิน(Liabilities) + ส่วนของเจ้าของ(Owner’s Equity)1,000(เงินสด) = 0(ไม่มีหนี้) + 1,000(เงินลงทุน) และต่อมากิจการมีการกู้ยืมเงินจากธนาคารจำนวน 500 บาท โดยได้รับเงินเป็นเงินสด สมการบัญชีจะเปลี่ยนไป ดังนี้ สินทรัพย์(Assets) = หนี้สิน(Liabilities) + ส่วนของเจ้าของ(Owner’s Equity)1,500(เงินสด) = 500(เงินกู้) + 1,000(เงินลงทุน) สมการบัญชีเป็นจุดเริ่มต้นของงบการเงินที่ถูกต้อง ถ้านักบัญชีสามารถอธิบายสมการได้ ก็คาดเดาได้ว่าจะบันทึกบัญชี(การบันทึกบัญชีอาจเรียกว่าการเดบิต เครดิตก็ได้)จะถูกต้องในระดับหนึ่งแล้ว 2. เข้าใจเกณฑ์คงค้าง เกณฑ์การจัดทำบัญชีเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ของงบการเงินของนิติบุคคล เช่น ห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือบริษัทจำกัด เพราะถ้าไม่เข้าใจ ผลที่เกิดคือ อาจบันทึกรายได้หรือค่าใช้จ่ายผิดปีได้เลย การทำบัญชีมักจะบันทึกอยู่บนเกณฑ์ยอดนิยม 2 เกณฑ์ คือ เกณฑ์เงินสด (Cash Basis) และเกณฑ์คงค้าง(Accrual Basis) ซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้ เกณฑ์เงินสด (Cash Basis) คือ การบันทึกบัญชีเมื่อได้รับเงินแล้วเท่านั้น ซึ่งในทางบัญชีและภาษีมักใช้เกณฑ์กับการรับรู้รายรับ และรายจ่ายของบุคคลธรรมดา เพราะเข้าใจง่าย ใครๆ ก็ทำได้บนกระดาษ เกณฑ์คงค้าง(Accrual Basis) คือ การบันทึกบัญชีเมื่อธุรกรรมนั้นเกิดขึ้นแล้ว เช่น มีการขายสินค้าหรือให้บริการแล้ว โดยไม่สนใจว่าจะได้รับเงินสดแล้วหรือไม่ ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ใช้ทำบัญชีและยื่นภาษีของนิติบุคคล จึงเป็นเกณฑ์ที่สำคัญมากที่นักบัญชีต้องรู้ ตัวอย่างเช่น กิจการทำธุรกิจขายสบู่ ได้ขายสบู่ให้แก่ลูกค้าในปี 2566 แต่ได้รับชำระเงินในปี 2568 การบันทึกบัญชีของแต่ละเกณฑ์จะเป็นดังนี้ เกณฑ์เงินสด เกณฑ์คงค้าง ปีที่บันทึกบัญชีขายสินค้า – ปี 2566 ปีที่บันทึกบัญชีรับชำระเงิน ปี 2568 ปี 2568 จะเห็นว่าเกณฑ์เงินสดจะบันทึกบัญชีแค่ครั้งเดียว ทำได้ง่าย แต่ไม่ค่อยสะท้อนให้เห็นความเป็นจริงว่ารายได้ที่แท้จริงเกิดขึ้นปีไหน ทั้งๆที่รายได้เกิดในปี 2566 แต่บันทึกในปี 2568 ซึ่งนานถึง 2 ปี มักใช้กับการทำบัญชีของบุคคลธรรมดาเพราะไม่ต้องการข้อมูลที่ละเอียดมาก และง่ายต้องการจัดทำ ส่วนเกณฑ์คงค้างจะบันทึกบัญชีหลายครั้งแต่ช่วยให้เห็นข้อมูลที่ถูกต้องมากขึ้นว่าแท้จริงแล้วรายได้เกิดปี 2566 แต่มารับเงินในปี 2568 จึงเป็นเกณฑ์ที่นำมาใช้ในการบันทึกบัญชีและทำภาษีของนิติบุคคลนั่นเอง 3. แยกระหว่างสินทรัพย์และค่าใช้จ่ายได้ ถ้ากิจการซื้อแก้วน้ำมา 1 ใบ ถือว่าเป็นสินทรัพย์หรือค่าใช้จ่ายของกิจการ? คำตอบ คือ สามารถเป็นได้ทั้ง 2 อย่างขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้แก้วน้ำนั้น โดยหลักการพิจารณาว่าเป็นสินทรัพย์หรือค่าใช้จ่ายนั้นต้องอิงตามหลักการบัญชี คือ การดูว่าสิ่งของนั้นกิจการตั้งใจใช้งานเกินกว่า 1 ปีหรือไม่ ถ้าใช้แล้วหมดไปภายใน 1 ปีจะถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการ แต่ถ้าใช้ได้มากกว่า 1 ปี เช่น 2 ปี จะถือเป็นสินทรัพย์ของกิจการและค่อยๆ ทยอยตัดเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละปี ตัวอย่างเช่น กิจการซื้อแก้วน้ำพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งแบบนี้จะถือเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการ แต่ถ้ากิจการซื้อแก้วน้ำเก็บความเย็นซึ่งสามารถใช้งานได้มากกว่า 1 ปี จะต้องบันทึกเป็นสินทรัพย์และทยอยตัดเป็นค่าใช้จ่ายตามจำนวนปีที่ต้องการใช้งาน การแยกประเภทสินทรัพย์และค่าใช้จ่ายที่ถูกต้องนั้น จะช่วยให้งบการเงินของกิจการสะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น กล่าวคือ ค่าใช้จ่ายไม่สูงเกินไป หรือสินทรัพย์ไม่สูงเกินไป 4. เข้าใจเอกสารค้าขาย เอกสารที่เกิดขึ้นในการค้าขายมีหลายประเภท เช่น ใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี หรือใบเสร็จรับเงิน เป็นต้น การที่เราต้องเข้าใจเอกสารแต่ละประเภทจะช่วยให้เราตัดสินใจว่าสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร  ตัวอย่างเช่น 5. เข้าใจภาษีพื้นฐาน นอกจากเรื่องบัญชีแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่นักบัญชีต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องภาษีธุรกิจ เพราะเมื่อรายการทางบัญชีเกิดขึ้น ภาระทางภาษีมักจะเกิดขึ้นเสมอเหมือนเป็นเงาตามตัวผู้ประกอบการ ทำให้นักบัญชีต้องเข้าใจเรื่องภาษีและวิธียื่นและนำส่งภาษีเพื่อป้องกันค่าปรับจากการปฏิบัติทางภาษีผิดพลาด ตัวอย่างเช่น  6. รู้จักประเภทของเงินได้และความแตกต่างของเงินได้ สรรพากรเรียก “เงินได้” ว่า “รายได้” โดยกำหนดไว้อยู่ 8 ประเภท สาเหตุที่ต้องเข้าใจว่าเงินได้ทั้ง 8 ประเภทนั้น เพราะมีผลต่อการคำนวณภาษีที่ต้องเสีย เช่น การเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายว่าต้องหักกี่ % จะขึ้นอยู่กับประเภทเงินได้  สรุปเงินได้ 8 ประเภท นอกจาก 6 ความรู้พื้นฐานดังกล่าวมาแล้ว การเข้าใจธุรกิจที่เราทำทำบัญชีให้อยู่นั้นก็ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะทำให้นักบัญชีมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น เพราะการเข้าใจบริบทของธุรกิจที่เราทำบัญชีให้ เนื่องจากมีผลต่อการบันทึกบัญชีสูงมาก ค่าใช้จ่ายประเภทเดียวกันแต่อยู่ในแต่ละธุรกิจอาจบันทึกบัญชีไม่เหมือนกัน หรือพูดง่ายๆ คือ คนละขั้วกันนั้นเอง ลองมาดูตัวอย่างข้างล่างกันครับ ตัวอย่างเช่น กิจการซื้อแก้วพลาสติกมา 100 บาท ถ้าเป็นกิจการที่ซื้อมาเพื่อใช้ในออฟฟิศให้ลูกค้ากินแบบนี้จะถือว่าเป็นค่าใช้จ่าย แต่ถ้ากิจการที่ทำธุรกิจขายแก้วพลาสติก การจ่ายเงินนี้ไม่ถือว่าเป็นค่าใช้จ่าย แต่จะถือว่าเป็นสินทรัพย์ ก็คือ “สินค้า” เพราะกิจการซื้อมาเพื่อขายไม่ได้ซื้อมาเพื่อใช้ นี้เป็นเพียงตัวอย่างเดียว จริงๆ รายได้และค่าใช้จ่ายในแต่ละธุรกิจมีบริบทที่แตกต่างกัน การที่เรารับนักบัญชีเก่งๆ มาหนึ่งแม้จะเก่งบัญชีและภาษีมากแค่ไหน แต่ถ้าไม่เข้าใจธุรกิจที่ทำงานให้อยู่จริงๆ โอกาสทำบัญชีผิดพลาดมีสูงมากๆ ครับ การเข้าใจลักษณะและกระบวนการทำงานของธุรกิจที่ตนเองทำบัญชีอยู่จะช่วยให้นักบัญชีสามารถให้คำแนะนำและจัดการทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3 ทักษะด้านอื่นๆ ยิ่งมี ยิ่งดี นอกจากเรื่องบัญชี ภาษี และการเข้าใจธุรกิจเป็นสิ่งที่สำคัญที่บอกได้ว่าใครเป็นนักบัญชีที่เก่งแล้ว ถ้านักบัญชีมีทักษะด้านอื่นๆ เพิ่มเติมจะช่วยยกศักยภาพให้สูงได้ ดังนี้ 1. ทำประมาณการรายได้-ค่าใช้จ่ายได้ ปกตินักบัญชีจะค่อนข้างอยู่กับข้อมูลในอดีต เช่น การบันทึกเอกสารก็เป็นเอกสารที่เกิดขึ้นไปแล้ว และนำมาบันทึกให้ทีหลัง ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้านักบัญชีจะไม่สามารถทำงบประมาณรายรับ-รายจ่ายในอนาคตได้ถนัด เพราะต้องใช้อีกทักษะอื่นๆ และข้อมูลอื่นๆ ในการจัดทำด้วย เช่น อัตราเงินเฟ้อ กระแสเงินสดรับ-จ่ายที่จะเข้ามา แนวโน้มยอดขาย เป็นต้น การทำงบประมาณต้องได้รับความร่วมมือจากหลายแผนกในการให้ข้อมูลและพูดคุย และนำข้อมูลต่างๆ มาจัดทำเป็นงบประมาณเพื่อเป็นเป้าให้แก่ฝ่ายต่างๆในกิจการ ถ้านักบัญชีสามารถมีทักษะนี้ได้ จะช่วยให้เราสามารถนำข้อมูลในอดีตมาวิเคราะห์ และจัดทำประมาณการตัวเลขในอนาคตให้กิจการได้อีกด้วย การจัดทำประมาณการรายได้-ค่าใช้จ่าย มีข้อดีมากมาย เช่น ทำให้ทราบสภาพคล่องที่แท้จริงทางการเงิน ทราบแหล่งที่มาของรายได้อย่างชัดเจน วางแผนประหยัดค่าใช้จ่ายและภาษีเงินได้ รวมถึงเป็นตัวกำหนดตัวชี้วัดผลงาน(KPI) ของแผนกต่างๆได้อีกด้วย 2. เข้าใจบัญชีบริหาร ที่เราพูดถึงเรื่องการบันทึกบัญชีต่างๆ มาเราจะเรียกกันว่า “บัญชีการเงิน” เป็นการบันทึกบัญชีตามสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอนาคต แต่มีอีกศาสตร์หนึ่งที่เรียกว่า “บัญชีบริหาร” คือ การนำข้อมูลทางบัญชีไปใช้ในการตัดสินใจบางอย่าง ตัวอย่างเช่น กิจการพึ่งเปิดธุรกิจมาได้ 1 ปี ที่ผ่านมาต้องเช่าโรงงานของคนอื่นเพื่อผลิตสินค้า อยากถามว่าในปีหน้ากิจการควรเช่าโรงงานต่อ หรือสร้างโรงงานเป็นของตัวเองดี? หรือ กิจการผลิตสินค้าและขายเป็นปกติอยู่แล้วแต่มีกำลังการผลิตเหลือ พอดีมีคนมาเสนอให้ผลิตสินค้าแบรนด์อื่น กิจการควรรับงานนี้หรือไม่? สังเกตว่าคำถามข้างต้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถตอบได้ในทันที และไม่สามารถใช้ข้อมูลในอดีตมาใช้ในการตอบได้อย่างเพียงพอ สิ่งเหล่านี้จะเป็นการประยุกต์ใช้โดยการนำข้อมูลในอดีตผสมกับแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ เช่น ต้นทุนค่าเสียโอกาส เพราะการเลือกทำหรือไม่ทำจะต้องมีต้นทุนค่าเสียโอกาสอยู่เสมอ ถ้านักบัญชีมีทักษะนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กิจการได้มหาศาลเลยครับ 3. วางแผนภาษีได้ บางคนอาจสงสัยว่าการรู้เรื่องภาษีเป็นสิ่งพื้นฐานแล้ว ทำไมในหัวข้อนี้ภาษีจึงเป็นทักษะอื่นๆ นั้นเพราะภาษีที่พูดก่อนหน้านี้เป็นพื้นฐาน เช่น รู้ว่าภาษีแต่ละประเภทคืออะไร เกี่ยวข้องกับกิจการยังไง คำนวณยังไง ใช้แบบภาษีชื่ออะไร และยื่นเมื่อไหร่ มีวัตถุประสงค์เพื่อทำตามที่กฎหมายกำหนดให้ทำทุกเดือนหรือทุกปี แต่การวางแผนภาษีจะเป็นเรื่องของการรวบรวมประสบการณ์และองค์ความรู้ในข้อกฎหมายภาษี (ที่เรียกกันว่า “ประมวลรัษฏากร”) มาใช้ประหยัดภาษีของกิจการ ซึ่งผู้ประกอบการหลายมักคนมักคิดว่านักบัญชีทุกคนต้องรู้เรื่องการวางแผนภาษีเป็นอย่างดี แต่จริงๆ แล้วเรื่องภาษีเป็นเรื่องของกฎหมายล้วนๆ ซึ่งต้องใช้ทั้งประสบการณ์และองค์ความรู้ในระดับหนึ่งเลย ตัวอย่างเช่น ตอนนี้เราได้รู้กันแล้วว่า 6 ความรู้พื้นฐานที่นักบัญชีต้องมี เริ่มตั้งแต่ เข้าใจสมการบัญชี เข้าใจเกณฑ์คงค้าง เข้าใจเอกสารค้าขาย เข้าใจภาษีพื้นฐาน รู้จักประเภทเงินได้ แยกสินทรัพย์กับหนี้สินได้ และสุดท้ายต้องเข้าใจธุรกิจที่ทำบัญชีให้ นอกจากนี้ถ้านักบัญชีมี 3 ทักษะนี้เพิ่มเติมจะช่วยมูลค่าในตัวเองได้มากขึ้น ได้แก่ ทำงบประมาณรายได้ค่าใช้จ่ายได้ เข้าใจบัญชีบริหาร และวางแผนภาษี แต่ขอบอกว่าทักษะอื่นๆ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สามทักษะนี้นะครับ นักบัญชีสามารถเก่งในด้านอื่นๆ ได้เช่นกัน กล่าวคือ เก่งอะไรก็ได้ที่ช่วยให้กิจการดีขึ้นและเติบโตไปพร้อมๆ กับนักบัญชี ท้ายนี้ผมขอบคุณทุกท่านมากๆ ที่ติดตาม 10 กฎพื้นฐานด้านการเงินสำหรับ SMEs ตั้งแต่ EP แรกจนถึงตอนสุดท้ายนี้ หวังเหลือเกินผู้อ่านทุกท่านจะได้ประโยชน์และสาระดีๆ จากบทความของผม เพื่อไปปรับประยุกต์ใช้กับกิจการของท่านครับ โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

7 ม.ค. 2025

PEAK Account

8 min

รู้หรือไม่ PEAK ออก e-Tax Invoice ได้ พร้อมรองรับโครงการ Easy E-Receipt 2.0 

การใช้ e-Tax Invoice จะช่วยให้ธุรกิจ SMEs ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระเอกสาร และทำให้การจัดการภาษีเป็นเรื่องง่ายขึ้น หากคุณต้องการให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเปลี่ยนมาใช้ระบบ e-Tax Invoice จึงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าในระยะยาว โดย PEAK ออก e-Tax Invoice ได้ พร้อมทั้งสามารถใช้งานร่วมกับโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ซึ่งทำให้การจัดการเอกสารภาษีสะดวกและทันสมัยมากยิ่งขึ้น หากคุณสนใจระบบ e-Tax Invoice สามารถใช้งานได้ผ่าน PEAK ที่รองรับระบบการออกใบกำกับภาษีได้หลายรูปแบบ มาดูกันว่า PEAK รองรับระบบ e-Tax Invoice ได้กี่รูปแบบ e-Tax Invoice คืออะไร? e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เป็นเอกสารที่ออกและเก็บในรูปแบบดิจิทัล แทนการใช้กระดาษ โดยต้องเป็นไปตามมาตรฐานของกรมสรรพากร ซึ่งช่วยให้การทำธุรกรรมทางภาษีสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากขึ้น ประโยชน์ของ e-Tax Invoice สำหรับธุรกิจ SMEs e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ มีประโยชน์อย่างมากสำหรับธุรกิจ SMEs โดยช่วยให้การจัดการเอกสารทางบัญชีและภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้น มาดูรายละเอียดเพิ่มเติมของประโยชน์เหล่านี้กัน 1. ลดต้นทุนการจัดเก็บเอกสาร 2. ลดภาระงานเอกสาร 3. เพิ่มความแม่นยำ ลดข้อผิดพลาด 4. อำนวยความสะดวกในการตรวจสอบ ทำไมต้องใช้ PEAK ในการออก e-Tax Invoice? PEAK เป็นระบบบัญชีออนไลน์ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถออก e-Tax Invoice ได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐานกรมสรรพากร และรองรับโครงการ Easy E-Receipt อย่างสมบูรณ์ PEAK รองรับ Easy E-Receipt ทั้ง e-Tax Invoice by Time Stamp และ e-Tax Invoice & e-Receipt จุดเด่นของการที่ PEAK ออก e-Tax Invoice ได้ ร้านค้าจะเริ่มต้นใช้งานให้ PEAK ออก e-Tax Invoice ได้ อย่างไร? 1. ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt 2. สมัครใช้งานระบบ PEAK ผ่านเว็บไซต์ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ 3. ตั้งค่าระบบ e-Tax Invoice ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ 4. ออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ได้ทันที PEAK รองรับการออก e-Tax Invoice ครบทุกประเภท ทั้ง e-Tax Invoice & e-Receipt และ e-Tax Invoice by Timestamp ช่วยให้ธุรกิจ SMEs ลดภาระงานเอกสาร ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเชื่อมต่อกับกรมสรรพากรอย่างถูกต้อง หากต้องการระบบที่ช่วยให้การออกเอกสารภาษีง่ายขึ้น PEAK คือตัวเลือกที่ดีที่สุด ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก