ผ่านไปถึงสองเฟสแล้วสำหรับโครงการคนละครึ่ง ถือเป็นมาตรการหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับประเทศของภาครัฐที่ประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการเป็นอย่างมาก
โครงการคนละครึ่งคืออะไร
โครงการคนละครึ่งเป็นโครงการที่มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนและช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ร้านค้ารายย่อย เป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในองค์รวม
โดยร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการต้องเป็นผู้ประกอบการรายย่อยประกอบกิจการประเภทร้านอาหารเครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและไม่เป็นร้านสะดวกซื้อที่เป็นธุรกิจแฟรนไชส์
สำหรับขั้นตอนในการสมัครเข้าร่วมโครงการ พ่อค้าแม่ค้าต้องมีบัญชีธนาคารกรุงไทยแบบบุคคลธรรมดาและสมัครใช้บริการแอพพลิเคชั่นถุงเงิน หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทยจะลงพื้นที่เก็บข้อมูล ณ สถานประกอบการที่ได้ลงทะเบียนไว้ ภายใน 3 วัน หลังจากเก็บข้อมูลจะมี SMS แจ้งผลการพิจารณา สำหรับร้านค้าที่ได้รับอนุมัคิเข้าร่วมโครงการ แอปฯถุงเงินจะแสดงปุ่ม”คนละครึ่ง” จากนั้นร้านค้ากดปุ่ม ”คนละครึ่ง” เพื่อยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไขโครงการ สำหรับร้านค้าในต่างจังหวัดที่ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์แล้ว สามารถติดต่อกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อรับแบบฟอร์มใบรับรองและยืนยันการประกอบอาชีพตามเงื่อนไขโครงการและนำใบรับรองดังกล่าวไปยื่นได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา โดยทางธนาคารจะอนุมัติภายใน 1 วัน
การเข้าร่วมโครงการดีกับพ่อค้าแม่ค้าอย่างไร
การเข้าร่วมโครงการช่วยให้เกิดการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในระดับประเทศ ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินไปยังร้านค้ารายย่อย เป็นโอกาสในการกระจายรายได้ ทำให้พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยมีโอกาสในการเพิ่มยอดขาย มีรายได้เพิ่มขึ้นในช่วงที่เกิดวิกฤติโควิดและยังทำให้ผู้ประกอบการได้เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีโดยผ่านการใช้แอปฯถุงเงิน
สำหรับข้อดีที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ เป็นโอกาสอันดีที่ทำให้พ่อค้าแม่ค้าจะได้ศึกษาทำความเข้าใจเรื่องการเสียภาษีอย่างถูกต้อง เนื่องจาก ธนาคารกรุงไทยให้บริการผ่านแอปฯถุงเงินซึ่งเป็นผู้ให้บริการอิเล็กทรอนิกส์มีหน้าที่ต้องส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร เมื่อรายการเงินเข้าทั้งปีครบตามเงื่อนไขดังนี้
1. มีจำนวนเงินเข้า 3,000 ครั้งขึ้นไป(โดยไม่สนใจยอดรวมจำนวนเงิน)
2. มีจำนวนเงินเข้า 400 ครั้งและยอดรวม 2 ล้านบาทขึ้นไป
แต่ไม่ว่าจะเข้าเงื่อนไขหรือไม่ จะเห็นว่าแนวโน้มการเชื่อมโยงกันของข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐมีมากขึ้น ดังนั้น การศึกษาเรื่องภาษีที่เกี่ยวข้องจึงเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการรายย่อยควรให้ความสำคัญ
การเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งต้องเสียภาษีหรือไม่
ก่อนอื่นร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการต้องทำความเข้าใจว่าเมื่อมีรายได้จากการเข้าร่วมโครงการเป็นหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีแต่จะเสียภาษีหรือไม่นั้น พ่อค้าแม่ค้าต้องจัดการในเรื่องภาษีให้ถูกต้องก่อน โดยสรุปดังนี้
1. ศึกษาภาษีที่เกี่ยวข้องกับรายได้ที่เกิดจากการการเข้าร่วมโครงการ ซึ่งภาษีที่เกี่ยวข้องได้แก่ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีมูลค่าเพิ่ม ในกรณีที่ร้านค้ามีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทขึ้นไปในปีนี้ สิ่งที่ต้องทำคือไปจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท ซึ่งรายได้ในที่นี้หมายถึงรายได้รวมทั้งรายได้จากโครงการคนละครึ่งและรายได้ที่ไม่ได้มาจากโครงการคนละครึ่ง
โดยรายได้จากโครงการคนละครึ่งหมายถึงรายได้ส่วนที่รัฐออกให้รวมกับรายได้ส่วนที่ได้จากลูกค้า
2. ร้านค้าควรจัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย จะช่วยให้กิจการรู้ตัวเลขยอดขาย ค่าใช้จ่าย กำไรเพื่อนำไปเป็นข้อมูลในการยื่นแบบเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคล
เมื่อมีการจัดการเรื่องภาษีอย่างถูกต้องแล้ว ร้านค้าก็จะทราบว่ารายได้จากการเข้าร่วมโครงการฯนั้นจะต้องเสียภาษีหรือไม่ แต่ถึงจะไม่ต้องเสียภาษีการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายก็นับว่ามีประโยชน์กับพ่อค้าแม่ค้า ช่วยให้ร้านค้ารู้ตัวเลขต้นทุน ค่าใช้จ่าย ช่วยในการประมาณการยอดขาย ทำให้ทราบสถานะทางการเงิน และช่วยในการบริหารเงินให้เกิดสภาพคล่องได้
PEAK เป็นโปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยผู้ประกอบการในการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ สร้างพื้นฐานสำหรับการเติบโตที่ยั่งยืนของธุรกิจ
อ้างอิง : www.คนละครึ่ง.com Facebook : เพจ คลินิกภาษี กระทรวงการคลัง บทความ คนละครึ่งกับการเสียภาษี สรุปอีกทีเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง โดย Tax Bugnoms วันที่ 14 ธันวาคม 2563