PEAK Account

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

14 ก.พ. 2025

PEAK Account

16 min

e-Tax Invoice ตัวช่วยจัดการเอกสาร ลดความยุ่งยากให้ธุรกิจ SMEs

ก้าวเข้าสู่ปี 2568 ในยุคที่เกือบทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนมาอยู่บนดิจิตอลแทบทั้งหมด ประเทศไทยก็พัฒนาตามยุคสมัยในหลายด้าน รวมไปถึงด้านเอกสารต่าง ๆ ที่หน่วยงานส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เกือบทั้งหมดแล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ที่กรมสรรพากรส่งเสริมให้ผู้ประกอบปัจจุบันการเปลี่ยนมาใช้ เพราะช่วยลดความยุ่งยากด้านงานเอกสาร และเป็นรูปแบบที่สอดคล้องกับกฎหมายในปัจจุบันอีกด้วย ในบทความนี้ PEAK ขอพาผู้อ่านทุกท่านไปทำความรู้จักกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ให้มากขึ้น จะเป็นอย่างไรบ้างมาติดตามกันได้เลย e-Tax Invoice คืออะไร? e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ คือ รูปแบบการออกใบกำกับภาษีอยู่ในรูปแบบออนไลน์เพื่อตอบสนองพฤติกรรมการซื้อขายของคนไทยที่นิยมซื้อผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น สามารถส่งเอกสารให้ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ รวมไปถึงสามารถส่งเอกสารออนไลน์ให้กรมสรรพากรได้ทันทีเช่นกัน ทำให้การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ช่วยให้ธุรกิจ SMEs สามารถจัดการกับเอกสารได้สะดวกมากยิ่งขึ้น  ข้อมูลจำเป็นที่ต้องทราบเกี่ยวกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากรูปแบบเอกสารเปลี่ยนมาอยู่บนโลกออนไลน์ ทำให้มีข้อมูลรายละเอียดจำเป็นเล็กน้อยที่เจ้าของกิจการควรรู้ เพื่อให้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ของเรานั้นถูกต้องทุกประการ เพื่อให้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เป็นเอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องมีการลงลายมือชื่อดิจิตอล (Digital Signature) หรือการปรับทับรับรองเวลา (Time Stamp) ด้วยเสมอ หลังจากลงลายมือชื่อหรือประทับแล้ว เอกสารฉบับดังกล่าวจะสามารถใช้เป็นหลักฐานในทางกฎหมายได้ ทำไมธุรกิจ SMEs ต้องใช้ e-Tax Invoice? หลังจากที่เรารู้จักใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้นแล้ว ในส่วนถัดมาเรามาดูข้อดีที่เจ้าของเจ้าของกิจการ SMEs จะได้รับหากเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์แทนที่ใบกำกับภาษีกระดาษรูปแบบเดิมกันดีกว่า ซึ่งข้อดีหลัก ๆ สามารถแบ่งได้ 4 ข้อดังนี้ ลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร หนึ่งในปัญหาที่เจ้าของกิจการ SMEs หลายท่านต้องประสบพบเจอคงหนีไม่พ้นเรื่องของเอกสารที่เยอะจนบางครั้งทำให้เกิดความยุ่งยาก ไม่สามารถโฟกัสกับธุรกิจได้เต็มที่เท่าที่ควร การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยลดปัญหาส่วนนี้ลงไปได้อย่างแน่นอน เพราะด้วยเอกสารที่อยู่บนออนไลน์ ไม่จำเป็นต้องหาที่จัดเก็บ หรือคอยหาเอกสารให้วุ่นวาย นอกจากนี้ยังลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร เพราะความสะดวกรวดเร็วในการส่งให้ผู้ซื้อและสรรพากรได้อย่างง่ายดาย หมดห่วงเรื่องเอกสารสูญหาย ต่อยอดจากข้อที่แล้ว นอกจากการลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร ยังเป็นการป้องกันข้อมูลสูญหายที่เป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ของการเก็บเอกสารแบบกระดาษ ซึ่งการเก็บเอกสารที่อยู่ในรูปแบบออนไลน์นั้น หากจัดให้เป็นระเบียบรับรองว่าข้อมูลไม่มีทางสูญหายแน่นอน อีกทั้งเวลาต้องการเรียกดูเอกสารก็ทำได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ช่วยลดต้นทุน หลายท่านอาจสงสัยว่าการเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ช่วยลดต้นทุนให้แก่ธุรกิจ SMEs ได้อย่างไร แต่ถ้าลองคำนวนดูแล้วการออกใบกำกับภาษีแบบกระดาษ 1 แผ่นนั้น มีต้นทุนที่แฝงมาด้วยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นค่ากระดาษ ค่าหมึกสำหรับพิมพ์เอกสารออกมา อาจรวมไปถึงค่าซองเอกสาร และค่าจัดส่งอีกด้วย หากเปลี่ยนมาใช้รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ก็บอกลาต้นทุนเหล่านี้ไปได้เลย ได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากภาครัฐ เพื่อกระตุ้นให้ธุรกิจเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้น รัฐบาลจึงได้ออกนโยบายต่าง ๆ ที่ช่วยส่งเสริมในส่วนนี้ ยกตัวอย่างเช่น Easy E-Receipt นโยบายที่ในปีพ.ศ. 2568 ก็กลับมาอีกครั้ง โดยเป็นนโยบายที่ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถนำใบกำกับภาษีออนไลน์จากสินค้าหรือบริการที่ซื้อในช่วงเวลาที่กำหนด มายื่นเพื่อขอลดหย่อนภาษีได้ นอกจากจะเป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ยังช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้น  “การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์นอกจากจะช่วยจัดการเอกสารแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนแฝง และช่วยเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายผ่านนโยบายของภาครัฐอีกด้วย” e-Tax Invoice มีกี่รูปแบบ แตกต่างกันอย่างไรบ้าง? e-Tax Invoice มีทั้งหมด 2 รูปแบบประกอบไปด้วย ซึ่งแต่ละรูปแบบแตกต่างกันอย่างไร แต่ละแบบเหมาะกับธุรกิจประเภทไหน และมีขั้นตอนการทำงานอย่างไรบ้าง มาดูกันต่อเลย 1. e-Tax Invoice & Receipt ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ประเภทแรกแบ่งได้เป็นสองส่วนคือ ส่วนที่เป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) และ ใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Recepit) ซึ่งเอกสารรูปแบบนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) แบบไม่จำกัดรายได้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ก่อนทำการส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ รวมไปถึงกรมสรรพากรจำเป็นต้องลงลายมือชื่อดิจิตอลให้เรียบร้อยเพื่อให้เอกสารนี้ถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้การส่ง e-Tax Invoice & Receipt ให้กรมสรรพากรจะต้องอยู่ในรูปแบบไฟล์ XML หรือ PDF/A3 เท่านั้น คุณสมบัติของผู้ยื่นขอจัดทำ e-Tax Invoice & e-Receipt ขั้นตอนการจัดทำและส่งมอบ e-Tax Invoice & Receipt  สำหรับขั้นตอนการใช้งานใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ประเภท e-Tax Invoice & Receipt มีขั้นตอนทั้งหมด 3 ส่วนที่สะดวก รวดเร็ว เข้าใจง่าย ไม่เป็นการเพิ่มงานแน่นอน 2. e-Tax Invoice by Time Stamp ในส่วนของ e-Tax Invoice by Time Stamp จะเป็นการทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์สำหรับธุรกิจ SMEs ขนาดเล็กที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 30 ล้านบาท และได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว เป็นรูปแบบที่ตอบโจทย์ธุรกิจที่มีการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์จำนวนที่ไม่มาก โดยการส่งเอกสาร e-Tax Invoice by Time Stamp จะเป็นการที่ธุรกิจออกร่างใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ หลังจากนั้นทำการส่งอีเมลให้ลูกค้า และ CC อีเมลไปที่ [email protected] เพื่อให้ระบบทำการ Time Stamp หรือประทับเวลาให้ หลังจากนั้นระบบจะส่งเอกสารที่ประทับเวลาแล้วให้ลูกค้าและธุรกิจอีกครั้ง คุณสมบัติของผู้ยื่นขอจัดทำ e-Tax Invoice by Time Stamp เจ้าของกิจการที่ต้องการยื่นขอการจัดทำ e-Tax Invoice by Time Stamp ต้องมีคุณสมบัติดังนี้  ขั้นตอนการจัดทำและส่งมอบ e-Tax Invoice by Time Stamp ขั้นตอนของใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์รูปแบบ e-Tax Invoice by Time Stamp อาจมีขั้นตอนมากกว่าเล็กน้อย แต่สะดวกไม่แพ้กัน อยากลดความยุ่งยากเรื่องเอกสารใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ คือคำตอบ ตอนนี้ทุกท่านรู้จักกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นแล้ว ทราบถึงข้อดีที่ทำให้การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์นั้นช่วยธุรกิจของคุณได้อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลดปัญหาความยุ่งยากในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเอกสารต่าง ๆ รวมไปถึงเป็นการลดต้นทุน และช่วยเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายให้แก่ธุรกิจผ่านนโยบายต่าง ๆ ที่รัฐบาลออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกด้วย  สำหรับเจ้าของกิจการ SMEs ท่านไหนที่กำลังมองหาเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยให้การจัดการใบกำกับภาษีเป็นเรื่องง่าย ที่ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่รองรับการทำ e-Tax Invoice ช่วยให้การจัดการบัญชีในธุรกิจของคุณสะดวก สามารถจัดการบัญชีได้อย่างเป็นระบบ เตรียมความพร้อมมุ่งสู่การเติบโตในอนาคต ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

13 ก.พ. 2025

PEAK Account

5 min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 13/02/2025

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✨ 1. เพิ่มระบบคำนวณสูตรที่ช่องจำนวนและราคา ในหน้าสร้างเอกสารรายรับ-รายจ่าย 📢สำหรับกิจการที่ออกเอกสารรายรับ-รายจ่าย ระบบเพิ่มการคำนวณด้วยสูตรที่ช่องจำนวนและราคา เมื่อผู้ใช้งานพิมพ์เครื่องหมาย เท่ากับ (=) ลงในช่อง จะเป็นการเรียกใช้ฟังก์ชันการคำนวณโดยอัตโนมัติของระบบ เช่น =100+50 ระบบจะคำนวณและเปลี่ยนตัวเลขเป็น 150 ให้อัตโนมัติ เพื่อช่วยให้ทำข้อมูลในเอกสารได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ✨ 2. เพิ่มประวัติการใช้งานในแต่ละสินค้า/บริการ ช่วยให้ตรวจสอบรายการได้สะดวกยิ่งขึ้น 📢ระบบเพิ่มช่องการดูประวัติแต่ละสินค้า/บริการ โดยจะเก็บประวัติการสร้าง การแก้ไขรายการ รวมถึงราคาขาย โดยผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบรายละเอียดข้อมูลสินค้าย้อนหลังได้ด้วยตนเอง ช่วยให้ตรวจสอบข้อมูลได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ✨ 3. ปรับให้ระบบอัปเดตข้อมูลหน้าเอกสารอัตโนมัติ กรณีเพิ่มหรือแก้ไขข้อมูลใบกำกับภาษี ช่วยให้ดูข้อมูลได้สะดวกมากยิ่งขึ้น 📢เมื่อผู้ใช้งานออกเอกสารค่าใช้จ่ายและมีการเพิ่มใบกำกับภาษี ระบบจะทำการอัปเดตข้อมูลที่หน้าเอกสารค่าใช้จ่ายให้อัตโนมัติ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานดูข้อมูลในเอกสารได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ✨ 4. เพิ่ม Hyperlink ในรายงานภาษีหัก ณ ที่จ่ายจาก PEAK TAX ช่วยให้ดูเอกสารได้สะดวกยิ่งขึ้น 📢ระบบปรับรายงานภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่ดาวน์โหลดจาก PEAK TAX ให้มี Hyperlink เชื่อมไปยังเอกสารหัก ณ ที่จ่ายแต่ละรายการโดยตรง ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลเอกสารได้สะดวกขึ้น ลดขั้นตอนการค้นหา และช่วยให้นำรายงานไปใช้งานต่ออย่างมีประสิทธิภาพ ✨ 5. เพิ่มการรองรับเงินได้ประเภท 40(2) ในแบบและใบแนบ ภ.ง.ด.1ก ที่ PEAK Payroll ลดข้อผิดพลาดในการทำภาษี 📢สำหรับผู้ใช้งาน PEAK Payroll ระบบปรับให้แบบและใบแนบ ภ.ง.ด.1ก สามารถแสดงข้อมูลเงินได้ทั้งประเภท 40(1) และ 40(2) ได้อย่างถูกต้องตามประเภทเงินได้ ช่วยลดข้อผิดพลาดในการจัดทำเอกสารภาษีและช่วยให้การยื่นภาษีเป็นไปอย่างแม่นยำและครบถ้วน ✨ 6. เพิ่มฟังก์ชันการกล่าวถึงผู้ใช้งานอื่นที่กล่องความคิดเห็นในบัญชีรายวัน 📢สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการกล่าวถึงผู้ใช้งานอื่นในกล่องความคิดเห็นบนบัญชีรายวัน สามารถกล่าวถึงได้ โดยระบบจะทำการแจ้งเตือนผู้ใช้งานที่ถูกกล่าวถึงที่กระดิ่ง เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสื่อสารระหว่างกันได้สะดวกยิ่งขึ้น ✨ 7. เพิ่มฟังก์ชันการบันทึกร่างในใบลดหนี้แบบอ้างอิงเอกสาร 📢สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการบันทึกใบลดหนี้แบบอ้างอิงเอกสารเป็นแบบร่างก่อนบันทึกจริง ระบบรองรับให้ผู้ใช้งานสามารถกดบันทึกร่างใบลดหนี้ได้ ซึ่งการบันทึกร่างใบลดหนี้ ระบบจะแสดงข้อมูลใน เสมือนมีการบันทึกเอกสารจริง เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบข้อมูล และลดความผิดพลาดในการบันทึกข้อมูล

13 ก.พ. 2025

PEAK Account

2 min

Update Function 13/02/2025

PEAK with the new function designed to enhance efficiency. ✨ 1. Add Formula Calculation in the Quantity and Price Fields on Income-Expense Documents. 📢 For businesses issuing income-expense documents, entering an “=” symbol in the quantity or price field will trigger an automatic calculation function. For example, typing =100+50 will automatically compute and display 150, making data entry more convenient. ✨ 2. Add Usage History for Each Product/Service for Easier Tracking. 📢 The system now records the creation, modifications, and sales price history of each product. Users can review past product details for better tracking and data accuracy. ✨ 3. Enhanced the system to Automatically Document Updates When Modifying Tax Invoices for Better Data Accuracy. 📢 When users add a tax invoice to an expense document, the system will automatically update the relevant document, ensuring that the latest data is displayed correctly. ✨ 4. Add Hyperlinks in Withholding Tax Reports from PEAK TAX for Quick Access to Documents. 📢 Withholding tax reports downloaded from PEAK TAX now include direct hyperlinks to the corresponding tax documents. This allows users to access information quickly, reducing search time and improving workflow efficiency. ✨ 5. Add Support for Income Type 40(2) in PND 1 Kor Forms on PEAK Payroll to Reduce Tax Errors. 📢 PEAK Payroll now correctly displays income types 40(1) and 40(2) in PND 1 Kor forms, ensuring accurate tax filing and minimizing errors in tax document preparation. ✨ 6. Add User Mentions in the Journal Entry Comment Box for Better Communication. 📢 Users can now mention others in journal entry comments. The mentioned user will receive a notification via the bell icon, improving communication and collaboration within the system. ✨ 7. Add Draft Saving for Credit Notes with Document References to Prevent Errors. 📢 Users can now save draft credit notes before finalizing them. Draft credit notes will appear in the Document Reports and Accounts Receivable Aging Reports as if they were finalized, allowing for better review and error prevention before submission.

6 ก.พ. 2025

PEAK Account

7 min

สำนักงานบัญชี ประหยัดเวลาการทำบัญชีด้วยการใช้ AI

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ การใช้ AI ได้กลายเป็นตัวช่วยสำคัญในการยกระดับการทำงานของสำนักงานบัญชี ทำให้กระบวนการต่างๆ รวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับข้อดีของการใช้ AI ในการทำบัญชีและวิธีการนำมาใช้เพื่อช่วยประหยัดเวลาในงานของคุณ ทำไมการทำบัญชีด้วยการใช้ AI ถึงสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชี? นำ AI มาปรับใช้ในงานของสำนักงานบัญชีได้อย่างไร 1. การบันทึกบัญชีด้วยระบบ AI ระบบบัญชีที่มี AI ช่วยแนะนำ รายการบันทึกบัญชีที่ใช้บ่อย จะช่วยให้นักบัญชีทำงานได้รวดเร็วและสะดวกขึ้น เพราะ AI จะเรียนรู้พฤติกรรมการบันทึกข้อมูลของผู้ใช้งาน และเสนอรายการบัญชีที่เกี่ยวข้องแบบอัตโนมัติ ลดเวลาการค้นหารายการบัญชีที่ซับซ้อนหรือใช้บ่อย ตัวอย่างเช่น ข้อดี 2. การวิเคราะห์งบการเงินและคาดการณ์แนวโน้มธุรกิจ PEAK ใช้ AI วิเคราะห์งบกำไรขาดทุน ช่วยให้นักบัญชีและเจ้าของธุรกิจเห็นภาพรวมผลประกอบการได้ชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมทั้งคาดการณ์แนวโน้มทางการเงินในอนาคต AI จะดึงข้อมูลในระบบมาคำนวณและสรุปเป็นกราฟหรือรายงานแบบเข้าใจง่าย เช่น ข้อดี 3. การตรวจสอบความผิดพลาดในการทำบัญชี AI สามารถ ตรวจสอบความถูกต้องของงบทดลอง (Trial Balance) ได้อัตโนมัติ หากพบข้อผิดพลาดหรือยอดไม่ตรง ระบบจะแสดง สัญลักษณ์ธงสี (Flag) เพื่อแจ้งเตือนผู้ใช้งานทันที เช่น ข้อดี ข้อดีของการทำบัญชีด้วยการใช้ AI ลดต้นทุนการดำเนินงาน ลดเวลาและทรัพยากรที่ใช้ในกระบวนการบัญชี ทำให้สำนักงานบัญชีสามารถลดต้นทุนได้ เพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้า เวลาที่ประหยัดได้จากการใช้ AI สามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์และให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์แก่ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น รองรับการขยายตัวของธุรกิจ สำนักงานบัญชีสามารถรองรับลูกค้าใหม่ได้มากขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มทีมงานหรือทรัพยากรเพิ่มเติม PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยสำนักงานบัญชีและธุรกิจประหยัดเวลาและเพิ่มความแม่นยำด้วยระบบ AI ที่สามารถแนะนำรายการบันทึกบัญชีที่ใช้บ่อยๆได้ เพราะ PEAK ตระหนักเห็นถึงความสำคัญในการนำ AI มาปรับใช้ในสำนักงานบัญชีไม่เพียงช่วยประหยัดเวลา แต่ยังช่วยเพิ่มคุณภาพและความแม่นยำในการทำงาน ช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

5 min

บอจ.5 คืออะไร ธุรกิจประเภทไหนต้องยื่นบ้าง ยื่นได้ตอนไหน

บอจ.5 หรือ บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น เป็นเอกสารสำคัญที่บริษัทจำกัดต้องจัดทำและนำส่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าทุกปี เพื่อแสดงโครงสร้างการถือหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงของบริษัท โดยการยื่น บอจ.5 นั้นจะช่วยแสดงว่าธุรกิจเรามีความโปร่งใสและทำตามกฎหมาย จึงเป็นเอกสารที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญมาก ๆ  บอจ.5 คืออะไร สำคัญอย่างไร บอจ.5 เป็นแบบฟอร์มทางกฎหมายที่ใช้บันทึกและรายงานข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นของบริษัทจำกัด โดยจะแสดงรายละเอียดของผู้ถือหุ้นทั้งหมด จำนวนหุ้นที่ถือ และมูลค่าหุ้น  การยื่น บอจ.5 มีความสำคัญในหลายด้าน ทั้งแสดงว่าธุรกิจเรามีความโปร่งใส ทำตามกฎหมาย และมีความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ บอจ.5 ยังเป็นเอกสารสำคัญที่ใช้อ้างอิงในการทำธุรกรรมต่าง ๆ เช่น การเข้าร่วมประมูลงาน การขอสินเชื่อ หรือการทำสัญญาทางธุรกิจอีกด้วย บอจ.5 จะประกอบด้วย เอกสาร บอจ.5 จะประกอบด้วยข้อมูลสำคัญโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัท ได้แก่ ชื่อ-นามสกุล สัญชาติ และที่อยู่ของผู้ถือหุ้นแต่ละราย จำนวนหุ้นที่ถือครอง เลขที่ใบหุ้น มูลค่าหุ้นที่ชำระแล้ว วันที่จดทะเบียนเป็นผู้ถือหุ้น และการเปลี่ยนแปลงการถือหุ้นในรอบปี นอกจากนี้ บอจ.5 ยังต้องระบุรายละเอียดของบริษัท เช่น ชื่อบริษัท เลขทะเบียนนิติบุคคล ทุนจดทะเบียน และจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทด้วย บอจ.5 ใครต้องยื่นบ้าง ยื่นได้ตอนไหน การยื่น บอจ.5 เป็นหน้าที่ตามกฎหมายของบริษัทจำกัดทุกแห่ง โดยมีกำหนดเวลาและผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน เพื่อให้การรายงานข้อมูลผู้ถือหุ้นถูกต้องและทันเวลา  ใครต้องเป็นคนยื่น กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทจะต้องลงชื่อรับรองความถูกต้องและเป็นผู้ยื่น บอจ.5  โดยการยื่น บอจ.5 สามารถทำได้ทั้งด้วยตัวเองที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือมอบอำนาจให้ผู้อื่นดำเนินการแทนก็ได้ เพียงแต่ผู้ยื่นต้องเตรียมเอกสารประกอบให้ครบถ้วน เช่น แบบ บอจ.5 ที่กรอกข้อมูลครบถ้วน สำเนาบัตรประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจ และหนังสือมอบอำนาจ (กรณีมอบอำนาจ) ต้องยื่นเมื่อไหร่ หากไม่นำส่งจะมีค่าปรับอะไรบ้าง การยื่น บอจ.5 มีกำหนดให้ยื่นภายใน 14 วันนับจากวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี หรือไม่เกินเดือนมกราคมของทุกปี แล้วแต่กรณีไหนจะถึงก่อน หากบริษัทไม่นำส่ง บอจ.5 ตามกำหนด จะมีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท และปรับอีกวันละไม่เกิน 500 บาทจนกว่าจะนำส่งได้ถูกต้อง ซึ่งการนำส่งไม่ตรงเวลาอาจทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือลดลง จนส่งผลต่อการทำธุรกรรมต่าง ๆ ด้วย การจัดทำและยื่น บอจ.5 อย่างถูกต้องและตรงเวลาเป็นหน้าที่สำคัญของบริษัทจำกัด นอกจากจะเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว ยังแสดงถึงความโปร่งใสในการทำธุรกิจ ผู้ประกอบการจึงควรให้ความสำคัญและจัดเตรียมข้อมูลให้พร้อมสำหรับการยื่น บอจ.5 ตามกำหนดเวลา โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

8 min

สเตทเม้น คืออะไร เรื่องที่คนทั่วไปและเจ้าของธุรกิจควรรู้

สเตทเม้น คือ รายงานการเคลื่อนไหวทางการเงินที่แสดงรายละเอียดการทำธุรกรรมในบัญชี ซึ่งสถาบันการเงินจัดทำให้กับลูกค้าเป็นประจำทุกเดือน และเป็นเอกสารสำคัญที่ช่วยให้เรารู้และควบคุมการใช้จ่ายได้ รวมถึงยังรู้ว่ารายการเดินบัญชีมีความถูกต้องหรือไม่ ทำให้เราสามารถบริหารจัดการการเงินได้ง่ายและดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งสเตทเม้นเอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง และจะสามารถขอสเตทเม้นได้อย่างไรไปดูกัน สเตทเม้น คืออะไร สเตทเม้น คือ เอกสารทางการเงินที่แสดงรายการเดินบัญชีทั้งหมดในช่วงเวลาหนึ่ง โดยปกติจะเป็นรายเดือน ซึ่งจะระบุรายละเอียดของรายการฝาก ถอน โอน หรือชำระเงินต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบัญชี พร้อมทั้งแสดงยอดเงินคงเหลือ ณ สิ้นเดือน สามารถใช้อ้างอิงการทำธุรกรรมทางการเงิน การจัดทำบัญชี และการยื่นภาษีได้ นอกจากนี้ ยังเป็นตัวช่วยในการวางแผนการเงิน และตรวจสอบว่ารายการเดินบัญชีมีความผิดปกติหรือไม่ รายละเอียดสำคัญที่ปรากฏในสเตทเม้น เอกสารที่รวบรวมข้อมูลสำคัญในการทำธุรกรรมทางการเงินของเรา ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลหลายส่วนที่จะช่วยบริหารการเงินได้ทั้งส่วนบุคคลและธุรกิจ ดังนี้ สเตทเม้นสามารถนำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง สเตทเม้น คือ ตัวช่วยในการบริหารการเงินที่มีประโยชน์หลายด้าน สามารถใช้ในการติดตามรายรับรายจ่าย การวางแผนการเงิน การจัดทำบัญชี การยื่นภาษี และการขอสินเชื่อ นอกจากนี้ ยังช่วยตรวจสอบรายการเดินบัญชีและการทำงบประมาณว่ามีความผิดปกติหรือไม่ และการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่าย ทำให้สามารถควบคุมการเงินได้ดีมากขึ้น ทำบัญชีรายรับรายจ่ายส่วนบุคคล สเตทเม้นเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายส่วนบุคคล ทำให้รู้ว่าตอนนี้จ่ายไปกับอะไรและจ่ายเท่าไหร่บ้าง เพื่อนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงินของตัวเองและปรับปรุงนิสัยการใช้จ่ายเกินความจำเป็นของเราได้ นอกจากนี้ ยังนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนการออม การลงทุน รวมถึงการจัดการหนี้สินต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้น  จัดทำบัญชีธุรกิจ สเตทเม้นเป็นเอกสารสำคัญในการจัดทำบัญชีธุรกิจ ใช้เป็นหลักฐานประกอบการบันทึกรายได้และจัดทำงบการเงิน รวมถึงการคำนวณภาษี ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามกระแสเงินสด ตรวจสอบและวิเคราะห์รายการได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ การขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน สเตทเม้นเป็นเอกสารที่สถาบันการเงินใช้ประกอบในการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของเรา โดยจะพิจารณาจากความสม่ำเสมอของรายได้ พฤติกรรมการใช้จ่าย การออม และประวัติการชำระเงินต่าง ๆ  การมีสเตทเม้นที่แสดงถึงความมั่นคงทางการเงินจะเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อ การสมัครบัตรเครดิต สเตทเม้นเป็นหลักฐานสำคัญในการสมัครบัตรเครดิต โดยธนาคารจะดูว่าเรามีรายรับเท่าไหร่ เพื่อพิจารณาวงเงินบัตรเครดิต และดูว่าเราสามารถจ่ายหนี้ได้มากหรือน้อยขนาดไหน โดยจะดูจากรายได้เฉลี่ยต่อเดือนว่ามีจำนวนเท่าไหร่และมีความสม่ำเสมอไหม รวมถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านบัญชีนั้นด้วย วิธีขอสเตทเม้น การขอสเตทเม้นสามารถเลือกทำจากช่องทางต่าง ๆ ได้ตามความสะดวกและบริการของแต่ละธนาคาร โดยช่องทางหลัก ๆ ได้แก่ การขอผ่านแอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ ซึ่งสามารถดาวน์โหลดสเตทเม้นย้อนหลังได้ฟรีโดยไม่มีค่าธรรมเนียม หรือเป็นการขอที่ตู้ ATM โดยใช้บัตร ATM/Debit ให้กดเลือกบริการพิมพ์รายการเดินบัญชี หรือการติดต่อที่สาขาธนาคารโดยตรงพร้อมบัตรประชาชนและสมุดบัญชี ทั้งนี้ การขอสเตทเม้นย้อนหลังเกิน 6 เดือนอาจมีค่าธรรมเนียมตามที่แต่ละธนาคารกำหนด และระยะเวลาในการขอย้อนหลังอาจแตกต่างกันไปตามนโยบายของแต่ละธนาคาร สเตทเม้นคือเอกสารสำคัญมาก ๆ ในการนำมาทำบัญชีธุรกิจ นำมาใช้ขอสินเชื่อและการทำธุรกรรมต่าง ๆ โดยเราสามารถขอได้ตามความสะดวกที่เราแนะนำไปข้างต้นได้เลย แต่สำหรับผู้ที่มีเงินเข้าออกหลายทางการทำบัญชีอย่างละเอียดยังคงมีความสำคัญมาก ๆ  โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

6 min

Audit คืออะไร? สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องรู้เพื่อเตรียมพร้อม

Audit คือ สิ่งที่คนทำงานบริษัทได้ยินกันบ่อย ๆ และมีความสำคัญกับธุรกิจอย่างมาก เพราะการ Audit คือ การตรวจสอบและประเมินข้อมูลบัญชีทางการเงินว่ามีความถูกต้องหรือไม่ และประเมินว่าพนักงานและบริษัทได้ทำตามกฎระเบียบขององค์กรและกฎหมายจริง ๆ โดยผู้เชี่ยวชาญอิสระ ซึ่งการ Audit นั้นจะมีความสำคัญกับธุรกิจอย่างไร ทำไมธุรกิจต้องตรวจสอบบัญชีเราไปดูกัน  Audit คือสิ่งสำคัญสำหรับทุกธุรกิจ Audit คือ กระบวนการสำคัญที่ช่วยให้การทำธุรกิจโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ โดยมีบทบาทสำคัญในหลายด้าน ทั้งการสร้างความน่าเชื่อถือ การทำตามกฎหมาย การป้องกันการทุจริต และการสนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจ สร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ การตรวจสอบบัญชี หรือ Audit คือ กลไกในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร โดยผู้ตรวจสอบอิสระที่มีความเชี่ยวชาญ จะทำให้งบการเงินของบริษัทน่าเชื่อถือมากขึ้น จนนักลงทุนและสถาบันการเงินมั่นใจในการลงทุนหรือร่วมงานกับองค์กร นอกจากนี้ ยังช่วยทำให้ธุรกิจมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาคนทั่วไป ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับ Audit คือ ตัวช่วยให้องค์กรและคนทั่วไปมั่นใจว่าบริษัททำตามข้อบังคับและกฎหมายจริง ๆ ทั้งด้านการเงินและภาษี เพื่อช่วยป้องกันการถูกปรับจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย รวมถึงช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงการการทำงานต่าง ๆ ได้สอดคล้องกับข้อกำหนดต่าง ๆ อย่างทันท่วงที ป้องกันการทุจริตและข้อผิดพลาด Audit คือ กระบวนการที่ช่วยค้นหาข้อผิดพลาดในการทำธุรกิจ และป้องกันปัญหาทุจริตที่อาจจะเกิดจขึ้น ผ่านการตรวจสอบภายในและรายการต่าง ๆ อย่างละเอียด ซึ่งถ้าบริษัทมีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ธุรกิจสามารถรู้จุดอ่อนของตัวเอง และปรับปรุงได้ก่อนที่จะเกิดความเสียหายรุนแรง เพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ Audit คือ ปัจจัยสำคัญที่เพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ โดยเฉพาะการตรวจสอบงบการเงินที่จะเพิ่มความน่าเชื่อถือจากนักลงทุนและจากสถาบันการเงิน นอกจากนี้ ยังช่วยให้การวางแผนและตัดสินใจทางธุรกิจ จากข้อมูลทางการเงินที่มีความถูกต้องได้ง่ายและรอบคอบมากขึ้น ประเภทของอาชีพ Audit การ Audit มีความสำคัญกับธุรกิจมากมาย เราจึงจะขอพาไปทำความรู้จักกับอาชีพ Audit ว่ามีประเภทอะไรบ้าง และมีหน้าที่ตรวจสอบธุรกิจส่วนไหน เพื่อให้เจ้าของธุรกิจ พนักงานบัญชี และบุคคลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถเตรียมพร้อมรับการตรวจสอบได้อย่างราบรื่น Financial Audit  Financial Audit คือ การตรวจสอบรายงานทางการเงินจากผู้สอบบัญชีอิสระ เพื่อดูว่าข้อมูลมีความถูกต้องและเชื่อถือได้ตามมาตรฐานการบัญชี  โดยจะครอบคลุมการตรวจสอบรายการบัญชีและเอกสารประกอบต่าง ๆ  Internal Audit  Internal Audit คือ การตรวจสอบภายในที่ดำเนินการโดยพนักงานขององค์กรเอง มีหน้าที่ในการประเมินระบบต่าง ๆ และการบริหารความเสี่ยงในการทำธุรกิจ เพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรมีการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพตามนโยบายที่กำหนด IT Audit  IT Audit คือ การตรวจสอบระบบเทคโนโลยีขององค์กร ว่ามีความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูลขนาดไหน และมีการปฏิบัติตามนโยบายหรือไม่ เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านปลอดภัยของข้อมูล การตรวจสอบบัญชี หรือ Audit คือ กระบวนการสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน โดยการสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือให้กับบริษัท ผู้ประกอบการจึงต้องมีการตรวจสอบบัญชีเพื่อการพัฒนาธุรกิจอย่างมั่นคง โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

7 min

“โปรแกรมบัญชี” ที่ใช่! ตัวช่วยสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชี

การเลือก “โปรแกรมบัญชี” ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชีที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดข้อผิดพลาด และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ในบทความนี้จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจว่าโปรแกรมบัญชีที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไร และจะช่วยพัฒนาธุรกิจของสำนักงานบัญชีได้อย่างไรบ้าง คุณสมบัติที่สำคัญของ “โปรแกรมบัญชี” สำหรับสำนักงานบัญชี การเลือกโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสมช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถทำงานได้อย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ และลดเวลาในการทำงานประจำ คุณสมบัติเด่นที่ควรพิจารณา ได้แก่ 1. การทำงานแบบ Cloud-Based ระบบ Cloud ช่วยให้การทำงานสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา รองรับการทำงานร่วมกันในทีมแบบเรียลไทม์ และช่วยลดต้นทุนด้านฮาร์ดแวร์ พร้อมทั้งมีระบบสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย 2. การรองรับการจัดทำภาษี โปรแกรมควรมีฟังก์ชันที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดทำเอกสารภาษี เช่น ภ.ง.ด. และ ภ.พ. พร้อมทั้งรองรับการยื่นภาษีออนไลน์ผ่านระบบของกรมสรรพากร 3. ระบบ AI ช่วยแนะนำการบันทึกรายการบัญชีที่บันทึกบ่อย ระบบ AI ที่สามารถจดจำรายการบัญชีที่ใช้บ่อย และแนะนำการบันทึกบัญชีแบบอัตโนมัติ จะช่วยลดเวลาในการทำงานและลดข้อผิดพลาดในการป้อนข้อมูล 4. เชื่อมต่อข้อมูลจากภายนอกได้ง่ายด้วย API โปรแกรมควรรองรับการเชื่อมต่อ API เพื่อดึงข้อมูลจากระบบภายนอก เช่น ระบบธนาคาร ระบบ ERP หรือแพลตฟอร์ม E-Commerce เพื่อให้การบันทึกบัญชีและประมวลผลข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วและลดข้อผิดพลาด 5. อัปโหลด/ดาวน์โหลดไฟล์ได้ง่าย โปรแกรมควรรองรับการอัปโหลดและดาวน์โหลดข้อมูล เช่น ไฟล์ Excel, CSV หรือ PDF เพื่อช่วยให้สามารถจัดการข้อมูลได้อย่างยืดหยุ่น และนำข้อมูลไปใช้ในระบบอื่น ๆ ได้สะดวก ประโยชน์ของ “โปรแกรมบัญชี” สำหรับสำนักงานบัญชี การนำโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสมมาใช้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนให้กับสำนักงานบัญชีในหลายด้าน ดังนี้ 1. ประหยัดเวลาและลดข้อผิดพลาด ระบบอัตโนมัติช่วยลดเวลาการทำงานที่ใช้ไปกับงานเอกสาร และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดจากการทำงานด้วยมือ 2. เพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า โปรแกรมบัญชีช่วยให้สำนักงานสามารถส่งมอบงานได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น สร้างความน่าเชื่อถือและพึงพอใจให้กับลูกค้า 3. ช่วยในการวางแผนและตัดสินใจ ด้วยรายงานที่ถูกต้องและครบถ้วน สำนักงานบัญชีสามารถให้คำแนะนำที่มีประสิทธิภาพแก่ลูกค้าในการวางแผนการเงินและตัดสินใจทางธุรกิจ วิธีเลือก “โปรแกรมบัญชี” ที่เหมาะสมสำหรับสำนักงานบัญชี 1. วิเคราะห์ความต้องการของสำนักงานบัญชี พิจารณาว่าสำนักงานบัญชีของคุณมีความต้องการอะไร เช่น การรองรับลูกค้าจำนวนมาก การจัดการงานเอกสาร หรือการทำงานร่วมกันในทีม 2. ทดลองใช้งานก่อนตัดสินใจ หลายโปรแกรมบัญชีมีบริการทดลองใช้งานฟรี ซึ่งช่วยให้คุณสามารถประเมินว่าโปรแกรมนั้นตอบโจทย์ความต้องการของสำนักงานบัญชีหรือไม่ 3. ตรวจสอบบริการหลังการขาย เลือกโปรแกรมบัญชีที่มีทีมสนับสนุนที่พร้อมช่วยเหลือ เช่น การให้คำปรึกษา การอบรม หรือบริการช่วยแก้ไขปัญหา แนะนำโปรแกรมบัญชี PEAK ตัวช่วยที่สำนักงานบัญชีควรเลือกใช้ โปรแกรมบัญชี PEAK รองรับทั้ง 5 คุณสมบัติที่กล่าวมาเบื้องต้น เพื่อตอบโจทย์สำนักงานบัญชีโดยเฉพาะ ด้วยระบบที่ช่วยให้ทำงานสะดวกขึ้น ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพการทำบัญชี ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อข้อมูลอัตโนมัติ ระบบคลาวด์ที่ปลอดภัย รายงานที่อ่านง่าย AI ช่วยบันทึกบัญชี และเครื่องมือจัดการไฟล์ที่ยืดหยุ่น ทุกฟังก์ชันถูกพัฒนาเพื่อช่วยให้นักบัญชีทำงานได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น การเลือก “โปรแกรมบัญชี” ที่เหมาะสมเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จของสำนักงานบัญชี โปรแกรมที่ดีไม่เพียงช่วยลดความซับซ้อนในการทำงาน แต่ยังช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับบริการที่สำนักงานบัญชีมอบให้กับลูกค้า เลือกโปรแกรมที่มีคุณสมบัติตรงกับความต้องการ เช่น โปรแกรมบัญชี PEAK และเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นตั้งแต่วันนี้ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

30 ม.ค. 2025

PEAK Account

21 min

5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ

การทำบัญชีอาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของธุรกิจให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก แต่ความจริงแล้ว ความผิดพลาดทางบัญชีสามารถสร้างปัญหาใหญ่กว่าที่คุณคิด ตั้งแต่กระแสเงินสดที่ไม่สมดุล ไปจนถึงปัญหาภาษีและความน่าเชื่อถือของธุรกิจ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จัก “5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ” เพื่อให้คุณสามารถบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงทางการเงิน และสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน 5 ความผิดพลาดทางบัญชี ที่ ธุรกิจ SMEs มักมองข้าม! ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 1 : การไม่แยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว การบริหารการเงินที่ดีเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในธุรกิจ หนึ่งในหลักการพื้นฐานที่เจ้าของธุรกิจต้องให้ความสำคัญคือ การแยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว อย่างชัดเจน การใช้บัญชีเดียวกันอาจทำให้เกิดความสับสน เสียเวลา และส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจทางการเงินของธุรกิจ ดังนั้นในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจว่าทำไมการแยกบัญชีจึงเป็นเรื่องสำคัญ พร้อมแนวทางปฏิบัติที่คุณสามารถนำไปใช้ได้จริง ทำไมต้องแยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว? 1.1 ช่วยให้บริหารการเงินได้ง่ายขึ้น ลองนึกภาพว่าคุณต้องนั่งไล่ดูรายการเดินบัญชีเพื่อแยกว่าเงินไหนเป็นรายรับธุรกิจ เงินไหนเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว หากคุณใช้บัญชีเดียวกัน คุณอาจต้องเสียเวลานั่งไล่ดูทีละรายการ ซึ่งไม่คุ้มค่าเลย การแยกบัญชีช่วยให้คุณสามารถติดตามรายรับและรายจ่ายของธุรกิจได้อย่างแม่นยำ ลดความยุ่งยากในการทำบัญชี และช่วยให้การทำงบการเงินเป็นไปอย่างถูกต้อง 1.2 ป้องกันความผิดพลาดทางภาษี ช่วงยื่นภาษีทีไรต้องปวดหัว เพราะมีรายการใช้จ่ายที่ปะปนกันจนไม่รู้ว่าอันไหนใช้กับธุรกิจ อันไหนเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าคุณเผลอเอาค่าใช้จ่ายส่วนตัวมาคิดเป็นค่าใช้จ่ายธุรกิจโดยไม่ได้ตั้งใจ อาจทำให้มีปัญหากับกรมสรรพากรได้ หรือในทางตรงกันข้าม หลายครั้งที่นักบัญชีปิดงบปลายปีให้ผู้ประกอบการ และเมื่อเจอรายการเงินออกที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมอะไรของธุรกิจ กลายเป็นว่าค่าใช้จ่ายนั้นก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้าม หรือค่าใช้จ่ายบวกกลับทางภาษีของกิจการไป ทำให้ต้องเสียเงินภาษีเยอะขึ้นโดยไม่จำเป็น แต่ถ้าแยกบัญชีชัดเจน การคำนวณภาษีจะง่ายขึ้นและมีความถูกต้องมากขึ้น 1.3 สร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือให้ธุรกิจ ลองนึกถึงกรณีที่คุณต้องการขอสินเชื่อจากธนาคารหรือดึงดูดนักลงทุน หากบัญชีธุรกิจของคุณปะปนกับบัญชีส่วนตัว ธนาคารอาจมองว่าธุรกิจของคุณไม่มีระบบที่ดีพอ ทำให้โอกาสได้รับอนุมัติน้อยลง การมีบัญชีธุรกิจแยกจากบัญชีส่วนตัวช่วยให้ลูกค้า คู่ค้า และธนาคารมองว่าธุรกิจของคุณเป็นองค์กรที่มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ช่วยเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อ หรือเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น 1.4 ควบคุมกระแสเงินสดได้ดีขึ้น ถ้าใช้บัญชีเดียวกัน บางครั้งคุณอาจเผลอใช้เงินธุรกิจไปกับเรื่องส่วนตัวโดยไม่รู้ตัว เมื่อถึงเวลาต้องจ่ายค่าซัพพลายเออร์หรือพนักงาน อาจเจอปัญหาเงินสดขาดมือ การแยกบัญชีช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของกระแสเงินสดธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น และบริหารเงินได้ดีกว่าเดิม ช่วยทำให้คุณมองเห็น และเข้าใจเงินทุนหมุนเวียนของกิจการได้ดีขึ้น แนวทางปฏิบัติในการแยกบัญชีธุรกิจและบัญชีส่วนตัว 1.1 เปิดบัญชีธุรกิจแยกต่างหาก เริ่มต้นด้วยการเปิดบัญชีธุรกิจโดยเฉพาะ เลือกธนาคารที่ให้บริการด้านบัญชีธุรกิจที่เหมาะสมกับคุณ เช่น มีระบบจ่ายเงินออนไลน์ หรือค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม หรืออย่างน้อยที่สุด คุณสามารถใช้บัญชีธนาคารเพื่อกิจการก็ได้ในชื่อของคุณ เป็นบัญชีบุคคลธรรมดา แต่ที่สำคัญคือคุณต้องแยกบัญชีกัน 1.2 กำหนดเงินเดือนให้ตัวเอง อย่าคิดว่าเงินธุรกิจเป็นของตัวเอง! กำหนดเงินเดือนให้ตัวเองและใช้จ่ายในส่วนที่ได้รับเท่านั้น วิธีนี้ช่วยให้คุณควบคุมการใช้จ่ายส่วนตัวได้ดีขึ้น และป้องกันการนำเงินธุรกิจไปใช้เกินความจำเป็น และเงินเดือนของคุณ ก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทด้วย สามารถช่วยลดภาระภาษีของบริษัทไปได้ แน่นอนว่ามันจะกลายเป็นรายได้บุคคลธรรมดาของคุณ แต่ถ้าคุณจัดการภาษีบุคคลได้ดี คุณจะสามารถนำเงินเดือนเป็นเครื่องนึงในการประหยัดภาษีได้ (หากคุณต้องการจัดการเงินเดือน เราก็มีโปรแกรมที่ช่วยจัดการเงินเดือนให้คุณได้) 1.3 ใช้บัตรเครดิตธุรกิจและบัตรเครดิตส่วนตัวแยกจากกัน เช่นเดียวกับการเปิดบัญชีธนาคารแยก คุณสามารถมีบัตรเครดิตบุคคลในชื่อคุณได้ แต่ใช้เพื่อบริษัทเพียงอย่างเดียว อย่าใช้บัตรใบนั้นไปรูดซื้อของใช้ส่วนตัว เพราะจะทำให้การติดตามค่าใช้จ่ายยุ่งยาก หรือบริษัทของคุณมีความน่าเชื่อถือที่มากพอ คุณสามารถขอเปิดบัตรเครดิตในนามนิติบุคคลได้ โดยติดต่อธนาคารต่างๆ อย่างไรก็ตาม เดี๋ยวนี้ผู้ให้บริการชำระเงินหลายแห่งมีบริการ virtual card เพื่อให้คุณสามารถใช้บัตรเครดิตในบริษัทได้หลากหลายใบ โดยที่สามารถจัดการจากระบบหลังบ้านได้ 1.4 บันทึกและตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินเป็นประจำ อย่าปล่อยให้รายการเดินบัญชีสะสมเป็นเดือนๆ แล้วค่อยมาเช็ก ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะทำงบประมาณ หรือ budget ควรตรวจสอบธุรกรรมเป็นประจำทุกสัปดาห์เพื่อให้แน่ใจว่าเงินเข้า-ออกตรงตามแผน และไม่มีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น 1.5 หลีกเลี่ยงการโอนเงินระหว่างบัญชีโดยไม่จำเป็น หากต้องโอนเงินระหว่างบัญชี ควรมีบันทึกที่ชัดเจน เช่น หากคุณนำเงินส่วนตัวมาใช้ในธุรกิจ ควรลงบัญชีว่าเป็น “เงินกู้” หรือ “จ่ายเพื่ออะไร” เพื่อให้สามารถติดตามได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเดี๋ยวนี้คุณสามารถเพิ่มบันทึกสาเหตุรายการเหล่านั้นเข้าไปได้ในมือถือตอนที่ทำการจ่ายโอนเลย มันง่ายมากๆแล้ว ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 2 : การไม่จัดทำบัญชีอย่างสม่ำเสมอ การทำบัญชีเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะเล็กหรือใหญ่ การบันทึกบัญชีอย่างสม่ำเสมอช่วยให้คุณติดตามสถานะทางการเงินของธุรกิจได้อย่างถูกต้อง แต่หลายคนมักเลื่อนการบันทึกบัญชีออกไปเพราะคิดว่าไม่มีเวลาหรือไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน จนกลายเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบใหญ่กว่าที่คิด! ทำไมการไม่บันทึกบัญชีเป็นประจำถึงเป็นปัญหา? 2.1 ข้อมูลการเงินไม่ถูกต้อง ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด ลองนึกภาพว่าคุณต้องการขยายธุรกิจ แต่เมื่อดูตัวเลขทางบัญชีแล้วกลับพบว่ามีข้อมูลขาดหาย หรือไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าธุรกิจมีกำไรจริงหรือไม่ สิ่งนี้ทำให้คุณตัดสินใจทางการเงินผิดพลาด เช่น ลงทุนเกินตัว หรือคิดว่ามีเงินสดมากพอแต่กลับมีหนี้ที่ไม่ได้บันทึก ในตอนที่ผมทำบัญชีให้กับลูกค้า มีเคสนึงน่าสนใจ ร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่บันทึกบัญชีทุกวัน แต่จดยอดขายเฉพาะวันที่พนักงานมีเวลาว่าง ส่งผลให้เจ้าของเข้าใจผิดว่าธุรกิจมีกำไรดี เพราะไม่ได้บันทึกต้นทุนวัตถุดิบที่ซื้อมา และไม่ได้ตัดเครื่องปรุงเครื่องใช้ออกเลย เจ้าของตัดสินใจขยายพื้นที่ร้านเพิ่ม และสั่งของมาเพิ่มอีก แต่เมื่อถึงเวลาตรวจสอบจริง พบว่ามีค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้ถูกบันทึก มีวัตถุดิบที่หมดอายุเพราะสั่งมาเกิน มีเครื่องปรุงที่หมดไปแล้วมีไม่พอทำให้เสียโอกาสในการขาย ทำให้เงินสดขาดมือและต้องกู้เงินเพิ่มโดยไม่จำเป็น ปัญหาเหล่านี้ เกิดขึ้นจากการที่เจ้าของขาดข้อมูลที่แท้จริงในการตัดสินใจ 2.2 ปัญหาด้านภาษีและค่าปรับที่ไม่คาดคิด หากไม่มีการบันทึกบัญชีอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้คุณพลาดการยื่นภาษีที่ถูกต้อง และอาจต้องเสียค่าปรับจากกรมสรรพากรโดยไม่จำเป็น การไม่มีข้อมูลบัญชีที่ชัดเจนยังทำให้คุณไม่สามารถใช้สิทธิหักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้เต็มที่ 2.3 เสียเวลาและเพิ่มภาระงานตอนท้ายปี การสะสมงานบัญชีไว้จนถึงสิ้นเดือนหรือสิ้นปี ทำให้ต้องเสียเวลามากในการตามหาข้อมูลย้อนหลัง หากคุณปล่อยให้บัญชีไม่อัปเดตเป็นเวลานาน คุณอาจต้องใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ในการจัดการข้อมูลแทนที่จะใช้เวลานั้นในการพัฒนาธุรกิจ ซึ่งเหตุการณ์นี้ผมคิดว่าหลายกิจการก็น่าจะเจอเหมือนกัน ตอนที่ผมทำบัญชีผมเจอบริษัทหลายแห่งเลยที่ไม่ได้บันทึกค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน พอถึงสิ้นปีต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือนๆในการไล่หาบิลและเอกสารบัญชี ทำให้การปิดงบล่าช้าและส่งผลกระทบต่อการยื่นภาษีและโดยค่าปรับยื่นแบบล่าช้าอีก แนวทางปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการบันทึกบัญชีล่าช้า 2.1 กำหนดเวลาในการบันทึกบัญชีเป็นประจำ ตั้งเวลาให้แน่นอน เช่น บันทึกบัญชีทุกวันหรืออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้องและอัปเดตอยู่เสมอ 2.2 ใช้ซอฟต์แวร์บัญชีช่วยจัดการ เลือกใช้ซอฟต์แวร์บัญชีที่ช่วยให้คุณสามารถบันทึกข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและอัตโนมัติ เช่น บันทึกยอดขาย ค่าใช้จ่าย และเงินสดเข้าออกโดยไม่ต้องทำมือทั้งหมด แน่นอนว่าตัวที่เราแนะนำก็คือโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK นี่เอง คุณสามารถทดลองใช้งานได้ฟรี 2.3 มอบหมายหน้าที่ให้พนักงานหรือนักบัญชี หากคุณไม่มีเวลาทำเอง อาจมอบหมายให้พนักงานที่มีความสามารถรับผิดชอบ หรือจ้างนักบัญชีภายนอกเพื่อช่วยดูแลการเงินของธุรกิจ ซึ่งที่ PEAK เองก็มีบริการแนะนำนักบัญชีที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการใช้โปรแกรม PEAK มาช่วยดูแลบัญชีให้คุณ ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 3 : ขาดการวางแผนภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ การวางแผนภาษีเป็นเรื่องที่เจ้าของธุรกิจหลายคนมักมองข้าม หรือเลื่อนออกไปจนถึงช่วงสิ้นปี ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดพลาด เสียโอกาสในการลดภาระภาษี และส่งผลต่อกระแสเงินสดของธุรกิจ การวางแผนภาษีที่ดีควรเริ่มตั้งแต่ต้นปีเพื่อให้สามารถบริหารจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง วิธีหลีกเลี่ยง การศึกษากฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม การเตรียมตัวสำหรับการชำระภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ และการจัดสรรเงินสำรองสำหรับการชำระภาษีจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการชำระภาษีล่าช้าและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น และควรเริ่มเลยตั้งแต่กลางๆปี ไม่ควรรอไปถึงสิ้นปีแล้วค่อยคิด เพราะว่าการดำเนินการต่างๆอาจจะไม่ทันปีภาษีได้ ผมอยากแนะนำให้ลองดูบทความนี้ครับ 6 กลยุทธ์การวางแผนภาษีธุรกิจ SMEs ปี 2568 ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 4 : การไม่ใช้เทคโนโลยีช่วยในงานบัญชี ในยุคดิจิทัล การทำบัญชีด้วยวิธีดั้งเดิม เช่น การใช้สมุดจดหรือ Excel อาจไม่เพียงพอสำหรับการบริหารธุรกิจที่เติบโตขึ้น โปรแกรมบัญชี สามารถช่วยให้เจ้าของธุรกิจบริหารการเงินได้ง่ายขึ้น แม่นยำขึ้น และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำบัญชีด้วยตนเอง ข้อดีของการใช้โปรแกรมบัญชี ✅ ลดข้อผิดพลาดในการคำนวณ – ระบบช่วยให้การบันทึกบัญชีและคำนวณภาษีถูกต้องอัตโนมัติ✅ ประหยัดเวลา – ไม่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงทำบัญชีเอง สามารถโฟกัสกับการบริหารธุรกิจได้เต็มที่ ด้วยเทคโนโลยี API ที่เชื่อมต่อกับระบบต่างๆ ทำให้ข้อมูลไหลไปเป็นอัตโนมัติ✅ ช่วยบริหารกระแสเงินสด – ติดตามรายรับ-รายจ่ายได้แบบเรียลไทม์ ทำให้เห็นภาพรวมการเงินของธุรกิจ✅ พร้อมสำหรับการตรวจสอบภาษี – ข้อมูลบัญชีครบถ้วน ลดความเสี่ยงจากปัญหาภาษีและค่าปรับที่ไม่จำเป็น✅ ใช้งานง่าย – ซอฟต์แวร์บัญชีในปัจจุบันสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ผ่านระบบคลาวด์ ช่วยให้การจัดการบัญชีสะดวกขึ้น ความผิดพลาดทางบัญชี ข้อที่ 5 : การไม่เก็บเอกสารทางการเงินอย่างเป็นระบบ การเก็บรักษาเอกสารทางการเงิน เช่น ใบเสร็จและใบแจ้งหนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น และยังช่วยให้การทำบัญชีและการยื่นภาษีเป็นไปอย่างถูกต้องและง่ายขึ้น ลองทำตามคำแนะนำเหล่านี้เพื่อจัดการเอกสารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ เก็บเอกสารให้เป็นระบบ – แยกประเภทเอกสารเป็นหมวดหมู่ เช่น รายรับ ค่าใช้จ่าย เงินเดือน และภาษี ใช้แฟ้ม หรือโฟลเดอร์ดิจิทัลเพื่อให้ค้นหาได้ง่าย และต้องจัดเก็บไว้ให้ได้ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดด้วย ✅ ใช้ซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันช่วยจัดการ – บันทึกและสแกนใบเสร็จ/ใบแจ้งหนี้เก็บไว้ในระบบออนไลน์ เพื่อลดความเสี่ยงจากเอกสารสูญหาย และสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ โดยที่ PEAK เองเรามีระบบคลังเอกสาร ที่คุณสามารถถ่ายรูปจากมือถือ แล้วเก็บเอกสารเข้าไปในระบบได้เลย ✅ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางบัญชี – หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับการจัดเก็บเอกสารหรือข้อกำหนดทางภาษี ให้ปรึกษานักบัญชีเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง เราสามารถช่วยแนะนำคุณได้ ผมหวังว่าบทความ “5 ความผิดพลาดทางบัญชี SMEs ที่ควรรู้และการหลีกเลี่ยงเพื่อความสำเร็จ” นี้จะช่วยเป็นแนวทางให้เพื่อนๆ ผู้ประกอบการ หลีกเลี่ยงความผิดพลาดได้ และสามารถดำเนินธุรกิจโดยมีพื้นฐานด้านบัญชีที่แข็งแรง เพื่อรองรับการเติบโตของคุณได้ในอนาคตครับ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ คือ ทางเลือกที่จะช่วยให้คุณบริหารธุรกิจได้อย่างมีระบบ ด้วยการใช้งานที่ง่ายและฟีเจอร์ที่ครบครัน โปรแกรมนี้ช่วยให้คุณเห็นกำไร-ขาดทุนแบบ Real-Time และจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่ารอช้าที่จะนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาธุรกิจของคุณให้เติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต! ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

29 ม.ค. 2025

PEAK Account

6 min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 29/01/2025

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✨ 1. เพิ่มปุ่มดาวน์โหลด Text File RD Prep ภ.ง.ด 1ก หน้าสรุปจ่ายเงินเดือนที่ PEAK Payroll 📢สำหรับกิจการที่ใช้ฟีเจอร์ PEAK Payroll ผู้ใช้งานสามารถพิมพ์ Text File สำหรับยื่นภาษี ภ.ง.ด. 1ก ได้โดยตรงจากหน้าสรุปจ่ายเงินเดือน โดย Text File รองรับทั้งเงินได้ประเภท 40(1) และ 40(2) พร้อมทั้งมีการปรับชื่อไฟล์ให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถนำไฟล์ไปโอนย้ายข้อมูลใน RD Prep ได้อย่างง่ายดาย ช่วยลดขั้นตอนการทำงาน เพิ่มความสะดวกในการยื่นภาษี ✨ 2. เพิ่มช่อง “เลขที่ใบกำกับภาษี” หน้าบันทึกค่าใช้จ่ายที่สร้างจากรายการกระทบยอดธนาคาร ช่วยจัดการภาษีได้สะดวกยิ่งขึ้น 📢ผู้ใช้งานสามารถลงทะเบียนใบกำกับภาษีและระบุวันที่บันทึกบัญชีได้โดยตรง เมื่อสร้างเอกสารค่าใช้จ่าย (EXP) จากหน้ากระทบยอดธนาคาร ช่วยเพิ่มความครบถ้วนและความสะดวกในการจัดการเอกสารทางภาษีและบัญชีอย่างมีประสิทธิภาพ ✨ 3. เพิ่มปุ่มตั้งค่าการแสดงผลหน้างบฐานะการเงิน ช่วยให้เป็นรูปแบบใหม่ตามที่กรมพัฒฯ กำหนด 📢สำหรับแพ็กเกจ PRO Plus ขึ้นไป ระบบเพิ่มปุ่มตั้งค่าการแสดงผลหน้างบฐานะการเงิน ผู้ใช้งานสามารถจัดกลุ่มบัญชีตามรูปแบบใหม่ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) กำหนด ทั้งนี้ระบบยังรองรับการ Export งบในรูปแบบ Excel เพื่อใช้ประกอบการนำเสนอ และแสดงผลงบการเงินในรูปแบบที่ตรงกับงบที่ต้องนำส่งจริง ช่วยให้การจัดทำและนำเสนองบการเงินมีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับมาตรฐานใหม่ได้อย่างมืออาชีพ ตัวอย่างหน้าตั้งค่าการแสดงผล ✨ 4. เพิ่มตัวเลือกการแสดงผลกลุ่มบัญชีที่ไม่มีการเคลื่อนไหวหน้างบฐานะการเงิน ช่วยให้ดูข้อมูลได้ครบถ้วน 📢สำหรับแพ็กเกจ Basic และ Pro ที่ต้องการปรับรูปแบบงบฐานะการเงินให้เป็นไปตามที่ DBD กำหนด ผู้ใช้งานสามารถเลือกดูหน้างบฐานะการเงินที่แสดงกลุ่มบัญชีทั้งหมด รวมถึงบัญชีที่มียอดเป็น 0 บาทได้ ช่วยให้งบฐานะการเงินแสดงผลข้อมูลกลุ่มบัญชีทั้งหมด และเป็นไปตามที่รูปแบบงบการเงินที่ DBD กำหนด ทั้งนี้ผู้ใช้งานสามารถพิมพ์รายงานพร้อมหัวข้อกลุ่มบัญชีเพื่อใช้ปรับงบและจัดทำงบการเงินนำส่งได้อย่างง่ายดาย ✨ 5. ปรับการแสดงข้อมูลในรายงานใบกำกับภาษีซื้อให้แสดงเฉพาะมูลค่าสินค้า/บริการที่มี VAT ช่วยให้ตรวจสอบภาษีได้ง่ายมากขึ้น 📢สำหรับกิจการที่จด VAT รายงานใบกำกับภาษีซื้อในรูปแบบกรมสรรพากรถูกปรับให้แสดงเฉพาะมูลค่าสินค้าหรือบริการที่มี VAT 7% โดยไม่แสดงยอดที่ไม่มี VAT เพื่อเพิ่มความแม่นยำ ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถจัดการข้อมูลภาษีง่ายขึ้นและลดความสับสนในการตรวจสอบยอด VAT ✨ 6. เพิ่มประวัติการใช้งานในแต่ละช่องทางการเงิน ช่วยให้ตรวจสอบรายการได้ง่ายยิ่งขึ้น 📢ระบบเพิ่มช่องการดูประวัติแต่ละช่องทางการเงิน โดยจะเก็บประวัติการสร้างและแก้ไขรายการ ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบรายละเอียดการทำรายการย้อนหลังได้ด้วยตนเอง ช่วยลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความมั่นใจในการบริหารจัดการทางการเงิน ✨ 7. เพิ่มตัวเลือกพิมพ์รายงานแยกประเภทเฉพาะบัญชีที่มียอดคงเหลือ ช่วยตรวจสอบรายการได้สะดวกมากยิ่งขึ้น 📢ระบบเพิ่มตัวเลือกก่อนพิมพ์รายงานบัญชีแยกประเภท โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกให้รายงานที่ได้แสดงเฉพาะบัญชีที่มียอดคงเหลือ หากบัญชีใดมียอดคงเหลือ 0 บาท ระบบจะไม่แสดงรายการในรายงาน ฟังก์ชันนี้ช่วยลดข้อมูลที่ไม่จำเป็น เพิ่มความสะดวกและรวดเร็วในการตรวจสอบรายละเอียด

29 ม.ค. 2025

PEAK Account

3 min

Update Function 29/01/2025

PEAK with the new function designed to enhance efficiency. ✨ 1. Add a “Download Text File for RD Prep” button to the payroll summary page in PEAK Payroll. 📢 For businesses using the PEAK Payroll feature, users can now directly print a Text File for submitting P.N.D. 1Kor tax forms from the payroll summary page. The Text File supports both income types 40(1) and 40(2) and includes an updated file naming format for better clarity. This functionality allows users to easily transfer the file to RD Prep, streamlining the tax submission process and enhancing convenience. ✨ 2. Include a new field for “Tax Invoice No.” on the expense entry page created from bank reconciliation items to make tax management more convenient. 📢 Users can now register tax invoices and specify the accounting entry date directly when creating expense documents (EXP) from the bank reconciliation page. This feature enhances completeness and convenience in managing tax and accounting documents more efficiently. ✨ 3. Add a button to configure the display format of the financial position statement to match the new standards set by the Department of Business Development. 📢 For PRO Plus packages and above, the system introduces a new button for customizing the presentation of the financial position statement. Users can group accounts according to the new format specified by the Department of Business Development (DBD). Additionally, the system supports exporting financial statements in Excel format, enabling seamless presentation and alignment with the official submission requirements. This feature provides greater flexibility and ensures that financial statements are prepared and presented professionally while adhering to the latest standards. Example of Display Settings Page. ✨ 4. Introduce an option to toggle the display of inactive account groups on the financial position statement, ensuring complete data visibility. 📢 For Basic and Pro packages, users who wish to adjust their financial position statement to align with DBD’s requirements can now view a complete statement displaying all account groups, including accounts with a balance of 0. This feature ensures that the financial position statement presents comprehensive account group data while adhering to DBD’s financial statement format. Additionally, users can print reports with account group headings, making it easier to adjust and prepare financial statements for submission. ✨ 5. Adjust the purchase tax invoice report to display only the value of goods/services with VAT, making tax review easier. 📢 For businesses registered for VAT, the purchase tax invoice report in the Revenue Department’s format has been updated to display only the value of goods or services with 7% VAT, excluding amounts without VAT. This enhancement improves accuracy, making it easier for users to manage tax data and reducing confusion when reviewing VAT amounts. ✨ 6. Add a usage history feature for each financial channel to allow easier tracking and verification of transactions. 📢 The system now includes a feature to view the transaction history for each financial channel. It records the creation and modification history of transactions, allowing users to review past transaction details independently. This feature helps reduce errors and enhances confidence in financial management. ✨ 7. Enhance the printing options for the general ledger report to display only accounts with balances, simplifying the review process. 📢 The system now includes an option before printing the trial balance report, allowing users to choose to display only accounts with a remaining balance. Accounts with a zero balance will not be shown in the report. This feature helps eliminate unnecessary data, making it more convenient and faster to review the details.

24 ม.ค. 2025

PEAK Account

23 min

เคล็ด(ไม่)ลับ เป็นนักบัญชีขั้นเทพกับ 6 ความรู้พื้นฐานบัญชีที่ต้องรู้

นักบัญชีของกิจการเป็นหัวใจหลักในการบริหารงานหลังบ้านให้ราบรื่นไม่แพ้งานหน้าบ้านอย่างการขายสินค้าหรือให้บริการ การมีความรู้และทักษะทางบัญชี ภาษีที่ดีจะช่วยให้นักบัญชีสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้จะพาผู้อ่านทุกท่านไปค้นหาว่าทักษะพื้นฐานใดของนักบัญชีที่มีความจำเป็นต่อสายอาชีพ และทักษะที่ถ้ามีเพิ่มเติมแล้วอาจจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่องค์กรได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีเกณฑ์ในการคัดนักบัญชีที่เหมาะสมได้ มาเริ่มกันเลย 6 ความรู้พื้นฐานที่นักบัญชีต้องรู้ 1. เข้าใจสมการบัญชี พื้นฐานการทำบัญชีเริ่มต้นจากการเข้าใจสมการทางบัญชี เนื่องจากถ้าไม่สามารถอธิบายได้ จะลงบัญชีไม่ถูกต้อง และงบการเงินไม่น่าเชื่อถือ โดยทั่วไปหลักของสมการ คือ ตัวเลขทางด้านซ้ายต้องเท่ากับตัวเลขทางด้านขวา ซึ่งสมการทางบัญชีก็เช่นกัน ดังนี้ สมการบัญชีกำหนดว่าสินทรัพย์จะต้องเท่ากับหนี้สินบวกด้วยทุนเสมอ เช่น กิจการนำเงินสดมาเปิดกิจการ 1,000 บาท สมการบัญชีจะเป็นดังนี้ สินทรัพย์(Assets) = หนี้สิน(Liabilities) + ส่วนของเจ้าของ(Owner’s Equity)1,000(เงินสด) = 0(ไม่มีหนี้) + 1,000(เงินลงทุน) และต่อมากิจการมีการกู้ยืมเงินจากธนาคารจำนวน 500 บาท โดยได้รับเงินเป็นเงินสด สมการบัญชีจะเปลี่ยนไป ดังนี้ สินทรัพย์(Assets) = หนี้สิน(Liabilities) + ส่วนของเจ้าของ(Owner’s Equity)1,500(เงินสด) = 500(เงินกู้) + 1,000(เงินลงทุน) สมการบัญชีเป็นจุดเริ่มต้นของงบการเงินที่ถูกต้อง ถ้านักบัญชีสามารถอธิบายสมการได้ ก็คาดเดาได้ว่าจะบันทึกบัญชี(การบันทึกบัญชีอาจเรียกว่าการเดบิต เครดิตก็ได้)จะถูกต้องในระดับหนึ่งแล้ว 2. เข้าใจเกณฑ์คงค้าง เกณฑ์การจัดทำบัญชีเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ของงบการเงินของนิติบุคคล เช่น ห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือบริษัทจำกัด เพราะถ้าไม่เข้าใจ ผลที่เกิดคือ อาจบันทึกรายได้หรือค่าใช้จ่ายผิดปีได้เลย การทำบัญชีมักจะบันทึกอยู่บนเกณฑ์ยอดนิยม 2 เกณฑ์ คือ เกณฑ์เงินสด (Cash Basis) และเกณฑ์คงค้าง(Accrual Basis) ซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้ เกณฑ์เงินสด (Cash Basis) คือ การบันทึกบัญชีเมื่อได้รับเงินแล้วเท่านั้น ซึ่งในทางบัญชีและภาษีมักใช้เกณฑ์กับการรับรู้รายรับ และรายจ่ายของบุคคลธรรมดา เพราะเข้าใจง่าย ใครๆ ก็ทำได้บนกระดาษ เกณฑ์คงค้าง(Accrual Basis) คือ การบันทึกบัญชีเมื่อธุรกรรมนั้นเกิดขึ้นแล้ว เช่น มีการขายสินค้าหรือให้บริการแล้ว โดยไม่สนใจว่าจะได้รับเงินสดแล้วหรือไม่ ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ใช้ทำบัญชีและยื่นภาษีของนิติบุคคล จึงเป็นเกณฑ์ที่สำคัญมากที่นักบัญชีต้องรู้ ตัวอย่างเช่น กิจการทำธุรกิจขายสบู่ ได้ขายสบู่ให้แก่ลูกค้าในปี 2566 แต่ได้รับชำระเงินในปี 2568 การบันทึกบัญชีของแต่ละเกณฑ์จะเป็นดังนี้ เกณฑ์เงินสด เกณฑ์คงค้าง ปีที่บันทึกบัญชีขายสินค้า – ปี 2566 ปีที่บันทึกบัญชีรับชำระเงิน ปี 2568 ปี 2568 จะเห็นว่าเกณฑ์เงินสดจะบันทึกบัญชีแค่ครั้งเดียว ทำได้ง่าย แต่ไม่ค่อยสะท้อนให้เห็นความเป็นจริงว่ารายได้ที่แท้จริงเกิดขึ้นปีไหน ทั้งๆที่รายได้เกิดในปี 2566 แต่บันทึกในปี 2568 ซึ่งนานถึง 2 ปี มักใช้กับการทำบัญชีของบุคคลธรรมดาเพราะไม่ต้องการข้อมูลที่ละเอียดมาก และง่ายต้องการจัดทำ ส่วนเกณฑ์คงค้างจะบันทึกบัญชีหลายครั้งแต่ช่วยให้เห็นข้อมูลที่ถูกต้องมากขึ้นว่าแท้จริงแล้วรายได้เกิดปี 2566 แต่มารับเงินในปี 2568 จึงเป็นเกณฑ์ที่นำมาใช้ในการบันทึกบัญชีและทำภาษีของนิติบุคคลนั่นเอง 3. แยกระหว่างสินทรัพย์และค่าใช้จ่ายได้ ถ้ากิจการซื้อแก้วน้ำมา 1 ใบ ถือว่าเป็นสินทรัพย์หรือค่าใช้จ่ายของกิจการ? คำตอบ คือ สามารถเป็นได้ทั้ง 2 อย่างขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้แก้วน้ำนั้น โดยหลักการพิจารณาว่าเป็นสินทรัพย์หรือค่าใช้จ่ายนั้นต้องอิงตามหลักการบัญชี คือ การดูว่าสิ่งของนั้นกิจการตั้งใจใช้งานเกินกว่า 1 ปีหรือไม่ ถ้าใช้แล้วหมดไปภายใน 1 ปีจะถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการ แต่ถ้าใช้ได้มากกว่า 1 ปี เช่น 2 ปี จะถือเป็นสินทรัพย์ของกิจการและค่อยๆ ทยอยตัดเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละปี ตัวอย่างเช่น กิจการซื้อแก้วน้ำพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งแบบนี้จะถือเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการ แต่ถ้ากิจการซื้อแก้วน้ำเก็บความเย็นซึ่งสามารถใช้งานได้มากกว่า 1 ปี จะต้องบันทึกเป็นสินทรัพย์และทยอยตัดเป็นค่าใช้จ่ายตามจำนวนปีที่ต้องการใช้งาน การแยกประเภทสินทรัพย์และค่าใช้จ่ายที่ถูกต้องนั้น จะช่วยให้งบการเงินของกิจการสะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น กล่าวคือ ค่าใช้จ่ายไม่สูงเกินไป หรือสินทรัพย์ไม่สูงเกินไป 4. เข้าใจเอกสารค้าขาย เอกสารที่เกิดขึ้นในการค้าขายมีหลายประเภท เช่น ใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี หรือใบเสร็จรับเงิน เป็นต้น การที่เราต้องเข้าใจเอกสารแต่ละประเภทจะช่วยให้เราตัดสินใจว่าสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร  ตัวอย่างเช่น 5. เข้าใจภาษีพื้นฐาน นอกจากเรื่องบัญชีแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่นักบัญชีต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องภาษีธุรกิจ เพราะเมื่อรายการทางบัญชีเกิดขึ้น ภาระทางภาษีมักจะเกิดขึ้นเสมอเหมือนเป็นเงาตามตัวผู้ประกอบการ ทำให้นักบัญชีต้องเข้าใจเรื่องภาษีและวิธียื่นและนำส่งภาษีเพื่อป้องกันค่าปรับจากการปฏิบัติทางภาษีผิดพลาด ตัวอย่างเช่น  6. รู้จักประเภทของเงินได้และความแตกต่างของเงินได้ สรรพากรเรียก “เงินได้” ว่า “รายได้” โดยกำหนดไว้อยู่ 8 ประเภท สาเหตุที่ต้องเข้าใจว่าเงินได้ทั้ง 8 ประเภทนั้น เพราะมีผลต่อการคำนวณภาษีที่ต้องเสีย เช่น การเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายว่าต้องหักกี่ % จะขึ้นอยู่กับประเภทเงินได้  สรุปเงินได้ 8 ประเภท นอกจาก 6 ความรู้พื้นฐานดังกล่าวมาแล้ว การเข้าใจธุรกิจที่เราทำทำบัญชีให้อยู่นั้นก็ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะทำให้นักบัญชีมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น เพราะการเข้าใจบริบทของธุรกิจที่เราทำบัญชีให้ เนื่องจากมีผลต่อการบันทึกบัญชีสูงมาก ค่าใช้จ่ายประเภทเดียวกันแต่อยู่ในแต่ละธุรกิจอาจบันทึกบัญชีไม่เหมือนกัน หรือพูดง่ายๆ คือ คนละขั้วกันนั้นเอง ลองมาดูตัวอย่างข้างล่างกันครับ ตัวอย่างเช่น กิจการซื้อแก้วพลาสติกมา 100 บาท ถ้าเป็นกิจการที่ซื้อมาเพื่อใช้ในออฟฟิศให้ลูกค้ากินแบบนี้จะถือว่าเป็นค่าใช้จ่าย แต่ถ้ากิจการที่ทำธุรกิจขายแก้วพลาสติก การจ่ายเงินนี้ไม่ถือว่าเป็นค่าใช้จ่าย แต่จะถือว่าเป็นสินทรัพย์ ก็คือ “สินค้า” เพราะกิจการซื้อมาเพื่อขายไม่ได้ซื้อมาเพื่อใช้ นี้เป็นเพียงตัวอย่างเดียว จริงๆ รายได้และค่าใช้จ่ายในแต่ละธุรกิจมีบริบทที่แตกต่างกัน การที่เรารับนักบัญชีเก่งๆ มาหนึ่งแม้จะเก่งบัญชีและภาษีมากแค่ไหน แต่ถ้าไม่เข้าใจธุรกิจที่ทำงานให้อยู่จริงๆ โอกาสทำบัญชีผิดพลาดมีสูงมากๆ ครับ การเข้าใจลักษณะและกระบวนการทำงานของธุรกิจที่ตนเองทำบัญชีอยู่จะช่วยให้นักบัญชีสามารถให้คำแนะนำและจัดการทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3 ทักษะด้านอื่นๆ ยิ่งมี ยิ่งดี นอกจากเรื่องบัญชี ภาษี และการเข้าใจธุรกิจเป็นสิ่งที่สำคัญที่บอกได้ว่าใครเป็นนักบัญชีที่เก่งแล้ว ถ้านักบัญชีมีทักษะด้านอื่นๆ เพิ่มเติมจะช่วยยกศักยภาพให้สูงได้ ดังนี้ 1. ทำประมาณการรายได้-ค่าใช้จ่ายได้ ปกตินักบัญชีจะค่อนข้างอยู่กับข้อมูลในอดีต เช่น การบันทึกเอกสารก็เป็นเอกสารที่เกิดขึ้นไปแล้ว และนำมาบันทึกให้ทีหลัง ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้านักบัญชีจะไม่สามารถทำงบประมาณรายรับ-รายจ่ายในอนาคตได้ถนัด เพราะต้องใช้อีกทักษะอื่นๆ และข้อมูลอื่นๆ ในการจัดทำด้วย เช่น อัตราเงินเฟ้อ กระแสเงินสดรับ-จ่ายที่จะเข้ามา แนวโน้มยอดขาย เป็นต้น การทำงบประมาณต้องได้รับความร่วมมือจากหลายแผนกในการให้ข้อมูลและพูดคุย และนำข้อมูลต่างๆ มาจัดทำเป็นงบประมาณเพื่อเป็นเป้าให้แก่ฝ่ายต่างๆในกิจการ ถ้านักบัญชีสามารถมีทักษะนี้ได้ จะช่วยให้เราสามารถนำข้อมูลในอดีตมาวิเคราะห์ และจัดทำประมาณการตัวเลขในอนาคตให้กิจการได้อีกด้วย การจัดทำประมาณการรายได้-ค่าใช้จ่าย มีข้อดีมากมาย เช่น ทำให้ทราบสภาพคล่องที่แท้จริงทางการเงิน ทราบแหล่งที่มาของรายได้อย่างชัดเจน วางแผนประหยัดค่าใช้จ่ายและภาษีเงินได้ รวมถึงเป็นตัวกำหนดตัวชี้วัดผลงาน(KPI) ของแผนกต่างๆได้อีกด้วย 2. เข้าใจบัญชีบริหาร ที่เราพูดถึงเรื่องการบันทึกบัญชีต่างๆ มาเราจะเรียกกันว่า “บัญชีการเงิน” เป็นการบันทึกบัญชีตามสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอนาคต แต่มีอีกศาสตร์หนึ่งที่เรียกว่า “บัญชีบริหาร” คือ การนำข้อมูลทางบัญชีไปใช้ในการตัดสินใจบางอย่าง ตัวอย่างเช่น กิจการพึ่งเปิดธุรกิจมาได้ 1 ปี ที่ผ่านมาต้องเช่าโรงงานของคนอื่นเพื่อผลิตสินค้า อยากถามว่าในปีหน้ากิจการควรเช่าโรงงานต่อ หรือสร้างโรงงานเป็นของตัวเองดี? หรือ กิจการผลิตสินค้าและขายเป็นปกติอยู่แล้วแต่มีกำลังการผลิตเหลือ พอดีมีคนมาเสนอให้ผลิตสินค้าแบรนด์อื่น กิจการควรรับงานนี้หรือไม่? สังเกตว่าคำถามข้างต้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถตอบได้ในทันที และไม่สามารถใช้ข้อมูลในอดีตมาใช้ในการตอบได้อย่างเพียงพอ สิ่งเหล่านี้จะเป็นการประยุกต์ใช้โดยการนำข้อมูลในอดีตผสมกับแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ เช่น ต้นทุนค่าเสียโอกาส เพราะการเลือกทำหรือไม่ทำจะต้องมีต้นทุนค่าเสียโอกาสอยู่เสมอ ถ้านักบัญชีมีทักษะนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กิจการได้มหาศาลเลยครับ 3. วางแผนภาษีได้ บางคนอาจสงสัยว่าการรู้เรื่องภาษีเป็นสิ่งพื้นฐานแล้ว ทำไมในหัวข้อนี้ภาษีจึงเป็นทักษะอื่นๆ นั้นเพราะภาษีที่พูดก่อนหน้านี้เป็นพื้นฐาน เช่น รู้ว่าภาษีแต่ละประเภทคืออะไร เกี่ยวข้องกับกิจการยังไง คำนวณยังไง ใช้แบบภาษีชื่ออะไร และยื่นเมื่อไหร่ มีวัตถุประสงค์เพื่อทำตามที่กฎหมายกำหนดให้ทำทุกเดือนหรือทุกปี แต่การวางแผนภาษีจะเป็นเรื่องของการรวบรวมประสบการณ์และองค์ความรู้ในข้อกฎหมายภาษี (ที่เรียกกันว่า “ประมวลรัษฏากร”) มาใช้ประหยัดภาษีของกิจการ ซึ่งผู้ประกอบการหลายมักคนมักคิดว่านักบัญชีทุกคนต้องรู้เรื่องการวางแผนภาษีเป็นอย่างดี แต่จริงๆ แล้วเรื่องภาษีเป็นเรื่องของกฎหมายล้วนๆ ซึ่งต้องใช้ทั้งประสบการณ์และองค์ความรู้ในระดับหนึ่งเลย ตัวอย่างเช่น ตอนนี้เราได้รู้กันแล้วว่า 6 ความรู้พื้นฐานที่นักบัญชีต้องมี เริ่มตั้งแต่ เข้าใจสมการบัญชี เข้าใจเกณฑ์คงค้าง เข้าใจเอกสารค้าขาย เข้าใจภาษีพื้นฐาน รู้จักประเภทเงินได้ แยกสินทรัพย์กับหนี้สินได้ และสุดท้ายต้องเข้าใจธุรกิจที่ทำบัญชีให้ นอกจากนี้ถ้านักบัญชีมี 3 ทักษะนี้เพิ่มเติมจะช่วยมูลค่าในตัวเองได้มากขึ้น ได้แก่ ทำงบประมาณรายได้ค่าใช้จ่ายได้ เข้าใจบัญชีบริหาร และวางแผนภาษี แต่ขอบอกว่าทักษะอื่นๆ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สามทักษะนี้นะครับ นักบัญชีสามารถเก่งในด้านอื่นๆ ได้เช่นกัน กล่าวคือ เก่งอะไรก็ได้ที่ช่วยให้กิจการดีขึ้นและเติบโตไปพร้อมๆ กับนักบัญชี ท้ายนี้ผมขอบคุณทุกท่านมากๆ ที่ติดตาม 10 กฎพื้นฐานด้านการเงินสำหรับ SMEs ตั้งแต่ EP แรกจนถึงตอนสุดท้ายนี้ หวังเหลือเกินผู้อ่านทุกท่านจะได้ประโยชน์และสาระดีๆ จากบทความของผม เพื่อไปปรับประยุกต์ใช้กับกิจการของท่านครับ โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ช่วยผู้ประกอบการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

14 ก.พ. 2025

PEAK Account

16 min

e-Tax Invoice ตัวช่วยจัดการเอกสาร ลดความยุ่งยากให้ธุรกิจ SMEs

ก้าวเข้าสู่ปี 2568 ในยุคที่เกือบทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนมาอยู่บนดิจิตอลแทบทั้งหมด ประเทศไทยก็พัฒนาตามยุคสมัยในหลายด้าน รวมไปถึงด้านเอกสารต่าง ๆ ที่หน่วยงานส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เกือบทั้งหมดแล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ที่กรมสรรพากรส่งเสริมให้ผู้ประกอบปัจจุบันการเปลี่ยนมาใช้ เพราะช่วยลดความยุ่งยากด้านงานเอกสาร และเป็นรูปแบบที่สอดคล้องกับกฎหมายในปัจจุบันอีกด้วย ในบทความนี้ PEAK ขอพาผู้อ่านทุกท่านไปทำความรู้จักกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ให้มากขึ้น จะเป็นอย่างไรบ้างมาติดตามกันได้เลย e-Tax Invoice คืออะไร? e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ คือ รูปแบบการออกใบกำกับภาษีอยู่ในรูปแบบออนไลน์เพื่อตอบสนองพฤติกรรมการซื้อขายของคนไทยที่นิยมซื้อผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น สามารถส่งเอกสารให้ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ รวมไปถึงสามารถส่งเอกสารออนไลน์ให้กรมสรรพากรได้ทันทีเช่นกัน ทำให้การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ช่วยให้ธุรกิจ SMEs สามารถจัดการกับเอกสารได้สะดวกมากยิ่งขึ้น  ข้อมูลจำเป็นที่ต้องทราบเกี่ยวกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากรูปแบบเอกสารเปลี่ยนมาอยู่บนโลกออนไลน์ ทำให้มีข้อมูลรายละเอียดจำเป็นเล็กน้อยที่เจ้าของกิจการควรรู้ เพื่อให้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ของเรานั้นถูกต้องทุกประการ เพื่อให้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เป็นเอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องมีการลงลายมือชื่อดิจิตอล (Digital Signature) หรือการปรับทับรับรองเวลา (Time Stamp) ด้วยเสมอ หลังจากลงลายมือชื่อหรือประทับแล้ว เอกสารฉบับดังกล่าวจะสามารถใช้เป็นหลักฐานในทางกฎหมายได้ ทำไมธุรกิจ SMEs ต้องใช้ e-Tax Invoice? หลังจากที่เรารู้จักใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้นแล้ว ในส่วนถัดมาเรามาดูข้อดีที่เจ้าของเจ้าของกิจการ SMEs จะได้รับหากเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์แทนที่ใบกำกับภาษีกระดาษรูปแบบเดิมกันดีกว่า ซึ่งข้อดีหลัก ๆ สามารถแบ่งได้ 4 ข้อดังนี้ ลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร หนึ่งในปัญหาที่เจ้าของกิจการ SMEs หลายท่านต้องประสบพบเจอคงหนีไม่พ้นเรื่องของเอกสารที่เยอะจนบางครั้งทำให้เกิดความยุ่งยาก ไม่สามารถโฟกัสกับธุรกิจได้เต็มที่เท่าที่ควร การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยลดปัญหาส่วนนี้ลงไปได้อย่างแน่นอน เพราะด้วยเอกสารที่อยู่บนออนไลน์ ไม่จำเป็นต้องหาที่จัดเก็บ หรือคอยหาเอกสารให้วุ่นวาย นอกจากนี้ยังลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร เพราะความสะดวกรวดเร็วในการส่งให้ผู้ซื้อและสรรพากรได้อย่างง่ายดาย หมดห่วงเรื่องเอกสารสูญหาย ต่อยอดจากข้อที่แล้ว นอกจากการลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร ยังเป็นการป้องกันข้อมูลสูญหายที่เป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ของการเก็บเอกสารแบบกระดาษ ซึ่งการเก็บเอกสารที่อยู่ในรูปแบบออนไลน์นั้น หากจัดให้เป็นระเบียบรับรองว่าข้อมูลไม่มีทางสูญหายแน่นอน อีกทั้งเวลาต้องการเรียกดูเอกสารก็ทำได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ช่วยลดต้นทุน หลายท่านอาจสงสัยว่าการเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ช่วยลดต้นทุนให้แก่ธุรกิจ SMEs ได้อย่างไร แต่ถ้าลองคำนวนดูแล้วการออกใบกำกับภาษีแบบกระดาษ 1 แผ่นนั้น มีต้นทุนที่แฝงมาด้วยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นค่ากระดาษ ค่าหมึกสำหรับพิมพ์เอกสารออกมา อาจรวมไปถึงค่าซองเอกสาร และค่าจัดส่งอีกด้วย หากเปลี่ยนมาใช้รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ก็บอกลาต้นทุนเหล่านี้ไปได้เลย ได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากภาครัฐ เพื่อกระตุ้นให้ธุรกิจเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้น รัฐบาลจึงได้ออกนโยบายต่าง ๆ ที่ช่วยส่งเสริมในส่วนนี้ ยกตัวอย่างเช่น Easy E-Receipt นโยบายที่ในปีพ.ศ. 2568 ก็กลับมาอีกครั้ง โดยเป็นนโยบายที่ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถนำใบกำกับภาษีออนไลน์จากสินค้าหรือบริการที่ซื้อในช่วงเวลาที่กำหนด มายื่นเพื่อขอลดหย่อนภาษีได้ นอกจากจะเป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ยังช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้น  “การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์นอกจากจะช่วยจัดการเอกสารแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนแฝง และช่วยเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายผ่านนโยบายของภาครัฐอีกด้วย” e-Tax Invoice มีกี่รูปแบบ แตกต่างกันอย่างไรบ้าง? e-Tax Invoice มีทั้งหมด 2 รูปแบบประกอบไปด้วย ซึ่งแต่ละรูปแบบแตกต่างกันอย่างไร แต่ละแบบเหมาะกับธุรกิจประเภทไหน และมีขั้นตอนการทำงานอย่างไรบ้าง มาดูกันต่อเลย 1. e-Tax Invoice & Receipt ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ประเภทแรกแบ่งได้เป็นสองส่วนคือ ส่วนที่เป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) และ ใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Recepit) ซึ่งเอกสารรูปแบบนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) แบบไม่จำกัดรายได้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ก่อนทำการส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ รวมไปถึงกรมสรรพากรจำเป็นต้องลงลายมือชื่อดิจิตอลให้เรียบร้อยเพื่อให้เอกสารนี้ถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้การส่ง e-Tax Invoice & Receipt ให้กรมสรรพากรจะต้องอยู่ในรูปแบบไฟล์ XML หรือ PDF/A3 เท่านั้น คุณสมบัติของผู้ยื่นขอจัดทำ e-Tax Invoice & e-Receipt ขั้นตอนการจัดทำและส่งมอบ e-Tax Invoice & Receipt  สำหรับขั้นตอนการใช้งานใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ประเภท e-Tax Invoice & Receipt มีขั้นตอนทั้งหมด 3 ส่วนที่สะดวก รวดเร็ว เข้าใจง่าย ไม่เป็นการเพิ่มงานแน่นอน 2. e-Tax Invoice by Time Stamp ในส่วนของ e-Tax Invoice by Time Stamp จะเป็นการทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์สำหรับธุรกิจ SMEs ขนาดเล็กที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 30 ล้านบาท และได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว เป็นรูปแบบที่ตอบโจทย์ธุรกิจที่มีการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์จำนวนที่ไม่มาก โดยการส่งเอกสาร e-Tax Invoice by Time Stamp จะเป็นการที่ธุรกิจออกร่างใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ หลังจากนั้นทำการส่งอีเมลให้ลูกค้า และ CC อีเมลไปที่ [email protected] เพื่อให้ระบบทำการ Time Stamp หรือประทับเวลาให้ หลังจากนั้นระบบจะส่งเอกสารที่ประทับเวลาแล้วให้ลูกค้าและธุรกิจอีกครั้ง คุณสมบัติของผู้ยื่นขอจัดทำ e-Tax Invoice by Time Stamp เจ้าของกิจการที่ต้องการยื่นขอการจัดทำ e-Tax Invoice by Time Stamp ต้องมีคุณสมบัติดังนี้  ขั้นตอนการจัดทำและส่งมอบ e-Tax Invoice by Time Stamp ขั้นตอนของใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์รูปแบบ e-Tax Invoice by Time Stamp อาจมีขั้นตอนมากกว่าเล็กน้อย แต่สะดวกไม่แพ้กัน อยากลดความยุ่งยากเรื่องเอกสารใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ คือคำตอบ ตอนนี้ทุกท่านรู้จักกับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นแล้ว ทราบถึงข้อดีที่ทำให้การเปลี่ยนมาใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์นั้นช่วยธุรกิจของคุณได้อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลดปัญหาความยุ่งยากในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเอกสารต่าง ๆ รวมไปถึงเป็นการลดต้นทุน และช่วยเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายให้แก่ธุรกิจผ่านนโยบายต่าง ๆ ที่รัฐบาลออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกด้วย  สำหรับเจ้าของกิจการ SMEs ท่านไหนที่กำลังมองหาเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยให้การจัดการใบกำกับภาษีเป็นเรื่องง่าย ที่ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่รองรับการทำ e-Tax Invoice ช่วยให้การจัดการบัญชีในธุรกิจของคุณสะดวก สามารถจัดการบัญชีได้อย่างเป็นระบบ เตรียมความพร้อมมุ่งสู่การเติบโตในอนาคต ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

13 ก.พ. 2025

PEAK Account

5 min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 13/02/2025

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✨ 1. เพิ่มระบบคำนวณสูตรที่ช่องจำนวนและราคา ในหน้าสร้างเอกสารรายรับ-รายจ่าย 📢สำหรับกิจการที่ออกเอกสารรายรับ-รายจ่าย ระบบเพิ่มการคำนวณด้วยสูตรที่ช่องจำนวนและราคา เมื่อผู้ใช้งานพิมพ์เครื่องหมาย เท่ากับ (=) ลงในช่อง จะเป็นการเรียกใช้ฟังก์ชันการคำนวณโดยอัตโนมัติของระบบ เช่น =100+50 ระบบจะคำนวณและเปลี่ยนตัวเลขเป็น 150 ให้อัตโนมัติ เพื่อช่วยให้ทำข้อมูลในเอกสารได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ✨ 2. เพิ่มประวัติการใช้งานในแต่ละสินค้า/บริการ ช่วยให้ตรวจสอบรายการได้สะดวกยิ่งขึ้น 📢ระบบเพิ่มช่องการดูประวัติแต่ละสินค้า/บริการ โดยจะเก็บประวัติการสร้าง การแก้ไขรายการ รวมถึงราคาขาย โดยผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบรายละเอียดข้อมูลสินค้าย้อนหลังได้ด้วยตนเอง ช่วยให้ตรวจสอบข้อมูลได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ✨ 3. ปรับให้ระบบอัปเดตข้อมูลหน้าเอกสารอัตโนมัติ กรณีเพิ่มหรือแก้ไขข้อมูลใบกำกับภาษี ช่วยให้ดูข้อมูลได้สะดวกมากยิ่งขึ้น 📢เมื่อผู้ใช้งานออกเอกสารค่าใช้จ่ายและมีการเพิ่มใบกำกับภาษี ระบบจะทำการอัปเดตข้อมูลที่หน้าเอกสารค่าใช้จ่ายให้อัตโนมัติ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานดูข้อมูลในเอกสารได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ✨ 4. เพิ่ม Hyperlink ในรายงานภาษีหัก ณ ที่จ่ายจาก PEAK TAX ช่วยให้ดูเอกสารได้สะดวกยิ่งขึ้น 📢ระบบปรับรายงานภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่ดาวน์โหลดจาก PEAK TAX ให้มี Hyperlink เชื่อมไปยังเอกสารหัก ณ ที่จ่ายแต่ละรายการโดยตรง ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลเอกสารได้สะดวกขึ้น ลดขั้นตอนการค้นหา และช่วยให้นำรายงานไปใช้งานต่ออย่างมีประสิทธิภาพ ✨ 5. เพิ่มการรองรับเงินได้ประเภท 40(2) ในแบบและใบแนบ ภ.ง.ด.1ก ที่ PEAK Payroll ลดข้อผิดพลาดในการทำภาษี 📢สำหรับผู้ใช้งาน PEAK Payroll ระบบปรับให้แบบและใบแนบ ภ.ง.ด.1ก สามารถแสดงข้อมูลเงินได้ทั้งประเภท 40(1) และ 40(2) ได้อย่างถูกต้องตามประเภทเงินได้ ช่วยลดข้อผิดพลาดในการจัดทำเอกสารภาษีและช่วยให้การยื่นภาษีเป็นไปอย่างแม่นยำและครบถ้วน ✨ 6. เพิ่มฟังก์ชันการกล่าวถึงผู้ใช้งานอื่นที่กล่องความคิดเห็นในบัญชีรายวัน 📢สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการกล่าวถึงผู้ใช้งานอื่นในกล่องความคิดเห็นบนบัญชีรายวัน สามารถกล่าวถึงได้ โดยระบบจะทำการแจ้งเตือนผู้ใช้งานที่ถูกกล่าวถึงที่กระดิ่ง เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสื่อสารระหว่างกันได้สะดวกยิ่งขึ้น ✨ 7. เพิ่มฟังก์ชันการบันทึกร่างในใบลดหนี้แบบอ้างอิงเอกสาร 📢สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการบันทึกใบลดหนี้แบบอ้างอิงเอกสารเป็นแบบร่างก่อนบันทึกจริง ระบบรองรับให้ผู้ใช้งานสามารถกดบันทึกร่างใบลดหนี้ได้ ซึ่งการบันทึกร่างใบลดหนี้ ระบบจะแสดงข้อมูลใน เสมือนมีการบันทึกเอกสารจริง เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบข้อมูล และลดความผิดพลาดในการบันทึกข้อมูล

13 ก.พ. 2025

PEAK Account

2 min

Update Function 13/02/2025

PEAK with the new function designed to enhance efficiency. ✨ 1. Add Formula Calculation in the Quantity and Price Fields on Income-Expense Documents. 📢 For businesses issuing income-expense documents, entering an “=” symbol in the quantity or price field will trigger an automatic calculation function. For example, typing =100+50 will automatically compute and display 150, making data entry more convenient. ✨ 2. Add Usage History for Each Product/Service for Easier Tracking. 📢 The system now records the creation, modifications, and sales price history of each product. Users can review past product details for better tracking and data accuracy. ✨ 3. Enhanced the system to Automatically Document Updates When Modifying Tax Invoices for Better Data Accuracy. 📢 When users add a tax invoice to an expense document, the system will automatically update the relevant document, ensuring that the latest data is displayed correctly. ✨ 4. Add Hyperlinks in Withholding Tax Reports from PEAK TAX for Quick Access to Documents. 📢 Withholding tax reports downloaded from PEAK TAX now include direct hyperlinks to the corresponding tax documents. This allows users to access information quickly, reducing search time and improving workflow efficiency. ✨ 5. Add Support for Income Type 40(2) in PND 1 Kor Forms on PEAK Payroll to Reduce Tax Errors. 📢 PEAK Payroll now correctly displays income types 40(1) and 40(2) in PND 1 Kor forms, ensuring accurate tax filing and minimizing errors in tax document preparation. ✨ 6. Add User Mentions in the Journal Entry Comment Box for Better Communication. 📢 Users can now mention others in journal entry comments. The mentioned user will receive a notification via the bell icon, improving communication and collaboration within the system. ✨ 7. Add Draft Saving for Credit Notes with Document References to Prevent Errors. 📢 Users can now save draft credit notes before finalizing them. Draft credit notes will appear in the Document Reports and Accounts Receivable Aging Reports as if they were finalized, allowing for better review and error prevention before submission.

6 ก.พ. 2025

PEAK Account

7 min

สำนักงานบัญชี ประหยัดเวลาการทำบัญชีด้วยการใช้ AI

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ การใช้ AI ได้กลายเป็นตัวช่วยสำคัญในการยกระดับการทำงานของสำนักงานบัญชี ทำให้กระบวนการต่างๆ รวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับข้อดีของการใช้ AI ในการทำบัญชีและวิธีการนำมาใช้เพื่อช่วยประหยัดเวลาในงานของคุณ ทำไมการทำบัญชีด้วยการใช้ AI ถึงสำคัญสำหรับสำนักงานบัญชี? นำ AI มาปรับใช้ในงานของสำนักงานบัญชีได้อย่างไร 1. การบันทึกบัญชีด้วยระบบ AI ระบบบัญชีที่มี AI ช่วยแนะนำ รายการบันทึกบัญชีที่ใช้บ่อย จะช่วยให้นักบัญชีทำงานได้รวดเร็วและสะดวกขึ้น เพราะ AI จะเรียนรู้พฤติกรรมการบันทึกข้อมูลของผู้ใช้งาน และเสนอรายการบัญชีที่เกี่ยวข้องแบบอัตโนมัติ ลดเวลาการค้นหารายการบัญชีที่ซับซ้อนหรือใช้บ่อย ตัวอย่างเช่น ข้อดี 2. การวิเคราะห์งบการเงินและคาดการณ์แนวโน้มธุรกิจ PEAK ใช้ AI วิเคราะห์งบกำไรขาดทุน ช่วยให้นักบัญชีและเจ้าของธุรกิจเห็นภาพรวมผลประกอบการได้ชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมทั้งคาดการณ์แนวโน้มทางการเงินในอนาคต AI จะดึงข้อมูลในระบบมาคำนวณและสรุปเป็นกราฟหรือรายงานแบบเข้าใจง่าย เช่น ข้อดี 3. การตรวจสอบความผิดพลาดในการทำบัญชี AI สามารถ ตรวจสอบความถูกต้องของงบทดลอง (Trial Balance) ได้อัตโนมัติ หากพบข้อผิดพลาดหรือยอดไม่ตรง ระบบจะแสดง สัญลักษณ์ธงสี (Flag) เพื่อแจ้งเตือนผู้ใช้งานทันที เช่น ข้อดี ข้อดีของการทำบัญชีด้วยการใช้ AI ลดต้นทุนการดำเนินงาน ลดเวลาและทรัพยากรที่ใช้ในกระบวนการบัญชี ทำให้สำนักงานบัญชีสามารถลดต้นทุนได้ เพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้า เวลาที่ประหยัดได้จากการใช้ AI สามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์และให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์แก่ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น รองรับการขยายตัวของธุรกิจ สำนักงานบัญชีสามารถรองรับลูกค้าใหม่ได้มากขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มทีมงานหรือทรัพยากรเพิ่มเติม PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยสำนักงานบัญชีและธุรกิจประหยัดเวลาและเพิ่มความแม่นยำด้วยระบบ AI ที่สามารถแนะนำรายการบันทึกบัญชีที่ใช้บ่อยๆได้ เพราะ PEAK ตระหนักเห็นถึงความสำคัญในการนำ AI มาปรับใช้ในสำนักงานบัญชีไม่เพียงช่วยประหยัดเวลา แต่ยังช่วยเพิ่มคุณภาพและความแม่นยำในการทำงาน ช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

5 min

บอจ.5 คืออะไร ธุรกิจประเภทไหนต้องยื่นบ้าง ยื่นได้ตอนไหน

บอจ.5 หรือ บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น เป็นเอกสารสำคัญที่บริษัทจำกัดต้องจัดทำและนำส่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าทุกปี เพื่อแสดงโครงสร้างการถือหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงของบริษัท โดยการยื่น บอจ.5 นั้นจะช่วยแสดงว่าธุรกิจเรามีความโปร่งใสและทำตามกฎหมาย จึงเป็นเอกสารที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญมาก ๆ  บอจ.5 คืออะไร สำคัญอย่างไร บอจ.5 เป็นแบบฟอร์มทางกฎหมายที่ใช้บันทึกและรายงานข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นของบริษัทจำกัด โดยจะแสดงรายละเอียดของผู้ถือหุ้นทั้งหมด จำนวนหุ้นที่ถือ และมูลค่าหุ้น  การยื่น บอจ.5 มีความสำคัญในหลายด้าน ทั้งแสดงว่าธุรกิจเรามีความโปร่งใส ทำตามกฎหมาย และมีความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ บอจ.5 ยังเป็นเอกสารสำคัญที่ใช้อ้างอิงในการทำธุรกรรมต่าง ๆ เช่น การเข้าร่วมประมูลงาน การขอสินเชื่อ หรือการทำสัญญาทางธุรกิจอีกด้วย บอจ.5 จะประกอบด้วย เอกสาร บอจ.5 จะประกอบด้วยข้อมูลสำคัญโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัท ได้แก่ ชื่อ-นามสกุล สัญชาติ และที่อยู่ของผู้ถือหุ้นแต่ละราย จำนวนหุ้นที่ถือครอง เลขที่ใบหุ้น มูลค่าหุ้นที่ชำระแล้ว วันที่จดทะเบียนเป็นผู้ถือหุ้น และการเปลี่ยนแปลงการถือหุ้นในรอบปี นอกจากนี้ บอจ.5 ยังต้องระบุรายละเอียดของบริษัท เช่น ชื่อบริษัท เลขทะเบียนนิติบุคคล ทุนจดทะเบียน และจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทด้วย บอจ.5 ใครต้องยื่นบ้าง ยื่นได้ตอนไหน การยื่น บอจ.5 เป็นหน้าที่ตามกฎหมายของบริษัทจำกัดทุกแห่ง โดยมีกำหนดเวลาและผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน เพื่อให้การรายงานข้อมูลผู้ถือหุ้นถูกต้องและทันเวลา  ใครต้องเป็นคนยื่น กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทจะต้องลงชื่อรับรองความถูกต้องและเป็นผู้ยื่น บอจ.5  โดยการยื่น บอจ.5 สามารถทำได้ทั้งด้วยตัวเองที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือมอบอำนาจให้ผู้อื่นดำเนินการแทนก็ได้ เพียงแต่ผู้ยื่นต้องเตรียมเอกสารประกอบให้ครบถ้วน เช่น แบบ บอจ.5 ที่กรอกข้อมูลครบถ้วน สำเนาบัตรประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจ และหนังสือมอบอำนาจ (กรณีมอบอำนาจ) ต้องยื่นเมื่อไหร่ หากไม่นำส่งจะมีค่าปรับอะไรบ้าง การยื่น บอจ.5 มีกำหนดให้ยื่นภายใน 14 วันนับจากวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี หรือไม่เกินเดือนมกราคมของทุกปี แล้วแต่กรณีไหนจะถึงก่อน หากบริษัทไม่นำส่ง บอจ.5 ตามกำหนด จะมีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท และปรับอีกวันละไม่เกิน 500 บาทจนกว่าจะนำส่งได้ถูกต้อง ซึ่งการนำส่งไม่ตรงเวลาอาจทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือลดลง จนส่งผลต่อการทำธุรกรรมต่าง ๆ ด้วย การจัดทำและยื่น บอจ.5 อย่างถูกต้องและตรงเวลาเป็นหน้าที่สำคัญของบริษัทจำกัด นอกจากจะเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว ยังแสดงถึงความโปร่งใสในการทำธุรกิจ ผู้ประกอบการจึงควรให้ความสำคัญและจัดเตรียมข้อมูลให้พร้อมสำหรับการยื่น บอจ.5 ตามกำหนดเวลา โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

31 ม.ค. 2025

PEAK Account

8 min

สเตทเม้น คืออะไร เรื่องที่คนทั่วไปและเจ้าของธุรกิจควรรู้

สเตทเม้น คือ รายงานการเคลื่อนไหวทางการเงินที่แสดงรายละเอียดการทำธุรกรรมในบัญชี ซึ่งสถาบันการเงินจัดทำให้กับลูกค้าเป็นประจำทุกเดือน และเป็นเอกสารสำคัญที่ช่วยให้เรารู้และควบคุมการใช้จ่ายได้ รวมถึงยังรู้ว่ารายการเดินบัญชีมีความถูกต้องหรือไม่ ทำให้เราสามารถบริหารจัดการการเงินได้ง่ายและดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งสเตทเม้นเอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง และจะสามารถขอสเตทเม้นได้อย่างไรไปดูกัน สเตทเม้น คืออะไร สเตทเม้น คือ เอกสารทางการเงินที่แสดงรายการเดินบัญชีทั้งหมดในช่วงเวลาหนึ่ง โดยปกติจะเป็นรายเดือน ซึ่งจะระบุรายละเอียดของรายการฝาก ถอน โอน หรือชำระเงินต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบัญชี พร้อมทั้งแสดงยอดเงินคงเหลือ ณ สิ้นเดือน สามารถใช้อ้างอิงการทำธุรกรรมทางการเงิน การจัดทำบัญชี และการยื่นภาษีได้ นอกจากนี้ ยังเป็นตัวช่วยในการวางแผนการเงิน และตรวจสอบว่ารายการเดินบัญชีมีความผิดปกติหรือไม่ รายละเอียดสำคัญที่ปรากฏในสเตทเม้น เอกสารที่รวบรวมข้อมูลสำคัญในการทำธุรกรรมทางการเงินของเรา ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลหลายส่วนที่จะช่วยบริหารการเงินได้ทั้งส่วนบุคคลและธุรกิจ ดังนี้ สเตทเม้นสามารถนำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง สเตทเม้น คือ ตัวช่วยในการบริหารการเงินที่มีประโยชน์หลายด้าน สามารถใช้ในการติดตามรายรับรายจ่าย การวางแผนการเงิน การจัดทำบัญชี การยื่นภาษี และการขอสินเชื่อ นอกจากนี้ ยังช่วยตรวจสอบรายการเดินบัญชีและการทำงบประมาณว่ามีความผิดปกติหรือไม่ และการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่าย ทำให้สามารถควบคุมการเงินได้ดีมากขึ้น ทำบัญชีรายรับรายจ่ายส่วนบุคคล สเตทเม้นเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายส่วนบุคคล ทำให้รู้ว่าตอนนี้จ่ายไปกับอะไรและจ่ายเท่าไหร่บ้าง เพื่อนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงินของตัวเองและปรับปรุงนิสัยการใช้จ่ายเกินความจำเป็นของเราได้ นอกจากนี้ ยังนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนการออม การลงทุน รวมถึงการจัดการหนี้สินต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้น  จัดทำบัญชีธุรกิจ สเตทเม้นเป็นเอกสารสำคัญในการจัดทำบัญชีธุรกิจ ใช้เป็นหลักฐานประกอบการบันทึกรายได้และจัดทำงบการเงิน รวมถึงการคำนวณภาษี ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามกระแสเงินสด ตรวจสอบและวิเคราะห์รายการได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ การขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน สเตทเม้นเป็นเอกสารที่สถาบันการเงินใช้ประกอบในการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของเรา โดยจะพิจารณาจากความสม่ำเสมอของรายได้ พฤติกรรมการใช้จ่าย การออม และประวัติการชำระเงินต่าง ๆ  การมีสเตทเม้นที่แสดงถึงความมั่นคงทางการเงินจะเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อ การสมัครบัตรเครดิต สเตทเม้นเป็นหลักฐานสำคัญในการสมัครบัตรเครดิต โดยธนาคารจะดูว่าเรามีรายรับเท่าไหร่ เพื่อพิจารณาวงเงินบัตรเครดิต และดูว่าเราสามารถจ่ายหนี้ได้มากหรือน้อยขนาดไหน โดยจะดูจากรายได้เฉลี่ยต่อเดือนว่ามีจำนวนเท่าไหร่และมีความสม่ำเสมอไหม รวมถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านบัญชีนั้นด้วย วิธีขอสเตทเม้น การขอสเตทเม้นสามารถเลือกทำจากช่องทางต่าง ๆ ได้ตามความสะดวกและบริการของแต่ละธนาคาร โดยช่องทางหลัก ๆ ได้แก่ การขอผ่านแอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ ซึ่งสามารถดาวน์โหลดสเตทเม้นย้อนหลังได้ฟรีโดยไม่มีค่าธรรมเนียม หรือเป็นการขอที่ตู้ ATM โดยใช้บัตร ATM/Debit ให้กดเลือกบริการพิมพ์รายการเดินบัญชี หรือการติดต่อที่สาขาธนาคารโดยตรงพร้อมบัตรประชาชนและสมุดบัญชี ทั้งนี้ การขอสเตทเม้นย้อนหลังเกิน 6 เดือนอาจมีค่าธรรมเนียมตามที่แต่ละธนาคารกำหนด และระยะเวลาในการขอย้อนหลังอาจแตกต่างกันไปตามนโยบายของแต่ละธนาคาร สเตทเม้นคือเอกสารสำคัญมาก ๆ ในการนำมาทำบัญชีธุรกิจ นำมาใช้ขอสินเชื่อและการทำธุรกรรมต่าง ๆ โดยเราสามารถขอได้ตามความสะดวกที่เราแนะนำไปข้างต้นได้เลย แต่สำหรับผู้ที่มีเงินเข้าออกหลายทางการทำบัญชีอย่างละเอียดยังคงมีความสำคัญมาก ๆ  โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก