สิ่งที่ผู้ประกอบการ SMEs หรือผู้ประกอบการที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจมีความกังวลประการหนึ่ง คือ การที่ธุรกิจจะถูกตรวจสอบภาษีจากกรมสรรพากร
ก่อนอื่นผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจ ว่าธุรกิจแบบไหนที่เสี่ยงโดนกรมสรรพากรตรวจสอบเพื่อให้ผู้ประกอบการได้เตรียมการและวางแผนการดำเนินงานเพื่อมิให้ถูกเพ่งเล็งจากกรมสรรพากร มาดูกันว่าสรรพากรใช้แนวการตรวจสอบอย่างไรในการจัดกลุ่มธุรกิจที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบ
การประเมินกลุ่มเสี่ยงโดยกรมสรรพากร มี 3 ระบบ ดังนี้
1. การประเมินสถานะของผู้ประกอบการจากการออกตรวจสภาพของกิจการ ของกรมสรรพากร โดยกรมสรรพากรจะเข้าไปตรวจยังสถานประกอบการ ทำการตรวจวิเคราะห์และให้การแนะนำแก่ ผู้ประกอบการ ซึ่งกรมสรรพากรจะใช้เกณฑ์การประเมินกิจการแต่ละประเภทแตกต่างกันไป เช่นกิจการ ซื้อมาขายไป ใช้เกณฑ์วิธีการจัดการสินค้าคงคลัง กิจการผลิตใช้เกณฑ์วิธีการจัดการสูตรผลิต กิจการ บริการใช้เกณฑ์เรื่องการจัดการเอกสารสัญญา สำหรับเกณฑ์ที่ใช้ร่วมกันในการพิจารณาทุกประเภท กิจการได้แก่วิธีการรับชำระเงินซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงระบบบัญชีที่กิจการใช้ กรมสรรพากรจะนำคะแนนรวมที่ ได้จากการประเมินมาพิจารณาคู่กับอัตราส่วนทางการเงินและผลการตรวจสภาพย้อนหลัง ซึ่งประเมินในเรื่องของความเชื่อมั่น ความมั่นคง ของกิจการ
2. การวิเคราะห์พฤติกรรมความเสี่ยงของกิจการกับกลุ่มธุรกิจเดียวกัน หรือที่เรียกว่า Data Analytics โดยการเปรียบเทียบข้อมูลในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันเพื่อหาค่าที่ผิดปกติไปจากข้อเท็จจริง เช่นการ บ่งชี้ว่ากิจการบันทึกรายได้ต่ำไป หรือ การบันทึกค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการ หรือกิจการผลิตเป็น ต้น พบว่าข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ดังกล่าวค่อนข้างถูกต้องแม่นยำ
3. การประเมินความเสี่ยงผู้เสียภาษีจำนวน 151 เกณฑ์หรือที่เรียกว่า Risk Based Audit (RBA) โดยคัดเลือกเกณฑ์ที่เหมาะสมในการประเมินแต่ละกิจการจากข้อมูลการเสียภาษีของกิจการจากแบบ แสดงรายการเสียภาษี ไม่ว่าจะเป็น ภงด50 ภพ30 ภงด53 ภงด3 เป็นต้น รวมทั้งข้อมูลในการทำ ธุรกรรมกับหน่วยราชการอื่นๆ เช่น ข้อมูลการต่อทะเบียนรถยนต์ ข้อมูลการใช้ไฟฟ้าและน้ำประปา เป็นต้น
ประเภทรายการที่แสดงในงบการเงิน ที่เสี่ยงสรรพากรตรวจสอบ
นอกจากการประเมินธุรกิจที่เป็นกลุ่มเสี่ยงตามวิธีที่กล่าวมาข้างต้น กรมสรรพากรยังพิจารณาประเด็นความเสี่ยงจากรายการที่แสดงในงบการเงิน ดังนี้
1. เงินสด
กิจการที่ทำธุรกรรมโดยใช้เงินสดเป็นหลัก โดยไม่ทำธุรกรรมผ่านบัญชีธนาคาร จากการประเมินด้วยสามแนวทางข้างต้น สรรพากรสามารถทราบได้ว่ากิจการดำเนินธุรกิจโดยผ่านช่องทางใดเป็นหลัก
กิจการไม่มีรายการเงินฝากกับธนาคาร เงินสดอยู่ในมือกรรมการทั้งหมดหรือเป็นจำนวนมาก อาจเข้าข่ายกรรมการกู้ยืมเงินจากกิจการโดยไม่คิดดอกเบี้ย
กิจการใช้เงินสดชำระรายการค้าทุกรายการหรือการบันทึกบัญชีจ่ายเงินด้วยเงินสดทั้งหมด กิจการไม่มีรายงานกระทบยอดรายการเงินสด
2. ลูกหนี้
กิจการมีรายการลูกหนี้เป็นจำนวนเงินสูงมาก ซึ่งอาจเป็นลูกหนี้ที่ไม่มีตัวตนหรือเงินให้กู้ยืมที่ไม่ได้นำมาแสดงในงบการเงิน ซึ่งอาจแสดงถึงกิจการมีรายได้ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
3. เงินกู้ยืมระยะสั้น
กิจการมีรายการแสดงเงินให้กู้ยืมระยะสั้นในงบการเงินแต่ในความเป็นจริงไม่มีหรือกิจการมีเงินให้กู้ยืมแต่ไม่มีรายการดอกเบี้ยรับ
4. สินค้าคงเหลือ
กิจการมีรายการสินค้าคงเหลือขาดหรือเกินไม่ตรงกับจำนวนสินค้าจริง หรือกิจการผลิตไม่มีของเสียในรายงานสินค้าและวัตถุดิบ
5. ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์
กิจการแสดงสินทรัพย์สูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริง งบการเงินไม่แสดงรายการสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กับรายได้ของกิจการ หรือไม่แสดงรายการสินทรัพย์ในการประกอบกิจการ
นโยบายการบัญชีในการคำนวณค่าเสื่อมราคาไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของประมวลรัษฎากร
6. เจ้าหนี้การค้า
กิจการแสดงรายการเจ้าหนี้การค้าในงบการเงินเป็นจำนวนเงินสูง ซึ่งอาจเป็นเจ้าหนี้การค้าที่ไม่มีตัวตน แสดงถึงการแสดงรายการไม่ตรงกับความเป็นจริง
กิจการแสดงรายการเจ้าหนี้การค้าต่ำกว่าความเป็นจริงเนื่องจากการบันทึกรายการซื้อไม่ครบถ้วนหรือไม่บันทึกรายการ
7. เงินกู้ยืมกรรมการ
กิจการไม่มีเงินกู้ยืมกรรมการจริงแต่มีรายการอยู่ในงบการเงิน อาจแสดงให้เห็นว่ากิจการแสดงรายได้ไม่ตรงกับความเป็นจริง
8. ทุนจดทะเบียน
กิจการแสดงมูลค่าทุนจดทะเบียนที่ชำระเต็มมูลค่าในงบการเงินแต่ที่จริงแล้วกิจการได้รับชำระค่าหุ้นไม่ครบหรือไม่ได้บันทึกลูกหนี้ค่าหุ้นกรรมการรวมทั้งไม่ได้คิดดอกเบี้ย
9. กำไรสะสม (ขาดทุนสะสม)
กิจการมีขาดทุนสะสมเป็นรายการค้างนานในบัญชีแต่ยังมีเงินให้กู้ยืมกรรมการ ซึ่งอาจแสดงการตกแต่งบัญชี
10. รายได้
รายได้ที่แสดงในงบการเงินไม่ถูกต้องครบถ้วน อาจเกิดจากการขายที่ไม่ออกใบกำกับภาษีหรือออกใบกำกับภาษีไม่ครบทุกครั้ง
รายได้ที่แสดงในงบการเงินไม่สัมพันธ์กับต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องซึ่งแสดงว่ากิจการบันทึกรายได้ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง
กิจการไม่รับรู้รายได้ที่เกิดขึ้น เช่น เมื่อกิจการมีการจำหน่ายสินทรัพย์,กิจการได้รับชำระเงินจากลูกหนี้ที่ตัดหนี้สูญไปแล้ว,กิจการมีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์พลอยได้หรือของเสียจากกระบวนการผลิต หรือเมื่อกิจการมีรายได้จากการส่งเสริมการขาย เป็นต้น
11. ต้นทุนขายสินค้า
กิจการบันทึกต้นทุนขายสินค้าสูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริง
กิจการไม่มีการปันส่วนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องเป็นต้นทุนสินค้า
12. ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
กิจการบันทึกค่าใช้จ่ายเพิ่มแต่รายได้ลดลง ซึ่งไม่เป็นไปตามความจริง
กิจการบันทึกค่าใช้จ่ายสูงเมื่อเทียบกับรายได้ โดยเปรียบเทียบกับธุรกิจลักษณะเดียวกันในรอบบัญชีเดียวกัน
กิจการมีค่านายหน้า ค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขาย สูงเมื่อเทียบกับรายได้ของกิจการ
กิจการมีค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงเช่นค่าที่ปรึกษา ค่าแรง ค่านายหน้า ค่าขนส่งเป็นต้น
มีรายการค่าซ่อมแซมเป็นจำนวนเงินที่สูงเป็นสินทรัพย์ของกิจการ
กิจการบันทึกรายการต้นทุนของสินทรัพย์ที่ได้มาเป็นค่าใช้จ่าย
มีรายการบันทึกดอกเบี้ยเงินกู้ยืมของสินทรัพย์เป็นค่าใช้จ่าย
กิจการบันทึกค่าใช้จ่ายไม่ถูกต้องตามรอบระยะเวลาบัญชี
กิจการไม่บันทึกค่าใช้จ่ายค้างจ่ายหรือบันทึกรายการค่าใช้จ่ายจ่ายล่วงหน้าเป็นค่าใช้จ่าย
แนวทางในการบริหารจัดการเรื่องบัญชีและภาษี
เพื่อให้กิจการไม่เสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบจากกรมสรรพากร กิจการควรวางแนวทางการจัดการเรื่องบัญชีและภาษีดังต่อไปนี้
1. กิจการควรแยกบัญชีส่วนตัวของผู้ประกอบการและบัญชีของธุรกิจออกจากกัน โดยเปิดบัญชีธนาคารแยก ควรรับชำระ/ชำระค่าสินค้าหรือบริการและทำธุรกรรมผ่านบัญชีธนาคารเป็นหลัก มีการจัดทำงบกระทบยอดเงินฝากธนาคารเป็นรายเดือน
2. บันทึกบัญชีตามข้อเท็จจริงและครบถ้วน ไม่ตกแต่งบัญชี ไม่สร้างรายการประเภทลูกหนี้ เจ้าหนี้ที่ไม่มีตัวตนจริง รายการเงินกู้ยืมกรรมการ รายการรายได้หรือค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ไม่ควรบันทึกรายได้ ค่าใช้จ่ายหรือสินทรัพย์ถาวร สูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริง
3. มีการชำระค่าหุ้นครบตามทุนจดทะเบียนของบริษัท กรณีที่มีลูกหนี้ค่าหุ้นต้องมีการคิดดอกเบี้ยรับและนำไปยื่นแบบภธ.40 ให้ครบถ้วน
4. กิจการควรยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีให้ครบถ้วนและตรงตามกำหนดเวลาที่กรมสรรพากรกำหนด
5. การบันทึกรายการบัญชีควรเป็นไปตามนโยบายการบัญชีของกิจการที่สอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชีและหลักเกณฑ์ตามประมวลรัษฎากร
6. ในการขายสินค้าหรือให้บริการ สำหรับกิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มต้องออกใบกำกับภาษีทุกครั้ง
7. รายการค่าใช้จ่ายที่บันทึกบัญชีต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับกิจการและมีหลักฐานถูกต้องครบถ้วน สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการจ่ายจริง และไม่เป็นรายจ่ายต้องห้ามตามประมวลรัษฏากร
8. มีการบันทึกรายได้และค่าใช้จ่ายถูกต้องตามรอบระยะเวลาบัญชี การปันส่วนค่าใช้จ่ายเป็นต้นทุนสินค้ามีหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมถูกต้อง
9. การบันทึกรายจ่ายที่มีลักษณะเป็นการลงทุนเช่นการซื้อสินทรัพย์ถาวร เช่น ที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ เป็นต้น รวมทั้งดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อให้ได้มาซึ่งสินทรัพย์ถาวร หรือรายจ่ายในการต่อเติม เปลี่ยนแปลงหรือ ขยายออกซึ่งทรัพย์สินที่กิจการจะได้รับประโยชน์เกินกว่าหนึ่งรอบบัญชี ซึ่งกิจการต้องไม่บันทึกเป็น ค่าใช้จ่าย รวมทั้งไม่นำรายจ่ายประเภทค่าซ่อมแซมมาบันทึกเป็นต้นทุนสินทรัพย์ถาวรของกิจการ
สุดท้ายการเลือกโปรแกรมบัญชีที่ดีจะช่วยให้การจัดทำบัญชีของกิจการเป็นระบบ โปรแกรมบัญชี PEAK เป็นโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่สร้างเอกสารสะดวก มีระบบบันทึกบัญชีอัตโนมัติ สามารถตรวจสอบรายละเอียดที่มาที่ไปของรายการในงบการเงินได้ สามารถจัดทำรายงานภาษีและงบการเงินที่ถูกต้องและทันเวลา ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบจากกรมสรรพากรได้
สมัครใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี คลิก peakaccount.com
หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมทาง inbox ของ Facebook PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์
อ้างอิง https://www.beeaccountant.com/errors-in-financial-statements/ประเด็นความเสี่ยงข้อผิดพลาดในงบการเงินที่กิจการต้องรู้ 2562