
การเริ่มต้นธุรกิจเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและท้าทาบ แต่หนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่หลายคนอาจมองข้าม คือ การจดทะเบียนพาณิชย์ หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ จดทะเบียนการค้า ซึ่งไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจคนเดียว หรือกำลังจะจัดตั้งนิติบุคคล การทำความเข้าใจขั้นตอนและประเภทของการจดทะเบียนจะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและถูกต้องตามกฎหมาย บทความนี้จะพาคุณรู้จักการจดทะเบียนแต่ละประเภทมากขึ้น
จดทะเบียนพาณิชย์ คืออะไร ทำไมต้องจด?
การจดทะเบียนพาณิชย์ คือ การแจ้งให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบว่าคุณกำลังดำเนินกิจการค้า ซึ่งมีประโยชน์ต่อธุรกิจในหลายประการ เช่น:
- สร้างความน่าเชื่อถือ: การมีสถานะทางกฎหมายช่วยให้ลูกค้าและคู่ค้าเกิดความมั่นใจและไว้วางใจในธุรกิจของคุณมากยิ่งขึ้น
- การเข้าถึงแหล่งเงินทุน: สถาบันการเงินส่วนใหญ่มักจะขอเอกสารประกอบการพิจารณาให้สินเชื่อ การจดทะเบียนการค้า ถือเป็นส่วนนึงในการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณได้
- สิทธิประโยชน์ทางกฎหมาย: คุณจะได้รับการคุ้มครองและมีสิทธิ์ตามกฎหมายในฐานะผู้ประกอบการซึ่งมีสิทธิประโยชน์มากมายจากรัฐบาล อาทิเช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับ SMEs
- ลดปัญหาในอนาคต: ป้องกันความเสี่ยงจากการถูกปรับหรือดำเนินคดีจากการประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต
ประเภทการ จดทะเบียนพาณิชย์: บุคคลธรรมดา vs. นิติบุคคล
ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า จดทะเบียนพาณิชย์ หรีอ จดทะเบียนการค้า แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ตามลักษณะของกิจการ ดังนี้
1. จดทะเบียนการค้า บุคคลธรรมดา
สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการดำเนินธุรกิจในนามส่วนตัว (กิจการเจ้าของคนเดียว) ไม่ได้มีการแยกนิติบุคคลออกจากเจ้าของกิจการ การจดทะเบียนประเภทนี้จะเหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก ข้อดีคือขั้นตอนไม่ซับซ้อนและค่าใช้จ่ายน้อย ความรับผิดชอบในหนี้สินของกิจการจะครอบคลุมไปถึงทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้าของด้วย
สรุปง่ายๆ: หากคุณเป็นบุคคลธรรมดาที่เปิดร้าน มีหน้าร้าน มีการซื้อมาขายไป หรือให้บริการที่มีลักษณะเป็นการค้าอย่างสม่ำเสมอ และมีรายได้ในระดับหนึ่ง คุณมีหน้าที่ต้อง จดทะเบียนการค้า บุคคลธรรมดา
ใครบ้างที่ “ได้รับการยกเว้น” ไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์?
- พ่อค้าแม่ค้าเร่ หรือแผงลอยที่ไม่ประจำที่: อย่างพวกหาบเร่ แผงลอยตามตลาดนัดที่ไม่ได้ตั้งอยู่ประจำ หรือย้ายที่ไปเรื่อยๆ
- กิจการเพื่อศาสนาหรือการกุศล: อย่างร้านค้าที่วัด หรือกิจกรรมที่ทำเพื่อการกุศลโดยตรง
- องค์กรที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะ: เช่น การไฟฟ้า, การประปา, หรือหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์พิเศษ
- หน่วยงานราชการเอง: เช่น กระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ ที่ดำเนินกิจกรรมของรัฐ
- มูลนิธิ สมาคม สหกรณ์: องค์กรเหล่านี้มีกฎหมายและวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งที่แตกต่างจากการค้าปกติอยู่แล้ว
- กลุ่มเกษตรกรที่จดทะเบียนตาม พ.ร.บ. เฉพาะ: กลุ่มเกษตรกรที่รวมตัวกันและมีการจดทะเบียนตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเกษตรกรโดยตรง ก็จะได้รับการยกเว้นเช่นกัน
2. จดทะเบียนนิติบุคคล
การเลือกรูปแบบธุรกิจที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมีผลต่อทั้งความรับผิดชอบทางกฎหมาย ภาระภาษี และความน่าเชื่อถือในสายตาคู่ค้าและลูกค้า โดยหลักๆ แล้ว รูปแบบนิติบุคคลที่นิยมจดทะเบียนเพื่อประกอบธุรกิจในประเทศไทยมี 3 รูปแบบดังนี้

1. ห้างหุ้นส่วนสามัญ (Ordinary Partnership)
เป็นสัญญาที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ตกลงเข้าหุ้นกันเพื่อประกอบกิจการร่วมกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งปันกำไร
สถานะทางกฎหมาย: ห้างหุ้นส่วนสามัญสามารถจดทะเบียนเป็น นิติบุคคล หรือ ไม่จดทะเบียน ก็ได้
- ห้างหุ้นส่วนสามัญที่จดทะเบียน (นิติบุคคล): มีสภาพเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากผู้เป็นหุ้นส่วน มีชื่อเฉพาะของห้างหุ้นส่วน และต้องยื่นภาษีในฐานะนิติบุคคล
- ห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ได้จดทะเบียน: ไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคล ยังคงถือว่าหุ้นส่วนทุกคนเป็นบุคคลธรรมดา การทำธุรกรรมและหนี้สินต่างๆ จะผูกพันกับตัวบุคคลโดยตรง
ความรับผิดชอบ: หุ้นส่วนทุกคนต้องรับผิดร่วมกันในหนี้สินทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนอย่างไม่จำกัดจำนวน หมายความว่า หากห้างหุ้นส่วนมีหนี้สินเกินกว่าทรัพย์สินของกิจการ หุ้นส่วนแต่ละคนจะต้องนำทรัพย์สินส่วนตัวมาใช้ชำระหนี้ด้วย
ทุนจดทะเบียน: ไม่มีข้อกำหนดขั้นต่ำของทุนจดทะเบียน หุ้นส่วนสามารถนำเงิน ทรัพย์สิน หรือแรงงานมาลงหุ้นได้
การบริหารจัดการ: หุ้นส่วนทุกคนมีสิทธิ์ในการบริหารจัดการกิจการได้ เว้นแต่จะมีการตกลงกันเป็นอย่างอื่น
ข้อดี: จัดตั้งง่าย มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีหุ้นส่วนไว้วางใจซึ่งกันและกันสูง
ข้อเสีย: ความรับผิดชอบไม่จำกัด ทำให้ทรัพย์สินส่วนตัวมีความเสี่ยง
2. ห้างหุ้นส่วนจำกัด (Limited Partnership)
นิยาม: เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นโดยมีผู้เป็นหุ้นส่วน 2 ประเภทขึ้นไป
สถานะทางกฎหมาย: เป็นนิติบุคคล แยกจากตัวบุคคลผู้เป็นหุ้นส่วน
ความรับผิดชอบ: มีหุ้นส่วน 2 ประเภท คือ
- หุ้นส่วนจำกัดความรับผิด: รับผิดชอบเฉพาะในจำนวนเงินที่ตนลงหุ้นเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ในการบริหารจัดการกิจการ เว้นแต่จะได้รับการมอบหมายเป็นลายลักษณ์อักษร
- หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด: ต้องรับผิดชอบร่วมกันในหนี้สินทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนอย่างไม่จำกัดจำนวน มีสิทธิ์ในการบริหารจัดการกิจการได้ (อย่างน้อย 1 คน)
ทุนจดทะเบียน: ไม่มีข้อกำหนดขั้นต่ำของทุนจดทะเบียน หุ้นส่วนสามารถนำเงิน หรือทรัพย์สินมาลงหุ้นได้ (ห้ามนำแรงงานมาลงหุ้นในส่วนของหุ้นส่วนจำกัดความรับผิด)
การบริหารจัดการ: ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนต้องเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดเท่านั้น
ข้อดี: หุ้นส่วนบางคนสามารถจำกัดความรับผิดชอบได้ ทำให้ดึงดูดผู้ร่วมลงทุนได้ง่ายขึ้น มีความน่าเชื่อถือมากกว่าห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ได้จดทะเบียน
ข้อเสีย: การบริหารจัดการถูกจำกัดโดยหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดเท่านั้น
3. บริษัทจำกัด (Limited Company)
นิยาม: องค์การธุรกิจที่จัดตั้งขึ้นด้วยการแบ่งทุนเป็นหุ้น มีมูลค่าเท่า ๆ กัน โดยผู้ถือหุ้นต่างรับผิดชอบจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินค่าหุ้นที่ตนยังส่งใช้ไม่ครบ
สถานะทางกฎหมาย: เป็นนิติบุคคลที่แยกต่างหากจากผู้ถือหุ้นอย่างสิ้นเชิง
ความรับผิดชอบ: ผู้ถือหุ้นรับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินค่าหุ้นที่ตนยังชำระไม่ครบ (หากชำระเต็มจำนวนแล้ว ก็ไม่มีความรับผิดเพิ่มเติม) ทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ถือหุ้นจะไม่ถูกนำมาใช้ชำระหนี้ของบริษัท
ทุนจดทะเบียน: ปัจจุบันกฎหมายกำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำเพียง 10 บาท โดยหุ้นสามัญต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 5 บาท และต้องมีผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป (ข้อมูลอัปเดต ณ ปัจจุบัน) แม้ไม่มีขั้นต่ำสูง แต่โดยทั่วไปนิยมจดทะเบียนทุนสูงขึ้นเพื่อความน่าเชื่อถือ
การบริหารจัดการ: ดำเนินการโดยคณะกรรมการบริษัทที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ถือหุ้น มีการประชุมผู้ถือหุ้นและปฏิบัติตามระเบียบที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด
การระดมทุน: สามารถระดมทุนได้ง่ายกว่าผ่านการออกหุ้นเพิ่ม
ข้อดี: ความรับผิดชอบจำกัด ทำให้ความเสี่ยงส่วนตัวของผู้ลงทุนต่ำ มีความน่าเชื่อถือสูง เหมาะสำหรับการขยายธุรกิจและระดมทุน มีโครงสร้างที่เป็นระบบ
ข้อเสีย: มีขั้นตอนการจัดตั้งและบริหารจัดการที่ซับซ้อนกว่า มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า และต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดกว่า
จดทะเบียนบริษัท ต่างจากแบบอื่นอย่างไร?
การจดทะเบียนบริษัทแตกต่างจากการประกอบกิจการในนามบุคคลธรรมดาหรือห้างหุ้นส่วนตรงที่ บริษัทจำกัดมี สถานะเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้น โดยสิ้นเชิง นี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้การจดทะเบียนบริษัทเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
- การจำกัดความรับผิดชอบ: นี่คือข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุด ผู้ถือหุ้นจะรับผิดชอบหนี้สินของบริษัทไม่เกินจำนวนเงินค่าหุ้นที่ตนยังชำระไม่ครบ (หรือก็คือจำกัดเท่ากับมูลค่าหุ้นที่ตนถืออยู่) หากบริษัทประสบปัญหาจนถึงขั้นล้มละลาย ทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ถือหุ้นจะไม่ถูกนำมาใช้ชำระหนี้ของบริษัท ซึ่งแตกต่างจากบุคคลธรรมดาหรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่เจ้าของหรือหุ้นส่วนต้องรับผิดในหนี้สินทั้งหมดของกิจการ
- ความน่าเชื่อถือ: การเป็นนิติบุคคลทำให้บริษัทมีความน่าเชื่อถือสูงกว่าในสายตาของธนาคาร คู่ค้า และนักลงทุน การทำธุรกรรมทางการเงิน การขอสินเชื่อ หรือการเข้าประมูลงานใหญ่ๆ มักจะต้องการให้คู่สัญญาเป็นนิติบุคคล
- การระดมทุน: บริษัทสามารถระดมทุนได้ง่ายกว่าผ่านการออกหุ้นเพิ่ม หรือการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นไปได้ยากสำหรับบุคคลธรรมดา
- ความต่อเนื่องของกิจการ: การมีสถานะเป็นนิติบุคคลทำให้บริษัทดำรงอยู่ได้แม้ผู้ก่อตั้งหรือผู้ถือหุ้นบางคนจะถอนตัว เปลี่ยนแปลง หรือเสียชีวิตไป
- ภาพลักษณ์ที่ดี: การใช้ชื่อบริษัทในการดำเนินธุรกิจสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งและเป็นมืออาชีพมากกว่า
จดทะเบียนบริษัท สามารถทำได้ที่ไหน?
หลังจากที่ทำตามขั้นตอนการขอจดทะเบียนบริษัทเรียบร้อยแล้ว สามารถดำเนินการได้ที่:
- กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์: ทั้งในส่วนกลาง (กรุงเทพมหานคร) และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ
- ยื่นจดทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ (DBD e-Registration): ปัจจุบันเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะสะดวก รวดเร็ว และลดระยะเวลาในการเดินทาง
หลัง “จดทะเบียนบริษัท” ต้องทำอะไรต่อ?
เมื่อบริษัทของคุณได้รับการจดทะเบียนอย่างสมบูรณ์แล้ว ยังมีขั้นตอนสำคัญอื่นๆ ที่ต้องดำเนินการต่อเพื่อการดำเนินธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย:
- เปิดบัญชีธนาคารในนามบริษัท: ขั้นตอนนี้กิจการสามารถเลือกได้ว่าจะเปิดบัญชีในนามบริษัทหรือไม่ ซึ่งการเปิดบัญชีบริษัททำขึ้นเพื่อแยกการเงินส่วนตัวออกจากกิจการอย่างชัดเจน ทำให้การบริหารจัดการการเงินของธุรกิจเป็นระบบ ตรวจสอบง่าย และโปร่งใสมากขึ้นนั่นเอง
- ขึ้นทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) (ถ้าเข้าเกณฑ์): หากมีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
- ขอใบอนุญาตต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง: ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ เช่น ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน, ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว, ใบอนุญาต สสว. ฯลฯ
- จัดทำบัญชีและงบการเงิน: บริษัทมีหน้าที่จัดทำและส่งงบการเงินต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและกรมสรรพากรเป็นประจำทุกปี
- ขึ้นทะเบียนประกันสังคม: หากมีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป
- จัดเก็บเอกสารสำคัญ: เช่น ทะเบียนผู้ถือหุ้น รายงานการประชุมต่างๆ
การจดทะเบียนบริษัทเป็นก้าวแรกที่สำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน การศึกษาข้อมูลและเตรียมความพร้อมอย่างรอบคอบจะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จในระยะยาว
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax : VAT)
เมื่อธุรกิจของคุณเติบโตและถึงจุดที่ต้อง จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax – VAT) การทำความเข้าใจเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะ VAT ไม่ใช่แค่หน้าที่ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการการเงินที่ส่งผลต่อต้นทุนและราคาขายสินค้าหรือบริการของคุณโดยตรง การทำความเข้าใจ VAT อย่างลึกซึ้งจะช่วยให้คุณปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง และใช้ประโยชน์จากระบบภาษีนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร?
ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT คือภาษีทางอ้อมที่รัฐบาลเรียกเก็บจากการบริโภคสินค้าหรือบริการ โดยเก็บจากมูลค่าส่วนเพิ่มที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนของห่วงโซ่การผลิตและจำหน่าย ตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ไปจนถึงผู้บริโภคคนสุดท้าย อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทยปัจจุบันอยู่ที่ 7%
สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ VAT ไม่ได้เป็นภาระของผู้ประกอบการโดยตรง แต่เป็นภาระของผู้บริโภคคนสุดท้าย ผู้ประกอบการมีหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” ในการเรียกเก็บ VAT จากลูกค้า แล้วนำส่งให้กรมสรรพากร
ใครมีหน้าที่ “จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม”?
ผู้ประกอบการที่มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่:
- ผู้ประกอบการที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี นับจากวันที่เริ่มต้นประกอบกิจการ (กรณีธุรกิจเปิดใหม่) หรือนับตามรอบระยะเวลาบัญชี (กรณีธุรกิจเดิม)
- ผู้ประกอบการนำเข้าสินค้า: ไม่ว่าจะนำเข้าเพื่อขายหรือเพื่อใช้ในกิจการของตนเอง ก็มีหน้าที่เสีย VAT ณ จุดนำเข้า (โดยกรมศุลกากรจะเรียกเก็บในนามกรมสรรพากร)
- ผู้ประกอบการที่ต้องการจดทะเบียนโดยความสมัครใจ: แม้รายได้ยังไม่ถึง 1.8 ล้านบาท แต่หากต้องการเรียกเก็บ VAT จากลูกค้า เช่น เพื่อลดต้นทุนจากภาษีซื้อที่จ่ายไป หรือเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ ก็สามารถยื่นคำขอจดทะเบียน VAT ได้
ข้อยกเว้น: กิจการบางประเภทได้รับการยกเว้น VAT เช่น กิจการขายพืชผลทางการเกษตร สัตว์ การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักร การให้บริการทางการแพทย์ การประกอบโรคศิลปะ การสอบบัญชี การจัดส่งหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือตำราเรียน รวมถึงกิจการขนาดเล็กที่มีรายรับไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี (และไม่ได้เลือกจดทะเบียนโดยความสมัครใจ)
ทำไมต้อง “จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม”?
นอกเหนือจากเป็นข้อบังคับตามกฎหมายเมื่อรายได้ถึงเกณฑ์ การจดทะเบียน VAT ยังมีประโยชน์ในบางแง่มุม:
- สร้างความน่าเชื่อถือ: การมีระบบภาษีที่โปร่งใสและถูกต้องตามกฎหมายจะช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณ โดยเฉพาะเมื่อทำธุรกิจกับองค์กรขนาดใหญ่หรือภาครัฐ
- ขอคืนภาษีซื้อได้: หากคุณมีการจ่ายภาษีซื้อ (VAT ที่คุณจ่ายไปเมื่อซื้อสินค้าหรือบริการมาใช้ในกิจการ) มากกว่าภาษีขาย (VAT ที่คุณเก็บจากลูกค้า) คุณสามารถขอคืนภาษีซื้อส่วนที่เกินได้ ซึ่งช่วยลดต้นทุนของกิจการ
- ขยายฐานลูกค้า: ลูกค้าที่เป็นนิติบุคคลจำนวนมากต้องการใบกำกับภาษีเพื่อนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่าย หรือนำไปหักภาษีซื้อของตนเอง การที่คุณจดทะเบียน VAT จะช่วยให้คุณสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ได้
สรุปท้ายบทความ
การเริ่มต้นธุรกิจต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ตั้งแต่ การจดทะเบียนพาณิชย์บุคคลธรรมดา ที่ง่ายและเหมาะกับคนเดียว ไปจนถึง ห้างหุ้นส่วน ที่มีหุ้นส่วนหลายคนแต่ความรับผิดชอบต่างกัน และ บริษัทจำกัด ที่มีความน่าเชื่อถือสูงและจำกัดความรับผิดของผู้ถือหุ้น การเลือกรูปแบบที่ใช่ตั้งแต่แรกจะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างมั่นคง และอย่าลืมว่าเมื่อรายได้ถึงเกณฑ์ การ จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำตามกฎหมาย
เพื่อความสะดวกและแม่นยำในการจัดการบัญชี ภาษี และเตรียมพร้อมสำหรับ VAT โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK จะเป็นผู้ช่วยคนสำคัญที่ทำให้การทำบัญชีเป็นเรื่องง่ายขึ้น ไม่ว่าคุณจะเลือกรูปแบบธุรกิจใด PEAK ก็พร้อมสนับสนุนให้การเงินของคุณเป็นระบบ ตรวจสอบได้ ด้วยฟีเจอร์ที่ครบครัน เช่น การออกใบกำกับภาษี, และ การสร้างแบบยื่น ภ.พ.30 เพื่อให้คุณสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นในยุคดิจิทัล
ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท
คลิก https://www.peakaccount.com (ไม่มีค่าใช้จ่าย)
PEAK Call Center : 1485
LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก https://m.me/peakengine