คลังความรู้บัญชี ภาษี และโปรแกรมบัญชีออนไลน์

ติดตามข้อมูลข่าวสาร บทความน่ารู้ด้านบัญชี ภาษี การเงิน และธุรกิจที่เป็นประโยชน์ สำหรับผู้ประกอบการและนักบัญชี

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

ล่าสุด

3 Apr 2024

PEAK Account

3 min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 03/04/2024

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✨ 1. เพิ่มตัวเลือกตั้งค่าช่องทางเงินสดและสำรองรับจ่ายในช่องทางหลักบนเอกสารรับ-จ่ายเงิน 📢 สำหรับกิจการที่ใช้ช่องทางเงินสดหรือสำรองรับจ่ายเป็นช่องทางการเงินหลักในการรับเงิน-จ่ายเงิน ระบบทำการเพิ่มตัวเลือกช่องทางการเงินประเภทเงินสดและสำรองรับจ่าย เพื่อช่วยลดระยะเวลาในการทำรับชำระหรือจ่ายชำระเงินบนเอกสาร ตัวอย่างการตั้งค่าช่องทางเงินสดและสำรองรับจ่ายที่หน้าเอกสาร ✨ 2. เพิ่มการสร้างและลบรายการเคลื่อนไหวที่หน้ากระทบยอดธนาคาร 📢สำหรับผู้ใช้งานฟังก์ชันกระทบยอดธนาคาร เมื่อทำการนำเข้าไฟล์กระทบยอดธนาคารเข้าระบบ ผู้ใช้งานสามารถเพิ่มรายการที่ต้องการกระทบยอดได้เอง รวมถึงสามารถแก้ไขจำนวนในรายการกระทบยอด เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถแก้ไขข้อมูลและทำงานสะดวกมากขึ้น ขอบคุณข้อเสนอแนะ โดยคุณรัตนา บริษัท ไทย อกริ คอมเมิร์ซ จำกัด ✨ 3. เพิ่มช่องผู้ติดต่อและปรับการแสดงข้อมูลในรายงานบัญชีแยกประเภท 📢 สำหรับผู้ใช้งานที่ใช้รายงานบัญชีแยกประเภทเพื่อดูข้อมูลทางบัญชีตามผู้ติดต่อ ระบบเพิ่มช่องรหัส รายชื่อผู้ติดต่อเข้าไปในรายงานและปรับให้เลขที่รายวันย้ายไปคอลัมน์ที่ 2 เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานเห็นว่ารายการค้าเกิดขึ้นกับผู้ติดต่อรายไหน และให้การตรวจสอบตัวเลขบัญชีเพื่อใช้ปิดงบการเงิน สามารถจัดการได้สะดวกขึ้น ขอบคุณข้อเสนอแนะ โดยคุณ Baranee บริษัท เคทีซี จำกัด ✨ 4. เพิ่มการแสดงข้อมูลเชิงลึกของผู้ติดต่อที่เป็นนิติบุคคล 📢  สำหรับกิจการที่ต้องการดูข้อมูลผู้ติดต่อ สามารถดูข้อมูลเชิงลึกไม่ว่าจะเป็นวัตถุประสงค์ของบริษัท อายุบริษัทหรือทุนจดทะเบียน โดยข้อมูลดึงจากเว็บไซต์ Creden Data เพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมให้กับผู้ใช้งานเพื่อพิจารณาในการทำธุรกิจ

3 Apr 2024

PEAK Account

2 min

Update Function 03/04/2024

PEAK with the new function designed to enhance efficiency. ✨ 1. Add options to set cash and expense claim channels in the primary channel on the payment receipt document 📢 For businesses utilizing cash and expense claim channels as primary financial conduits for receiving and disbursing funds, the system now offers the option to add cash and expense claim-type financial channels. This enhancement aims to reduce processing time for receiving payments or making payments on documents. Example of setting up cash and reserve payment channels on a document ✨ 2. Add the ability to create and delete transactions on the bank balance impact page 📢 For users of the bank balance impact function, when importing bank balance impact files into the system, users can manually add entries they wish to include in the bank balance impact. Additionally, users can modify the quantities in the bank balance impact entries. The system will display the imported file format and user information who modified the data, enabling users to edit information and work more conveniently. Thank you for the suggestions, by Rattana, Thai Agri Commerce Company Limited. ✨ 3. Add contact field and adjust data display in the general ledgers report 📢 For users utilizing categorized account reports to view accounting data by contacts, the system now adds a field for contact code and contact name to the report and adjusts so that transaction numbers move to column 2. This enhancement allows users to see which contacts transactions are associated with and facilitates convenient management for financial closing reconciliation purposes. Thank you for the suggestions, by Baranee, from KTC Company Limited. ✨ 4.  Enhance display of detailed information for corporate contacts 📢For businesses seeking to access detailed contact information, including company objectives, age of the company, or registered capital, data can be retrieved from the Creden Data website. This additional information assists users in evaluating business opportunities.

27 Mar 2024

PEAK Account

12 min

เฟอร์นิเจอร์สำคัญ เปลี่ยนพื้นที่ทำงานให้มีประสิทธิภาพได้

ประเด็นสำคัญ เฟอร์นิเจอร์สำคัญ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การจัดพื้นที่ทำงานให้เหมาะสมเปรียบเสมือนการวางรากฐานการทำงานที่ดี มีประสิทธิภาพ โดยเฟอร์นิเจอร์ 3 ชิ้นหลักที่มีความสำคัญต่อการทำงาน ได้แก่ โต๊ะทำงาน เก้าอี้ทำงาน และลิ้นชักใส่ของ เปรียบเสมือนอาวุธคู่กายที่จะช่วยให้การทำงานของคุณราบรื่น สะดวกสบายมากขึ้น 1. โต๊ะทำงาน การเลือกใช้โต๊ะทำงานควรให้ความสำคัญกับขนาดที่เหมาะสม หากมีพื้นที่ทำงานขนาดใหญ่ กว้างขวาง ไม่ควรเลือกโต๊ะที่แคบจนเกินไป อาจทำให้รู้สึกอึดอัด เคลื่อนไหวลำบาก ให้เลือกโต๊ะทำงานขนาด 160 x 80 ซม. ก็เพียงพอแล้ว เช่นเดียวกับห้องที่มีพื้นที่ทำงานจำกัด หากเลือกโต๊ะที่เล็กเกินไป อาจทำให้วางของได้ไม่เพียงพอ ทางที่ดีควรเลือกโต๊ะทำงานขนาด 120 x 60 ซม. ถึงจะเพียงพอต่อการใช้งาน นอกจากขนาดโต๊ะแล้ว ความสูงของโต๊ะก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ควรเลือกโต๊ะทำงานที่สามารถปรับระดับได้ เพื่อให้เหมาะกับสรีระของผู้ใช้งาน ช่วยให้นั่งทำงานได้อย่างสบาย โดยไม่ต้องก้มหรือโน้มตัวมากเกินไป ทั้งนี้ โต๊ะทำงานที่วัสดุทนทาน ทำความสะอาด และดูแลรักษาง่าย จะช่วยยืดอายุการใช้งาน ให้คุณนั่งทำงานกับโต๊ะตัวโปรดได้นานยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องเปลี่ยนโต๊ะบ่อยๆ ให้สิ้นเปลือง OfficeMate แนะนำโต๊ะที่เหมาะสมสำหรับทำงาน โต๊ะทำงานที่ดีจะส่งผลดีต่อทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต ประสิทธิภาพในการทำงาน และบรรยากาศการทำงาน แนะนำโต๊ะทำงานเฟอร์ราเดค รุ่น ST120DA-P จาก OFM ช่วยปรับให้ท่านั่งให้ถูกต้อง ลดอาการปวดเมื่อย คุ้มค่าเกินราคา โต๊ะทำงานที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณ  ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก: nbsp; 2. เก้าอี้ทำงาน เก้าอี้ทำงานที่เหมาะกับการนั่งทำงานตลอดวัน ควรมีพนักพิงที่รองรับส่วนโค้งตามธรรมชาติของหลังส่วนล่าง รองรับช่วงเอวให้กระดูกสันหลังของผู้นั่งอยู่ในแนวตรง และควรปรับระดับความสูง พนักพิง หรือที่วางแขนได้ เพื่อรองรับสรีระของผู้ใช้งาน ช่วยให้นั่งทำงานได้อย่างสบาย ลดอาการปวดหลัง คอ และลดความเมื่อยล้า นอกจากนี้ วัสดุของเก้าอี้ควรเป็นวัสดุที่ระบายอากาศได้ดี และทำความสะอาดง่าย เช่น ผ้าตาข่าย ช่วยให้นั่งทำงานได้นานโดยไม่รู้สึกอึดอัด หรือเลือกเก้าอี้ที่มีฟังก์ชันโยกเอน ช่วยให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการเมื่อยล้าจากการนั่งทำงานเป็นเวลานานได้ OfficeMate แนะนำเก้าอี้สุขภาพที่เหมาะสมสำหรับทำงาน การนั่งทำงานในท่าที่ถูกต้อง ช่วยให้มีสมาธิ และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เก้าอี้ Haru ช่วยให้คุณนั่งทำงานได้อย่างสบายโดยไม่ต้องกังวลเรื่องอาการปวดเมื่อย ส่งผลให้คุณมีสมาธิจดจ่อกับงานมากขึ้น เก้าอี้ทำงานเพื่อสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงานของคุณ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก: nbsp; 3. ชั้นวางของ โต๊ะทำงานที่รก ไม่เป็นระเบียบ อาจสะท้อนถึงความคิด และการทำงานที่ยุ่งเหยิง การจัดระเบียบพื้นที่ทำงานด้วยลิ้นชักเก็บของที่เหมาะสม จึงเป็นกุญแจสำคัญสู่งานที่มีประสิทธิภาพ และความคิดสร้างสรรค์ ฉะนั้น การมีลิ้นชักวางของดีๆ จะช่วยเก็บของให้เป็นระเบียบ หาง่าย และช่วยให้โต๊ะทำงานดูเรียบร้อยขึ้น เริ่มจากการเลือกลิ้นชักให้เหมาะสมกับพื้นที่ทำงาน โต๊ะทำงานขนาดเล็กควรเลือกตู้ลิ้นชักแบบกะทัดรัด สูงไม่เกินระดับสายตา ช่วยให้หยิบจับของสะดวก เช่น ตู้ลิ้นชัก 2-3 ลิ้นชัก วางซ้อนกัน หรือตู้ลิ้นชักแบบติดใต้โต๊ะ ส่วนโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ ให้เลือกตู้ลิ้นชักที่มีหลายลิ้นชัก เก็บของได้มากขึ้น เช่น ตู้ที่มี 4-5 ลิ้นชัก หรือตู้ลิ้นชักแบบตั้งพื้นความสูงเหนือโต๊ะ เป็นการเพิ่มพื้นที่ในการเก็บของไปในตัวด้วย ควรเลี่ยงลิ้นชักที่ใหญ่เทอะทะ กีดขวางการทำงาน และมีน้ำหนักมากจนเกินไป ทำให้ไม่สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย รวมถึงไม่ควรเลือกลิ้นชักที่แคบ ความจุไม่เพียงพอต่อการเก็บของ เพราะหากวางของจนแน่นเกินไป อาจทำให้ลิ้นชักพังเสียหาย หรือหยิบจับสิ่งของได้ไม่สะดวก OfficeMate แนะนำลิ้นชักใส่ของที่เหมาะสมสำหรับห้องทำงาน ลิ้นชักเปรียบเสมือนผู้ช่วยตัวจิ๋วสำหรับโต๊ะทำงาน ช่วยเก็บของให้เป็นระเบียบ หยิบจับสะดวก เพิ่มพื้นที่ทำงานให้กว้างขวางขึ้น การเลือกลิ้นชักที่เหมาะสม จะช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และราบรื่น OFM แนะนำตู้ลิ้นชักเหล็กล้อเลื่อน 3 ชั้น สีขาว เฟอร์ราเดค ตอบโจทย์คุณ! หมดปัญหาของรก หาของไม่เจอ พร้อมเพิ่มพื้นที่ทำงานได้อีกเยอะ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก: nbsp; สรุป นอกจากเฟอร์นิเจอร์ 3 ชิ้นหลักแล้ว ยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงาน เช่น แสงสว่าง การระบายอากาศ และการตกแต่งพื้นที่ทำงาน ช่วยเพิ่มประสบการณ์การทำงานที่ดีขึ้น หากไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง อาจลองเอาคำแนะนำที่ OfficeMate นำมาฝากไปปรับใช้กับพื้นที่ทำงานของคุณได้  หากต้องการเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ ที่ช่วยให้พื้นที่ทำงานของคุณดูเป็นระเบียบ สะดวก สบาย ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เข้ามาเลือกดูได้ที่ OfficeMate เมื่อกิจการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่จะช่วยสร้างพื้นที่การทำงานที่มีประสิทธิภาพเรียบร้อยแล้ว ต้องการบันทึกค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้เป็นรายจ่ายของบริษัทอย่างครบถ้วน ถูกต้อง แม่นยำแล้ว PEAK โปรแกรมบีญชีออนไลน์ คือ คำตอบของการทำงานบัญชีที่มีประสิทธิภาพ

อ่านบทความเพิ่มเติม

บัญชี

ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับบัญชี

อ่านบทความเพิ่มเติม

27 Mar 2024

PEAK Account

12 min

“นักบัญชี” บทบาทสำคัญที่ผู้ประกอบการควรรู้

ประเด็นสำคัญ  ในยุคสมัยที่ธุรกิจมีความซับซ้อน การเงินกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ขับเคลื่อนความสำเร็จ เจ้าของธุรกิจหลายคนจึงมองหานักบัญชีมืออาชีพเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระ  แล้วธุรกิจขนาดเล็กล่ะ? จำเป็นต้องจ้างนักบัญชีด้วยหรือ? ก็ต้องบอกว่าหากเจ้าของธุรกิจที่ต้องการข้อมูลทางการเงินที่ถูกต้องเพื่อใช้ในการตัดสินใจอย่างเป็นระบบ ควรมีนักบัญชีมืออาชีพมาช่วยจัดการ แต่การจ้างนักบัญชีสักคน ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องพิจารณาถึงคุณสมบัติหลายประการด้วยเช่นกัน นักบัญชีกับบทบาทในกิจการ บทความนี้ PEAK ร่วมกับ OfficeMate จะพาคุณไปรู้จักกับบทบาทที่หลากหลาย ทักษะที่จำเป็น รวมถึงประเภทของนักบัญชี เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้กับผู้ประกอบการที่กำลังมองหานักบัญชี นักบัญชีเปรียบเสมือนผู้ดูแลด้านการเงินของธุรกิจ หน้าที่หลักของพวกเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่การบันทึกรายรับรายจ่ายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่องสำคัญต่างๆ เหล่านี้ด้วยเช่นกัน 1. การจัดทำบัญชี นักบัญชีทำหน้าที่จัดทำงบดุล งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด และรายงานทางการเงินอื่นๆ เปรียบเสมือนภาพสะท้อนสถานะทางการเงินของธุรกิจ ช่วยให้เจ้าของธุรกิจเข้าใจถึงสถานะทางการเงิน สามารถวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. การเสียภาษี นักบัญชีจะคำนวณภาษี เตรียมเอกสาร และยื่นแบบแสดงรายการภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจให้ครบถ้วน ถูกต้องตามกฎหมาย ช่วยให้ธุรกิจไม่ต้องเสียค่าปรับ เงินเพิ่มจากการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องโดยไม่จำเป็นได้ 3. การวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน นักบัญชีจะวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน เช่น อัตราส่วนทางการเงิน จุดคุ้มทุน กระแสเงินสด เพื่อช่วยให้เจ้าของธุรกิจตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การวิเคราะห์อัตราส่วนสภาพคล่อง ช่วยให้เจ้าของธุรกิจทราบว่าธุรกิจมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะชำระหนี้สินระยะสั้นหรือไม่ หรือหากมีความผิดปกติทางการเงินเกิดขึ้น นักบัญชีจะได้นำเสนอข้อมูลต่อผู้บริหาร เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที  4. การให้คำปรึกษาทางการเงิน นักบัญชีสามารถให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการวางแผนภาษี การจัดการเงินทุน การลงทุน และอื่นๆ ช่วยให้เจ้าของธุรกิจบริหารจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักบัญชีมืออาชีพควรมีทักษะอะไรบ้าง นอกเหนือจากความรู้ด้านบัญชีซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญแล้ว นักบัญชีจำเป็นจะต้องมีทักษะบางประการที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานที่มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับการทำงานร่วมกับ ทีมอื่นๆ ในบริษัทได้เป็นอย่างดี ได้แก่ 1. การใช้โปรแกรมบัญชี นักบัญชีควรมีความเชี่ยวชาญในการใช้งานโปรแกรมบัญชีที่รองรับระบบบัญชีของบริษัท ซึ่งจะช่วยให้ทำงานได้รวดเร็ว แม่นยำ และลดความผิดพลาดต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ 2. การสื่อสาร หน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งของนักบัญชี ก็คือ การอธิบายข้อมูลทางการเงินให้เจ้าของธุรกิจเข้าใจได้อย่างชัดเจน เช่น การนำเสนอผลประกอบการ อธิบายสาเหตุของกำไรหรือขาดทุน ดังนั้น นักบัญชีจึงควรมีทักษะในการสื่อสารที่ดี เพื่อถ่ายทอดข้อมูลดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. กฎหมาย นักบัญชีควรมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายภาษีอากร กฎหมายแรงงาน กฎหมายธุรกิจ และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ช่วยให้ธุรกิจปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง 4. การคิดวิเคราะห์ เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน หาสาเหตุของปัญหาและเสนอแนะแนวทางแก้ไข เช่น การวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน ปัญหาที่เกิดขึ้น ตลอดจนแนวทางแก้ไขที่ควรปฏิบัติ เป็นต้น  นักบัญชีกับประเภทงานบัญชีของกิจการ การจัดการงานบัญชีนั้นจะเกี่ยวข้องกับงานหลายส่วน จึงสามารถแบ่งงานบัญชีออกเป็นประเภทต่างๆ ซึ่งมีความรับผิดชอบการดำเนินงานที่แตกต่างกัน ดังนี้ 1. การบัญชีการเงิน เป็นงานบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำบัญชีและนำเสนอรายงานทางการเงิน ตลอดจนงบการเงินของกิจการที่จัดทำขึ้นภายใต้มาตรฐานบัญชี เพื่อนำข้อมูลต่อฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งภายในและนอกองค์กร 2. การบัญชีบริหาร เป็นการจัดทำบัญชีและรายงานทางการเงินขององค์กรต่อฝ่ายบริหารเพื่อนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในการวางแผนการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ 3. การบัญชีต้นทุน เป็นวิธีการทางบัญชีที่ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลต้นทุนของธุรกิจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำใช้ในการจัดทำรายงานทางการเงินตลอดจนวิเคราะห์และจำแนกข้อมูลเพื่อใช้ในการบริหารต้นทุนของกิจการ เพื่อให้ทราบถึงต้นทุนการผลิต ต้นทุนขาย ตลอดจนตีราคาสินค้าคงเหลือ เพื่อนำไปสู่การวางแผนบริหารจัดการต้นทุนต่อไป 4. การตรวจสอบบัญชี เป็นกระบวนการตรวจสอบรายการทางบัญชี ตลอดจนหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงบัญชีของบุคคลหรือองค์กร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้เห็นว่ารายการต่างๆ ได้มีการถูกบันทึกไว้อย่างถูกต้อง เหมาะสม  เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชี และข้อบังคับของกฎหมาย โดยปกติการตรวจสอบบัญชีจะทำโดยผู้ตรวจสอบภายนอก (External Auditor) เพื่อขจัดปัญหาความลำเอียงในการปฏิบัติงานตรวจสอบ 5. การบัญชีภาษี เป็นกระบวนการจัดทำบัญชีของกิจการ โดยพิจารณาปรับเปลี่ยนข้อมูลทางบัญชีบางรายการให้เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายภาษีอากร เพื่อให้ได้ข้อมูลที่นำไปใช้ในการคำนวณภาษีเงินได้ รวมทั้งการจัดทำรายการที่เกี่ยวข้องตามข้อกำหนดของกฎหมายภาษีอากร  6. ระบบสารสนเทศทางการบัญชี จะเกี่ยวข้องกับการพัฒนา ติดตั้ง ใช้งาน และตรวจสอบขั้นตอนการบัญชี ตลอดจนระบบที่ใช้ในกระบวนการบัญชี รวมถึงทิศทางบุคลากรทางการบัญชี และการจัดการซอฟต์แวร์ ข้อดี vs ข้อจำกัดของการจ้างนักบัญชี ข้อดีของการจ้างนักบัญชี ข้อจำกัดของการจ้างนักบัญชี สรุป ข้อมูลข้างต้น เป็นการวิเคราะห์เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ผู้ประกอบการท่านใดที่กำลังวางแผนจัดการด้านการเงิน หรือพัฒนาระบบบัญชีของกิจการ อย่าลืมศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมให้ถี่ถ้วน หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ หากเป็นเรื่องอุปกรณ์จำเป็นในการจัดการบัญชี ไม่ว่าจะเป็นแฟ้มเก็บเอกสาร แบบฟอร์มหนังสือรับรองการหักภาษี บิลเงินสด ใบเสร็จรับเงิน ใบส่งของ หรือแบบฟอร์มเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ แนะนำที่ มีสินค้าที่ช่วยให้นักบัญชีทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

29 Nov 2023

จักรพงษ์

16 min

รายได้หรือกำไรเท่าไหร่ ควรจดทะเบียนเป็นบริษัท?

เราควรจดบริษัทเมื่อไหร่ ในแง่ตัวเลขจะดูได้ 2 มุม คือ 1. ด้านภาษี ต้องคำนวณเปรียบเทียบภาษีของบุคคลที่มีอัตราขั้นบันไดที่ 0-35% และภาษีบริษัทที่ 0-20% ถ้าดูที่เพดานภาษีไม่ใช่ว่าบริษัทจะมีภาษีที่ถูกกว่าเพราะวิธีคำนวณภาษีที่แตกต่างกัน 2. ด้านบัญชี การเป็นบริษัทจะมีต้นทุนจัดการธุรกิจที่เพิ่มมาก เช่น ค่าทำบัญชี ค่าสอบบัญชี และค่าจัดตั้งบริษัท ในเชิงตัวเลขเราต้องมาพิจารณาว่าถ้าเป็นบริษัทแล้ว ภาษีที่ประหยัดได้จะคุ้มค่ากับต้นทุนในการจัดการธุรกิจที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ เมื่อทำธุรกิจมาระยะหนึ่ง คำถามที่จะปึ๊งขึ้นมาในหัวของผู้ประกอบการหลายคน คือ เมื่อไหร่ที่เราต้องจดบริษัท? รายได้หรือกำไรเท่านี้ถือว่าเยอะพอที่จะจดบริษัทแล้วหรือยัง? ผมเคยได้ทำบทความเรื่อง ทำธุรกิจรูปแบบบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลแบบไหนดีที่สุด? แนะนำให้อ่านก่อนจะช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้นครับ แต่ถ้าอยากมองแบบง่ายๆ บทความนี้ผมจะพาทุกคนมาดูในมุมของตัวเลขกันครับว่าตัวเลขเท่าไหร่ที่ควรจดบริษัทดีครับ สิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท หลักคิดที่เราจะนำมาพิจารณาจะเน้นในเรื่องของตัวเลขทางการเงินทั้งด้านบัญชีและภาษีที่จะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของผู้ประกอบการ โดยผมได้แบ่งออกมาเป็น 6 หัวข้อย่อย ดังนี้ครับ 1. อัตราภาษีที่เสียในปัจจุบัน 2. การเป็นนิติบุคคลแบบ SMEs 3. จำนวนภาษีที่คำนวณได้ 4. การจัดทำและเก็บเอกสาร 5. รายได้จะถึง 1.8 ล้านบาทแล้วหรือยัง 6. ค่าใช้จ่ายแฝง 1. อัตราภาษีที่เสียในปัจจุบัน เบื้องต้นต้องดูว่าในนามบุคคลธรรมดาคุณเสียภาษีสูงสุดที่อัตราเท่าใดในช่วง 5%-35% จากนั้นเอามาเทียบกับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุดที่ 20% ถ้าอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงกว่า 20% ก็เป็นอาจสัญญาณแรกแล้วว่าคุณต้องเริ่มจดทะเบียนบริษัท แต่ยังไม่ใช่ข้อสรุปสุดท้าย เรามาดูข้อต่อไปกันครับ 2. การเป็นนิติบุคคลแบบ SMEs กรมสรรพากรมีการกำหนดลักษณะเฉพาะของ SMEs ขึ้นมาเพื่อบรรเทาภาระภาษีและเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้แก่นิติบุคคลซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ตลอดจนเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและจูงใจให้เกิดการลงทุน โดยเงื่อนไขการเป็น SMEs มี 2 ข้อ คือ กำไรสุทธิทางภาษี อัตราภาษี 0 -300,000 บาท ยกเว้นภาษี 300,0001 – 3,000,000 บาท 15% มากกว่า 3,000,000 ขึ้นไป 20% 3. จำนวนภาษีที่คำนวณได้ การที่มีอัตราภาษีบุคคลธรรมดาสูงกว่านิติบุคคลอาจไม่ได้สรุปว่าควรต้องจดเป็นบริษัทเพราะอัตราภาษีที่ต่างกันมาจากวิธีคำนวณภาษีที่แตกต่างกันนั่นเองครับ เราลองมาดูวิธีคำนวณภาษีทั้งสองประเภทกันครับ 1. การคำนวณภาษีของบุคคลธรรมดา Step 1 : รายได้ หัก ค่าใช้จ่าย หัก ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ Step 2 : เงินได้สุทธิ คูณ อัตราภาษีขั้นบันได 5% – 35% = ภาษีที่ต้องจ่าย 2. การคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล Step 1 : รายได้ หัก ค่าใช้จ่าย* = กำไรทางบัญชี Step 2 : กำไรทางบัญชี บวก/หัก รายการปรับปรุงทางภาษี = กำไรทางภาษี Step 3 : กำไรทางภาษี คูณ อัตราภาษีนิติบุคคลสูงสุด 20% = ภาษีที่ต้องจ่าย สรุปแล้วเราไม่ได้ดูแค่อัตราภาษี แต่ให้ดูที่จำนวนเงินที่เสียภาษีเพื่อเปรียบกัน แม้อัตราภาษีจะสูงกว่าแต่อาจพบว่าจำนวนภาษีที่เสียน้อยกว่าก็ได้ครับ เพราะขึ้นกับหลายปัจจัยเช่น อัตราการหักค่าใช้จ่ายของเราได้มากแค่ไหน สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้เยอะไหม หรือว่าเรามีรายการปรับปรุงภาษีที่ให้ประโยชน์ต่อเราไหม ผมขอยกตัวอย่างการคำนวณเปรียบเทียบความประหยัดทางภาษีเงินได้เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น โดยเงื่อนไขคือบุคคลธรรมดาหักค่าใช้จ่ายตามจริง และมีเฉพาะค่าลดหย่อนส่วนตัวเท่านั้น ขณะที่นิติบุคคลมีรายได้ไม่ถึง 30 ล้าน และทุนจดทะเบียนและชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาทจึงเข้าเงื่อนไขอัตราภาษีของ SMEs และไม่มีรายการปรับปรุงทางภาษีใดๆ เกิดขึ้น ตัวอย่างที่ 1 นาย ก มีรายได้จากการขายสินค้า 1 ล้านบาท มีรายจ่ายและต้นทุนทั้งหมดที่เกิดขึ้นจริง 5 แสนบาท บุคคลธรรมดา : Step 1:  รายได้ขายสินค้า 1 ล้าน – รายจ่าย 5 แสน – ลดหย่อนส่วนตัว 6 หมื่น = เงินได้สุทธิ 4.4 แสน Step 2 : เงินได้สุทธิ 4.4 แสน * อัตราภาษีขั้นบันได 5% – 35% = ภาษีที่ต้องจ่าย 21,500 บาท นิติบุคคล (SMEs) : Step 1:  รายได้ขายสินค้า 1 ล้าน – รายจ่าย 5 แสน = กำไรทางบัญชี 5 แสนบาท Step 2 : กำไรทางบัญชี 5 แสน – รายการปรับปรุงทางภาษี 0 บาท = กำไรทางภาษี 5 แสนบาท  Step 3 : กำไรทางภาษี 5 แสน * อัตราภาษีSMEs = ภาษีที่ต้องชำระ 30,000 บาท จากตัวอย่างจะเห็นว่าที่รายได้ 1 ล้านบาท บุคคลธรรมดาจะประหยัดภาษีกว่าการเป็นบริษัท ตัวอย่างที่ 2 นาย ก มีรายได้จากการขายสินค้า 2 ล้านบาท มีรายจ่ายและต้นทุนทั้งหมดที่เกิดขึ้นจริง 5 แสนบาท บุคคลธรรมดา : Step 1:  รายได้ขายสินค้า 2 ล้าน – รายจ่าย 5 แสน – ลดหย่อนส่วนตัว 6 หมื่น = เงินได้สุทธิ 1.44 ล้านบาท Step 2 : เงินได้สุทธิ 1.44 ล้าน * อัตราภาษีขั้นบันได 5% – 35% = ภาษีที่ต้องจ่าย 225,000 บาท นิติบุคคล (SMEs) : Step 1 : รายได้ขายสินค้า 2 ล้าน – รายจ่าย 5 แสนบาท = กำไรทางบัญชี 1.5 ล้านบาท Step 2 : กำไรทางบัญชี 1.5 ล้าน – รายการปรับปรุงทางภาษี 0 บาท = กำไรทางภาษี 1.5 ล้านบาท Step 3 : กำไรทางภาษี 1.5 ล้าน * อัตราภาษี SMEs = ภาษีที่ต้องชำระ 180,000 บาท จากตัวอย่างจะเห็นว่าที่รายได้ 1.5 ล้านบาท บริษัทจะประหยัดภาษีกว่าการเป็นบุคคลธรรมดา 4. การจัดทำและเก็บเอกสาร เอ๊ะ เราดูเรื่องตัวเลขทำไมต้องคุยเรื่องของเอกสารกันนะ! หลายคนอาจเกิดข้อสงสัยขึ้นมา ผมจะบอกว่ามันสัมพันธ์กันครับ เพราะบุคคลธรรมดาที่จ่ายค่าใช้จ่ายแล้วขอเอกสารจากผู้ขายไม่ได้ หรือไม่อยากยุ่งยากในการจัดเก็บเอกสาร รายได้บางประเภทสามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ทำให้ไม่ต้องเก็บเอกสารเป็นหลักฐานรายจ่าย แต่ถ้าเกิดว่ารายจ่ายที่จ่ายจริงมันสูงกว่าอัตราเหมาล่ะ เช่น จ่ายจริง 1 แสน แต่หักเหมาได้เพียง 6 หมื่น? แบบนี้ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับการจัดเก็บเอกสารมากขึ้น เพราะทุกรายจ่ายต้องมีเอกสารพิสูจน์จึงจะใช้รายจ่ายแบบตามจริงได้ รวมถึงเป็นการเตรียมตัวจดบริษัทในอนาคตด้วย เพราะว่ารายจ่ายของบริษัทต้องมีเอกสารทุกอย่างครับ 5. รายได้จะถึง 1.8 ล้านบาทแล้วหรือยัง เวลาเสียภาษีเงินได้จะดูที่กำไรของธุรกิจ แต่เคยได้ยินภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) กันไหมครับ เป็นภาษีอีกตัวที่เราที่ต้องสนใจ เพราะมันจะพิจารณาจากยอดรายได้ไม่ใช่กำไรของธุรกิจ ถามว่าทำไมต้องให้ความสนใจมัน กล่าวๆง่ายคือ ตอนจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่มทำได้ง่าย แต่ตอนจะเลิกบริษัทจะมีขั้นตอนที่ต้องรอตรวจสอบนานและอาจถูกปรับเงินเพิ่มจากการทำผิดได้ เรียกว่าเข้าง่ายออกยากนั่นเองครับ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือบริษัทเมื่อมีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการในปีเกิน 1.8 ล้านบาท จะต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งส่งผลต่อภาระทางภาษีที่ต้องปฏิบัติเพิ่มเติมมากขึ้น เช่น ต้องออกใบกำกับภาษีเมื่อขายสินค้า ต้องจัดทำรายงานภาษีซื้อภาษีขาย ต้องนำส่งแบบ ภ.พ.30 ให้กรมสรรพากรทุกเดือน เมื่อไม่ว่าบุคคลหรือบริษัทต้องก็ต้องทำ แล้วเราจะพิจารณาเรื่องนี้กันทำไมละ? มีเหตุผลอยู่ 2 ข้อ คือ 6. ค่าใช้จ่ายแฝง ที่กล่าวมาข้างต้นจะเน้นเรื่องของความประหยัดในมุมภาษีเป็นหลัก ซึ่งเมื่อบริษัทมีกำไรสูงมากจนถึงจุดหนึ่งการเป็นบริษัทจะคุ้มค่ามากกว่าในด้านภาษี แต่เราลองมองกันในอีกด้านหนึ่งคือ การจดบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายตามมาเพิ่ม คือ ค่าใช้จ่ายจดทะเบียนบริษัท รวมถึงค่าใช้จ่ายที่จะเกิดทุกๆ ปี เช่น ค่าบริการทำบัญชีและค่าตรวจสอบบัญชี ซึ่งมูลค่ารวมๆ แล้วก็อาจสูงถึง 1 แสนบาทต่อปี ดังนั้นเราต้องเปรียบเทียบเพิ่มด้วยว่าภาษีที่เราประหยัดไปคุ้มค่ากับเงิน (กระแสเงินสด) ที่เราต้องจ่ายเพิ่มขึ้นหรือไม่ เช่น เมื่อจดบริษัทสามารถประหยัดภาษีได้เพิ่มขึ้น 50,000 บาท แต่เรามีค่าใช้จ่ายที่จ่ายเพิ่มขึ้นอีก 100,000 บาท แบบนี้ก็อาจไม่คุ้มค่าใช่ไหมครับ สรุปแล้วรายได้หรือกำไรเท่าไหร่ ควรจดทะเบียนเป็นบริษัท? สรุปแล้วการพิจารณาว่าจะจดบริษัทไหมในมุมของจำนวนเงินจะดูได้ 2 มุม คือ ด้านภาษี และการจัดการธุรกิจ ในส่วนของภาษีจะพิจารณาการประหยัดภาษีเงินได้เป็นหลัก ซึ่งรูปแบบไหนประหยัดกว่าคงตอบได้ยากอยู่เพราะขึ้นอยู่กับประเภทของรายได้ การหักค่าใช้จ่าย ในส่วนด้านต้นทุนของการบริหารจัดการธุรกิจที่เพิ่มมากขึ้นก็อาจเป็นอีกการตัดสินใจว่าถ้าเราจดบริษัทแล้วประหยัดภาษีได้มากขึ้น และมันคุ้มค่ากับจำนวนเงินที่เราต้องจ่ายเพิ่มเป็นค่าจดบริษัท ค่าทำบัญชีรายเดือน และค่าสอบบัญชีรายปีหรือไม่ ดังนั้นผมไม่อาจฟันธงได้ว่ารายได้หรือกำไรเท่าไหร่ควรจดบริษัท แต่ผู้ประกอบต้องลองคำนวณและเปรียบเทียบเองตามขั้นตอนที่ได้ให้ตัวอย่างไว้เบื้องต้น ซึ่งจะได้คำตอบที่ดีที่สุดครับ หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว คุณยังไม่แน่ใจหรืออยากได้ความมั่นใจเพิ่มว่าควรต้องจดเป็นบริษัทหรือนิติบุคคลแล้วหรือยัง ที่ PEAK เรามีพันธมิตรสำนักงานบัญชีมากกว่า 1,200 แห่งทั่วประเทศ พร้อมช่วยดูแลคุณ สนใจ คลิก

อ่านบทความเพิ่มเติม

ภาษี

ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับภาษี

อ่านบทความเพิ่มเติม

31 Jan 2024

จักรพงษ์

9 min

ร้านค้าออนไลน์ต้องรู้ แพลตฟอร์มออนไลน์ต้องส่งข้อมูลรายได้ให้กรมสรรพากร

ประเด็นสำคัญ  เรียกได้ว่าเหล่าร้านค้าออนไลน์ต้องเตรียมตัวอย่างหนักเลยทีเดียว เมื่อกรมสรรพากรได้ออกกฎหมายบังคับให้กลุ่มแพลตฟอร์มออนไลน์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น Shopee, Lazada, Line, Grab และอื่นๆ ต้องนำส่งข้อมูลรายได้ บัญชีธนาคาร เลขบัตรประชาชน ทั้งหมดของร้านค้าที่ขายสินค้าหรือให้บริการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์นั้นให้แก่กรมสรรพากรทุกปี มีผลบังคับใช้เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 รายละเอียดเชิงลึกมีอะไรบ้าง เรามาดูกันต่อครับ ทำไมกรมสรรพากรต้องบังคับแพลตฟอร์มออนไลน์ให้ส่งรายได้ของร้านค้าออนไลน์? ก่อนหน้านี้สรรพากรเคยออกกฎหมาย E-payment ที่บังคับให้เหล่าธนาคาร หรือผู้ให้บริการกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) ต้องนำส่งรายการบัญชีของผู้ฝากเงินที่เข้าเงื่อนไขที่มีเงินเข้า 3,000 ครั้ง หรือเงินเข้า 400 ครั้งและมียอดเกิน 2 ล้านบาทให้แก่กรมสรรพากร เพื่อตรวจจับบุคคลที่หลีกเลี่ยงภาษีหรือส่งภาษีไม่ครบ ส่วนตัวเชื่อว่าวิธีการดังกล่าว บางครั้งก็พิสูจน์ได้ยากว่าเงินรับมาจากรายได้หรือเงินโอนทั่วไป และยังมีช่องโหว่ในการหลบหลีกเพื่อไม่เข้าเงื่อนไขดังกล่าว กรมสรรพากรจึงหาแนวทางใหม่เพิ่มเติมที่ตรงประเด็นมากขึ้น โดยเล็งเป้าไปยังกลุ่มผู้ค้าขายออนไลน์ที่ยังมีแนวโน้มว่าส่งภาษีไม่ครบหรือไม่ถูกต้อง  แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ต้องส่งข้อมูลรายได้ให้กรมสรรพากร รายละเอียดต่างๆ ของกฎหมายฉบับนี้ถูกกำหนดอยู่ที่ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ เรื่อง กำหนดให้อิเล็กทรอนิกส์แพลตฟอร์มมีบัญชีพิเศษ โดยแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ต้องนำส่งข้อมูลร้านค้าออนไลน์ต้องเข้าเงื่อนไขทั้ง 2 ข้อ ได้แก่ 1. จดทะเบียนจัดตั้งในประเทศไทย และ 2. มีรายได้เกิน 1 พันล้านบาทต่อปี PEAK ขอเล่า : ร้านค้าออนไลน์จะต้องถูกนำส่งข้อมูลอะไรบ้าง? จากเอกสารแนบที่กรมสรรพากรกำหนดรายละเอียดข้อมูลที่ต้องนำส่ง ผมขอสรุปเฉพาะข้อมูลสำคัญของร้านค้าออนไลน์ที่ต้องถูกนำส่งไว้ ดังนี้ครับ 1. เลขประจำตัวประชาชน หรือเลขทะเบียนนิติบุคคล 2. ชื่อผู้ประกอบการ หรือชื่อนิติบุคคล 3. จำนวนรายได้ที่ใช้คิดฐานคำนวณค่านายหน้าและค่าธรรมเนียมการชำระเงิน (พูดง่ายๆ คือ รายได้ทั้งหมดของร้านค้าแต่ละร้าน) 4. ชื่อธนาคารและเลขที่บัญชีธนาคารที่ใช้รับเงินจากแพลตฟอร์มออนไลน์ นั่นแปลว่ากรมสรรพากรจะรู้รายได้ของร้านค้าอย่างละเอียด ทุกบาท ทุกสตางค์ และรู้ว่าร้านค้าชื่ออะไร และใช้บัญชีอะไรในการรับรายได้อีกด้วย พออ่านมาถึงตรงนี้ผู้ประกอบการคงเริ่มขนลุกกันแล้วใช่ไหมละคร๊าบบ ข้อมูลจะถูกส่งให้กรมสรรพากรเมื่อไหร่? กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป นั่นหมายความว่าข้อมูลรายได้ที่ร้านค้าออนไลน์ขายสินค้าหรือให้บริการในแพลตฟอร์มออนไลน์จะเป็นรายได้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป จนถึงสิ้นรอบบัญชีของแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยแพลตฟอร์มออนไลน์ต้องนำส่งข้อมูลดังกล่าวภายใน 150 วันนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ตัวอย่าง เช่น แพลตฟอร์มออนไลน์ S จะต้องนำส่งข้อมูลรายได้ของร้านค้าทุกร้านที่ขายบนแพลตฟอร์ม S ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 – 31 ธันวาคม 2567 ให้แก่กรมสรรพากรภายในวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 (150 วัน) PEAK ขอเล่า : กฎหมายฉบับนี้จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการอย่างไร? เชื่อว่าคำถามนี้หลายคนคงมีคำถามในใจกันแล้ว แต่คำตอบนั้นก็อาจจะไม่ได้เหมือนกัน ส่วนตัวผมคิดว่าเป็นทั้งผลดีและผลเสีย ขึ้นอยู่กับว่าเรากำลังมองในฝั่งไหน เช่น ในมุมของคนที่เสียภาษีอย่างถูกต้องมาโดยตลอด เขาจะเชื่อว่ากฎหมายนี้จะส่งเสริมความเป็นธรรมในการค้าขายมากขึ้น เพราะเดิมคู่แข่งไม่เสียภาษีอย่างถูกต้อง ทำให้คู่แข่งขายสินค้าได้ดีกว่าเพราะมีต้นทุนที่ต่ำกว่า และเกิดกระแสเงินสดที่มากกว่า แต่ในมุมของคนที่เสียภาษีไม่ครบถ้วนหรือหลีกเลี่ยง กฎหมายตัวนี้จะเข้ามาปิดช่องโหว่แทบทุกด้านที่เคยมีอยู่ ทำให้การหลีกเลี่ยงยากมากขึ้น  สุดท้ายนี้กฎหมายฉบับนี้จะบังคับให้ทุกคนทำบัญชี ภาษีได้ถูกต้องมากขึ้น ทางผู้ประกอบการต้องเตรียมพร้อม โดยเริ่มจากเก็บเอกสารให้ครบถ้วน ถูกต้อง หรือหาสำนักงานบัญชีที่น่าเชื่อถือมาช่วยจัดการ รวมถึงการหาโปรแกรมจัดการด้านบัญชีที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากแพลตฟอร์มออนไลน์มาลงบันทึกบัญชีได้แบบเรียลไทม์  ที่ PEAK เรามีพันธมิตรสำนักงานบัญชีมากกว่า 1,200 แห่งทั่วประเทศ พร้อมช่วยดูแลคุณ สนใจ คลิก หรือสนใจโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลจากแพลตฟอร์ม Shopee Lazada TikTok ทดลองใช้ฟรี 30 วัน คลิก 

อ่านบทความเพิ่มเติม

ธุรกิจ

ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกิจ

อ่านบทความเพิ่มเติม

27 Mar 2024

PEAK Account

12 min

เฟอร์นิเจอร์สำคัญ เปลี่ยนพื้นที่ทำงานให้มีประสิทธิภาพได้

ประเด็นสำคัญ เฟอร์นิเจอร์สำคัญ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การจัดพื้นที่ทำงานให้เหมาะสมเปรียบเสมือนการวางรากฐานการทำงานที่ดี มีประสิทธิภาพ โดยเฟอร์นิเจอร์ 3 ชิ้นหลักที่มีความสำคัญต่อการทำงาน ได้แก่ โต๊ะทำงาน เก้าอี้ทำงาน และลิ้นชักใส่ของ เปรียบเสมือนอาวุธคู่กายที่จะช่วยให้การทำงานของคุณราบรื่น สะดวกสบายมากขึ้น 1. โต๊ะทำงาน การเลือกใช้โต๊ะทำงานควรให้ความสำคัญกับขนาดที่เหมาะสม หากมีพื้นที่ทำงานขนาดใหญ่ กว้างขวาง ไม่ควรเลือกโต๊ะที่แคบจนเกินไป อาจทำให้รู้สึกอึดอัด เคลื่อนไหวลำบาก ให้เลือกโต๊ะทำงานขนาด 160 x 80 ซม. ก็เพียงพอแล้ว เช่นเดียวกับห้องที่มีพื้นที่ทำงานจำกัด หากเลือกโต๊ะที่เล็กเกินไป อาจทำให้วางของได้ไม่เพียงพอ ทางที่ดีควรเลือกโต๊ะทำงานขนาด 120 x 60 ซม. ถึงจะเพียงพอต่อการใช้งาน นอกจากขนาดโต๊ะแล้ว ความสูงของโต๊ะก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ควรเลือกโต๊ะทำงานที่สามารถปรับระดับได้ เพื่อให้เหมาะกับสรีระของผู้ใช้งาน ช่วยให้นั่งทำงานได้อย่างสบาย โดยไม่ต้องก้มหรือโน้มตัวมากเกินไป ทั้งนี้ โต๊ะทำงานที่วัสดุทนทาน ทำความสะอาด และดูแลรักษาง่าย จะช่วยยืดอายุการใช้งาน ให้คุณนั่งทำงานกับโต๊ะตัวโปรดได้นานยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องเปลี่ยนโต๊ะบ่อยๆ ให้สิ้นเปลือง OfficeMate แนะนำโต๊ะที่เหมาะสมสำหรับทำงาน โต๊ะทำงานที่ดีจะส่งผลดีต่อทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต ประสิทธิภาพในการทำงาน และบรรยากาศการทำงาน แนะนำโต๊ะทำงานเฟอร์ราเดค รุ่น ST120DA-P จาก OFM ช่วยปรับให้ท่านั่งให้ถูกต้อง ลดอาการปวดเมื่อย คุ้มค่าเกินราคา โต๊ะทำงานที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณ  ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก: nbsp; 2. เก้าอี้ทำงาน เก้าอี้ทำงานที่เหมาะกับการนั่งทำงานตลอดวัน ควรมีพนักพิงที่รองรับส่วนโค้งตามธรรมชาติของหลังส่วนล่าง รองรับช่วงเอวให้กระดูกสันหลังของผู้นั่งอยู่ในแนวตรง และควรปรับระดับความสูง พนักพิง หรือที่วางแขนได้ เพื่อรองรับสรีระของผู้ใช้งาน ช่วยให้นั่งทำงานได้อย่างสบาย ลดอาการปวดหลัง คอ และลดความเมื่อยล้า นอกจากนี้ วัสดุของเก้าอี้ควรเป็นวัสดุที่ระบายอากาศได้ดี และทำความสะอาดง่าย เช่น ผ้าตาข่าย ช่วยให้นั่งทำงานได้นานโดยไม่รู้สึกอึดอัด หรือเลือกเก้าอี้ที่มีฟังก์ชันโยกเอน ช่วยให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการเมื่อยล้าจากการนั่งทำงานเป็นเวลานานได้ OfficeMate แนะนำเก้าอี้สุขภาพที่เหมาะสมสำหรับทำงาน การนั่งทำงานในท่าที่ถูกต้อง ช่วยให้มีสมาธิ และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เก้าอี้ Haru ช่วยให้คุณนั่งทำงานได้อย่างสบายโดยไม่ต้องกังวลเรื่องอาการปวดเมื่อย ส่งผลให้คุณมีสมาธิจดจ่อกับงานมากขึ้น เก้าอี้ทำงานเพื่อสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงานของคุณ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก: nbsp; 3. ชั้นวางของ โต๊ะทำงานที่รก ไม่เป็นระเบียบ อาจสะท้อนถึงความคิด และการทำงานที่ยุ่งเหยิง การจัดระเบียบพื้นที่ทำงานด้วยลิ้นชักเก็บของที่เหมาะสม จึงเป็นกุญแจสำคัญสู่งานที่มีประสิทธิภาพ และความคิดสร้างสรรค์ ฉะนั้น การมีลิ้นชักวางของดีๆ จะช่วยเก็บของให้เป็นระเบียบ หาง่าย และช่วยให้โต๊ะทำงานดูเรียบร้อยขึ้น เริ่มจากการเลือกลิ้นชักให้เหมาะสมกับพื้นที่ทำงาน โต๊ะทำงานขนาดเล็กควรเลือกตู้ลิ้นชักแบบกะทัดรัด สูงไม่เกินระดับสายตา ช่วยให้หยิบจับของสะดวก เช่น ตู้ลิ้นชัก 2-3 ลิ้นชัก วางซ้อนกัน หรือตู้ลิ้นชักแบบติดใต้โต๊ะ ส่วนโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ ให้เลือกตู้ลิ้นชักที่มีหลายลิ้นชัก เก็บของได้มากขึ้น เช่น ตู้ที่มี 4-5 ลิ้นชัก หรือตู้ลิ้นชักแบบตั้งพื้นความสูงเหนือโต๊ะ เป็นการเพิ่มพื้นที่ในการเก็บของไปในตัวด้วย ควรเลี่ยงลิ้นชักที่ใหญ่เทอะทะ กีดขวางการทำงาน และมีน้ำหนักมากจนเกินไป ทำให้ไม่สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย รวมถึงไม่ควรเลือกลิ้นชักที่แคบ ความจุไม่เพียงพอต่อการเก็บของ เพราะหากวางของจนแน่นเกินไป อาจทำให้ลิ้นชักพังเสียหาย หรือหยิบจับสิ่งของได้ไม่สะดวก OfficeMate แนะนำลิ้นชักใส่ของที่เหมาะสมสำหรับห้องทำงาน ลิ้นชักเปรียบเสมือนผู้ช่วยตัวจิ๋วสำหรับโต๊ะทำงาน ช่วยเก็บของให้เป็นระเบียบ หยิบจับสะดวก เพิ่มพื้นที่ทำงานให้กว้างขวางขึ้น การเลือกลิ้นชักที่เหมาะสม จะช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และราบรื่น OFM แนะนำตู้ลิ้นชักเหล็กล้อเลื่อน 3 ชั้น สีขาว เฟอร์ราเดค ตอบโจทย์คุณ! หมดปัญหาของรก หาของไม่เจอ พร้อมเพิ่มพื้นที่ทำงานได้อีกเยอะ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก: nbsp; สรุป นอกจากเฟอร์นิเจอร์ 3 ชิ้นหลักแล้ว ยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงาน เช่น แสงสว่าง การระบายอากาศ และการตกแต่งพื้นที่ทำงาน ช่วยเพิ่มประสบการณ์การทำงานที่ดีขึ้น หากไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง อาจลองเอาคำแนะนำที่ OfficeMate นำมาฝากไปปรับใช้กับพื้นที่ทำงานของคุณได้  หากต้องการเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ ที่ช่วยให้พื้นที่ทำงานของคุณดูเป็นระเบียบ สะดวก สบาย ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เข้ามาเลือกดูได้ที่ OfficeMate เมื่อกิจการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่จะช่วยสร้างพื้นที่การทำงานที่มีประสิทธิภาพเรียบร้อยแล้ว ต้องการบันทึกค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้เป็นรายจ่ายของบริษัทอย่างครบถ้วน ถูกต้อง แม่นยำแล้ว PEAK โปรแกรมบีญชีออนไลน์ คือ คำตอบของการทำงานบัญชีที่มีประสิทธิภาพ

27 Mar 2024

PEAK Account

7 min

ตู้เอกสาร จัดเก็บให้เป็นระเบียบได้อย่างไร

ประเด็นสำคัญ  5 เคล็ดลับจัดเก็บตู้เอกสารอย่างมืออาชีพ 1. คัดแยกเอกสาร การจัดระเบียบตู้เอกสารควรเริ่มต้นด้วยการคัดแยกเอกสาร แยกประเภทให้ชัดเจนว่าเอกสารไหนสำคัญ ควรเก็บไว้ เอกสารไหนไม่จำเป็น เช่น ใบปลิว โฆษณา เอกสารเก่าที่หมดอายุ ควรทิ้ง หรือนำไปรีไซเคิล รวมถึงควรแยกเอกสารตามวันที่ โดยเรียงลำดับจากเก่าไปใหม่ ไม่ควรเก็บไว้รวมกัน สำหรับเอกสารสำคัญ ก็ควรแยกประเภทให้ชัดเจนด้วยเช่นกัน เช่น ใบเสร็จรับเงิน แยกเป็นปี 2567, 2566 หรือหากเป็นเอกสารสัญญา ใบทะเบียน ประกัน ให้แยกเป็นหมวดหมู่ให้ชัดเจน 2. ตั้งระบบการจัดเก็บให้หาง่าย สะดวก รวดเร็ว เลือกวิธีจัดเก็บเอกสารที่เหมาะสมกับการใช้งานของตนเอง และควรเลือกให้เหมาะกับชนิดของเอกสารที่จัดเก็บด้วย เช่น  เหมาะสำหรับเอกสารไม่หนามาก รวมถึงเอกสารที่หยิบเข้า-ออกบ่อยครั้ง เพื่อให้หาง่าย และสามารถหยิบออกมาใช้งานได้อย่างสะดวก เหมาะสำหรับเอกสารจำนวนมาก ไม่ควรใส่ซองบางๆ เนื่องจากเอกสารมีความหนา จึงต้องการความแข็งแรงของแฟ้มมารองรับปริมาณเอกสาร เหมาะสำหรับเอกสารเก่า ไม่ค่อยได้ใช้งาน หรือเอกสารที่ต้องกำจัด ที่สำคัญ อย่าลืมติดชื่อเอกสารไว้หน้ากล่อง เพื่อความสะดวกต่อการทำลาย หรือนำไปรีไซเคิล ทั้งนี้ ควรตั้งชื่อหมวดหมู่ให้ชัดเจน สื่อความหมายที่เข้าใจง่าย จัดเรียงเอกสารตามลำดับ เช่น ลำดับตัวอักษร และลำดับวันที่ 3. เก็บเอกสารในตู้ที่เหมาะสม ตู้เอกสารที่เหมาะสมควรจะปลอดภัย ให้เลือกตู้เอกสารที่มีขนาดพอเหมาะกับจำนวนเอกสาร ไม่เล็กจนแน่นเกินไป หรือใหญ่จนเหลือพื้นที่ว่างมากเกินไป และควรเลือกตู้ที่มีชั้นวาง มีพื้นที่แบ่งเป็นช่องสำหรับเก็บเอกสารแต่ละหมวดหมู่ 4. ทำความสะอาดตู้เอกสารเป็นประจำ สุขอนามัยดีของตู้เก็บเอกสาร ส่งผลต่อสุขภาพที่ดีของผู้ใช้งานด้วยเช่นกัน ดังนั้น ควรรักษาความสะอาดของตู้ รวมถึงบริเวณโดยรอบตู้เอกสารด้วยเป็นอย่างดี เช่น เช็ดฝุ่นทั้งด้านใน และด้านนอกตู้เอกสารอย่างน้อยเดือนละครั้ง จัดเก็บเอกสารให้เรียบร้อย ไม่วางซ้อนกันจนยุ่งเหยิง หมั่นกำจัดเอกสารที่ไม่จำเป็น และไม่ควรนำสิ่งของที่ไม่จำเป็นเข้าไปรวมกับเอกสาร เพื่อไม่ให้ตู้ล้น จนไม่มีพื้นที่จัดเก็บเอกสารจำเป็น 5. ใช้เทคโนโลยีช่วยจัดเก็บเอกสาร ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และชาญฉลาด ช่วยเก็บเอกสาร พร้อมอำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน แถมยังมีให้เลือกหลากหลาย และใช้ฟรีอีกด้วย OfficeMate แนะนำให้เก็บเอกสารด้วยวิธีที่ง่าย และรวดเร็ว ด้วยการสแกนเอกสารสำคัญเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ หรือ Cloud Storage เช่น Google Drive, Dropbox ตั้งชื่อไฟล์ให้ชัดเจน ค้นหาได้ง่าย ที่สำคัญควรสำรองข้อมูลไว้เป็นประจำ เพื่อป้องกันเอกสารเสียหาย หรือสูญหาย สรุป การจัดตู้เอกสารให้เป็นระเบียบ จะช่วยให้สามารถค้นหาเอกสารที่ใช้ในการทำงานได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ดังนั้น เราจึงควรจัดระบบการจัดเก็บเอกสารอย่างเป็นระบบ และเลือกวิธีการจัดเก็บเอกสารที่เหมาะสมกับการใช้งาน อย่ารอช้า! มาเริ่มจัดการตู้เอกสารของคุณให้เป็นระเบียบ เริ่มต้นด้วย 5 ขั้นตอนง่ายๆ จาก OfficeMate ได้เลย หรือใครยังหาตัวช่วยจัดเก็บเอกสารเพิ่มเติม OfficeMate ยังมีอุปกรณ์สำนักงาน หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับคุณ พร้อมมอบประสบการณ์ในการจัดเก็บเอกสารที่คุณอาจไม่เคยพบมาก่อน สามารถเข้ามาเลือกดูได้ที่ OfficeMate นอกจากการจัดเก็บเอกสารอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว การสร้างเอกสารสำคัญทางธุรกิจก็เป็นสิ่งสำคัญ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ออกบิลเงินสด, ใบเสร็จรับเงิน และเอกสารบัญชีต่างๆ ได้อย่าง สะดวก รวดเร็ว ในไม่กี่ขั้นตอน สร้างเอกสารทางธุรกิจ ครบถ้วน ถูกต้อง แม่นยำ ป้องกันปัญหาอย่างมืออาชีพ

อ่านบทความเพิ่มเติม

การใช้โปรแกรม

ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งาน PEAK

อ่านบทความเพิ่มเติม

3 Apr 2024

PEAK Account

2 min

Update Function 03/04/2024

PEAK with the new function designed to enhance efficiency. ✨ 1. Add options to set cash and expense claim channels in the primary channel on the payment receipt document 📢 For businesses utilizing cash and expense claim channels as primary financial conduits for receiving and disbursing funds, the system now offers the option to add cash and expense claim-type financial channels. This enhancement aims to reduce processing time for receiving payments or making payments on documents. Example of setting up cash and reserve payment channels on a document ✨ 2. Add the ability to create and delete transactions on the bank balance impact page 📢 For users of the bank balance impact function, when importing bank balance impact files into the system, users can manually add entries they wish to include in the bank balance impact. Additionally, users can modify the quantities in the bank balance impact entries. The system will display the imported file format and user information who modified the data, enabling users to edit information and work more conveniently. Thank you for the suggestions, by Rattana, Thai Agri Commerce Company Limited. ✨ 3. Add contact field and adjust data display in the general ledgers report 📢 For users utilizing categorized account reports to view accounting data by contacts, the system now adds a field for contact code and contact name to the report and adjusts so that transaction numbers move to column 2. This enhancement allows users to see which contacts transactions are associated with and facilitates convenient management for financial closing reconciliation purposes. Thank you for the suggestions, by Baranee, from KTC Company Limited. ✨ 4.  Enhance display of detailed information for corporate contacts 📢For businesses seeking to access detailed contact information, including company objectives, age of the company, or registered capital, data can be retrieved from the Creden Data website. This additional information assists users in evaluating business opportunities.

3 Apr 2024

PEAK Account

3 min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 03/04/2024

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✨ 1. เพิ่มตัวเลือกตั้งค่าช่องทางเงินสดและสำรองรับจ่ายในช่องทางหลักบนเอกสารรับ-จ่ายเงิน 📢 สำหรับกิจการที่ใช้ช่องทางเงินสดหรือสำรองรับจ่ายเป็นช่องทางการเงินหลักในการรับเงิน-จ่ายเงิน ระบบทำการเพิ่มตัวเลือกช่องทางการเงินประเภทเงินสดและสำรองรับจ่าย เพื่อช่วยลดระยะเวลาในการทำรับชำระหรือจ่ายชำระเงินบนเอกสาร ตัวอย่างการตั้งค่าช่องทางเงินสดและสำรองรับจ่ายที่หน้าเอกสาร ✨ 2. เพิ่มการสร้างและลบรายการเคลื่อนไหวที่หน้ากระทบยอดธนาคาร 📢สำหรับผู้ใช้งานฟังก์ชันกระทบยอดธนาคาร เมื่อทำการนำเข้าไฟล์กระทบยอดธนาคารเข้าระบบ ผู้ใช้งานสามารถเพิ่มรายการที่ต้องการกระทบยอดได้เอง รวมถึงสามารถแก้ไขจำนวนในรายการกระทบยอด เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถแก้ไขข้อมูลและทำงานสะดวกมากขึ้น ขอบคุณข้อเสนอแนะ โดยคุณรัตนา บริษัท ไทย อกริ คอมเมิร์ซ จำกัด ✨ 3. เพิ่มช่องผู้ติดต่อและปรับการแสดงข้อมูลในรายงานบัญชีแยกประเภท 📢 สำหรับผู้ใช้งานที่ใช้รายงานบัญชีแยกประเภทเพื่อดูข้อมูลทางบัญชีตามผู้ติดต่อ ระบบเพิ่มช่องรหัส รายชื่อผู้ติดต่อเข้าไปในรายงานและปรับให้เลขที่รายวันย้ายไปคอลัมน์ที่ 2 เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานเห็นว่ารายการค้าเกิดขึ้นกับผู้ติดต่อรายไหน และให้การตรวจสอบตัวเลขบัญชีเพื่อใช้ปิดงบการเงิน สามารถจัดการได้สะดวกขึ้น ขอบคุณข้อเสนอแนะ โดยคุณ Baranee บริษัท เคทีซี จำกัด ✨ 4. เพิ่มการแสดงข้อมูลเชิงลึกของผู้ติดต่อที่เป็นนิติบุคคล 📢  สำหรับกิจการที่ต้องการดูข้อมูลผู้ติดต่อ สามารถดูข้อมูลเชิงลึกไม่ว่าจะเป็นวัตถุประสงค์ของบริษัท อายุบริษัทหรือทุนจดทะเบียน โดยข้อมูลดึงจากเว็บไซต์ Creden Data เพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมให้กับผู้ใช้งานเพื่อพิจารณาในการทำธุรกิจ

อ่านบทความเพิ่มเติม

ข่าวสาร

อัปเดตข่าวประชาสัมพันธ์ โปรโมชั่น และเรื่องต่างๆ ที่น่าสนใจ

อ่านบทความเพิ่มเติม

7 Feb 2024

admincontent

2 min

BeNeat มอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ รับส่วนลดสูงสุด 7%

BeNeat แอปพลิเคชันเรียกคุณแม่บ้านมืออาชีพ สะดวก ใช้งานง่าย เลือกใช้บริการได้ตามความต้องการ บริการทำความสะอาดแบบรายชั่วโมง ให้บ้านน่าอยู่ขึ้นได้ในพริบตา คุณแม่บ้านบีนีทมืออาชีพไปพร้อมอุปกรณ์และน้ำยาทำความสะอาดแบบครบครัน พร้อมทั้งรับประกันความพึงพอใจ พิเศษ! ลูกค้า PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ รับส่วนลดสูงสุด 7% เมื่อจองบริการทำความสะอาดรายชั่วโมงแบบแพ็กเกจ 5 ครั้งขึ้นไป เพียงแจ้งโค้ดส่วนลดรับสิทธิ์ ผ่าน LINE @BeNeat เงื่อนไขในการรับสิทธิ์ – ระยะเวลาโปรโมชั่น วันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน 2567 – จำกัดเพียง 200 แพ็กเกจเท่านั้น ตลอดรายการส่งเสริมการขาย หรือจนกว่าสิทธิ์จะหมด – สามารถจองบริการไว้ล่วงหน้าได้ ไม่มีวันหมดอายุ – รหัสส่วนลดสามารถใช้ได้ 1 ครั้ง/ รหัสผู้ใช้งาน – พื้นที่ให้บริการ : กรุงเทพ ปริมณฑล เชียงใหม่ และชลบุรี – สิทธิพิเศษนี้ไม่สามารถแลกเปลี่ยน/ทอนเป็นเงินสด หรือใช้ร่วมกับส่วนลดอื่นๆ ได้ – เงื่อนไขการให้บริการเพิ่มเติมเป็นไปตามนโยบายทางบริษัทฯ หากต้องการสอบถามเพิ่มเติม กรุณาติดต่อฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 0-2113-1138, [email protected] หรือ LINE @BeNeat

31 Jan 2024

PEAK Account

2 min

ลูกค้า PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ รับสิทธิพิเศษ 3 ต่อ จาก empeo ระบบบริหารงานบุคคลครบวงจร

empeo โปรแกรมบริหารงานบุคคลที่มีความทันสมัยและครบวงจร ฟีเจอร์ครบถ้วนสามารถจัดการบุคลากรอย่างเป็นระบบ  ใช้งานง่ายผ่านโทรศัพท์มือถือ ตอบโจทย์ด้าน HR รองรับการคำนวณเงินเดือนแบบอัตโนมัติ พร้อมรายงานด้าน HR และ Payroll ที่ครบถ้วน สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า PEAK เมื่อเริ่มใช้งาน empeo ต่อที่ 1 ทดลองใช้งานฟรี 30 วัน! ต่อที่ 2 รับสิทธิ์ใช้งานเพิ่มฟรี 1 เดือน เมื่อสมัครใช้บริการรายปี ต่อที่ 3 รับสิทธิ์แลกซื้อ พร้อมลดส่วน 30% เมื่อซื้อ IOMO รุ่น FGA-1500/FGA-2000 จำนวน 1 สิทธิ์ ลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค. – 15 เม.ย. 2567 คลิก (ใส่รหัสคูปอง : empeoxPEAK ) หรือติดต่อฝ่ายขาย empeo โทร. 02-784-5855 สอบถามเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ PEAK Call Center : 1485

อ่านบทความเพิ่มเติม