ค่าเสื่อมราคา
Table of Contents

ค่าเสื่อมราคา เป็นอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่ผู้ประกอบการควรรู้จักและเข้าใจที่มาที่ไป เพราะถึงแม้จะไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่เห็นได้ชัดเหมือนการจ่ายเงินสด แต่กลับส่งผลโดยตรงต่อกำไรของธุรกิจ และต่อการตัดสินใจด้านการลงทุนในอนาคต หากไม่มีการคำนวณที่ถูกต้อง ตัวเลขทางบัญชีอาจไม่สะท้อนสภาพจริงของกิจการ และทำให้เจ้าของธุรกิจวางแผนผิดทิศได้โดยไม่รู้ตัว

ดังนั้น ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านมาทำความเข้าใจกับ “ค่าเสื่อมราคา” ให้ลึกขึ้น ว่าตัวเลขนี้สะท้อนอะไรเกี่ยวกับธุรกิจของคุณได้บ้าง ผ่าน 5 ด้านสำคัญที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม พร้อมแนะแนวว่าเมื่อเข้าใจแล้ว คุณสามารถนำไปใช้วางแผนทางการเงินให้แม่นยำขึ้นได้อย่างไร

ค่าเสื่อมราคา คืออะไร

ค่าเสื่อมราคา คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเมื่อมูลค่าของสินทรัพย์ที่ธุรกิจใช้งานเกินระยะเวลา 1 ปีลดลงตามอายุการใช้งาน ซึ่งสินทรัพย์เหล่านี้ได้แก่ สินทรัพย์ถาวร ที่มักจะมีมูลค่าสูง อายุการใช้งานค่อนข้างนาน ยกตัวอย่าง เช่น ยานพาหนะ อาคาร ออฟฟิศ รวมไปถึงเครื่องจักรในโรงงาน

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการบางท่านไม่ได้นำค่าเสื่อมราคาเหล่านี้มาใช้ในการคำนวณค่าใช้จ่ายในแต่ละงวด อาจเป็นต้นตอของปัญหา เช่น

  • ตัวเลขงบกำไรขาดทุนในบัญชีที่ไม่ถูกต้อง : เพราะหาไม่คำนวณค่าเสื่อมราคาในแต่ละปี ทำให้ธุรกิจมีกำไรสุทธิสูงเกินความเป็นจริง
  • การตัดสินใจทางธุรกิจที่ผิดพลาด : เมื่อไม่เห็นตัวเลขทางบัญชีที่แท้จริง ส่งผลให้ตัดสินใจผิดพลาดได้
  • เสียโอกาสทางภาษี : ค่าเสื่อมราคา สามารถนำมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อลดภาษีในแต่ละปีได้

สินทรัพย์ถาวร คืออะไร

สินทรัพย์ถาวร

สินทรัพย์ถาวร คือทรัพย์สินที่บริษัทเป็นเจ้าของ และเป็นสินทรัพย์ถาวรที่มีตัวตน (Tangible Fixed Assets) โดยมีเป้าหมายในการใช้เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ธุรกิจ ไม่ได้มีไว้เพื่อการขาย และที่สำคัญต้องมีอายุการใช้งานในธุรกิจมานานมากกว่า 1 ปี เช่น เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตสินค้าสำหรับขาย ยานพาหนะสำหรับใช้ส่งสินค้า หรืออาคารโกดังเก็บสินค้า

ซึ่งสินทรัพย์ถาวรเหล่านี้ ถึงแม้จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แต่มูลค่าของสินค้าก็เสื่อมไปตามอายุการใช้งานเช่นเดียวกัน ทำให้เป็นจุดที่เกิด ค่าเสื่อมราคา ขึ้นมานั่นเอง 

ตัวอย่างสินทรัพย์ถาวรที่ต้องคำนวณค่าเสื่อมราคา เช่น รถยนต์ขนส่งสินค้า เป็นสินทรัพย์ที่มีตัวตน และสามารถเสื่อมสภาพตามระยะเวลาการใช้งาน ไม่ได้เป็นสินค้าที่คงอยู่อย่างถาวร จึงต้องนำค่าเสื่อมราคาที่เกิดขึ้นในแต่ละปีมาคำนวณเป็นค่าใช้จ่าย

ค่าเสื่อมราคา มีผลต่อบัญชีอย่างไรบ้าง

ค่าเสื่อมราคา เป็นหนึ่งสิ่งที่จำเป็นต้องคำนวณในทุกปีเพื่อให้ตัวเลขงบกำไรขาดทุนมีความถูกต้องมากที่สุด เพราะสินทรัพย์ที่เสื่อมสภาพลง ทำให้มูลค่าของสินทรัพย์เหล่านั้นลดลงตามไปด้วย จึงต้องมีการคำนวณถึง มูลค่าแท้จริงของสินทรัพย์ ที่เปลี่ยนแปลง

ตัวเลขค่าเสื่อมราคา จะช่วยให้คุณเข้าใจธุรกิจดีขึ้น 5 ด้าน ดังนี้

หลายคนมักมอง “ค่าเสื่อมราคา” ว่าเป็นแค่ตัวเลขบัญชี ที่นักบัญชีใส่ไว้เพื่อลดกำไร หรือใช้คำนวณภาษีเท่านั้นแต่ในความเป็นจริง ตัวเลขนี้กลับสะท้อนให้เห็น “ภาพจริงของธุรกิจ” ได้อย่างลึกซึ้ง ทั้งเรื่องการลงทุน การใช้ทรัพยากร การควบคุมต้นทุน และความสามารถในการสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืน ถ้าคุณมองค่าเสื่อมราคาดีๆ สิ่งนี้จะกลายเป็น “แว่นขยาย” ที่ทำให้คุณเข้าใจธุรกิจของตัวเองใน 5 มุมสำคัญต่อไปนี้

1. ด้านการลงทุน (Investment Insight)

ธุรกิจที่ดีต้องรู้ว่าทรัพย์สินที่ใช้อยู่ยังคงสร้างรายได้ได้คุ้มค่าหรือไม่ ดังนั้นค่าเสื่อมราคาช่วยให้คุณเห็น “อายุที่เหลือของสินทรัพย์” เช่น รถขนส่งที่ใช้งานมา 5 ปีจากอายุ 10 ปี หรือเครื่องจักรที่ค่าเสื่อมเกือบหมด ซึ่งอาจเริ่มมีค่าซ่อมสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเข้าใจข้อมูลนี้ คุณจะรู้ว่าควร “วางแผนลงทุนใหม่เมื่อไร” เพื่อให้กระบวนการผลิตหรือการให้บริการไม่สะดุด ค่าเสื่อมราคาจึงไม่ใช่แค่ตัวเลขทางบัญชี แต่เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่าทรัพย์สินในธุรกิจกำลังแก่ตัวลงเพียงใด

สิ่งที่ได้ : คุณจะจัดลำดับการลงทุนได้ดีขึ้น เตรียมงบเปลี่ยนสินทรัพย์ทันเวลา ไม่ต้องรอให้เครื่องพังแล้วค่อยซื้อใหม่ ซึ่งช่วยลดการหยุดชะงักและรักษาความต่อเนื่องของธุรกิจ

2. ด้านการบริหารต้นทุน (Cost Management)

หลายธุรกิจมักคิดต้นทุนเฉพาะที่ “ต้องจ่ายเงินสด” เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าน้ำมัน

แต่จริง ๆ แล้ว สินทรัพย์อย่างเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ก็มี “ต้นทุนการใช้งาน” ที่ค่อย ๆ ลดค่าลงในแต่ละปี ซึ่งสะท้อนอยู่ในค่าเสื่อมราคา ถ้าคุณมองข้ามส่วนนี้ไป ต้นทุนต่อหน่วยจะต่ำเกินจริง ทำให้ราคาขายไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ตัวอย่างเช่น โรงงานผลิตสินค้าที่ไม่คิดค่าเสื่อมของเครื่องจักร อาจเห็นกำไรสูง แต่จริง ๆ แล้วเครื่องจักรกำลังเสื่อมลงเรื่อย ๆ และต้องใช้เงินก้อนใหญ่เปลี่ยนในอนาคต

สิ่งที่ได้ : คุณจะคำนวณต้นทุนได้ครบถ้วน ตั้งราคาขายได้เหมาะสม และรู้ว่ากำไรที่เห็นเป็น “ของจริง” ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่ดูดีในระยะสั้น

3. ด้านการจัดการกระแสเงินสด (Cash Flow Planning)

หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือ “ธุรกิจกำไรเยอะ แปลว่าจะมีเงินสดเหลือเยอะ” ซึ่งไม่จริงเสมอไป ค่าเสื่อมราคาคือค่าใช้จ่ายที่ลดกำไรในงบ แต่ไม่ได้ใช้เงินสดจ่ายออกไปจริงในเดือนนั้น ตัวอย่างเช่น บริษัทซื้อรถบรรทุก 1 ล้านบาท ใช้ได้ 5 ปี โดยปีแรกจะบันทึกค่าเสื่อมประมาณ 200,000 บาท แต่เงินสดจ่ายออกไปตั้งแต่วันซื้อรถแล้ว ถ้าเข้าใจตรงนี้ คุณจะสามารถแยกได้ว่า กำไรที่เห็นในงบ “เป็นแค่ตัวเลขทางบัญชี” ไม่ใช่เงินสดในมือ และจะบริหารสภาพคล่องได้แม่นยำกว่าเดิม

สิ่งที่ได้ : คุณจะไม่สับสนระหว่างกำไรกับเงินสด รู้ว่าธุรกิจมีกำลังจ่ายจริงแค่ไหน และวางแผนสำรองเงินสดได้ก่อนจะขาดมือ

4. ด้านการวางแผนภาษี (Tax Planning)

ค่าเสื่อมราคาคือหนึ่งในค่าใช้จ่ายที่กฎหมายอนุญาตให้ “หักภาษีได้” โดยไม่ต้องจ่ายเงินจริง

นั่นหมายความว่า คุณสามารถใช้ค่าเสื่อมเป็นเครื่องมือช่วยลดภาระภาษีได้อย่างถูกต้อง เช่น ธุรกิจที่ซื้อเครื่องจักรใหม่ สามารถทยอยหักค่าเสื่อมได้หลายปี ทำให้กำไรสุทธิลดลงและภาษีที่ต้องจ่ายน้อยลงในแต่ละงวด หากเข้าใจหลักการนี้ คุณจะรู้วิธีเลือกใช้ทรัพย์สินให้คุ้มค่าทั้งด้านการใช้งานและภาษี

สิ่งที่ได้ : คุณจะวางแผนภาษีได้อย่างชาญฉลาด ใช้สิทธิหักค่าเสื่อมได้เต็มที่ ลดภาษีอย่างถูกกฎหมาย และควบคุมภาระภาษีให้สอดคล้องกับสภาพธุรกิจจริง

5. ด้านการวิเคราะห์กำไรที่แท้จริง (True Profitability)

กำไรในงบการเงินไม่ได้สะท้อนคุณภาพการบริหารเสมอไป โดยเฉพาะถ้าไม่คิดค่าเสื่อมราคา

ธุรกิจบางแห่งดูเหมือนกำไรดี แต่ที่จริงแล้วใช้ทรัพย์สินหนักเกินไปโดยไม่คิดต้นทุนการเสื่อม เช่น เครื่องจักรที่ต้องทำงานหนักจนสึกเร็ว เมื่อคำนวณค่าเสื่อมอย่างถูกต้อง จะเห็นกำไรที่แท้จริง ว่าธุรกิจสร้างผลตอบแทนได้จริงหรือเพียงแค่ยังไม่ได้บันทึกต้นทุนทรัพย์สินที่ค่อย ๆ หมดอายุไปทุกวัน

สิ่งที่ได้ : คุณจะรู้ว่ากำไรของธุรกิจมาจาก “การดำเนินงานที่ยั่งยืน” ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ชั่วคราว ทำให้ตัดสินใจขยาย ลงทุน หรือปรับกลยุทธ์ได้อย่างมั่นใจ

ข้อมูลพื้นฐานที่ใช้ในการคำนวณค่าเสื่อมราคา

ข้อมูลที่ใช้คำนวณค่าเสื่อมราคา

เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถคำนวณค่าเสื่อมราคาได้แม่นยำ จำเป็นต้องมีข้อมูลพื้นฐานจำเป็นสำหรับใช้ในการคำนวณ ค่าเสื่อมราคา ซึ่งประกอบไปด้วย 3 หัวข้อด้วยกัน

1. จำนวนที่คิดค่าเสื่อมราคา (Depreciation Base)

ข้อมูลแรกเป็นสารตั้งต้นที่ใช้ในการคิดค่าเสื่อมราคา คือตัวเลขของราคาทุนสินทรัพย์ที่ซื้อมาในครั้งแรก หักลบกับ “มูลค่าซาก” ที่หมายถึงมูลค่าสินค้าที่คาดว่าสามารถขายได้เมื่อเลิกใช้งานสินทรัพย์นั้นแล้ว

ซึ่งราคาทุนของสินทรัพย์จะรวมทั้งหมดตั้งแต่ราคาสินทรัพย์ การจัดหาสินทรัพย์ ภาษีอากรค่าเข้า ค่าขนส่ง การติดตั้งและทดสอบ กล่าวคือต้นทุนทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระหว่างการซื้อสินทรัพย์จนอยู่ในสภาพพร้อมการใช้งาน

ตัวอย่างการคำนวณ

บริษัท A ซื้อเครื่องจักรราคา 1,000,000 บาท โดยมีค่าขนส่ง 20,000 บาท และค่าติดตั้งอีก 10,000 บาท

1,000,000 + 20,000 + 10,000 = 1,030,000 บาท

ราคาทุนของสินทรัพย์เครื่องจักรเครื่องนี้คือ 1,030,000 บาท และในส่วนของมูลค่าซากประมาณการไว้ที่ 300,000 บาท

1,030,000 – 300,000 = 730,000 บาท

ดังนั้น จำนวนที่คิดค่าเสื่อมราคา ของเครื่องจักรที่บริษัท A ซื้อมาคือ 730,000 บาท

2. อายุการให้ประโยชน์ของสินทรัพย์ (Useful life)

ข้อมูลถัดมาเป็นการประเมินอายุการใช้งานที่ผู้ประกอบการคาดว่าจะสามารถใช้สินทรัพย์ดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีปัจจัยสำหรับใช้ประกอบการประเมินดังนี้

  • ประเมินจากประโยชน์ที่ได้รับ (Physical Factors): เป็นการประเมินด้วยการดูประโยชน์ที่ได้รับจากสินทรัพย์ เช่น ชั่วโมงการใช้งานของเครื่องจักร หรือจำนวนผลผลิตที่เครื่องจักรนั้นสามารถผลิตได้
  • ประเมินจากอายุของประโยชน์ที่ได้รับ (Economic Factors): คือการประเมินอายุสินทรัพย์จากความล้าสมัยของสินทรัพย์ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแผนธุรกิจ เช่น ความต้องการในตลาดของสินค้า A ลดน้อยลง บริษัทจึงตัดสินใจยุติการผลิตสินค้า A ทำให้เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้า A ถูกยกเลิกไปด้วยถึงแม้จะยังใช้งานได้ดีอยู่
  • ปัจจัยอื่น ๆ (Other Factors): ปัจจัยนอกเหนือจากประโยชน์ที่ได้รับจากสินทรัพย์ เช่น อายุสัญญาเช่าก็นับว่าเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลต่ออายุการให้ประโยชน์ของสินทรัพย์เช่นกัน ยกตัวอย่าง สร้างอาคารบนที่ดินให้เช่า ซึ่งหากคำนวณอายุการให้ประโยชน์ของอาคารอยู่ที่ 30 ปี แต่สัญญาเช่าที่ดินอยู่ที่ 20 ปี ในการคำนวณค่าเสื่อมราคาของอาคารดังกล่าวก็ควรใช้ตัวเลข 20 ปีตามสัญญาเช่าที่ดิน

3. อัตราคำนวณค่าเสื่อมราคา (Depreciation Rate)

สำหรับอัตราที่ใช้คำนวณค่าเสื่อมราคา หากว่ากันในด้านการทำบัญชี ไม่ได้มีอัตรากำหนดไว้ชัดเจน แต่ใช้อายุการใช้งานในการคำนวณแทน 
แต่ในกรณีของ ค่าเสื่อมราคาทางภาษี ที่สามารถนำไปใช้ในการคำนวณภาษีได้ ทางกรมสรรพากรได้มีการกำหนดอัตราตามประเภทของสินทรัพย์ไว้ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน ฉบับที่ 145 พ.ศ.2527 ใช้สำหรับการคำนวณหาค่าเสื่อมราคาแบบเส้นตรง ตามระยะเวลารอบบัญชีที่ได้รับสินทรัพย์นั้นมา โดยมูลค่าต้นทุนสินทรัพย์แต่ละประเภทสามารถคำนวณได้ตามตาราง

ยกตัวอย่างการคำนวณ ค่าเสื่อมราคาทางภาษี

อาคารสำนักงานปลูกสร้างบนที่ดินที่ธุรกิจเป็นเจ้าของ มีมูลค่า 10,000,000 บาท ซึ่งเป็นอาคารถาวรที่มีอัตราค่าเสื่อมราคา 5%

10,000,000 x 5% = 500,000 บาท/ปี

ดังนั้นอาคารสำนักงานดังกล่าวจะมีค่าเสื่อมราคา 500,000 บาทเป็นจำนวนเท่ากันทุกปี

ทั้งนี้ผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้วิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคารูปแบบอื่นที่อัตราคำนวณในแต่ละปีไม่เท่ากัน แต่จำนวนปีอายุการใช้ของทรัพย์สินต้องไม่น้อยกว่า 100 หารด้วยอัตราที่สรรพากรกำหนดไว้

ซึ่งใน วิธีคำนวณภาษี ผู้ประกอบการต้องนำรายจ่ายส่วนนี้มาปรับปรุงบัญชีเพื่อคำนวณกำไรทางภาษีให้ถูกต้อง

วิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคา

วิธีคำนวณค่าเสื่อราคา

เมื่อเรารู้แล้วว่ามีข้อมูลอะไรบ้างสำหรับใช้ในการคำนวณหาค่าเสื่อมราคา ส่วนถัดมาเป็นวิธีการนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการคำนวณจริง ซึ่งค่าเสื่อมราคามีวิธีการคำนวณได้ทั้งหมด 4 วิธีด้วยกัน

1 วิธีเส้นตรง (Straight-line Method)

วิธีแรกคือวิธีการคำนวณแบบเส้นตรง ที่เป็นการคำนวณที่ ค่าเสื่อมราคา จะเท่ากันทุกปีจนกว่าสินทรัพย์นั้นจะหมดอายุการใช้งาน โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้

ค่าเสื่อมราคาต่อปี= (ราคาทุน-ราคาซาก)/ อายุการใช้งาน 

ยกตัวอย่างเช่น บริษัท A ซื้อเครื่องจักรที่มีราคาทุน 500,000 บาท ที่มีการประเมินราคาซากไว้ที่ 50,000 บาท และมีอายุการใช้งาน 5 ปี

(500,000 – 50,000) / 5 = 90,000 บาทต่อปี

จากตัวอย่าง บริษัท A จะมีค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรอยู่ที่ 90,000 บาทต่อปี ที่ต้องนำไปคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายทุกปีเป็นระยะเวลา 5 ปี

ปีที่มูลค่าตอนต้นปีค่าเสื่อมราคาค่าเสื่อมราคาสะสมมูลค่าตอนสิ้นปี
1500,00090,00090,000410,000
2410,00090,000180,000320,000
3320,00090,000270,000230,000
4230,00090,000360,000140,000
5140,00090,000450,00050,000

ข้อดีของการคำนวณค่าเสื่อมราคาแบบวิธีเส้นตรง

  • คำนวณได้ง่ายกว่าวิธีอื่น ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดในการคำนวณ
  • ค่าใช้จ่ายคงที่ ทำให้สามารถวางแผนการเงินได้ง่ายยิ่งขึ้น
  • เป็นวิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคาที่นิยมใช้กันมากที่สุด

ประเภทสินทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการคำนวณ

  • เหมาะสมสำหรับสินทรัพย์ที่มีอายุการใช้งานยาวนาน และอัตราการเสื่อมสภาพค่อนข้างใกล้เคียงกันในแต่ละปี เช่น อาคาร หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ในออฟฟิศ

2. วิธียอดลดลงทวีคูณ (Double Declining Balance Method)

ยอดลดลงทวีคูณ หรือ อัตราเร่ง มีหลักการคิดที่ว่าสินทรัพย์ที่ซื้อมาใหม่ย่อมมีประสิทธิภาพสูงกว่า โดยเป็นการนำคำนวณหาอัตราค่าเสื่อมราคาต่อปีด้วยวิธีเส้นตรงหลังจากนั้นนำมาคูณ 2 และนำอัตราที่ได้มาคูณกับมูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์ดังกล่าวในแต่ละปี ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ค่าเสื่อมราคาลดลงทุก ๆ ปี ทั้งนี้ในปีสุดท้ายของอายุการใช้งานที่ประเมินไว้ ให้ใช้วิธีการนำ มูลค่าตอนต้นปี – ราคาซาก ได้เลย

สูตรการคำนวณ

  • คำนวณหาอัตราคาเสื่อมราคาแบบวิธีเส้นตรง ด้วยสูตร

1 / อายุการใช้งาน = อัตราราคาเสื่อม

  • คำนวณอัตราเสื่อมแบบทวีคูณ

อัตราราคาเสื่อม * 2 = อัตราค่าเสื่อมราคาทวีคูณ

  • คำนวณ ค่าเสื่อมราคา ในแต่ละปี

อัตราค่าเสื่อมราคาทวีคูณ x ราคาตามบัญชีตอนต้นปี

แทนสูตรจากตัวอย่าง บริษัท A บริษัท A ซื้อเครื่องจักรที่มีราคาทุน 500,000 บาท ที่มีการประเมินราคาซากไว้ที่ 50,000 บาท และมีอายุการใช้งาน 5 ปี

  • คำนวณหาอัตราคาเสื่อมราคาแบบวิธีเส้นตรง ด้วยสูตร

⅕ = 20%

  • คำนวณอัตราเสื่อมแบบทวีคูณ

20% * 2 = 40%

  • คำนวณค่าเสื่อมราคา ในแต่ละปี

40% x 500,000 (จะลดลงเรื่อย ๆ ทุกปี

ดูค่าเสื่อมในแต่ละปีได้ที่ตารางด้านล่าง

ปีที่มูลค่าตอนต้นปีอัตราค่าเสื่อมราคาค่าเสื่อมราคาค่าเสื่อมราคาสะสมมูลค่าตอนสิ้นปี
1500,00040%200,000200,000300,000
2300,00040%120,000320,000180,000
3180,00040%72,000392,000108,000
4108,00040%43,200435,20064,800
564,80014,800450,00050,000

ประเภทสินทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการคำนวณ

  • เหมาะสำหรับสินทรัพย์ที่มีการเสื่อมสภาพเร็ว เช่น คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางประเภท

3. วิธีผลรวมจำนวนปี (Sum of the Years Digits)

สำหรับวิธีผลรวมจำนวนปี เป็นขั้นตอนการคำนวณที่ใช้อายุการใช้งานของสินทรัพย์เป็นหลักในการคำนวณ ซึ่งมีวิธีคิดเบื้องต้นด้วยการนำผลรวมของจำนวนปีที่ใช้งานมารวมกัน หารมูลค่าของสินทรัพย์แบบหักราคาซาก ซึ่งวิธีนี้ก็เป็นรูปแบบอัตราเร่งเช่นเดียวกัน

สูตรการคำนวณ

ให้ n = อายุการใช้งานของสินทรัพย์

  • คำนวณหาผลรวมจำนวนปี

n(n+1) /2 = ผลรวมจำนวนปี

  • คำนวณหามูลค่าของสินทรัพย์

ราคาทุน – ราคาซาก = มูลค่าทรัพย์สิน

  • คำนวณหาค่าเสื่อมราคา ในแต่ละปี

มูลค่าสินทรัพย์ x อายุสินทรัพย์แบบนับถอยหลัง/ผลรวมจำนวนปี

  • มูลค่าสินทรัพย์สิ้นปีแรก

ราคาทุน – ค่าเสื่อมราคา

แทนสูตรจากตัวอย่างเดิม บริษัท A ซื้อเครื่องจักรที่มีราคาทุน 500,000 บาท ที่มีการประเมินราคาซากไว้ที่ 50,000 บาท และมีอายุการใช้งาน 5 ปี

  • คำนวณหาผลรวมจำนวนปี

5(5+1) /2 = 15

  • คำนวณหามูลค่าของสินทรัพย์

500,000 – 50,000 – 450,000

  • คำนวณหาค่าเสื่อมราคา ในแต่ละปี

450,000 x 5(ปีแรก)/15 = 150,000

ตารางการสรุป ค่าเสื่อมราคา ในแต่ละปีจากวิธีการคำนวณแบบผลรวมจำนวนปี

ปีที่มูลค่าสินทรัพย์อัตราค่าเสื่อมราคาค่าเสื่อมราคาค่าเสื่อมราคาสะสมมูลค่าตอนสิ้นปี
1450,0005/15150,000150,000350,000
2450,0004/15120,000270,000230,000
3450,0003/1590,000360,000140,000
4450,0002/1560,000420,00080,000
5450,0001/1530,000450,00050,000

ข้อควรระวัง!

การคำนวณมูลค่าสิ้นปีแรกให้ใช้ ราคาทุนของสินทรัพย์ (จากตัวอย่างคือ 500,000) ไม่ใช่จำนวนที่คิดค่าเสื่อมราคา (จากตัวอย่างคือ 450,000) 

ประเภทสินทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการคำนวณ

  • เหมาะสมสำหรับสินทรัพย์ที่มีอายุการใช้งานนานพอสมควร แต่ก็มีการเสื่อมสภาพให้เห็นได้ เช่น เครื่องจักร อุปกรณ์สำหรับใช้ทำงาน หรือยานพาหนะ

4 วิธีตามจำนวนผลผลิต (Units of Production) หรือชั่วโมงการทำงาน (Working-Hours Method)

วิธีสุดท้ายเป็นการคำนวณตามกำลังการผลิตสินค้าของสินทรัพย์ที่บริษัทมี เหมาะสำหรับการคำนวณสินทรัพย์ที่สามารถประมาณการจำนวนการผลิตหรือชั่วโมงการทำงานได้ โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้

สูตรการคำนวณให้ n = จำนวนหน่วยการผลิตหรือชั่วโมงการใช้งานตลอดอายุการใช้งานที่คาดการณ์ไว้

  • คำนวณค่าเสื่อมราคาในแต่ละปี

(ราคาทุน-ราคาซาก) / n

แทนสูตรการคำนวณจากตัวอย่างเดิม บริษัท A ซื้อเครื่องจักรที่มีราคาทุน 500,000 บาท ที่มีการประเมินราคาซากไว้ที่ 50,000 บาท และมีอายุการใช้งาน 5 ปี โดยมีการประเมินชั่วโมงการทำงาน 10,000 ชั่วโมง

โดยคาดการณ์ชั่วโมงการทำงานแต่ละปีดังนี้

ปีที่ 1 ทำงานได้ 4,000 ชั่วโมง

ปีที่ 2 ทำงานได้ 2,500 ชั่วโมง

ปีที่ 3 ทำงานได้ 1,500 ชั่วโมง

ปีที่ 4 ทำงานได้ 1,000 ชั่วโมง

ปีที่ 5 ทำงานได้ 1,000 ชั่วโมง

  • คำนวณค่าเสื่อมราคาต่อชั่วโมง

(500,000 – 50,000) / 10,000 = 45 บาท/ชั่วโมง

เมื่อนำค่าเสื่อมราคาต่อชั่วโมง จะได้ตัวเลขตามตารางดังนี้

ปีที่ชั่วโมงการผลิตค่าเสื่อมราคาต่อชั่วโมงค่าเสื่อมราคาค่าเสื่อมราคาสะสมมูลค่าตอนสิ้นปี
14,00045180,000180,000320,000
22,50045112,500292,500207,500
31,5004567,500360,000140,000
41,0004545,000405,00095,000
51,0004545,000450,00050,000

ประเภทสินทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการคำนวณ

  • เหมาะสมสำหรับสินทรัพย์ที่คำนวณชั่วโมงการใช้งาน หรือจำนวนการผลิตได้ เช่น เครื่องจักร หรือยานพาหนะ

คำนวณค่าเสื่อมราคาได้ง่าย ๆ ด้วยโปรแกรมบัญชี PEAK

โปรแกรมบัญชี PEAK เป็นหนึ่งในตัวช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถคำนวณ ค่าเสื่อมราคาได้ง่ายยิ่งขึ้น ด้วยฟีเจอร์ที่สามารถแสดงค่าเสื่อมราคา หรือราคาซากได้ในรายงานสินทรัพย์ถาวร ที่สามารถสร้างรายการได้สูงสุดถึง 4,000 รายการ! สามารถจัดการบริหารสินทรัพย์ได้ง่ายยิ่งขึ้น เพื่อให้เห็นตัวเลขค่าเสื่อมราคาชัดเจน สำหรับการตัดสินใจทางธุรกิจที่เฉียบขาด เริ่มต้นใช้โปรแกรมบัญชี PEAK ได้แล้ววันนี้!


ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท
คลิก https://www.peakaccount.com (ไม่มีค่าใช้จ่าย)
PEAK Call Center : 1485
LINE : @peakaccount
สอบถามเพิ่มเติม คลิก https://m.me/peakengine

PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ จัดการบัญชีอย่างมืออาชีพ